ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ☆ Paper Plane บินให้ไกล...ไปให้ถึงฝัน vol.3

    ลำดับตอนที่ #3 : ก้าวที่ ๒ : Application 75%

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 56




    Wide eyes will always brighten the blue

    เปิดตากว้างแล้วเธอจะเห็นแสงสว่างสีฟ้า

    Chase your dreams,

     ตามล่าความฝันของเธอ


    ตอนที่หนึ่ง: ใบสมัคร
     

                ทางใต้ของประเทศเกาหลียังคงหนาวเย็นตามฤดูกาล  ช่วงเดือนตุลาคมของปี  ฤดูหนาวได้เข้ามาครอบงำบริเวณโดยรอบกรุงโซลเสียแล้ว  อากาศที่หนาวเย็นยามเช้า  บวกกับลมที่พัดประปรายกระทบใบหน้า  ทำให้เกิดอาการสั่นกับสภาพอาการที่ยังไม่ชิน  หายากยิ่งเมื่ออยู่ในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย 

                ท้องฟ้าด้านนอกยังคงอึมครึมอยู่  ฉันพลิกแขนขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกา  มันใกล้จะเช้าแล้วนี่เอง  ไม่คิดว่าเครื่องบินจะมาถึงเร็วกว่ากำหนด  ฉันเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างมั่นใจ  ว่าหน้าพร้อม  ผมพร้อม  เครื่องแต่งกายพร้อม  ทุกอย่างดูพร้อมแล้วกับการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง  ที่ที่ถูกดึงมาเป็นประเด็นร้อนที่สุดในเกาหลีว่าผ่านยากมาก  มีคนติดมานักต่อนัก  ขนาดข้อมูลแน่นสถานที่พักพร้อม  แล้วฉันที่เพิ่งจบม.ปลายมาหมาดๆแบบนี้ยังจะผ่านมั้ยนะ  แต่ก็มีวีซ่าเนี่ยแหละที่ทำให้อุ่นใจขึ้นมาหน่อย

                เดินมาได้สักพักจะเจอกับแถวที่ยาวพอสมควร  แต่ไม่มากนักของช่องด่านตรวจคนเข้าเมืองชาวต่างชาตินั่นเอง  ส่วนช่องคนเกาหลีนั้นโล่งมาก  ฉันเดินแบกเป้อย่างมั่นใจไปต่อแถวทางด่านชาวต่างชาติ  จะมีช่องว่า Immigration  แล้วก็เจอคนหลากชาติออกันรอผ่านด่านเป็นแถบ

                ดีที่เลือกเวลาบินให้ถึงเกาหลีเช้ามืด  ไม่อย่างนั้นคนเยอะชัวร์!

           "เอ่อ...คุณครับ"

                อยู่ๆ ก็มีคุณลุงสวมชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่เกาหลีเดินมาหาฉัน  พร้อมควักมือเรียกปอยๆ  ด้วยความไม่มั่นใจเลยค่อยๆเอานิ้วชี้หน้าตัวเอง ลุงแกก็พยักหน้าหงึกๆตอบกลับมา

                เฮ้ย  ลุงเรียกฉันทำไมวะ 

                คิดในใจ  หันซ้ายหันขวาอย่างงๆ  สุดท้ายก็ถึงกับบางอ้อ ที่ลุงแกควักๆมือเรียกเพราะว่าจะให้ไปต่อแถวฝั่งตรวจชาวเกาหลี  เพราะว่าไม่มีคน  เลยสามารถไปช่องตรงนั้นได้  ให้ตายสิ! ลุงเล่นหัวใจจะวาย

                ฉันเดินตามลุงไป  พร้อมกับประจันหน้ากับเจ้าหน้าที่ตม.  วินาทีนี้สั่นอย่างบอกไม่ถูก  ไม่ใช่เพราะหนาวแต่มันตื่นเต้นมากกว่า  มาเกาหลีครั้งแรก  คนเดียว  พร้อมวีซ่านักศึกษา  จะผ่านมั้ยวะ

                เจ้าหน้าที่เงยหน้าขึ้นมองสองสามครั้ง  ก่อนจะถามด้วยเสียงที่เบาแหบว่า

                "ไม่เคยมาเกาหลีมาก่อนใช่มั้ย"  เจ้าหน้าที่หน้าตาสะลึมสะลือพูดขึ้น

                ซะ  ซวยแล้ว  ภาษาอังกฤษอ่อนหัด...

