ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( SF OS ; BTS ) ✩ Zillion HOPE ( all x j-hope )

    ลำดับตอนที่ #5 : (os) Time Machine | rapmonster x j-hope

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.11K
      18
      25 ม.ค. 58

    Time Machine

    Rapmonster x j-hope

    25.1.15

     

    *เปิดเพลงฟังไปด้วยจะได้อรรถรสมากขึ้นนะคะ บิบิ*




     

     

     

    ...ใน สามมิติ ที่มนุษย์อาศัยอยู่  มีเพียงสิ่งเดียวที่แม้แต่หลุมดำก็ดูดกลืนเข้าไปไม่ได้...

    ...นั่นคือ  เวลา ....

     

    - Time Machine -

     

    รองเท้าหนังขัดมันก้าวมาหยุดอยู่หน้าบ้านพักซอมซ่อหลังหนึ่งก่อนผู้เป็นเจ้าของมันจะทิ้งกระเป๋าเอกสารสีดำลงข้างกาย  มือเรียวภายใต้ถุงมือผ้าสีขาวสะอาดเอื้อมออกไปกดกริ่งใกล้พังที่โชว์อยู่ตรงหน้าช้าๆอย่างไม่เร่งรีบนัก

    เจ้าของช่วงไหล่กว้างอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงยืนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างสงบนิ่ง  แต่ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งนาทีก็ยังไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากอีกด้านหนึ่งของบานประตูไม้ผุพังตรงหน้าเลยสักนิด  ผู้มาเยือนจึงจำต้องเอื้อมมือออกไปกดอีกครั้ง

    แต่ดูเหมือนการกดกริ่งครั้งนี้เขาจะเผลอใส่แรงมากเกินไปเสียหน่อยเพราะทันทีที่จิ้มนิ้วลงไปเจ้าปุ่มกลมๆปริศนาสนิมเขรอะนั่นก็ร่วงตุบลงไปแทบเท้าเขาแทน  ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอาก่อนจะเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเคาะประตูเสียงดังแทน  ถึงจะเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านไปเสียหน่อยแต่ถ้ามันจะทำให้เจ้าขี้เซาหลังประตูนี่ขุดกายออกมาจากกองขยะของตัวเองได้ก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว

    “นัมจุน! คิมนัมจุน!”ตะโกนเรียกเจ้าของบ้านตรงหน้าพร้อมกับรัวมือทุบลงที่ประตูด้วยความหงุดหงิดใจเต็มแก่  เสียงโครมครามสองสามครั้งติดเป็นสัญญาณได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของบ้านนั้นตื่นแล้วแน่นอน

    ...ก็แน่ล่ะ  นี่มันบ่ายสองแล้ว...

    ผลัวะ!

    บานประตูถูกกระชากเปิดอย่างรวดเร็วก่อนร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งจะถลาออกมาภายนอกอย่างรวดเร็ว

    “ซอกจิน! เจอแล้ว! ฉันเจอคำตอบของสมการนั่นแล้ว!”เจ้าของชื่อคิมนัมจุนโผล่งออกมาทันทีที่เจอหน้าเพื่อนรักของตน  มือหนาทั้งสองข้างของเจ้าของบ้านก็ถือกระดาษยับๆจนเต็มไม้เต็มมือไปหมด  ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด  ขอบตาดำคล้ำเพราะการอดนอน  หรือแม่แต่หนวดเครารุงรังเพราะเจ้าตัวไม่ใส่ใจนั่นอีก

    คิม ซอกจิน กวาดตามองสภาพเพื่อนรักแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา  มือเรียวกระชับเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำสนิทของตนให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะก้มลงไปหยิบกระเป๋าของตนขึ้นมาถือไว้เตรียมตัวเดินเข้าบ้านของอีกคนเสียที  แต่ดูเหมือนคิมนัมจุนที่กำลังดีใจจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าไปง่ายๆ

    “ใกล้เข้าไปอีกก้าวแล้วซอกจิน! เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น!”น้ำเสียงดีอกดีใจและสภาพซอมบี้ที่กำลังมีชีวิตชีวาของเพื่อนทำให้คิมซอกจินไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกไปหรอก  เพียงแต่...

