คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 2 Days : เมื่อเท้าเหยียบพื้นดินเมืองนอก หัวใจก็เต้นตูมตาม❤
2 Days : เมื่อเท้าเหยียบพื้นดินเมืองนอก หัวใจก็เต้นตูมตาม ❤
เครื่องบินลำใหญ่ยักษ์จากสายการบิน Korean Air แล่นลงจอดสู่พื้นดินด้วยความนุ่มนวลอย่างมืออาชีพ ของกัปตัน ทำให้ถึงเร็วกว่ากำหนดหนึ่งชั่วโมง ผู้คนเริ่มทยอยลงจากเครื่องทันทีที่สัญญาณปลดเข็มขัดนิภัยโชว์ขึ้น แอร์สาวเดินไปทำหน้าที่ทางปากทางออกตามระบบเพื่อขอบคุณที่ไว้ใจในสายการบินของเรา ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ
และแล้วสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง มันคือด่านตรวจคนเข้าเมืองนั่นเอง จะได้เข้าประเทศหรือไม่ก็อยู่ที่เขาเพียงคนเดียว แม้กิ๊กจะเอ่ยปากบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงแต่ฉันก็ยังอดหวั่นไม่ได้ พวกเราต่อแถวแยกกันเพราะว่าเช้ามืดแบบนี้ไม่มีคนเท่าไรนัก ทำให้การตรวจเร็วขึ้น แล้วฉันก็ผ่านมาอย่างง่ายดาย โดยส่งเอกสารทั้งหมดให้ตม.ตรวจ เขามองหน้าสองสามครั้งแล้วก็ประทับตราให้ผ่าน แพงกี้เองก็ผ่านเช่นเดียวกัน
เช้ามืดที่แสนเงียบสงบ ท้องฟ้าสีครามเริ่มสว่างเป็นสีฟ้าใสจนเห็นก่อนเมฆสีขาวปุกปุยเคลื่อนตัวช้าๆผ่านไป สายตาเริ่มปรับให้เห็นภาพกว้างมากขึ้น ต้นไม้ที่สูงเรียงรายอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน สีเขียวเข้มทำให้สบายตายิ่ง อากาศหนาวเย็นสักครู่ปรับเป็นอากาศเย็นสบาย มีสายลมพัดไหวอ่อนๆกระทบใบหน้ายามเช้า รู้สึกถึงการต้อนรับของประเทศนี้
รถเมล์คันใหญ่หลากหลายสีข้ามจอดเข้าท่ารถประจำที่ของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ เป็นรถเมล์ที่จะพาเข้าไปในตัวเมืองตามสถานที่ที่บอกไว้ ฉันสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณนั้น ภาษาเกาหลีเขียนแปะหลาอยู่รอบตัวปะปนกับภาษาอังกฤษ เป็นการบอกว่า "ยินดีต้อนรับสู่เกาหลีใต้"
ก่อนที่เราจะขึ้นรถนั้น เราจะต้องมีตั๋วเสียก่อน ฉันมองหาป้ายที่จะขึ้น "ชังด๊กกุง" นั่นคือคันที่เราขึ้น ลุงคนหนึ่งเดินมาทางเราพร้อมถามประมาณว่า ขึ้นสถานีไหน เมื่อเราบอกจบลุงก็เอากระเป๋าเราสามคนไปวางต่อคิวขึ้นรถ ตั๋วรถที่ซื้อมาก็ราคาเบาๆ 10000 วอน = 280 บาทไทย(วิธีคิดคือ จำนวนเงินวอน x เรทเงิน=เงินบาทไทย) แล้วแต่ค่าเงินในตอนนั้น
รถเมล์ที่มีชื่อของสถานีที่จะลงจอดเทียบชานชาลาแล้วเป็นที่เรียบร้อย เราสามคนยืนดูคุณลุงคนขับโยนกระเป๋าเข้าใต้ท้องรถอย่างแข็งขัน ดีนะที่ซีนมา ไม่งั้นคงได้แตกเป็นเสี่ยงๆเพราะแรงกระแทกจากการจับโยนๆ เมื่อขึ้นรถเค้าจะให้สติ๊กเกอร์กับเรา เพื่อจะได้รับกระเป๋าตอนลง พร้อมทั้งฉีกตั๋วออกเหลือใบเล็กนิดเดียวให้สะสมอีกด้วย