                "คุณพูดภาษาเกาหลีได้มั้ยคะ  ฉันสามารถพูดเกาหลีได้ค่ะ"  ฉันพูดอย่างเป็นทางการ  ก่อนจะฝืนฉีกยิ้มให้ดูจริงใจ

                "ครับ  คุณไม่เคยมาเกาหลีมาก่อนใช่มั้ยครับ" 

                "ใช่ค่ะ  ฉันมาที่นี่เป็นครั้งแรก"

                เจ้าหน้าที่พยักหน้ารับรู้  ก่อนจะเชิดหน้าไปทางซ้ายมือ  จะบอกให้เอานิ้วชี้ไปสแกนพร้อมส่องกล้องก็ไม่บอก   ฉันทำตามขึ้นตอนจนครบ  เจ้าหน้าที่ผู้ใจดี (?)  ก็ปั๊มตราให้ฉันผ่าน  เดินตามคนอื่นๆไปรอรับกระเป๋าก็เป็นอันเสร็จ  ลากกระเป๋าใบงาม (แอบเอาของพ่อมา)  ออกมาจากสนามบิน

                ฉันไม่รู้ว่านานเท่าไร  ที่ไม่ได้ใจเต้นกับการเรียนมานานมาก  ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมีโอกาสมายืนอยู่ที่นี่  ประเทศเกาหลีใต้  ตอนนี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้วสำหรับการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ  !
                แต่ประเด็นคือ  ตอนนี้ฉันจะเข้าไปในกรุงโซลยังไงแว๊ !!
                ฉันหยิบหนังสือคู่มือท่องเที่ยวเกาหลีออกมา  สายตาก็เฉียดเข้ากับลุงแก่ๆคนหนึ่ง  ที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่  ฉันตัดสินใจที่จะเดินไปถามมากกว่ามานั่งงม
                "เอ่อ...ลุงคะ  สวัสดีค่ะ"  ฉันทักทายตามมารยาท  ลุงหันมามองก่อนจะทำสีหน้าประมาณว่า มีอะไร "คือหนูจะเข้าโซลต้องนั่งรถสายอะไรเหรอคะ"
                "อ๋อ คันนี้เลยหนู"  ลุงตอบแล้วก็ชี้ๆไปที่รถคันหนึ่งที่เพิ่งจอดเข้าท่า
                ฉันรีบเดินไปลากกระเป๋ามาอย่างทุลักทุเล  ลุงแกเห็นแล้วอนาถใจเลยวิ่งมาช่วย  พร้อมบอกว่าให้ฉันไปซื้อตั๋วตรงมุมนั้นที่มีพี่สาวน่าตาบูดบึ้งเหมือนคนโดนขัดเวลานอน  ราคา10000วอน  ฉันก็รีบวิ่งไปซื้อมาอย่างกล้าๆกลัวๆกลัวจะตกรถกลัวจะโดนกัด  จนในที่สุดก็ได้ขึ้นรถสักที
                เฮ้อ..เหนื่อยชะมัด  โอ๊ะ  รถออกแล้ว
                เนื่องจากว่ายังเช้าอยู่เลยมีคนขึ้นรถน้อย  ทำให้สามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ  ฉันเลยเลือกนั่งติดหน้าต่าง  รถขับผ่านแม่น้ำที่ใหญ่และกว้างมาก  ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นพ้นขอบฟ้า  บอกต้อนรับรุ่งอรุณด้วยความอบอุ่น  แสงแดดสะท้อนผิวน้ำ  เป็นภาพที่ให้เห็นยาก  มันสวยมากเสียจนฉันรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่  สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเราไม่รู้เลยว่าอะไรรออยู่ข้างหน้า แค่กางปีกกว้างแล้วบินออกไป  กลัวนิดเจออุปสรรคหน่อย  แต่ก็คุ้มค่าที่ได้เห็นและรับรู้ราวกับเครื่องบินกระดาษ...
                และแล้ว...ในที่สุด!ฉันก็มาถึงแล้ว สถาบัน  Art & Artist สุดยอดที่เรียนแห่งฝัน  กรี๊ดดด ไม่อยากจะเชื่อเลย  ขอถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน
                แชะแชะ...
                ปุ่มชัตเตอร์ชะงักลงทันที  ที่เลนส์กล้องหยุดอยู่ที่ภาพเบื้องหน้า  เหมือนเส้นทางสู่สวรรค์  นาฬิกาไขลานเรือนใหญ่สูงสง่าตั้งอยู่กลางน้ำพุ
    8.00น...
                "กรี๊ด!! ลืมเช็คอินห้องพักก่อนแปดโมงครึ่ง ตายๆ" พอฉุกคิดขึ้นมาได้ก็ตกใจทันทีที่นึกได้
                ก่อนที่จะได้เข้าไปพักในหอพักนักเรียนของสถาบัน  จำต้องสมัครทำเรื่องออดิชั่นเสียก่อน แน่นอนว่าการออดิชั่นไม่มีอะไรมาก  แค่ใจรักก็ผ่านได้เฉยๆ  ดังนั้นคืนนี้ฉันเลยต้องหาที่พักก่อน  แล้ววันนี้ก็ไปสมัครทำเรื่อง พรุ่งนี้ย้ายเข้าหอพัก กรี๊ดดดชีวิตจะแฮปปี้  ฉันต้องเป็นศิลปินให้ได้ ไฟติ้ง!  ที่นี่เปิดรับแค่100คน เวลา10โมง  ฉันคิดว่าน่าจะมาทันนะ  รีบไปเช็คอินก่อนดีกว่า โอมายดาลิ้ง