    “นายก็พูดอย่างนี้มาทุกปี...”

    “ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันซอกจิน...นายต้องมาดูเอง  เข้ามาสิ”เจ้าของบ้านในสภาพเสื้อเชิ้ตเน่าๆและกางเกงแสลครุ่งริ่งเอ่ยบอกพลางเปิดทางให้เพื่อนรักเดินเข้าไปภายในบ้านของตนด้วยรอยยิ้มกว้างแห่งความปิติยินดีเสียจนเห็นลักยิ้มที่บุ๋มเข้าไปข้างแก้มทั้งสองข้างอย่างชัดเจน

    คิมซอกจินกวาดสายตามองกองขยะรอบตัวแล้วก็ได้แต่เบ้หน้า  เขาใช้เท้าเขี่ยเอาก้อนกระดาที่ถูกขยำจนยู่ยี่มากมายที่ขวางทางเดินของเขาออกก่อนจะหาที่ว่างบนเตียงฝุ่นจับนั่นเพื่อนั่งพัก

    ดูจากสภาพที่เหมือนถูกปล่อยรกไว้เสียจนฝุ่นจับเกรอะขนาดนี้ซอกจินไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเลยสักนิดว่าเพื่อนรักของเขาได้นอนพักผ่อนบ้างหรือเปล่า

    คิมนัมจุนที่กำลังตื่นเต้นกับความสำเร็จของตนรีบเดินตรงไปยังกระดานดำแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง  ชายหนุ่มจัดการลากโต๊ะทำงานรกรุงรังออกจากพื้นที่สัญจร  เอาเท้าเขี่ยข้าวของให้พ้นทางอย่างลวกๆแล้วเคลื่อนกายเข้าไปตรงหน้ากระดานดำตรงหน้า

    แปลงลบกระดานไม่ได้ถูกเหลียวมองเลยสักนิด  คิมนัมจุนเลือกที่จะใช้มือของตนละเลงไปบนกระดานดำเพื่อลบรอยชอล์กสีขาวที่ถูกเขียนทิ้งไว้อย่างไร้ระเบียบนั่นออก

    เสียงขีดเขียนบนกระดานดำเรียกให้ซอกจินที่กำลังมองสำรวจรังหนูขนาดยักษ์ของเพื่อนรักที่แปลงร่างเป็นซอมบี้หนูยักษ์ไปแล้วเรียบร้อยให้หันกลับมามองที่เพื่อนร่างสูงของตน

    “ฉันน่าจะคิดออกตั้งนานแล้วซอกจิน! ดูนี่นะ!”เสียงทุ้มของพ่อสติเฟื่องเอ่ยออกมาอย่างร่าเริงก่อนจะลากเส้นตรงเส้นหนึ่งที่กลางกระดานดำ  ขีดแบ่งมันเป็นสามส่วนอย่างง่ายๆ

    “นี่คือเส้นเวลาตามที่เราเข้าใจกันมาตลอด...ส่วนจุดแรกนี่คืออดีต นี่ก็ปัจจุบัน ส่วนนี่ก็อนาคต...”ชอล์กสีขาวถูกเจ้าของมันจิ้มจึกๆเข้าที่กระดานดำจนแทบหักกลางเพื่ออธิบายให้เพื่อนรักได้เข้าใจ

    “เราเข้าใจมาตลอดว่าเวลาเป็นเส้นตรงมันถึงย้อนกลับไม่ได้...แต่นั่นมันผิด มันผิดซอกจิน! เวลาไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง  แต่มันเคลื่อนที่เป็นวงแบบนี้ มันไหลเป็นวงโดยไม่มีจุดสิ้นสุดต่างหาก!”ไม่พูดเปล่าคิมนัมจุนก็จัดการลากปลายด้านหนึ่งของเส้นต่อเข้ากับปลายอีกด้านหนึ่งจนมันกลายเป็นรูปวงรี