รถเมล์เริ่มออกตัว เป็นสัญญาณว่าการผจญภัยหัวใจ(?)ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ชะเอิงเอย ตลอดทางที่นั่งรถมานั้น สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ สีเขียวชอุ่ม กับแสงแดดอ่อนๆกระทบเข้าที่กระจกบานหนึ่งสะท้อนภาพเงาของวังให้ได้เห็น เมื่อเริ่มเข้าตัวเมืองคนก็เริ่มเยอะขึ้น ในที่สุดเราก็ถึงแล้วโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้
"ของเอาลงหมดแล้วนะครับ" ลุงคนขับที่ลงมาเอากระเป๋าออกให้
"หมดแล้วค่ะ" กิ๊กตอบ "ขอบคุณมากนะคะ"
กิ๊กเดินนำพวกเราไปยังที่พัก ที่เป็นเกสเฮ้าส์ Bwon guesthouse เมื่อเก็บข้าวของอะไรเสร็จเรียบร้อย เราสามคนก็เริ่มเดินจากเมียงดงเป็นอย่างแรก ขั้นตอนแรกเราต้องมีบัตร T money แสนสะดวกเสียก่อน บัตรราคาก็เบาๆอีกเช่นกัน 10000วอน ต่อด้วยเติมเงินในบัตรเพิ่มอีก 10000วอน เท่ากับว่าวันนี้เราใช้เงินไปแล้ว30000วอนเป็นเงิน 840 บาท =[]= ข้าวยังไม่ได้กินเลย เริ่มปาดเหงื่อเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะมีคนเหงื่อตกไปแล้วเรียบร้อย แพงกี้...
"กรี๊ด T^T เงินไม่รู้จะอยู่ถึงวันสุดท้ายมั้ยเนี่ย แบงค์ห้าหมื่นวอนจะปลิวออกมาแล้ว" เธอบ่น
อ๋ออยู่ที่นี่เราพูดภาษาไทยใส่กันไปมา แซวคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย เพราะไม่มีใครรู้ว่าแปลว่าอะไร สักแต่ว่าคนไทยมาเที่ยวเกาหลีช่วงนี้เยอะเหลือเกิน
เมียงดง...
แหล่งช็อปปิ้งชั้นนำอีกที่ที่ทุกคนต้องมา เพราะว่ามีร้านเครื่องสำอางมากมายที่ราคาถูกกว่าที่บ้านเราตั้งเรียงกันให้ควัก เสื้อผ้าลดราคากันกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ มีแต่ตัวสวยๆไหมพรมน่ารักๆที่ต้องคิดหนักว่ากลับไทยแล้วจะได้ใส่อีกครั้งไหม วัยรุ่นคู่รักหนุ่มสาวเดินกระทบไหล่กันเฉิดฉายอวดโฉมแฟชั่น ถนนที่ร้านรวงมากมายต้องการจับจองพื้นที่ ให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ซื้อหาของที่ใช่ตามใจชอบ
"วันนี้คนเยอะแฮะ มีใครมารึเปล่าหว่า" กิ๊กบ่น
ยังพูดไม่ทันขาดคำ เหมือนคนตัวสูงจะเห็นอะไรบางอย่าง เธอรีบวิ่งแบบไม่คิดชีวิตประหนึ่งว่าตัวเองเป็นนักรักบี้ ที่จะพาลูกไปลงหลุม
"อุปป้า!" เสียงหญิงสาวหลายสิบคนพากันกรี๊ดดังมาก
ด้วยความสงสัยเลยพากันเดินไปดู ก็พบกับแถวที่ต่อยาวมากสุดสายตา นี่วันแรกก็รู้สึกว่าดวงดีที่จะได้เจอศิลปินเลยเหรอ ฉันพยายามที่จะมองให้ได้ว่าเป็นใคร แต่ผิดกับแพงกี้
"เอ่อ...ขอโทษนะคะ วันนี้ใครมาที่นี่เหรอ" แพงกี้หันไปถามสาวเกาหลีคนหนึ่ง ที่กำลังหน้าแดง เดาง่ายมากว่าคนที่มาวันนี้เป็นผู้ชาย
