ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มงกุฎกษัตริย์กรุงศรี

    ลำดับตอนที่ #1 : กรุงแตก

    • อัปเดตล่าสุด 20 เม.ย. 48


        กรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310

        หลังจากเข้าโจมตีอาณาจักรสยามมาเกือบ2ปี ในที่สุดกองทัพพม่าภายใต้การนำของเนเมียวสีหบดีก็ใกล้จะประสบผลสำเร็จในการพิชิตกรุงศรีอยุธยาได้ และเมื่อมังมหานรธา แม่ทัพพม่าทางใต้สิ้นชีพลง อำนาจการควบคุมกองทัพก็ตกอยู่ในกำมือของเนเมียวสีหบดีแต่เพียงผู้เดียว ใกล้เวลาแล้วที่เนเมียวสีหบดีจะตีกรุงศรีฯได้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าชินบูชินแห่งพุกามประเทศ(พระเจ้ามังระ) ขณะนั้นทั้งพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์แห่งกรุงศรีฯกับเหล่าอาณาประชาราษฎร์และทหารในกรุงศรีฯเริ่มจะท้อถอยหมดกำลังใจ



        ชายหนุ่มวัย20ตอนปลายผู้หนึ่งก้าวไปภายในพระราชวังหลวง ไปยังที่ประทับส่วนพระองค์ของพระเจ้าเอกทัศน์

        เมื่อไปถึงยังที่ประทับ ก็ได้เห็นพระเจ้าเอกทัศน์กำลังประทับอยู่ที่พระแท่นบรรทม พระพักตร์หมองหม่น เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นชายผู้นั้น ก็ตรัสขึ้นเบาๆ

        “มีอะไรรึขุนภักดี”

        ขุนภักดีคุกเข่าลง ก่อนจะพูดขึ้นว่า

        “ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ขณะนี้ ไอ้พวกพม่ากำลังพยายามตั้งค่ายใกล้กำแพงเมืองเรา ตอนนี้ทัพของพวกมันมาจ่อที่คอของพวกเราแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า อีกไม่ช้า คงถึงกาลอวสานของกรุงศรีอยุธยาเป็นแน่แท้ ขณะนี้ทหารบางคนและชาวบ้านอีกเป็นจำนวนมากเริ่มหาทางอพยพหนีแล้ว ข้าพระพุทธเจ้า จึงขอกราบบังคมทูลแนะนำ ให้พระองค์รีบหาทางเสด็จหนีออกจากกรุงศรีฯ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีพระพุทธเจ้าข้า”

        “ตอนนี้เราไม่อยากหนีแล้ว ที่กรุงศรีฯต้องมีอันล่มสลายเช่นนี้ ก็เป็นเพราะผลมาจากผลกรรมที่เราก่อขึ้นเอง เราชิงแผ่นดินจากน้องอุทุมพร ถึงแม้จะพูดได้ว่าเป็นพี่ควรจะได้ครองราชย์ก่อนน้อง แต่เห็นได้ชัดว่าศึกอลองพญาเมื่อ7ปีก่อนน้องอุทุมพรมีความสามารถ และมีความเป็นผู้นำเหนือกว่าเราหลายเท่านัก กระนั้นเมื่อเสร็จศึกอลองพญา เราก็ยังไม่สำนึก บีบให้น้องอุทุมพรกลับไปบวช อีกทั้งตลอด2ปีมานี้ที่มีศึกมาเราก็มิได้ใส่ใจ ดีแต่สำราญอยู่กับพวกเจ้าจอม พอทหารจะยิงปืนใหญ่รบพม่าเราก็ดันสั่งห้ามมิให้ยิงปืนใหญ่ เพราะเราเห็นเจ้าจอมเหล่านั้นขวัญอ่อนกลัวเสียงปืน เป็นเหตุให้พระยาตากพาคนของเราหนีออกจากเมืองไป ท่านก็น่าจะรู้นี่ ตลอด9ปีที่เราครองราชย์มานี่เราเคยทำอะไรดีๆให้พวกท่านบ้างล่ะ สุดท้ายเมื่อกรุงแตก อันเป็นผลมาจากการกระทำของเรา ถ้าเรายังคิดหนีเอาชีวิตรอดอีก เราคงเป็นกษัตริย์ที่ขาดความรับผิดชอบอย่างยิ่ง พระยาตากหนีไปก็ดีแล้ว ตัวท่านเองก็เคารพพระยาตากไม่ใช่หรือ ทำไมไม่หนีไปกับเขาล่ะ”

        “ข้าพระพุทธเจ้ารับใช้ราชบัลลังก์กรุงศรีฯ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน ข้าพระพุทธเจ้าจะปกป้องราชบัลลังก์จนถึงที่สุด ใครที่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อราชบัลลังก์ จะต้องข้ามศพข้าพระพุทธเจ้าไปก่อนพระพุทธเจ้าข้า”

        “เราขอขอบใจในความภักดีของท่าน สมชื่อที่ท่านเป็นขุนภักดี แต่อย่างไรก็ตามเราไม่คิดจะหนีไปไหนแล้วล่ะ เราจะรออยู่ที่นี่ เมื่อพวกมันมาพวกมันจะฆ่าจะแกงเราอย่างไรก็ปล่อยไปตามกรรมของเรา”