                เมื่อจัดการอะไรเรื่องที่พักสำหรับคืนนี้เรียบร้อยแล้ว  ฉันก็รีบโบกแท๊กซี่ไปที่สถาบันทันที
                ชีวิตเราเหมือนเครื่องบินกระดาษจริงๆ  ไม่แน่นอนเลยสักอย่าง! ฉันแทบลมจับ  มันเกินมา10โมงห้านาทีแล้วชีวิตฉันเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย  อย่าเพิ่งครบ100คนเลย  ฉันวิ่งสุดชีวิตไปที่เค้าเตอร์ที่เขียนว่าโต๊ะรับสมัคร  ตอนนี้โล่งว่างเปล่า ฉันเห็นป้ายจำนวนรับสมัครเขียนว่า ตอนนี้คนสมัครจำนวน99ที่แล้ว กรี๊ดดดดดดดด!! ที่สุดท้ายขอเถอะ
                "พี่คะมาสมัครเรียนค่ะ!" ฉันพูด ก่อนจะเหลือบเห็นใบสมัคร
                พระเจ้าเข้าข้างลูก!
                ฉันคว้าใบสมัครเอาไว้ทันท่วงที  หยิบปากกาขึ้นมาเตรียมกรอก  แต่แล้วทันใดนั้น
                พรึบ!
                มือหนึ่งที่มาจากไหนไม่รู้มาดึงฉุดมันไป
                "เอ๊ะ!" ฉันร้องอุทานด้วยความตกใจ
                "นี่ใบสมัครผมครับ"  ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
                รูปร่างหน้าตาก็ดี  ผิวขาวเนียนไร้เมคอัพ สวมเสื้อยืดแขนยาวสีกลมมีลายตรงแขนเสื้อสีขาว  กางเกงยีนส์ขายาว  ดูเข้าชุดกัน  ผมสีดำอมแดงนิดๆเข้ากับหมวกแก๊บสีดำได้เป็นอย่างดี
                เขาดูสูงเท่าๆกับผู้ชายไทยทั่วไป
                "เอ่อ...แต่เมื่อกี้ฉันเป็นคนหยิบมันก่อนนะคะ ฉันคิดว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ"
                "เมื่อกี้เธอคงไม่เห็นฉันสินะ"
                เขาเปลี่ยนสรรพนามาเป็นแบบภาษากันเอง ไร้มารยาท
                "ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น กรุณาเอามือออกไปด้วยค่ะ  ฉันจะกรอกใบสมัคร"
                "เฮ้  ดูท่าจะไม่เข้าใจ  เมื่อกี้ฉันก้มผูกเชือกรองเท้าอยู่  เธอเลยมองไม่เห็น  แต่มือฉันยังจับกระดาษอยู่นะ"
                "โกหก  แต่ถึงจะจริง  นายก็ยังไม่ได้เขียนชื่อไปในใบนี้เลยด้วยซ้ำ  แสดงว่ามันก็ยังไม่ใช่ของนาย"
                "เธอนี่มัน...!"  ชายแปลกหน้าพักสูกลมหายใจ  เอามือเสยผมจนยุ่งเหยิง  ก่อนจะพูดต่อราวกับกำลังสงบสติอารมณ์  "นี่  คือ...ฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าเรียนที่นี่ให้ได้จริงๆนะ  ขอฉันเถอะ  ไว้ปีหน้าเธอค่อยมาสมัครอีกก็ยังทันนี่นา"
                "ฉันก็มีความจำเป็นเหมือนกัน ถ้ากลับไปแบบนี้ฉันตายแน่  ขอใบสมัครเถอะนะ" ฉันพูดขอร้อง  แต่ไอ้บ้านี่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากกระดาษเลย เห็นทีต้องใช้ความเป็นชาวต่างชาติเรียกคะแนนสงสาร

                "ฉันเป็นคนชาวต่างชาตินะ  นายต้องต้อนรับฉันให้ดีๆสิ!"
                "ไม่ล่ะ"
                "เอ๊ะ! พี่คะฉันเป็นชาวต่างชาตินะ ถ้าเกิดพี่รับฉันเท่ากับเป็นการโปรโมทไปถึงต่างประเทศนะคะ" ฉันพูด
                "พี่ครับ! ผมเป็นคนเกาหลีร้อยเปอร์เซ็น  พี่ต้องรับผมก่อนสิครับ  เราต้องดูแลพลเมืองของตนเองก่อนจะดูแลคนอื่นนะครับ"
                "ย๊า  ชาวต่างชาติอย่างฉันสิ!"