    “ถ้ามันไหลเป็นกระแสวนแบบนี้...ถึงเราจะย้อนกลับไปไม่ได้  แต่เราก็ย่อมันได้...แบบนี้”นิ้วยาวของชายหนุ่มจัดการลบสวนหนึ่งของเส้นรอบวงออกก่อนจะเชื่อมเส้นซิกแซกเข้าไปใหม่

    “เราสามารถกลับไปอยู่ตรงจุดนี้ได้โดยที่ไม่ต้องย้อนเวลา...เราแค่ย่นระยะเดินทางของมัน  ใช้หลักการแบบเดียวกับรูหนอน  พับมันเข้าหากัน...แค่นี้มันก็ไม่ขัดกับทฤษฏีบ้าๆพวกนั้นแล้วซอกจิน! ใกล้จะสำเร็จแล้ว...ฉันใกล้ได้เจอ เขา แล้ว...”ท้ายประโยคน้ำเสียงของคิมนัมจุนกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโหยหา  รอยยิ้มอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งบนใบหน้าหล่อเหลาของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนี้เรียกให้ร่องรอยแห่งความเศร้าปรากฏชัดขึ้นในแววตาของเพื่อนรักอย่างคิมซอกจิน

    “นัมจุน...”ซอกจินครางชื่อเพื่อนรักออกมาเบาๆพลางจ้องมองใบหน้าเปื้อนยิ้มบางเบาของอีกคนที่กำลังมองเหม่อไปยังกรอบรูปตั้งโต๊ะรูปหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา

    ภาพของชายหนุ่มวัยรุ่นสองคนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข...

    ชายหนุ่มคนหนึ่งไม่ว่ามองยังไงก็ดูออกได้ว่านั่นคือคิมนัมจุนเมื่อวันวานสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกำลังทอดมองคนข้างกายด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก  ส่วนอีกคนคือผู้ชายหน้าสวยเจ้าของรอยยิ้มสดใสและริมฝีปากรูปหัวใจเป็นเอกลักษณ์

    ...ชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจของคิมนัมจุน...

    “ยังไม่ลืม โฮซอก อีกเหรอนัมจุน”เสียงเอ่ยถามของเพื่อนรักเรียกให้คิมนัมจุนต้องละสายตาออกจากใบหน้าสวยๆของอดีตคนรักที่ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวอยู่ในกรอบรูปเก่าๆใบนั้น

    “ยังไม่ลืม...และจะไม่มีวันลืม”เสียงเอ่ยตอบและดวงตาแน่วแน่ที่ตอบกลับคำถามของเขาเรียกให้คิมซอกจินได้แต่ถอนหายใจหนักๆออกมาด้วยความระอาใจ

    “นี่มันเจ็ดปีแล้วนัมจุน...เจ็ดปีแล้วที่นายทำตัวเป็นไอ้บ้าเสียสติหมดตัวอยู่กับกองขยะโง่ๆแล้วก็ฝันลมๆแล้งๆของนาย!”ความอดทนของคิมซอกจินที่สั่งสมมาตลอดได้หมดลงแล้ว  พอกันทีกับการที่ต้องทนเห็นเพื่อนรักทำร้ายตัวเองทางอ้อมแบบนี้

    “มันไม่ใช่เรื่องเสียสตินะซอกจิน! นายก็เห็นว่ามันใกล้ความจริงแล้ว  อีกแค่นิดเดียว! นิดเดียวเท่านั้น! ฉันจะได้เจอโฮซอก...ฉันจะได้อยู่กับเขา!”คิมซอกจินผุดลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคไร้สติของเพื่อนรัก  ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วๆตรงไปหาเจ้าของบ้านก่อนจะเงื้อหมัดเข้าปะทะที่ใบหน้าหล่อเหล่านั่นอย่างแรงทันที

     

    “เลิกหนีความจริงสักทีเถอะคิมนัมจุน! ยอมรับได้แล้วว่านาย ไม่มีวัน จะได้อยู่กับโฮซอกอีกแล้ว! โฮซอกไปแล้ว...จองโฮซอกตายไปแล้ว นายเข้าใจมั๊ย!

