คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3:เสียง
3:เสียง
หัวใจมันดังบอกฉันว่าเธอคือคนนั้น
“หากความรักเกินในความฝ๊าน เราสมรสโดยไม่รู้จักก๊าน @#$%^&*”
“เชี่ยน็อตโว้ย รำคาญเงียบไปได้แล้ว” เช้าอันแสนสดใดของวันจันทร์นี้ถูกทำลายลงเพราะเสียงไอน็อต ด้วยความที่ทนไม่ไหวเลยได้แต่ด่ามัน เทสต์มันก็แค่ทำท่าโล่งใจที่น็อตมันเงียบได้สักที
ปกติที่จะไปพร้อมกับเทสต์สองคนตอนนี้กลายเป็นว่าไปกันสามคนพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยครับ หลังจากวันนั้นน็อตมันก็จะมารอที่หน้าบ้านผมตลอด พอผมออกมาเราก็จะเดินไปรอเทสต์กันอีกที
เวลาขึ้นรถเมล์ส่วนใหญ่จะนั่งเบาะยาวข้างหลัง แต่ถ้าวันไหนเบาะหลังสุดไม่ว่าง ก็ต้องโอน้อยออกกันว่าใครจะได้นั่งคนเดียว สร้างสรรค์ดีแท้ บางอารมณ์อยากนั่งคนเดียวกันก็แยกย้ายไปกันคนละแถวเลยครับ หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี่ชีวิตพวกผมดูหรรษามาก
และจากที่ทุกวันที่เทสต์มันจะทิ้งให้ผมเดินเข้าโรงเรียนคนเดียว ตอนนี้ก็มีน็อตอยู่เป็นเพื่อน บางทีตอนเย็นๆที่ชอบอยู่จนโรงเรียนร้างผู้คนก็ยังมีตัวปัญหานี่อยู่ใกล้ แต่ก็บ่อยครั้งที่มันจะไปเล่นบอลกับเพื่อนแต่มันจะกำชับผมตลอดว่าจะกลับก็ให้โทรบอกจะได้กลับพร้อมกัน วันนั้นที่ผมกลับมาก่อน วันที่นิวมานั่นแหละ น็อตมันโทรมาโวยใหญ่เลยว่าทำไมกลับแล้วไม่บอก
“กูไปก่อนนะ ไว้เจอกัน” วันนี้ก็เหมือนทุกวัน พอมาถึงเทสต์มันปลีกวิเวกออกไปไหนอีกแล้วไม่รู้
“มันไปไหนของมันทุกวันวะ” ผมส่ายหัวแทนคำตอบ
“ไม่รู้ดิ” อันที่จริงประโยคที่น็อตถามก็เป็นคำถามที่ผมอยากรู้มาตลอดเหมือนกันล่ะนะ
“เชี่ยน็อต!” ยังไม่ได้คุยอะไรกันมาก ก็มีเสียงตะโกนจากข้างสนามเรียกให้ผมสองคนหยุดก่อน
“แหะๆโทษทีว่ะมึง คงไม่ได้ไปส่งบนห้องอะ เดินดีๆนะเว่ย” น็อตวิ่งเหยาะๆไปหาเพื่อนมัน เห็นว่าที่มือเพื่อนมันมีบอลอยู่ลูกนึง
… เดินคนเดียวอีกแล้ว
ลมบางเบาพัดผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ของรถประจำทาง บรรยากาศดูมืดๆ ทั้งที่เพิ่งจะสี่โมงครึ่งคงเป็นเพราะกำลังจะเข้าฤดูฝน บรรยากาศชวนหลับขนาดนี้แต่บนท้องถนนก็ยังคงเต็มไปด้วยรถเล็กใหญ่ที่เป็นสาเหตุของการจราจรอันแสนยากลำบาก ตามจริงบรรยากาศแบบนี้หลายคนคงชอบและอยากที่จะสูดอากาศภายนอกให้เต็มปอด
ผมก็คนนึงนะ แต่กลิ่นควันกับฝุ่นที่ลอยผ่านมากระทบกับสายตาทำให้ผมไม่กล้าที่จะหายใจเต็มปอดกับอากาศแบบนี้ซักท่าไหร่ ผิดกับคนข้างๆ… ที่มันแทบจะมุดหัวออกไปนอกหน้าต่างอยู่แล้ว ไม่เหม็นควันรถบ้างรึไง
