คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 ผมมีเรื่องกับมังกร!
"อลัน...."
ผมลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือเชอรีน รูบี้ วีนัส เอสเตอร์ และอาเชอร์ พร้อมหน้าพร้อมตาราวกับว่ามาดูใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนผมจะหมดลมหายใจ
ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงที่ไหนสักที่ บางทีอาจจะเป็นห้องนอนผม
“นายเป็นอะไรรึเปล่า?” เชอรีนถามขึ้นมาเป็นคนแรก ผมสังเกตเห็นว่ามือของเธอกำผ้าปูที่นอนแน่นจนมันยับไปหมด คนอื่นๆก็ดูกังวลเช่นกัน แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย
“ฉันก็สบายดีนี่ แล้วทำไมทุกคนถึงมายืนล้อมเตียงฉันแบบนี้ล่ะ” ผมกำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียงแต่เอสเตอร์ก็ดึงผมไว้ก่อน ผมต้องขอบคุณเขาเพราะเมื่อกี้ผมแทบจะล้มหน้าทิ่มด้วยอาการวิงเวียนศีรษะที่ยังคงตามหลอหลอนอยู่
ว่าแต่....ผมไปทำอะไรมานะ
“ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย”
“ห้องพยาบาลในเดอะ ริเวอร์เพลส” รูบี้บอก เธอแกว่งกระบองพลาสติกประจำตัวไปมา ผมพยายามไม่หันไปมองเจ้ากระบองนั่น
“แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...เอ๊ะ...เอ็มม่า คาม่อน!!!” ผมร้องเสียงดังเพราะเพิ่งคิดออก เธอหลอกลวงผมมาที่นี่! เธอซื้อเสื้อผ้าให้ผม! แล้วเธอก็บอกว่าเรามีพันธะสัญญาอะไรบางอย่าง! ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังคงไม่เข้าใจเรื่องพันธะอะไรบ้าบอนั่น
“นายไม่ใช่รายแรกที่โดนเอ็มม่าหลอก” อาเชอร์บอก “ฉันเองก็เกือบโดนล่ะนะ แต่เอสเตอร์มาช่วยไว้”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก เวทมนตร์ของเอ็มม่ามีผลกับคนบอบบางเท่านั้นแหละ”
“หมายความว่าฉันบอบบางงั้นสิ” ผมพูดเสียงเข้ม เอสเตอร์รีบส่ายหน้าก่อนจะยิ้มแหยๆให้
“ไม่ใช่อย่างนั้น! นายยังมือใหม่อยู่ ก็ต้องโดนหลอกลวงง่ายเป็นธรรมดา”
“แล้วเมื่อกี้พวกนายพูดอะไรถึงเวทมนตร์รึเปล่า?” ผมรีบท้วงขึ้นมา ทุกคนหันมองหน้ากัน ผมพยายามอ่านสายตาที่แต่ละคนส่งให้กัน แต่บอกได้เลยว่า ผมไม่เข้าใจ
“อย่าตกใจนะอลัน” เชอรีนพูดเสียงเรียบ เธอสูดลมหายใจเบาๆก่อนจะพูดว่า “เอ็มม่าน่ะไม่ใช่คนธรรมดา แต่เธอเป็น”
“แม่มด!!!!!”