     

    สิ้นเสียงระเบิดอารมณ์อย่างเหลืออดของเพื่อนรักความอดทนของคิมนัมจุนเองก็หมดลงแล้วเหมือนกัน  ชายหนุ่มร่างสูงถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อนก่อนจะจัดการสวนหมัดกลับไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของคิมซอกจินอย่างไม่คิดจะออมแรง  ซอกจินเองก็ไม่ปล่อยให้คิมนัมจุนได้ทำอะไรมากกว่านั้นจัดการสวนหมัดกลับไปเช่นกัน

    ใช้เวลานานกว่าสิบนาทีกว่าเพื่อนรักทั้งสองคนจะผละออกจากกันได้  คิมซอกจินทิ้งกายลงบนเตียงเก่าๆของคิมนัมจุนอีกครั้ง  มือก็ยกขึ้นกุมแก้มข้างหนึ่งที่บวมช้ำจากการวิวาทเมื่อครู่

    ฝ่ายนัมจุนเองก็สภาพร่อแร่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก  ชายหนุ่มทรุดกายนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตนก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอากรอบรูปเพียงอันเดียวที่ตั้งทิ้งเขาไว้ขึ้นมาจ้องมองอีกครั้ง

    “ฉันก็แค่...อยากขอโทษเขา...ถ้าตอนนั้นฉันเลือกเขา...โฮซอกอาจจะยังนั่งอยู่ตรงนี้  นั่งอยู่ข้างๆฉัน  ถามพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆว่าฉันเหนื่อยมั๊ย?  เอาโกโก้ร้อนสักแก้วดีมั๊ย?...”น้ำเสียงสั่นไหวจนซอกจินได้แต่เบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า

    รอยยิ้มเศร้าๆระบายบนริมฝีปากได้รูปของคิมนัมจุน  มือหนาลากไล้ไปที่ใบหน้าสวยของคนรักภายในรูปถ่ายแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม กดลากย้ำๆที่รอยยิ้มหวานๆของคนคนนั้น...

     

    ...รอยยิ้มนี้...

    ...รอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรัก...

    ...รอยยิ้มที่เป็นเหมือนพลังชีวิตของคนไม่ได้ความอย่างคิมนัมจุน...

    ...รอยยิ้มที่ตอนนี้มีเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น...

     

    “...ฉันจะบอกเขาว่าฉันเมื่อยมาก...โฮซอกก็จะยิ้มหวานให้ฉันแล้วอาสาจะนวดให้  ถ้าฉันล้มเหลวเขาจะเป็นคนบอกให้ฉันลองใหม่เสมอ...เขาจะยิ้มให้ฉันทุกครั้งที่ท้อแท้...เขาสัญญาว่าต่อให้ฉันไม่มีใครเขาก็จะคอยอยู่ข้างฉัน...ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครเลย....แม้แต่เขา...”หยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลหยดออกจากหน่วยตาเพียงแผ่วเบา

    “....ฉันรู้ซอกจิน...”น้ำเสียงเศร้าๆของเพื่อนรักเรียกให้ดวงตาทรงเสน่ห์ของคิมซอกจินร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย  ทั้งโศกเศร้า  สางสาร  หรือแม้แต่รู้สึกผิด

    “มันเป็นอุบัติเหตุนัมจุน...มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้...”คิมนัมจุนส่ายหัวกับประโยคปลอบใจของเพื่อนรัก

    “ช่วยได้สิ...”เสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบาราวกับคนที่ใกล้หมดลมหายใจเต็มทน ดวงตาคู่คมที่แดงก่ำไปด้วยความโศกศัลย์เหลือบมองไปยังพิมพ์เขียวของเครื่องจักรที่ตนเป็นผู้ร่างเอาไว้เมื่อนานมาแล้วที่ถูกกองทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน

     

     

    “ช่วยได้แน่...ถ้าวันนั้นฉันเลือกเขาแทนที่จะเป็นไทม์แมชชีนโง่ๆนี่...”