“โอ๊ย ไอ้เตอร์ ปล่อย” น็อตบ่นแบบลากเสียงยาวแบบไม่จริงจังอะไร เมื่อมือผมดันไวเท่ากับความคิด ไปคว้าหัวมันเข้ามา จะว่าไปนอกจากจะเหม็นควันแล้วยังเสี่ยงโรคมะเร็งอีกนะนั่น
“ไม่เหม็นหรอ ควันพิษทั้งนั้น”
“ไม่นะ อะ ลุกดิ๊” ว่าเปล่าไม่พอ มันลุกขึ้นยืน แล้วดันให้ผมไปนั่งด้านในตรงริมกระจก ซึ่งผมก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร อยากรู้เหมือกันว่าบรรยากาศดีๆผสมกับกลิ่นควันมันจะให้ความรู้สึกดีจริงน่ะหรอ
พอได้ลองดูเข้าจริงๆก็พบว่าผมคิดผิด คิดผิดที่บ้าเชื่อคนอย่างมัน ผมจัดแจงย้ายกลับที่เดิมและนั่งกันปกติ เหลือบมองดูก็พบมันอยู่ในอิริยาบถที่เหมือนกับตอนแรก ดูมันจะชอบจริง นี่ผมมีเพื่อนเป็นคนชอบดมควันหรอ เฮ้อ แม่งโรคจิต
“แล้ววันนี้ไม่อยู่เล่นบอลกับเพื่อนหรอ” เป็นผมที่ถามมันขึ้นมา เพราะเห็นมันต้องเล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียนทุกวัน
“ก็มึงจะกลับบ้านไม่ใช่ไง”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับกูล่ะ” ผมถามไปอีกครั้งเมื่อคำตอบที่ได้ไม่ได้ช่วยให้กระจ่างเท่าไหร่
“ก็มึงจะกลับบ้านไง กูก็ต้องกลับดิ” แต่ก็ต้องถอนหายใจเหนื่อยๆแทน ไม่ได้เกี่ยวกันเลย
เมื่อเย็นมันบอกให้ผมรอมันเล่นเสร็จก่อน แต่ผมก็ไม่ได้ฟังเอาแต่ลากมันกลับลูกเดียว ก็แค่อยากรู้เฉยๆว่าทำไมมันต้องยอมเขาด้วย ทั้งที่จะปฏิเสธก็ทำได้
“ถึงแล้วปลุกกูด้วยนะ” ผมเอนหัวพิงกับเบาะพลางบอกกับคนข้างๆให้ปลุกเมื่อถึงป้ายที่ต้องลง
ผมหลับตาลงหมายจะนอน หากความคิดในหัวชอบเทเข้ามาตอนหลับตาทุกทีเลย
อืม ….วันนี้นิวยังไม่กลับหอ เพราะผมบอกมันว่าเปิดเรียนแล้วค่อยกลับ เลยเป็นสาเหตุให้ผมกลับบ้านเร็วและลากน็อตกลับมาด้วยในวันนี้ คิดๆดูถ้าไม่มีน็อตผมก็คงต้องกลับคนเดียวตามเคยสินะ เพราะเทสต์เห็นมันบอกว่ามีนัด แต่ประเด็น ประเด็นหลักอยู่ที่ว่านิวมันอยากเจอน็อตต่างหาก
“หลับแล้วหรอวะ” เด็กหนุ่มว่าพลางโบกมืออยู่ตรงหน้าร่างที่หลับอยู่ข้างๆ “เร็วจัง” เพราะเขาแค่เพียงมองรถข้างนอก อยู่ๆก็ได้ยินว่าให้ปลุกเมื่อถึง แต่พอหันมาอีกทีคนข้างๆก็หลับไปซะแล้ว
เมื่อลองดีดหน้าผากดูก็ไม่ตื่น ดูท่าทางจะหลับลึก เห็นดังนั้นก็หวังดีดันหัวของอีกฝ่ายให้เอนมาซบไหล่ตัวเอง หากปล่อยให้นอนแบบนั้นอาจจะล้มกลิ้งลงไปอีกข้าง และยิ่งน่าเป็นห่วงเมื่อ’อีกข้าง’ที่ว่านั้นคือทางเดินไปมาของรถประจำทางที่นั่งอยู่
แต่เหมือนความหวังดีกลับวกมาทำร้ายตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เพราะอัตราการเต้นของก้อนเนื้อที่อยู่ตรงอกซ้ายนั้นมันเหมือนกับคนที่ออกกำลังกายมาไม่มีผิด