                "สายเลือดเกาหลีแท้ๆต่างหาก"
                "เอ่อ...ขอโทษนะคะ
    T^T  ฉันไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น  อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ"  

                โอ๊ย! แค่ครั้งนี้ เท่านั้นที่ยอมไม่ได้!!! // โอ๊ย! แค่ครั้งนี้ เท่านั้นที่ยอมไม่ได้!!!
                ทั้งคู่ต่างคิดแบบเดียวกัน  ตอนนั้นเอง
                "อะแฮ่ม  สวัสดีค่ะ  ดิฉันคือเลขาผู้อำนวยการวิทยาลัยแห่งนี้  ท่านผู้อำนวยการให้มาเชิญพวกคุณสองไปพบค่ะ" หญิงสาววัยกลางคน  ร่างสูงโปร่งหุ่นเพรียวสายตาเฉี่ยว  ใบหน้าขาวเนียนใสกับผมที่มัดรวบตึง  เดินมาคั่นกลางระหว่างฉันกับชายแปลกหน้าที่กำลังถกเถียงกัน  เธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่รู้ว่าทำไมพวกเราสองคนถึงกับหยุดชะงักพร้อมกันอัตโนมัติ  โดยมิได้นัดหมาย  พลังบางอย่างที่แผ่ออกมาทำให้ต้องทำตามอย่างว่าง่าย

                ฉันเดินตามเลขามาเรื่อยๆ ไม่ไกลนัก  พวกเราก็มาถึงอาคารแห่งหนึ่ง  อาคารเหรอ!? เรียกว่าบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งจะดีกว่า  เป็นบ้านไม้ไผ่หลังเล็กๆชั้นเดียวที่เหมือนปลูกขึ้นอย่างลวกๆเพื่อกันฝนเท่านั้น  มีหน้าต่างบานเล็กๆอยู่รอบหน้าบ้าน  มีสวนดอกไม้พอให้กลิ่นหอมฟุ้งเล็กน้อย  จะว่าไปถึงสภาพจะดูไม่น่าเข้าก็ตาม  แต่พอคุณเลขาสุดสวยเปิดประตูบ้านปุ๊บ  ฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่!  เพราะความจริงมันก็แค่ทางเข้าธรรมดาๆ!  แม้เจ้า  ห้องผู้อำนวยการอยู่ใต้ดินเจ้าค่ะ  บ้านไหนเขาทำกันเนี่ย!!

                "เหอะๆ  เป็นถึงผู้อำนวยการทำไมอยู่ซะเตี้ยเลย"  ชายแปลกหน้าพูดขึ้น  ระหว่างที่เดินลงไปใต้ดิน

                แหม...  พูดเหมือนตัวเองสูงมาก  เตี้ยตามมาตรฐานคนเตี้ยในเกาหลีเลยเหอะ

                ทางเดินจากที่สว่างสลัวๆก็เริ่มสว่างมากขึ้น  ไฟสีส้มอ่อนสว่างวาบช้าๆเป็นสีขาวนีออน  เหมือนกับหลุดมาอีกโลกหนึ่ง...เบื้องหน้าคือสวนดอกไม้ในที่ร่ม...แต่ก็ยังมีแสงแดดอ่อนๆลอดผ่านเข้ามา  พร้อมลายลมไหวอิง  ฉันค้างไปเสี้ยววินาที  ยอมรับเลยว่าเหมือนหลุดออกมาอยู่อีกที่หนึ่ง  เพราะด้านนอกทั้งหนาวทั้งลมแรง  แต่ด้านล่างนี่ทั้งอบอุ่นและสว่าง  ยิ่งกลิ่นหอมของดอกไม้หลายชนิดแต่เข้ากันได้  โชยมาแตะจมูก  ชวนให้สดชื่นนุ่มละไมเหมือนกลิ่นของเลม่อนกับองุ่นผสมกัน  อารมณ์ประมาณนั้นเลย

                "เป็นไง  ชอบมั้ยล่ะ"  ลุงคนหนึ่งพูดขึ้น  ฉันคิดว่าน่าจะเป็นคุณลุง  เพราะว่าดูจากอะไรหลายๆอย่าง

                เขาสวมชุดทำสวนพร้อมรองเท้าบูทสีเขียว  ถุงมือยางพร้อมถือกรรไกรตัดกิ่ง  เสื้อผ้ามิดชิดเหมือนห้องกักกันเชื้อโรค  มีเพียงแค่ส่วนตาเท่านั้นที่เผยออกมาให้เห็นได้   ฉันจ้องมองแววตาสดใสนั่น 

                "อ้อ...ชอบค่ะ"  ฉันชอบมันจริงๆนะกลิ่นแบบนี้เนี่ย  "ลุงปลูกเองหมดเลยเหรอคะ" ฉันถามด้วยความอยากรู้

                "ใช่เลย!  พวกนี้ฉันปลูกเองหมด" ลุงลุกขึ้นยืนพร้อมฉีกยิ้มกว้างให้ฉัน เขาดูดีใจมากที่มีคนถามเรื่องพวกนี้  กระตือรือร้นมากอยากจะตอบ 

                อะแฮ่ม!