"คยองโนกับจงกู" พูดจบ เราสองคนแทบจะเบิกตากว้างพร้อมกัน ก็จะไม่ใช้กรี๊ดได้ไง นั่นมันวงแพลนเนทเลยนะเฟ้ย
ฉันอยากเห็นมากถึงขั้นกระโดดไปมาเพื่อที่จะส่องหาคยองโนที่รัก แต่ด้วยความที่ความสูงมีน้อยเกินไป ทำให้เซถลาไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า
"อุ๊ย ซอรี่ๆ" ฉันพูดเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพบผู้ชายรูปร่างสูง สวมแว่นกันแดดสีดำชวนให้คุ้นตา ผิวขาวเนียนจะดูดีมากถ้าไม่มีหนวดมาบดบังใบหน้า
"ไม่เป็นไรครับ" เสียงแหบทุ้มตอบกลับ
เสียงนี้มัน...คุ้นจัง ฉันพยายามที่จะมองหน้าเขาชัดๆอีกที แต่กลับกลายเป็นว่าฉันจ้องเขามากเกินไป ชายแปลกหน้าที่ฉันชนถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเดินหนีไป มารู้ตัวอีกทีก็หายไปเสียแล้ว ผู้คนต่างพากันกรีดร้องเสียงดัง กลุ่มแฟนคลับเริ่มแผ่ขยายวงกว้างขึ้น จนในที่สุดก็ไม่มีที่ไหนสามารถสอดตัวเข้าไปดูหน้าคยองโนได้เลย ฉันเลยได้แต่ทำใจอย่างเดียว
แพงกี้เองก็ดูจะสนุกสนานกับการปีนป่ายหามุมเหมาะๆส่องศิลปิน แต่ก็โดนสกัดโดยแฟนคลับชาวจีนกลุ่มหนึ่ง ฉันสามารถฟังสิ่งที่พวกเธอพูดได้นิดหน่อย
"เมื่อกี้เหมือนฉันเห็นจุนจินวงไอซ์แลนด์เลยนะ" สาวจีนหน้าขาวสีน้ำนมอมชมพูหันไปพูดกับเพื่อน
"เฮ้ย ทำไมไม่เรียกฉันบ้าง" เพื่อนข้างๆพูดเสียงดัง
"ก็อยากเจอคยองโนกับจงกูมากกว่านิ"
อ่า...อย่าบอกนะว่าคนเมื่อกี้ ไม่น่าจะใช่นะ แค่เสียงคุ้นเฉยๆมั่ง อ่า ฉันน่าจะบอกให้เขาลองแร๊ปดูนะ ก็แร๊ปเขามันช่างแตกต่างกับแร๊ปทั่วไปนินา ////
สุดท้ายพวกเราก็ต้องถอดใจจากการส่องสองหนุ่มแห่งวงแพลนเนท แล้วมาหาร้านไก่วุ้นเส้นเมียงดงกินกันเพื่อเอาแรงดีกวา และนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันลงทุนแล้วถ่อสังขารมาถึงเกาหลี ก็เพื่อจะกินไก่วุ้นเส้นรสชาติโดนใจใช่เลย ถูกใจคนไทยอย่างเรา ฉันขอแนะนำเมนูนี้
ภายในร้านจะเป็นสีโทนทึมๆคลาสสิคหน่อยๆ วัสดุที่เลือกใช่เป็นพวกไม้เป็นส่วนใหญ่ ให้บรรยากาศที่ร่มรื่นและเย็นตา
ไม่นานนักพนักงานก็นำอาหารมาเสิร์ฟ ครั้งแรกที่ฉันเห็นถึงกับตกใจกับกึ่งจานกึ่งชามที่ใหญ่แสนใหญ่กว่าชามข้าวที่ไทย แล้วในนั้นก็อุดมไปด้วยไก่ วุ่นเส้น หอม พริก และมัน วุ้นเส้นก็ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เป็นเส้นแบนใหญ่หนากว่าปกตินิดหน่อย เวลาเคี้ยวแล้วจะกรุบกริบ มาถึงไก่ที่เป็นเมนูหลักของชามนี้ ที่มีทั้งไก่ชิ้นเนื้อ ปีก น่อง ปนๆกันมา แถมยังร่วนเคี้ยวง่ายไม่เหนียว กินแถวแถบจะละลายในปาก น้ำซอสของเขารสซึมเข้าไปในเนื้อไก่แล้วก็วุ้นเส้นทำให้กลมกล่อมลงตัว รสชาติของน้ำซอสนั้นคล้ายคลึงผัดกระเพราบ้านเรา แต่ผัดกระเพราย่อมอร่อยกว่าแน่นอน ดูแล้วต้องกินไม่หมดแน่ แต่เราก็ยังสั่งข้าวคนละถ้วยมาเพิ่ม