ผมหันขวับไปมองต้นเสียงที่ดังมาจากประตู แล้วผมก็เห็นสกู๊ปที่ยืนอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของผมเล็กน้อย เขากำลังเดินเข้ามา
“แล้วก็เป็นแม่มดที่สวยมากด้วย!!” สกู๊ปกระโดดขึ้นมานั่งข้างๆผมก่อนจะพร่ำพรรณนาถึงเอ็มม่า คาม่อน แต่แล้วเขาก็ต้องเงียบลง เมื่อเห็นสายตาของเชอรีน
“ใช่ อย่างที่สกู๊ปบอก เอ็มม่าเป็นแม่มด แล้วงานอดิเรกของเธอก็คือช็อปปิ้งไปวันๆ แล้วเมื่อเธอต้องการอะไรสักอย่าง เธอก็จะไปหลอกลวงคนนู้นคนนี้เพื่อที่จะทำให้เกิดพันธะสัญญา เพื่อให้คนคนนั้นช่วยในเรื่องที่เธอทำเองไม่ได้”
“เธอตามจีบฉันด้วย” เอสเตอร์บอก “เธอตามจีบฉันมาหลายปีแล้ว แต่เสียใจด้วย ยังไงก็ไม่สำเร็จหรอก”
“ขอโทษนะ! ขอขัดจังหวะหน่อย” ผมแทรกขึ้นมา “พวกนายทำเหมือนรู้จักเอ็มม่ามานานแล้ว แต่ทำไม...ฉันถึงไม่เคยเห็นเธอเลยล่ะ”
“ไม่จริงน่า...นายต้องรู้จักเธอสิ” อาเชอร์ขมวดคิ้ว ดวงตาสีเขียวสุกสว่างหรี่ลงด้วยความฉงน อาเชอร์เดินเข้ามาใกล้เตียงผมมากขึ้นก่อนจะหันมองไปรอบๆ เมื่อทุกคนพยักหน้า เขาก็โบกผ่านหน้าผมไปมาพร้อมกับบ่นอะไรบางอย่าง
“อาร์เช พอลิสคานิส!”
“!!!”
เขาโบกมือผ่านหน้าผมเจ็ดที ก่อนจะเอานิ้วชี้ยาวๆมาแตะที่กลางหน้าผากผม
เงียบกันไปสักพัก....
“ขอโทษนะ” ผมเอ่ยขึ้น “พวกนายกำลังทำอะไรเนี่ย?”
“ทำไมมันใช้กับเขาไม่ได้ผลล่ะ!”
“ใช้อะไร?” ผมถามอย่างสงสัย อาเชอร์ทำหน้ามุ่ยก่อนจะเดินมาเขย่าหัวผมแรงๆ
“โอ๊ย! นายทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ”
“นายรู้จักเอ็มม่า คาม่อน นายเคยเจอเธอ นายเคย...”
“ฉันไม่เคยอะไรทั้งนั้นแหละ! นายกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย!!??”
“พอแล้วอาเชอร์!”
เชอรีนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด อาเชอร์จึงปล่อยมือจากหัวผมและกลับไปยืนทที่เดิม แล้วเชอรีนก็เป็นฝ่ายเดินเข้ามานั่งข้างๆผม เธอจ้องมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะค่อยๆยื่นหน้ามาใกล้ๆ
“เอ่อ...เธอจะทำอะไร” ผมถามขึ้นมาอย่างอายๆเมื่อพบว่าตอนนี้หน้าเราอยู่ห่างกันไม่กี่เซนต์ ซึ่งทำให้ผมสามารถมองเห็นสิวบนใบหน้าเธอได้เลยล่ะ แต่บังเอิญว่าเชอรีนนั้นไม่มีสิว ผมเลยเห็นแต่ใบหน้าเนียนๆของเธอ
“อลัน นายช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม?”
“หืม? อะไร”
“อะไรสักอย่าง แต่ว่าเสี่ยงตายพอดูเลยล่ะ” หน้าของเชอรีนค่อยๆห่างออกไป ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมโล่งใจ แต่สิ่งที่ได้ยินกลับทำให้ผมกลับมาช็อกอีกครั้ง!
“ก็แค่สู้กับสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายและหน้าเกลียดบางตัวเท่านั้นแหละ นายโอเคใช่ไหม”
เชอรีนมองผมอย่างคาดหวัง แต่มคงทำให้เธอผิดหวังแล้วล่ะ เพราะผมตะโกนลั่นว่า
“ไม่โอเค!!!!!!!!!”
ผมช่างเป็นผู้ชายที่โชคร้ายเหลือเกิน
หลังจากที่ผมยืนกรานว่ายังไงก็ไม่มีทางสู้กับอะไรบางอย่างที่ชวนฝันร้ายแน่ๆ เชอรีนก็สั่งเอสเตอร์กับอาเชอร์จับผมไว้แน่น และให้รูบี้เป็นผู้คุมพาผมมายังห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ผมก้มหลบกระบองพลาสติกสีแดงสดที่โบกไปมาของรูบี้ เธอชี้กระบองไปด้านหน้า ผมมองตามไป เบื้องหน้ามีแต่หมอกควันสีดำ มันทึบเสียจนมองไม่เห็นว่าด้านหลังมีอะไร
“ฝันร้ายของนายอยู่เบื้องหลังหมอกนี่แหละ” เอสเตอร์บอก
“ขอบใจนะที่บอก”
“นายจะต้องไม่เป็นไรน่า ก็แค่...”