                เสียงกระแอ้มของเลขาดังขึ้น ฉันคงต้องกล่าวลาคุณลุงดูแลสวนแล้วล่ะ  เพราะคงเสียเวลาไปหาผู้อำนวยการ

                "สวัสดีผู้อำนวยการซะสิ"

                !!  ว่าไงนะ  ลุงชาวสวนเนี่ยอะเหรอ  ผู้อำนวยการวิทยาลัยแห่งฝันแห่งนี้  ไม่อยากจะเชื่อเลย  ฉันได้แต่คิดในใจ

                ฉันกับอีตาบ้างงเล็กน้อย  เขาดูหน้าเหวอกว่าฉันนิดนึง  เพราะไม่คิดว่าผู้อำนวยการจะมาลงพื้นที่ปลูกต้นไม้ทำสวนในที่ร่มเสียเอง  นึกแล้วน่าหัวเราะจริงๆ  เมื่อกี้ฉันไปพูดตีซี้เฉยเลย

                "สวัสดีค่ะ"  ฉันทักทายด้วยภาษาทางการและอ่อนน้อม

                "สวัสดีครับ  ผมบยองกุน..." 

                "ยินดีที่ได้รู้จักนะบยองกุน  กับ...น้ำเย็น  สาวชาวไทยคนงาม"  ลุง  เอ้ย!  ผู้อำนวยการผิวขาวมากพูดขึ้น  พร้อมยกมือขึ้นมาจับมือเป็นการทักทาย 

                "ค่ะ"  

                "เชิญเข้ามานั่งก่อน  เดี๋ยวฉันจะไปหาอะไรร้อนๆมาให้ดื่ม"  ผู้อำนวยการอัธยาศัยดี และติดดิน กำลังเดินไปหาเครื่องดื่มมาให้ 

                เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอผู้อำนวยการบริการนักเรียนขนาดนี้  แถมยังอารมณ์ดี  ติดดินและกันเองสุดๆ 

                ไม่นาน  ผู้อำนวยการก็เดินมาพร้อมกับโกโก้ร้อนสองแก้ว  พร้อมเสื้อผ้าที่เป็นชุดไปรเวท  เสื้อยืดแขนกุดสีขาวลายตัวหนังสืออาร์ตๆ  คล้ายกำแพงที่ถูกสีพ้น  กางเกงยีนส์ขาขาดตัวหลวม  เล่นเอาฉันอ้าปากเหวอเลยทีเดียว  ก็เพราะผู้อำนวยการจะหน้าเด็กและหล่อขนาดนี้นะสิ!  เล่นเอาใจสั่นไหวไปชั่ววูบ  ผมสีขาวสลวยกับหมวกสีดำช่างเข้ากันได้ดี แถมยังมีรอยสักที่แขนและคออีกมากมาย  คุณพระเจาะหูอีกสามสี่รูต่อข้าง  ตรงมุมปากแดงระเรื่อมีโลหะจิ๋วติดอยู่ สุดคำบรรยายใดๆ...

                คุณเลขามองผู้อำนวยการเหนื่อยๆจากการแต่งตัวอย่างผิดมนุษย์  เลยขอตัวออกไปทำธุระข้างนอกแทน  ทั้งห้องสวนก็เลยเต็มไปด้วยความเงียบ  กับเสียงซดน้ำชาของผู้อำนวยการ

                แกร้ง

                เสียงวางแก้วของเขาทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย

                "ได้ข่าวว่าพวกเธอตีกันเพื่อแย่งใบสมัครที่เป็นเศษกระดาษใบเดียวนี่ใช่มั้ย"  ผู้อำนวยการพูดจบก็คว้าหมับเข้าที่ใบสมัครที่ยับยู่ยี่เพราะแรงกระชากเมื่อตอนแรก  ก่อนจะกระโดดหยองไปนั่งยองๆบนเก้าอี้  "อื้ม  แต่มันดันมีใบเดียวเนี่ยสิ..."  ทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะ  "งั้น...ฉีกแบ่งมันเลยแล้วกันเนอะ"

                แควกกก

                พูดจบก็จับมันฉีกลากยาวลงมาจนขาดแยกออกจากกัน

                เฮ้ย!!!