"ว้าว...สุดยอดของอาหารมื้อแรกเลย!! ไก่ *O* ฉันชอบมันมาก" แพงกี้ทำสายตาแวววาว ก่อนจะคว้าตะเกียบแสนทุลักทุเลคีบไก่มากินอย่างอร่อย
เมื่อทานเสร็จแล้ว เราก็จะตรงดิ่งไปร้านที่แฟนคลับหลายคนต้องอิจฉา! SMILE STORE ตั้งอยู่ใต้ดินของห้าง LOTTE กรี้ดว้ายยย คนที่ไม่รู้จักขอบอกก่อนเลยว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะในร้านเต็มไปด้วยของออฟฟิศเชียล ที่ SMILE แสนงกได้จัดทำขึ้นมา จะมีของวงต่างๆในค่ายอย่าง... PLANET วงน้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตอนนี้ ดังจนฉุดกันไม่อยู่เลยทีเดียว! สุดยอดมาก โซนของหนุ่มๆจะมีเยอะกว่าโซนอื่นๆสักนิดหน่อยเพราะจะได้โปรโมทไปในตัวด้วย ฉันคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ แค่นี้ก็จะทำให้กระเป๋าของทุกคนแห้งเหือดกันหมดแล้วสินะ ก็เล่นทำของมันออกมาหมดจนอยากซื้อ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การเรียน เช่นแฟ้ม สมุด ดินสอ ยางลบ หรือจะเป็นโปสการ์ด ถุงบลาๆอีกร้อยแปด ราคาก็จะแพงตามสินค้าที่มีมากด้วยเช่นกัน T^T;;;ปาดเหงื่อ
จอกแจก จอกแจก...
"กรี้ดดดด >< อิอ้วน" แพงกี้รีบวิ่งแถบจะสะดุดอยู่แล้วไปทางโปสเตอร์เต็มตัวของชาบยอน นักร้องแร็ปแห่งแพลทเนท
เมื่อพวกเราช็อปของเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาตะลุยตึกศิลปินกันแล้ว เวลาแบบนี้ก็ต้องนั่งแท๊กซี่ เพราะว่าเวลาเลิกงานรถเมล์จะแน่นมาก
"เราจะไปที่ไหนกันอ่ะ" แพงกี้ถาม
"เราจะไปชองดัมดงกัน" ฉันตอบ
"ไปหาโฮกี้เหรอ" เธอดูกระตือรือร้นมาก
"อื้อ"
และแล้วรถก็มาจอดอยู่ที่หน้าซอยแห่งหนึ่งในชองดัมดง แถวพรีมา โฮเทล เมื่อเท้าสัมผัสพื้นดินปุ้บ...ก็เหมือนหลุดออกมาอยู่อีกโลกหนึ่ง
พระเจ้า! คนหล่อระรานตาเต็มไปหมด ทางซ้ายทางขวาก็ไม่เว้น กรี้ดดด น้ำเย็นจะเป็นลม ในกลุ่มคนหน้าตาดี อาจะเป็นเด็กฝึกก็ได้ เพราะว่าซอยนี้เป็นแหล่งรวมค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่าง MRJ SMILE CULB HouseFish มันคือสวรรค์ของคนบนดินอย่างเราๆ ที่จะได้เห็นแต่คนน่าตาดี และ...กลุ่มแฟนคลับ-[]-
"ไป SMILE กัน วันนี้วงแพลนเนทมีงานต้องเข้า*บ.แน่ๆ" ฉันพูด
"โอเคงั้นค่อยไป HouseFish กันต่อจาก SMILE" กิ๊กพูด
"โห นี่ฉันอยู่ใกล้กับโฮกี้ขึ้นแล้วเหรอเนี่ย T^T อยากร้องไห้" แพงกี้พูด
ตึก SMILE จะตรงข้ามกับสนามเด็กเล่น มีเครื่องออกกำลังกาย ม้าโยกและกระดานเลื่อน ให้เล่นกันเพลินๆ ตกเย็นพวกคุณตาคุณยายจะมาเดินเล่น ออกกำลังกายกัน