     

     

    - Time Machine -

     

    7  ปีก่อน, 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1796

    ลอนดอน

     

    นาฬิกาเรือนหรูบอกเวลากว่าบ่ายสามโมงแล้วซึ่งเลยเวลาที่นัดกับใครบางคนเอาไว้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว  แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยสักนิด

    จอง โฮซอก กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองให้แน่นขึ้นเพราะลมหนาวปลายฤดูที่พัดผ่านร่างเขาไป  ริมฝีปากอิ่มสีสวยพ่นลมอุ่นๆออกมาหวังช่วยคลายความหนาวเหน็บที่ตนเองกำลังประสบอยู่ได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

    สวนสาธารณะใจกลางเมืองตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษของใครหลายๆคน และแน่นอนว่ามันเป็นวันสำคัญของเขาด้วย

    ...วันวาเลนไทน์...

    มือเรียวบางถูกเจ้าของมันยกขึ้นมาดูช้าๆด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข  แหวนทองเกลี้ยงเกลาที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาทำเอาคนหน้าสวยต้องเผลอยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงคนให้

    ดวงตาคู่สวยเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่กลางสวนอีกครั้งก่อนจะเบนสายตากลับมามองถุงกระดาษที่บรรจุเค้กก้อนโตฝีมือของตนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ

    ...ฉันจะรอนายอีกสักนิดแล้วกันนะคิมนัมจุน...

     

     

     

     

    ชายหนุ่มร่างสูงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อร่างของเขาเข้าใกล้ที่หมายมากขึ้นทุกที  ดวงตาคู่คมภายใต้กรอบแว่นสีดำฉายแววตื่นต้นอย่างปิดไม่มิด

    คิม นัมจุน เป็นเพียงนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านวิทยาศาสตร์  เขาถูกดึงตัวให้มาเข้าร่วมโครงการวิจัยของรัฐบาล  และตอนนี้งานวิจังของเขาก็ถูกเสนอขึ้นที่ประชุมเรียนร้อยแล้ว  วันนี้จู่ๆเขาก็ถูกเรียกตัวมาเพื่อรายงานตัวและคุยเรื่องแผนการวิจัยขั้นต่อไป

    เพราะความตื่นเต้นและดีใจทำให้นักวิทยาศาสตร์หนุ่มหลงลืมทุกๆเรื่องที่ตนตั้งใจจะทำในวันนั้นไปจนหมดสิ้น  งานวิจัยเรื่องไทม์แมชชีนของเขาได้รับการอนุมัติให้ร่างงบคร่าวๆที่ใช้ในงานวิจัยในบ่ายวันนั้น

    “ดีใจด้วยนัมจุน”ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะเอ่ยทักทายและแสดงความยินดีกับน้องชายร่วมสถาบันที่ประสบความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งสำหรับเส้นทางนักวิทยาศาสตร์ที่ใฝ่ฝัน

    “ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับเสียจนเห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง

    “วันนี้วาเลนไทน์ฉันนึกว่านายจะไปเดตกับแฟนเสียอีก”ประโยคแสดงความสงสัยของชายหนุ่มรุ่นพี่เรียกให้ดวงตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตกใจ  คิมนัมจุนรีบกุลีกุจอหานาฬิกาทันที  เข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขห้าและเข็มยาวที่เลยเลขสองมาเล็กน้อยเรียกให้ชายหนุ่มต้องสบถออกมาเสียงดังจนคนเป็นรุ่นพี่สะดุ้งโหยง

    “ไปก่อนนะครับพี่!”โบกมือลาแบบลวกๆก่อนจะจัดการเก็บของลงกระเป๋าถือของตน  คว้าเอาหมวกปีกสีดำใบเก่งของตนและดอกกุหลาบช่อโตที่เริ่มเฉาบ้างแล้วของตนวิ่งออกจากห้องไปในทันที

    ...ซวยล่ะสิ! เขานัดโฮซอกไว้ตอนบ่ายสาม และนี่มันก็เลยมาสองชั่วโมงแล้ว!...