                เราสองคนตะโกนออกมาพร้อมๆกันด้วยความตกใจ 

                เวรแล้ว  T^T ลางสังหรณ์ลอยออกมาลางๆว่ามึงอดเรียนแน่น้ำเย็นเอ้ย!  ผอ.แม่งโหดสึด  นึกว่าจะใจดีเหมือนภาพที่เห็น 

              "อ่ะ  เอาไปคนละครึ่ง"  ฉีกเสร็จก็ยังมีหน้ามาแบ่งให้อีก

                ผอ.ดูเพี้ยนๆผิดมนุษย์  หรือว่าเขาติสเกินจนจะบรรยาย  ใครก็ได้ช่วยที

                "ทำแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ"  ไอ้บ้าที่ชื่อบยองกุนไรนั้นพูดขึ้น  หน้าตาจริงจังมากกว่าเมื่อกี้ที่เจอ "ถึงพวกเราจะทะเลาะกันจนขายหน้าชาวบ้านเขา  แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำลายความฝันของคนๆนึง  ที่เขาตั้งใจจะเข้าเรียนที่นี้ด้วยความตั้งใจจริงสิครับ"

                "ฉัน...ทำลายความฝันใครงั้นเหรอ?"  ผอ.ถามขึ้น  ตอนนี้เขาเอาขาลงแล้วนั่งในท่าคนปกติเขานั่งกันแล้ว

                บรรยากาศชักจะมาคุแปลกๆ  น้ำเย็นเลยขอนั่งเงียบดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน  ตามชื่อคือใจเย็น

                "ก็ใบ..."

                "อ่า!  ใบสมัครสินะ  เธอคงคิดว่าฉันฉีกใบสมัครไปแล้ว  ทุกอย่างก็จบ  ชีวิตเธอจบ  ความฝันเธอดับ"  ผอ.พูด  แล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจ  "บยองกุน...นั้นมัน...เศษกระดาษนะ" 

                "แต่นั่นคือสิ่งที่จะทำให้ผมเข้าโรงเรียนนี้ได้นะครับ"  เสียงบยองกุนเริ่มสั่นเล็กน้อย

                "ถูกต้อง  เพราะว่ามันเป็นกระดาษที่คนเรามโนเอาว่าสำคัญมาก  และผิด!  ความฝันของนายที่พูดถึงเมื่อกี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกระดาษแผ่นนี้เลย  ความฝันที่มาจากตัวนายต่างหากที่ฉันจะรับเข้าโรงเรียนนี้  วิทยาลัยแห่งนี้ ไม่ใช่กระดาษแผ่นนี้" 

                โห...ลึกซึ้ง  ปรบมือในใจรัวๆ

                "แต่ถ้าไม่มีมัน  แล้วใครจะรับผมเข้าละครับ" 

                เออ...ใช่  พูดถูก  ไม่มีมันก็ไม่ได้เข้าเรียน  ชื่อก็บอกอยู่แล้วใบสมัคร!

                "แสดงสิ  ความสามารถของพวกเธอสองคน  ถ้าความฝันนั้นมันแสดงพลังออกมาอย่างไม่น่าเชื่อแล้วล่ะก็  ฉันจะรับพวกเธอเข้าที่นี่"  ผอ.พูดขึ้น  ก่อนจะยกหูโทรศัพท์ภายในขึ้น  เขาชะงักเล็กน้อยก่อนจะหันมาบอก  "อ้อ  ฉันลืมบอกไปเตรียมตัวให้พร้อม  การออดิชั่นเริ่มต้นขึ้นแล้ว  ตั้งแต่ที่พวกเธอก้าวเข้ามาในห้องนี้!"

                "ห๊า!! เมื่อไรนะ"  เราสองคนอยู่ๆก็เป็นมิตรกันขึ้นมา  ตะโกนด้วยความตกใจออกมา

                "ตั้งแต่ก้าวเข้ามานั้นแหละ  การสัมภาษณ์จบลงแล้ว  เธอสองคนผ่านการสัมภาษณ์..."  ผอ.พูดต่อ  "ต่อไปก็ออดิชั่นสด  แสดงความสามารถ  ไม่ยากอะไร  แค่แสดงให้เห็นถึงพลังความฝันก็พอ...แสดงให้เห็น" ผอ.พูดกับพวกเราสองคน  พร้อมหันไปพูดโทรศัพท์ที่ต่อสายติด  เกี่ยวกับอะไรสักอย่าง ก่อนจะวางหูไป

     

    -----------------------------------------------------------------------------------

                สนามประลองหรือสนามออดิชั่น  พวกเราสองคนเดินมาตามทางที่ผอ.เขียนแผนที่ของสถาบันไว้ให้คร่าวๆ  เพราะแผนที่จริงจะแจกพรุ่งนี้ตอนปฐมนิเทศ  ระหว่างที่ตามหาสนามสอบเพื่อที่จะไปรวมตัวกับเพื่อนๆนั้นก็เจอเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ใหญ่โตมโหฬาร  ดูคับคล้ายคับคลาเหมือนอัศจรรย์กว้างที่ลอกต้นแบบมาจากมงกุฎยักษ์อะไรเทือกๆนั้น  พูดได้คำเดียวว่ากว้างใหญ่มาก  ที่นี่จัดได้ว่าเหมือนมหาลัยดังๆหลายที่  เพียงแต่ติดที่ว่ามันคือสถาบัน  ที่เรียนสี่ปี

                "หึ..."