พวกเราสามคนเดินเล่นเครื่องเล่นอันนู่นอันนี้ไปเรื่อย เพื่อรอแพลนเนท แล้วอยู่ๆตอนนั้นเอง รถตู้คันใหญ่สีดำ ขับผ่านไปอย่างช้าๆและจอดชะลออยู่ในซอยมืด... ฉันที่เล่นอยู่ไม่รู้ตัวเลยว่ารถคันนั้นคือรถของแพลนเนท หากแต่ยังคงเล่นต่อไปเลย แต่สายตาก็ยังจดจ้องกับรถตู้ปริศนา ที่จอดเหมือนรออะไรบางอย่างอยู่ในซอยมืด
"ฉันว่าเราไปกันเถอะ..." ฉันบอกเพื่อนๆ
"ไปไหนอะ ไม่รอคยองโนเหรอ" แพงกี้ถาม
"ไม่รู้อ่ะ ดูรถตู้คันนั้นดิ รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้" ฉันพูด
"น่ากลัวว่ะ ไปกันเถอะ"
แล้วเราก็ย้ายกันไปรออยู่หน้า HouseFish แหล่งรวมหนุ่มร็อคที่เด่นดังทางด้านดนตรี -////- นั่นก็คือ...ไอซ์แลนด์นั่นเอง โอ๊ยเขิน ไม่รู้ทำไมวันนี้ใจมันเต้นแปลกๆ
การยืนรอของเรา...มันช่างอ้างว่างแล้วก็ว่างเปล่า เส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไงไมรู้เลย การรออย่างไร้จุดมุ่งหมาย ได้แต่ภาวนาอย่างเดียว นี่คือการรอของแฟนคลับอย่างเรา ความหวังที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของศิลปิน
รอ...
"วันนี้...รู้สึกว่าไม่น่าจะมานะ" กิ๊กพูด
"ดึกแล้วด้วย คนคงไปกันหมดแล้วล่ะ ดูตึกดิมืดซะ"
กรี้ดดดด
"หือ...นี่ๆพวกแกได้ยินอะไรป่ะ เสียง..."
กรี้ดดดด อุปป้า
=0=;; เสียงอะไรว่ะ น่ากลัวมาก เหมือนโดนน้ำร้อน
"เอฟทีมาแล้ว!!"
ชัดเจน ตาสว่าง
พวกเราสามคนยืนนิ่งแข็งทื่อเป็นสากกะเบือ...เหงื่อตก...ตาค้างกระพริบๆ อยู่ห่างๆตรงร้านสะดวกซื้อที่เยื่องจากตึก แต่ก็สามารถมองเห็นได้ชัดอยู่ แฟนคลับที่รอพวกเขาอยู่วิ่งกรูกันเข้าไปเพื่อให้ของบ้าง ขอลายเซ็นบ้าง สับสนวุ่นวายไปหมด
ฉันพยายามจ้องหาจุนจินด้วยใจที่เต้นระรัว รถดูคันดำขับมาจอดหน้าตึกอย่างช้าๆเนิบๆ...ราวกับลมหายใจจะหยุดวินาทีนั้น ประตูบานดำฟิล์มหนาค่อยๆเปิดตัว คนแรกที่ก้าวออกมา...
เฮือก!
แพงกี้สะดุ้งเล็กน้อย...เธอเอามือปิดปากอัตโนมัติ ดวงตาเริ่มแดงก่ำเหมือนกำลังกลั่นน้ำตาที่มันกำลังจะไหลออกมา ดวงตาที่โตอยู่แล้วของเธอเบิกขึ้นกว้างขึ้นอีก เพื่อที่จะมองแลจดจำโฮกี้ให้ใกล้ที่สุด
"ฉัน...เจอแล้ว ฮะ โฮกี้ ฮึก...เจอแล้ว" แพงกี้พูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความดีใจ
ฉันแทบจะร้องไห้ตาม เธอพยายามขายของแล้วเอาเงินที่เก็บมาทั้งหมด เพื่อเขา...แม้เราจะเห็นเพียงแค่ด้านหลังที่เขามัดผมไว้ก็ตาม
"ดีใจด้วยนะ..." ฉันกับกิ๊กเราเดินมากอดแพงกี้ที่ยืนร้องไห้อยู่ เธอพูดไม่เป็นภาษารู้แต่เพียงว่าดีใจมาก แม้จะเจอแค่ผมด้านหลัง
เวลาผ่านไปนานสมควร...ความเงียบก็ปกคลุมอีกครั้ง อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ แฟนคลับทั้งหมดแห่กันไปรอด้านหลังตึกกันหมด ฉันหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อมองดูเวลา เที่ยงคืน...