“ต้องสู้มังกรอัคนี พันธุ์ดึกดำบรรพ์ ที่ถูกดาร์กออร่าของรามิลเข้าไปน่ะสิ” เสียงเชอรีนดังขึ้น เธอกำลังเดินเข้าห้องโถงมาพร้อมกับสกู๊ปและวีนัส อ้อ...แล้วก็เด็กผู้หญิงอีกคน
“แน่ใจแล้วเหรอคะ? ที่จะปลุกเจ้าอาร์ริส” เด็กสาวเจ้าของผมยาวสลวยสีรัตติกาลที่เดินมาพร้อมกับเชอรีนพูดขึ้น นัยน์ตากลมโตสีม่วงสดใสกำลังจ้องมองไปทางกลุ่มหมอกนั่น ก่อนจะเลื่อนมายังผม
“นาย!”
“เธอ! คนที่ฉันชนเมื่อกลางวันนี่!”
“ใช่ค่ะ ขอโทษนะคะที่เกะกะขวางทาง” เธอโค้งให้ผมหลายทีก่อนจะเดินผ่านพวกผมไปยังลุ่มหมอกนั่น
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอ!!” ผมตะโกนตามหลังเธอไป ร่างบางหันมายิ้มหวานให้ผมก่อจะมุ่งหน้าไปต่อ เชอรีนเดินตามไปทำให้พวกผมต้องเดินตามไปด้วย
ประตูปิดดัง ปัง! ตามหลังผม
“มังกรอัคนีที่ว่านี่ มันคือตัวอะไร?”
“มังกรหินภูเขาไฟพ่นไฟได้ จบ!” เชอรีนพูดแค่นั้น ซึ่งมันทำให้ผมหงุดหงิดเอามากๆ แต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะ...ไปสู้กับไอ้มังกรบ้านั่นตามที่เชอรีนบังคับขู่เข็ญ
“ทำไมฉันต้องสู้กับมันด้วยล่ะ”
“เมื่อทุกอย่างเสร็จ ฉันจะบอก”
“แล้วถ้าฉันมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานพอที่จะรอฟังคำตอบล่ะ?” ผมถามอย่างหวาดๆ เพราะเจ้ามังกรภูเขาไฟอะไรสักอย่างที่ผมต้องไปสู้ด้วย ท่าทางจะไม่ใช่มังกรของเล่นแน่ๆ
“ก็รอดูไปก่อนละกัน” เชอรีนตอบยิ้มๆ ก่อนจะตะโกนสั่ง “เบลล์!! ปลุกอาร์ริสได้เลย!!”
“รับทราบค่ะ!!”
เด็กผู้หญิงผมดำที่ชื่อเบลล์ตะโกนกลับมา ประมาณสิบวินาทีต่อมาก็เกิดแสงไฟวูบวาบหลังม่านหมอกสีดำนั่น เบลล์วิ่งกลับมาด้วยความรวดเร็ว เธอยิ้มให้ผม และบอกว่า “โชคร้ายจัง ท่าทางนายจะอายุสั้น” แล้วเธอก็วิ่งออกไป
“สู้ๆนะอลัน!!!” วีนัสร้องเชียร์อยู่ไกลๆ แต่ตอนนี้ผมกำลังขาสั่น
“พวกนายไม่มีอาวุธให้ฉันเหรอ!!”
“ใช่!!” อาเชอร์และเอสเตอร์ตะโกนกลับมา
“แล้วฉันจะสู้กับมันยังไงเล่า!!!????”
“มือเปล่าล่ะมั๊ง!!”