                -____-  คือคุณพี่จะแซะฉันทุกวินาที  ด้วยเสียง หึๆ 

                "นี่  เป็นอะไรมากป่ะ"  ฉันถามระหว่างเดินเข้าไปในลานออดิชั่น

                "เปล่า...แค่กำลังคิดว่า  หน้าตาอย่างเธอเนี่ย...ไม่มีแววเป็นไอดอลซะเลย  ตัดใจแล้วก็ไปอยู่ในที่ๆเหมาะกับเธอเถอะ" 

                -____-+ ไอ้บ้านี่มันยังไง  แขวะกูจริง

                "อื้ม...ฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินนะที่พูดเมื่อกี้"  ฉันพูดแบบเฉยชา  จะไม่ให้เฉยได้ไง  ก็ไอบ้านี่เล่นด่าฉันมาตั้งแต่ห้อง ผอ.  เดินจิกกัดมาจนถึงที่นี่เนี่ย  ฉันเห็นนายนั่นเงียบไปก็เลยพูดต่อสวยๆ  "แต่จะบอกไว้การเป็นไอดอล...มันอยู่ที่ใจ  ใช่ใบหน้า  ความรักคือสิ่งที่ทำเต็มที่อย่างไม่ยอมแพ้  จบนะโอเค"  ฉันถอนหายใจยาวาๆเฮือกหนึ่ง  เบื่อที่จะเถียงกับผู้ชายงี่เง่า  ที่แสนจะแซะให้ฉันยอมแพ้กลับไทยไปซะ  เรื่องสิ!  ฉันต้องเข้าที่นี่ให้ได้  ไม่ว่ายังไง น้ำเย็นคนนี้ไม่ขอกลับบ้านจนกว่าจะทำอะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง

                ใบหน้าสวยๆของผู้ชายข้างตัวเบิกตากว้างทันทีที่เดินเข้ามาอยู่กลางสนาม  สุดยอด...เหมือนเราสองคนเดินเข้ามาในเมืองยักษ์  กลายเป็นตัวเล็กลงอยากทันตาเห็น 

                ไม่รู้เมื่อไร...ที่ฉันมายืนใกล้ๆบยองกุน 

                "โอ้ๆ  พวกเธอสองคนที่จะมาออดิชั่นใช่มั้ย"  หญิงสาวผมยาวประบ่าพูดทักทายมาจากด้านบ้านอัศจรรย์  เธอพูดโดยใช้โทรโข่ง 

                "ใช่ค่ะ!"  ฉันตะโกนตอบกลับ  เพราะกลัวเธอจะไม่ได้ยิน

                "โอเค!  ต่อไปนี้พวกเธอสองคนจะต้องเลือกเพลงที่มั่นใจที่สุด  แล้วร้องมันออกมา"  เธอพูด

                แล้วทำไมไม่ลงมาคุยดีๆ  เมื่อยคอ  จะตะโกนคุยกันทำไม

                ไม่นานนัก  ความสงสัยก็มะลายหายไป  เมื่อมีผู้ชายสามคนเดินเข้ามาพร้อมไมค์โคโฟน  พร้อมกับการ์ดอะไรสักอย่าง  เหมือนการ์ดเชิญ?  ฉันรีบฉกชิงมาก่อนที่บยองกุนจะได้แตะต้องมัน  เขาชักสีหน้าเล็กน้อย

                ไม่ทันฉันหรอกย่ะ!

                'เลือกเพลงที่อยากร้อง  หัวข้อคือ ทำให้คุณยายที่นั่งอยู่ด้านบนอัศจรรย์ยิ้มให้ได้'

                อัศจรรย์ไหน?  บนนั้น  ที่พี่ผู้หญิงยืนอยู่อะนะ!

                "อ่านภารกิจออดิชั่นเสร็จแล้วใช่มั้ย"  หญิงสาวที่อยู่ข้างบนพูดใส่โทรโข่งลงมา 

                ฉันพยักหน้าหงึกๆ  แล้วก็หันไปหาบยองกุน  ที่ตอนนี้เขาทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่  สายตาเขา...มันมุ่งมั่นมาก  ต่างจากที่เห็นมา

                "ให้เวลาสิบนาที  เตรียมตัวก่อนออดิชั่น" 

                "เดี๋ยวค่ะ!"  พูดใส่ไมค์โครโฟน

                "...ว่าไงคะ  ไม่ทราบว่าคุณโซเจมีปัญหาอะไร"

                "ออดิชั่นแบบเดี่ยวใช่มั้ยคะ..."