ทั้งที่ไม่ได้อยากจะย้ำความรู้สึกตัวเอง ก็แค่เป็นห่วงสวัสดิภาพของมันก็เท่านั้น แต่แค่นี้ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยวะ
“น็อต ไอน็อต เหี้ย ตื่นได้แล้ว” ผมพยายามเรียกให้มันตื่น เขย่ามันก็แล้วอะไรก็แล้ว มันก็ไม่ตื่นสักที นี่ก็จะถึงป้ายต่อไปอยู่แล้ว หรือผมจะดีดหูมันดีนะ
“เฮ่ย เจ็บนะเตอร์” หากมือก็ไวอีกแล้ว แต่ก็ได้ผลเมื่อดูเหมือนว่ามันจะตื่นเต็มตา “ค่อยๆปลุกก็ได้ ยังไม่ถึงซะหน่อย” แต่คำพูดของมันก็บังคับให้มือผมตบกบาลมันไปอีกรอบ
“ดูดีๆ นี่มันเลยป้ายแล้วน็อต” ผมบอกมันอย่างใจเย็น เพราะไม่ได้เลยมาไกลนัก เพราะถ้าลงป้ายที่กำลังจะถึงนี่ก็นับว่าเลยมาแค่ป้ายเดียว แต่ถ้าน็อตมันยังไม่ตื่นอาจเลยไปเป็นสองป้ายก็ได้ ซึ่งผมก็คงทิ้งมันไว้บนรถนี่แหละ
“กี่ป้ายวะ เห็นมึงนอนแล้วก็พาลง่วงไปด้วยเลย” มันว่าพลางลุกเดินตามผมลงจากรถมา ปลุกได้ฉิวเฉียดเหมือนกันล่ะนะ
ผมไม่ได้ตอบอะไรมัน แล้วเดินเรียบทางมาเรื่อยๆ ถือว่าเดินกินบรรยากาศละกัน ถึงทิวทัศน์มันจะมีแค่รถก็เถอะ ที่จริงผมไม่ใช่คนหลับง่ายเลยนะ ต้องคิดนู่นนี่นานๆกว่าจะหลับ เพราะอากาศชวนหลับนี่แท้ๆ ที่ทำให้ต้องเสียแรงกาย แรงใจเดินไกลขนาดนี้ แม้อากาศจะไม่ได้ร้อนแต่ก็ทำให้เสียเหงื่อได้ไม่น้อยเหมือนกัน
และดูเหมือนคนข้างๆคงจะเริ่มสังเกตถึงเหงื่อเริ่มไหลลงมาบนหน้าผมแล้วจึงถามขึ้น
“เหนื่อยมากปะวะ โทษทีว่ะ มึงบอกให้ปลุกละด้วย แต่กูดันหลับ” น็อตพูดร่ายยาว ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันมีความผิดสักนิด มีแต่เจ้าตัวที่คิดเองเออเองทั้งนั้น
“อือ นิดหน่อยอะ” เพราะจริงๆก็เป็นคนเหงื่อออกง่ายอยู่แล้วล่ะครับ อากาศปกติ ร่างกายปกติเหงื่อยังไหลเยอะเลย นี่เดินตั้งไกล
เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆตามแบบฉบับไร้สาระของน็อตมัน คนอะไรพูดไม่รู้จักเหนื่อย จนมาถึงหน้าปากซอย เราแวะร้านสะดวกซื้อซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ ขวดใหญ่ๆสิบกว่าบาทนั่นแหละ คนหยิบมันบอกว่าขวดเล็กกินไม่พอ และมันก็ได้พิสูจน์คำพูดตัวเองโดยการที่กินน้ำที่เหลือมากกว่าครึ่งขวดหมดเหลือแค่ขวดเปล่า แล้วโยนทิ้งถังขยะหน้าบ้านเทสต์แบบชิลล์ๆ
และแน่นอนว่าเดินมาอีกแค่นิดเดียวก็ถึงหน้าบ้านผม เราหยุดเดิน น็อตหันมาทำท่าจะบ๊ายบายแต่ผมก็ขัดมันไว้ก่อน ชวนมันเข้ามาในบ้าน ซึ่งเจ้าตัวก็งงนิดหน่อย แต่ก็เดินตามเข้ามาอย่างว่าง่าย แล้วก็ดูของในบ้านไปเรื่อยๆ ดูเป็นคนตื่นเต้นกับทุกอย่างเลยจริงๆ
ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินเข้ามาในครัว น็อตมันก็ทำตามคือวางกระเป๋าแล้วเกินตามมา แล้วก็เจอมันครับ นิวนั่งกินมาม่าคัพอยู่ โดยมือที่ว่างก็จิ้มมือถือตอบไลน์ นิวเงยหน้ามามองผมอัตโนมัติ ก่อนจะมองเลยไปเจอน็อต มันเลยหยุดกินแล้วเดินนำออกมานั่งตรงโซฟาหน้าทีวี
“บ้านมึงนี่เงียบกันทั้งบ้านปะเนี่ย” เป็นน็อตที่หันกระซิบกับผม
“มันแดกมาม่าอยู่เต็มปากจะพูดได้ไงเล่า” ผมจึงตอบมันกลับไปด้วยเสียงธรรมดา นิวมันได้ยินเลยหันมาทำหน้างงๆใส่ “เดี๋ยวกูไปเอาของบนห้องแป๊บนะ”
ผมว่าเสร็จแล้วเดินเลี่ยงทั้งคู่ออกมาเลย ไม่ได้ขึ้นมาเอาของหรอกครับ ขึ้นมานอนรอ ทิ้งให้น็อตอยู่กับนิวมันนั่นแหละ ผมว่านิวมันคงมีเรื่องอยากคุยกับมันเยอะอยู่ เพราะตอนผมเหลือเทสต์แค่คนเดียวนิวมันก็คุยกับเทสต์แบบนี้แหละ กลายเป็นว่านิวก็สนิทกับเทสต์ไปเลย
ผมทิ้งตันอนลงบนเตียง หยิบโทรศัพท์มาเช็คเกมส์แล้วก็วางไว้บนโต๊ะข้างๆเตียง กลัวตัวเองจะทับโทรศัพท์พังน่ะ แต่แรงสั่นและเสียงโทรศัพท์ครูดกับโต๊ะเรียกให้ผมหยิบมันขึ้นมา พบว่าเป็นแจ้งเตือนไลน์ เทสต์นั่นล่ะครับ
มันบอกว่าให้เอาสมุดเลขไปด้วยพรุ่งนี้ ผมอ่านแล้ววางโทรศัพท์ลงที่เดิม ก่อนจะทำใจให้สบายแล้วค่อยๆหลับตาลง เริ่มง่วงอีกแล้ว
เสียงเปิดประตูเบาๆจากหน้าห้องไม่สามารถปลุกให้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงตื่นขึ้นได้ ส่งผลให้คนเข้ามาใหม่เห็นสภาพร่างของเจ้าของห้องที่นอนอยู่บนเตียงโดยยังใส่ชุดนักเรียนเต็มยศแถมยังไม่ได้ถอดถุงเท้าอีก
นิวถอนหายใจเบาๆกับสภาพของเตอร์ เพราะโตขนาดนี้แต่กลับทำตัวเหมือนเด็กไม่มีผิด ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งบนเตียงข้างๆกัน พลางลูบหัวน้องไม่แท้ที่ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิด แต่กลับเอ็นดูมันตั้งแต่แรกเห็น
ตอนเจอกันครั้งแรก เตอร์ในตอนนั้นเป็นเด็กที่ร่าเริง พูดมากและโคตรน่ารำคาญ จนผมบอกให้มันหยุดพูดหลายต่อหลายครั้ง แต่พอมันเป็นแบบนี้ ถ้ามันกลับมาน่ารำคาญเหมือนเดิมคงจะดีซะกว่า ผมมองหน้าคนที่หลับอยู่สักพักก็ลุกขึ้นมา เห็นท่าทีสบายแบบนั้นแล้วปลุกไม่ลง เลยกะว่าจะกลับห้องตัวเองแล้ว และคงจะเหมือนกับว่าผมไม่ได้เข้าห้องนี้มาถ้าความซุ่มซ่ามของผมไม่ออกฤทธิ์ขึ้นมา
เสียงโอดโอยดังขึ้นมาเพราะเดินเตะขาเก้าอี้ หันไปดูเตอร์ก็พบว่ามันลืมตาสลึมสลือขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวมันก็ถามร้อยแปดอีก เฮ้อ…