“จะบ้าเหรอ!!! อ๊ากกกกกก!!!” ยังไม่ทันเคลียร์เรื่องวิธีสู้กับเจ้ามังกรนั่น ผมก็โดนจู่โจมด้วยเปลวเพลิงฆาตที่พุ่งเฉียดศีรษะผมไปไม่กี่เซนติเมตร ควันสีดำค่อยๆจางหายไป เผยให้เห็นมังกรเกล็ดมันเลื่อมที่สะท้อนแสงไฟบนเพดานระยิบระยับกำลังกู่ร้องอยู่เบื้องหลัง ผมตาเบิกโพลง ในชีวิตนี้ผมไม่เคยรู้ว่ามีมังกรอยู่จริง และเปอร์เซ็นต์ที่อยากเจอก็เป็นศูนย์ ผมกำลังจะวิ่งไปหลบหลังโซฟาสีแดงตัวใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้อง แต่ไม่ทันไร ลูกไฟลูกที่สองก็พุ่งมา ทำเอาโซฟาไหม้เกรียม
ที่กำบังของผมมมมมมม!!!!
“กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ!!!!”
เจ้ามังกรกรีดร้องพลางส่ายหัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ผมวิ่งหาที่หลบไปทั่วห้อง แล้วก็ลื่นล้มเพราะมีใครไม่รู้ทำน้ำหกไว้ ผมร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดแต่ก็ทำได้ไม่นาน เพราะเจ้ามังกรกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้ มันสยายปีกออกกว้างและค่อยๆกระพือจนตัวมันลอยสูงขึ้นไปติดเพดาน มันกำลังเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรบางอย่าง
จบแล้ว ชีวิตผม.....
แต่จู่ๆเจ้ามังกรก็ร้อง กี๊ซซซซซ ด้วยความเจ็บปวดเมื่อปีกของมันไปเกี่ยวแชนเดอเลียคริสตัลบนเพดาน คริสตัลร่วงกราวลงสู่เบื้องล่าง แต่เจ้ามังกรดูเหมือนจะไม่สนใจ (ก็มันเป็นมังกรนี่) ผมได้ยินเสียงกรีดร้องของเบลล์ดังมาแว่วๆเรื่องงบที่จะต้องเบิกไปซื้อแชนเดอเลียใหม่ แต่ผมมีเวลากังวลได้ไม่นานเพราะเจ้ามังกรน่าเกลียดเริ่มขยับปีกเสียงดังครืดคราดจนปีกข้างที่ติดขาดแควก! เลือดสีแดงข้นคลั่กของมันทะลักล้นออกมาและไหลลงเบื้องล่างราวกับน้ำตก ปีกของมันเป็นอิสระแล้ว
ถึงแม้มันจะบินตามผมได้ไม่ดีนัก แต่มันยังพ่นไฟได้
“กร๊าซซซซซซซซซ!!!!”
เจ้ามังกรพ่นลูกไฟยักษ์ออกมาทางผม ผมรีบกลิ้งตัวหลบก่อนจะออกวิ่งไปเรื่อยๆ ห้องโถงแห่งนี้ช่างกว้างใหญ่จนผมมองไม่เห็นผนังเลยทีเดียว เจ้ามังกรยังคงไล่ตามผมมา มันบินช้าๆในระดับต่ำๆแต่หน้าตายังคงน่ากลัวหมือนเดิม เล็บเท้าแหลมคมของมันครูดคราดไปตามพื้นกระเบื้องทำให้ผมขนลุกซู่
“เฮ้ย!!”
ผมเกือบจะทำพลาดเสียแล้ว เมื่อไม่มีพื้นให้เท้าเหยียบอีกต่อไป โชคดีที่ผมหันกลับมาพอดี เพราะเบื้องล่างเป็นเหวลึกเกือบยี่สิบเมตร ธารน้ำใสไหลเชี่ยวกราก ผมก้มลงมองอย่างอับจนหนทาง ถ้าอยากหนีเจ้ามังกรก็คงต้องโดดลงไป แต่มันก็คล้ายๆว่าผมกำลังจะพุ่งไปหามัจจุราชเหมือนกัน
“กี๊ซซซซซซซซซซ!!!” เจ้ามังกรเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ มันส่งเสียงคำรามราวกับจะบอกว่า เตรียมตัวตายซะเถอะไอ้หนู มันชะลอความเร็วและหยุดลง ทิ้งระยะห่างระหว่างผมกับมันประมาณสามเมตร
เจ้ามังกรกำลังรวบรวมพลัง ตอนนั้นในหัวผมมีแต่หน้าเพื่อนๆลอยไปมา เชอรีนคงส่งผมมาตายซะแล้วล่ะ ผมกำลังคิดว่าจะเป็นยังไงนะ ถ้าถูกย่างสด
อย่ายอมแพ้สิ นายเป็นผู้ชายนะ!