                "ไม่ค่ะ  เนื่องจากเราต้องการเลือกใครคนหนึ่งระหว่างพวกคุณ  ร้องพร้อมกันจะเห็นข้อเปรียบเทียบได้ดีกว่า" 

                ห๊า!

                "เรื่องมากน่า  ร้องๆไปเหอะ  ยังไงฉันก็ชนะใสๆ"  บยองกุนพูดขึ้น

                "ฉันต่างหากที่ต้องได้..." 

                เปล่าเลย...ไม่เลยสักนิด  ฉันไม่มั่นใจอย่างที่พูดเลยว่าจะชนะ  T^T  ไอ้หมอนี่อาจเรียนร้องเพลงมา  ทำไงดีละเนี่ย   น้ำเย็นปวดหัว

                "เอาเพลงอะไรดีล่ะ"  บยองกุนเดินเข้ามาหาฉันใกล้ๆ  เพื่อปรึกษาหารือ

                "ไม่รู้สิ  เพลงเกาหลีเก่าๆสักยุค70อะไรงี้เป็นไง"  ฉันเสนอ  เพราะดูแล้วคุณยายที่เป็นโรคซึมเศร้าคงต้องการเพลงที่ทำให้นึกถึงสมัยวันวาน  ตามความรู้สึกเหมือนกลับไปเห็นเพื่อนๆ 

                "เราไม่มีดนตรีประกอบ  ร้องสด  ฉันว่าเพลงยุคนั้นไม่เหมาะ" 

                เอ๊ะ!  ขัดฉันอีกแล้ว

                "งั้นนายคิดว่าเพลงอะไรล่ะ  ถ้าจะเป็นเพลงสมัยนี้ฉันว่าคงไม่เวิร์คนะ  เดี๋ยวแกจะซึมเศร้านักกว่าเดิม"

                "ง่ายๆเลย  เธอเสียงใสแล้วก็สูง  ฉันว่าเพลงที่เราจะร้องได้  นอกจากความหมายแล้ว...เรื่องของวันวานอยากให้บรรยากาศเหมือนกล่องเพลง...เธอพอนึกออกมั้ย  ความทรงจำ  ความอบอุ่นในหน้าหนาวไรงี้"

                เขายิ้มขณะที่กำลังอธิบาย...คนละคนเลยแฮะ  กับเมื่อกี้

                "ยังไงก็ได้  ฉันก็คิดไว้ประมาณนั้น  แต่จะใช้เพลงอะไรเนี่ยสิ  จริงๆฉันคิดว่า Yoo Jae Ha -  Because I love you  ก็โอเคนะ แต่อยากได้กีตาร์สักตัว"

                ฉันเกาหัวตามนิสัย  เวลาคิดอะไรมากๆหรือใช้สมองเยอะๆมักจะต้องเกาหัว  แต่ดูเหมือนบยองกุนคนหล่อจะไม่เข้าใจ  เขาทำสีหน้าเหยเกกลัวรังแคกระเด็น 

                "ก็ดีนะเพลงนั้น  ส่วนกีตาร์...ฉันไม่ได้แบกมาด้วยเนี่ยสิ  คิดว่าไว้ย้ายหแล้วค่อยเอามา  ชิ  ไม่คิดว่าจะไม่มีเต้น"  เขาบ่นนิดหน่อยอย่างรำคาญ  หงุดหงิด  ตามประสาคนบ้า -___-

                "งั้น  ผิวปากเป็นป่ะ  ส่วนจังหวะ  ฉันเคยตีกลองงานกีฬาสีอยู่  ฉันจะลองหาอะไรมาเคาะด้วยดีกว่า"  ว่าแล้วสายตาก็พลันไปเห็นเก้าอี้ไม้วางอยู่มุมทางออก  คาดว่าน่าจะเป็นเก้าอี้ที่เตรียมทิ้งแล้ว  เพราะวางข้างถังขยะ  ไม่เป็นไรสกปรกหน่อยแต่ก็น่าจะช่วยได้เยอะ

                "อื้อ  ได้...จะว่าไปก็โอเคนะร้องเพลงเนี่ย  ฉันก็ชอบเหมือนกัน" 

                ฉันได้แต่เหลือบมองหน้าเขาเป็นระยะระหว่างที่เราฝึกซ้อมเพลงกัน  ในเวอร์ชั่นออคูสติก  ถ้าต้นฉบับนั้นร้องจะช้าเนิบ  แต่พวกเราจะปรับจังหวะเพิ่มขึ้นมาให้เร็วกว่าน้อย  เล่นไปเล่นมาทำนองเหมือนเพลงฮาวายเลยแฮะ  เนื้อเพลงกล่าวถึงคนที่เป็นที่รัก...เศร้า  แต่ก็รู้สึกดี


    75%
    - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    PP TALK : เพราะว่าความฝันต้องเดินหน้าต่อไป...

    ©
    Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×