ผมนั่งเงยหน้ามองนิวที่นั่งอยู่บนเตียงอย่างอ้อนๆ แค่อยากรู้ว่ามันคุยอะไรกับน็อตบ้าง ซึ่งก็ได้ถามมันไปเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ตอนนี้มันก็ยังเงียบอยู่ไม่เปลี่ยน
นั่งมองของในห้องผมไปเรื่อยๆ ทั้งที่ก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ตัดสินใจพูดออกไปอีกรอบเผื่อมันจะยอมบอกให้ฟังบ้าง
“เล่าให้กูฟังบ้างไม่ได้หรอนิว” ใส่สีหน้าไปด้วยเผื่อว่ามันจะใจอ่อน ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล เมื่อนิวมันก้มลงมามองหน้าผมแล้วถอนหายใจเบาๆ
“เพื่อนมึงอะนะ … พูดมากโคตรๆ” ผมขมวดคิ้วขึ้นเป็นเชิงสงสัย นิวเหลือบมามองก่อนจะเบนสายตาไปมองพื้นเตียงอย่างเหม่อๆ ”แถมขี้เสือกอีกต่างหาก”
“อันนี้ก็รู้…”
“ตอนมึงขึ้นมาบนห้อง แม่งโคตรเลิ่กลั่ก กูก็เงียบมันก็เงียบ คิดว่าจะวิ่งตามมึงขึ้นมาบนห้องซะอีก เห็นมองแต่ทางบันได สุดท้ายแม่งหันมาถามกูร้อยแปดเลย กูก็งงแดกเลยทีนี้ กะว่าจะถามดันเป็นฝ่ายถูกถามซะนี่”
“ยังไงวะ เอ่อ… คือมึงจะถามมันเกี่ยวกับกูแต่มันดันถามมึงเกี่ยวกับกูหรอ” อย่างงนะครับ ผมพูดเองก็จะงงเองอยู่แล้วเนี่ย
“ประมาณนั้น มันถามกูเกี่ยวกับเรื่องของมึง มันเล่าให้กูฟังเวลามันอยู่กับมึง มันดูจริงจังต่างจากที่มึงเล่าให้กูฟังเยอะเลยนะ ดูใส่ใจมึงมากๆด้วย” ผมเริ่มยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่ใช่เพระสิ่งที่นิวกำลังบอก เพราะหลายๆอย่างจากการกะทำของน็อตผมก็รู้สึกได้ แต่เป็นเพราะน้ำเสียงและสีหน้าของนิวที่มันกำลังเล่าไปยิ้มไปนี่ต่างหาก
เรานั่งกันนิ่งอยู่ภายในห้องที่เงียบๆ ที่ไม่รู้สึกถึงความอึดอัด กลับกันหากมีความอบอุ่นเล็กๆ และสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เราจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนที่นิวจะพูดต่อ
“มันเป็นห่วงมึงมากนะ มันถามกูหลายครั้งมากว่าทำไมมึงถึงไม่ค่อยยิ้มเลย และกูจำได้ว่าเทสต์ก็ถามแบบนี้ แต่กูก็ไม่รู้จะตอบยังไง เห็นมั้ยว่ามีแต่คนอยากให้มึงยิ้ม” มาถึงตรงนี้อัตราการเต้นหัวใจก็ถี่ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้เพราะความดีใจ “กูก็อยากเห็นมึงยิ้มเหมือนเมื่อก่อน อยากได้ยินเสียงหัวเราะที่มีความสุขแบบเก่า” เวลามีคนเป็นห่วงแบบนี้ก็รู้สึกดีใจจนตื่นเต้น….
“…..”
“ทุกคนเขาก็ยังรอมึงคนเดิมอยู่นะ”
“อืม กูจะพยายาม”
โอ้ย สั้นเนอะ 555555 โทษค่ะ มาอัพอย่างมึนๆมาก - _ -
ปล้ำโล่.มีคำผิดบอกได้นะคะ .____.
ความคิดเห็น