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา ผมหันซ้ายหันขวาก็ไม่พบใคร นอกจากเจ้ามังกรยักษ์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า มันต้องดังขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกของผมแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไม เจ้าเสียงนี่ถึงทำให้ผมมีแรงฮึด!
ผมรวบรวมสมาธิเพื่อหาวิธีเอาตัวรอดแต่พระเจ้าไม่ให้เวลาผมขนาดนั้น เพราะในที่สุดเจ้ามังกรก็ตัดสินใจปล่อยพลังเปลวไฟยักษ์ที่ร้อนฉ่าพุ่งมาทางผมแล้ว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาลงแล้วตะโกนกึกก้องว่า อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!!!
ผมกำลังยืนรอความตาย เปลวเพลิงนรกกำลังลามเลียใบหน้าผมอย่างช้าๆ แต่มันกลับให้ความรู้สึกไม่ร้อนเท่าที่ควรจะเป็น และผมก็รู้สึกได้ถึงละอองน้ำ
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาเพื่อสำรวจว่าตัวเองไห้ไปแล้วหรือยัง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อผมยังคงมีสภาพสมบูรณ์ดี แต่เจ้ามังกรอัคนีนั่นกำลังว่ายน้ำท่าลูกมังกรตกน้ำในพายุหมุน ขนาดยักษ์ที่มาจากไหนไม่รู้ มันส่งเสียงร้องและพยายามพ่นไฟ แต่พายุลูกนั้นก็หยุดยั้งไม่ให้มันมีโอกาสได้ทำตามใจ ผมเห็นออร่าสีดำแปลกประหลาดค่อยๆแผ่ออกมาจากร่างกายของเจ้ามังกร มันรวมตัวเข้ากับพายุหมุนก่อนจะแตกสลายไปในที่สุด
บึ้ม!! พายุหมุนสลายตัวก่อให้เกิดสายน้ำขนาดใหญ่ท่วมทะลักห้องโถง แต่บริเวณที่ผมยืนอยู่นั้นกลับเว้นช่องว่างเอาไว้เป็นวงกลบรอบตัวผม ผมหมุนไปรอบๆอย่างงุนงงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วผมก็ได้ยินเสียงของเชอรีนตะโกนมา
“หยุดมันสิ อลัน! มันกำลังจะท่วมเราแล้ว!!”
ผมไม่รู้จะหยุดมันยังไง แต่ตอนนั้นเองความรู้สึกประหลาดๆก็เกิดขึ้นกับตัวผม หัวของผมโล่งๆเหมือนเพิ่งถูกเอาอะไรที่น่าหนักใจ(อย่างเช่นขี้เถ้า)ออกไปจากหัว มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนที่เพิ่งแก้ไขปริศนาอักษรไขว้ได้สำเร็จ
แล้วผมก็รู้ว่าต้องทำอะไร
ผมค่อยๆเดินไปยังทางออกช้าๆ สายน้ำเชี่ยวกรากแหวกเป็นสายเพื่อเปิดทางให้ ผมได้เดินผ่านไป พวกเพื่อนๆมองผมอย่างอึ้งๆอยู่บนตู้โชว์อะไรสักอย่างที่น้ำเกือบจะท่วมมิดแล้ว
“หยุด”
ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ กระแสน้ำม้วนตัวไปมาอีกครั้งก่อนจะแตกตัวสลายหายไป เชอรีนอ้าปากค้างจ้องผมอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“นายเป็น...”
“??”
“ใช่จริงๆด้วย!!” เชอรีนร้องอย่างดีใจในขณะที่เจ้ามังกรอัคนีกำลังส่งเสียงครางหงุงหงิงอยู่เบื้องหลัง
เธอหมายความว่ายังไงกันนะ!!???
*******************************************************************************************************************
PEECY's TALK
ขอโทษค่ะที่มาช้ามากกกก (_ _)
เห็นหลายคนบอกว่ามันรวบรัด ต้องขอโทษด้วยนะคะ
พอดีว่าพีชไม่ค่อยชอบนิยายที่มันบรรยายเว่อร์แล้วก็ยืดเยื้อเท่าไร
ยังไงก็จะพยายามปรับค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ :D
ป.ล. เม้น โหวต นะ
ความคิดเห็น