บรื้น บรึ้น!!
อยู่ๆแสงไฟสว่างวาบพร้อมเสียงเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นจากในมุมมืดด้านขวามือ เราสามคนบ่นปนด่าในใจกับนิสัยของคนขับ หรือเพราะว่าเห็นถนนมันว่างมาเลยจะทำอะไรตามใจชอบก็ได้
แต่แล้ว...รถคันนั้นก็จอดเอี๊ยดอยู่หน้าตึก HouseFish เป็นการจอดรถที่เฟี้ยวมาก แรงเบรกแบบไม่มีคิดมาก รถดับลงพร้อมล้อรถที่ยังเบี้ยวอยู่...คนบ้าอะไรว่ะเนี่ย
เราสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตึก ชะเง้อมองออกไปเพื่อที่จะดูว่าเป็นใคร
"จะ จะ จะ" แพงกี้พูดติดอ่างทันที..."จุนจิน"
ห๊า!! จุนจินเนี่ยนะ ไอ้ซิ่งแว้นมรณะเนี่ย
จุนจินตัวเป็นๆตัวจริงเสียงจริง เขาเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยปนอมยิ้มเล็กๆแสนน่ารัก ใบหน้าขาวๆของเขาตอนไม่แต่งหน้า ดูยังไงก็ดูดี
"สวัสดีค่ะ!" ยังไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่จุนจินจะเดินเข้าตึกไป กิ๊กก็รีบพูดทักขึ้นมาเป็น...ภาษาไทย!
แต่ดูเหมือนจุนจินจะยังไม่ได้ยิน
ไม่นะ...อย่าเพิ่งไป
"สวัสดีค่ะ!!!!!" ฉันกับแพงกี้ดันตะโกนสวัสดีขึ้นพร้อมกัน ทำให้เสียงดังคูณสอง จุนจินแทบจะสะดุด เขาชะงักทันที ก่อนจะหันมาหาพวกเราพร้อมทำสีหน้าแปลกใจทำนองว่า 'อ้าวแฟนคลับกูเหรอเนี่ย พลังเสียงโคตร'
"ซาหวัดดีคราบ" จุนจินพูดกลับก่อนจะโบกมือให้เล็กน้อย แล้วเดินเข้าตึกไป
กรี้ดดดดด ไม่นะ T^T จุนจิน ทำไมน่ารักอย่างนี้!
แล้วจุนจินก็เดินเข้าตึกไป ช่วงเวลาที่เขาอยู่บนตึกชั้นสอง เขามักจะชะเง้อหน้ามามองตลอดเวลา กังวลว่าหนึ่งในสามคนนี้ใครจะขูดขีดรถของเขารึเปล่า ดูรักรถคันขาวนี้มากมายเหลือเกิน
"เห็นใครนอกจากจุนจินบ้างป่ะ" แพงกี้ถาม
"ไม่นะ โฮกี้แกหายไปเลยว่ะ" ฉันตอบ
"โอ๊ะ จุนจินมาแล้วๆๆๆ"
จุนจินเดินออกมาจากตึก พร้อมมือถือในมือ ดูเหมือนการพิมพ์ตอบแชทนะ เอ๊ะหรือเขาแชทกับใคร ไม่สิเวลาแบบนี้ฉันวิ่งไปขอลายเซ็นดีไหมนะ หรือเราจะขอ...
"ขอโทษนะคะ ขอจับมือหน่อยได้ไหมคะ" เสียงใสๆพูดขึ้น
ในขณะที่ฉันกำลังคิดมากอยู่นั้น ก็มีเสียงใสๆลอยออกมาจากมุมๆหนึ่งข้างเสา สาวชาวญี่ปุ่นหน้าคมเรียวสวย เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วต้องละลาย เธอยื่นมือให้จุนจิน
ไม่นะ...อย่าจับนะ
"ได้ครับ" จุนจินยิ้มแก้มปริก่อนจะยื่นมือไปจับตอบ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆแต่ฉันก็ได้ใจสลายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำไมฉันไม่ได้จับว่ะเนี่ย ฉันมัวทำอะไรอยู่ อ๊ากกกก T^T โดนสาวญี่ปุ่นตัดหน้าไปเสียแล้ว ชีวิตมัน...โคตรเฮงเลยจริงๆ ฉันยืนรอตั้งนาน หน้าฉันเขายังไม่มองด้วยซ้ำ...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ความคิดเห็น