        “พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นข้ารับใช้ของพระองค์ มิหน้าที่ถวายอกรับคมดาบข้าศึกแทนพระองค์ หากพระองค์ยังประทับอยู่ในกรุง จะทำให้ข้าพระพุทธเจ้าห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะฉะนั้น เพื่อเห็นแก่ข้าพระพุทธเจ้า พระองค์ควรรีบเสด็จหนีออกจากกรุงศรีฯโดยเร็วเถิดพระพุทธเจ้าข้า เพื่อที่ข้าพระพุทธเจ้าจะได้ต่อสู้กับข้าศึกได้อย่างเต็มที่”

        พระเจ้าเอกทัศน์นิ่งเงียบ ทรงดำริอะไรสักอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสว่า

        “ถ้าหากการที่เราหนีออกจากเมือง จะทำให้ท่านมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นล่ะก็ เราจะทำตามที่ท่านแนะนำ”

        “ถ้าเช่นนั้น พระองค์ควรจะเสด็จไปในคืนนี้เลยพระพุทธเจ้าข้า เสด็จไปพระองค์เดียว เงียบๆ ก่อนอื่นควรเปลี่ยนฉลองพระองค์ให้เป็นแบบชาวบ้านธรรมดาเสียก่อนพระพุทธเจ้าข้า” พูดเสร็จขุนภักดีก็ถวายชุดพลเรือนให้พระเจ้าเอกทัศน์ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงรับ แล้วให้ขุนภักดีออกไปคอยพระองค์ที่นอกวัง



        เมื่อพระเจ้าเอกทัศน์ทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เสร็จ ก็เสร็จออกจากพระราชฐานไปหาขุนภักดี และได้มอบมงกุฎประจำราชวงศ์บ้านพลูหลวงให้กับขุนภักดี

        “มงกุฎของเรา เราอยากให้ท่านช่วยรักษาไว้ อย่าให้ไอ้พวกพม่าข้าศึก มาชิงเอาไปได้” ขุนภักดีรับมาแล้วกล่าวว่า

        “ข้าพระพุทธเจ้าจะรักษาไว้อย่างดี จะไม่มีผู้ใดมาแตะต้องได้”

        “ขอบใจท่านมากนะ” ขุนภักดีเงียบไป ก่อนจะกล่าวอวยพรว่า

        “ขอคุณพระศรีรัตนตรัย พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง โปรดช่วยให้พระองค์เสร็จโดยปลอดภัยเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

        “เราก็ขอให้ท่านปลอดภัยเช่นกัน หากมีชีวิตรอดจากที่นี่ได้ ขอให้ท่านหานายใหม่ ที่เป็นคนดีมีคุณธรรมและมีความสามารถ มิใช้คนชั่ว ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจและโทสะจริตเช่นเรา เราจะเดินทางออกไปชดใช้กรรมของเรา ขอให้ท่านโชคดี” แล้วพระเจ้าเอกทัศน์ก็เสด็จจากไป



        ครั้นถึงเดือน5 ก่อนเข้าช่วงสงกรานต์ เนเมียวสีหบดีก็สามารถนำกองทัพพม่าบุกยึดกรุงศรีอยุธยาได้ คนเกือบทั้งกรุงถูกสังหาร ถูกจับเป็นเชลยกว่า30,000คน บ้านเมืองถูกเผาวอดวาย สิ้นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อาณาจักรหนึ่งของโลกหลังจากที่รุ่งเรืองมาถึง417ปี



        ขุนภักดีพยายามวิ่งหนีออกนอกเมือง มือขวากำดาบแน่น ในมือซ้ายถือมงกุฎของพระเจ้าเอกทัศน์ไว้ แต่ไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็เจอกับกองทัพพม่ากว่าสิบคนมายืนล้อมไว้ นายทหารคนนึงพูดกับขุนภักดีเป็นภาษาไทย

        “ส่งมงกุฎทองอันนั้นมาซะ แล้ววางดาบซะดีๆ พวกข้าไม่อยากจะฆ่าคนไทยที่ยอมจำนนโดยดีหรอก”

        “ข้าเป็นข้ารับใช้ของราชบัลลังก์แห่งกรุงศรีฯ ข้ายอมตายดีกว่าตกเป็นเชลยของพวกเจ้า” แล้วก็มองมงกุฎในมือ

        “มงกุฎอันนี้ พ่ออยู่หัวของข้าฝากให้ข้าดูแลรักษาไว้ ข้าไม่มีวันมอบให้พวกเจ้าอย่างเด็ดขาด” พูดจบ ขุนภักดีก็โยนมงกุฎอันนั้นลงไปในแม่น้ำแถวนั้นทันที พวกทหารพม่ามองตามไปด้วยความเสียดาย ฝ่ายขุนภักดีใช้2มือกำดาบแน่นแล้วพูดว่า

        “เข้ามาเลย”

        นายทหารพม่าออกคำสั่งให้ลูกน้องเข้าต่อสู้กับขุนภักดี พวกพม่ากรูกันเข้าไปต่อสู้กับขุนภักดี ฝ่ายขุนภักดีสู้ยิบตา สามารถสังหารพม่าได้3นาย แต่ก็ถูกพม่าที่เหลือรุมฟันจนขาดใจตาย



        ทางพม่าออกตามล่าค้นหาตัวพระเจ้าเอกทัศน์ ในที่สุดก็พบพระเจ้าเอกทัศน์สวรรคตอยู่กลางป่าเนื่องจากขาดน้ำและพระกระยาหาร เป็นอันสิ้นสุดกษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยาแล้วอย่างสิ้นเชิง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×