     

     

     

    ใบหน้าสวยที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มเสมอของจองโฮซอกบัดนี้กลับเรียบตึงเสียจนน่าแปลกใจ  คันตัวบางหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวของสวนสาธารณะ  ดวงตาคู่สวยก็เหม่อมองไปที่นาฬิกาเรือนโตที่ตั้งอยู่กลางสวน  เข็มสั้นและยาวของมันบอกเวลากว่าห้าโมงครึ่งแล้ว  เลยเวลานัดมาถึงสองชั่วโมงครึ่ง

    ...และแน่นอนว่าคิมนัมจุนไม่ได้บอกเหตุผลกับเขาล่วงหน้า...

    ถุงกระดาษที่เคยถูกโอบอุ้มเอาไว้อย่างทะนุถนอมตอนนี้กลับถูกวางทิ้งไว้ข้างกายโดยที่เจ้าของมันไม่คิดจะสนใจเลยสักนิด

    ลมหนาวพัดผ่านมาอีกครั้งเรียกให้คนตัวบางต้องมอบอ้อมกอดให้กับตัวเองแน่นขึ้นไปอีกเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นทุกที

    กริ๊ก!

    เข็มยาวเคลื่อนไปหยุดอยู่ตรงเลขแปด....

    “หมดเวลาแล้วคิมนัมจุน...”เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่  คนตัวบางยิ้มบางๆให้กับตัวเองก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง ขาเรียวภายใต้กางเกงแสลคสีน้ำตาลก้าวเดินออกจากตรงนั้นทันที 

    ทิ้งไว้เพียงเค้กชิ้นน้อยที่เฝ้ารอใครบางคนท่ามกลางความหนาวเหน็บของกรุงลอนดอนเพียงลำพังเท่านั้น...

    คิมนัมจุนรีบกระโดดลงจากรถม้ารับจ้างอย่างรวดเร็ว  เขาจัดการจ่ายค่าบริการให้กับสารถีโดยไม่ได้นับเสียด้วยซ้ำ  ได้ยินเสียงขอบคุณเป็นการใหญ่แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะหันกลับไปให้ความสนใจ  สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้คือภาพใบหน้าสวยๆและรอยยิ้มหวานๆของคนรักเท่านั้น

    ...ภาพของจองโฮซอกเท่านั้น...

    ขายาวรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที  ช่อดอกไม้ในมือที่อุส่าเตรียมมากระแทกเข้ากับผู้คนมากมายที่เดินสวนกันอย่างหนาแน่นที่ใจกลางเมืองแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเจ้ากลีบกุหลาบที่กำลังบอบช้ำนั่น

    นึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ดันลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้  จองโฮซอกไม่ใช่คนขี้งอน...โฮซอกไม่ใช่คนโกรธอะไรไร้สาระ  แต่คนรักของเขาเป็นคนคิดมาก...หลายต่อหลายครั้งแล้วที่คิมนัมจุนทำให้อีกคนต้องเสียความรู้สึกเพราะความบ้างานของเขา

    แต่โฮซอกก็เคยพูดกับเขาว่าเหตุผลที่คนตัวบางหลงรักเขาก็เพราะความมุ่งมั่นของเขานี่แหละ...แต่เขาก็รู้...รู้ว่าแววตาของคนพูดฉายแววน้อยอกน้อยใจเพียงใด...

    ทั้งๆที่คิดเอาไว้แล้วว่าอยากจะใช้วันพิเศษนี้ในการขอโทษอีกคนที่เคยทำให้เสียใจเอาไว้หลายครั้ง  แต่ก็กลายเป็นว่าเขากำลังจะทำให้คนรักของเขาต้องเสียใจอีกครั้ง...

    ...คิมนัมจุนคนไม่เอาไหน...

    รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปทันทีที่ดวงตาเหลือบไปเห็นแผ่นหลังบางที่แสนคุ้นเคย  ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดก่อนจะเอ่ยปากตะโกนเรียกอีกคนด้วยความดีใจทันที

    “โฮซอก!เสียงเอ่ยเรียกชื่อตนเรียกให้คนที่กำลังเดินข้ามถนนอยู่ต้องหันมาให้ความสนใจ  ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและสภาพเหมือนฟัดกับหมามาของคิมนัมจุนเรียกให้จองโฮซอกเผลอหลุดหัวเราะ

    คนตัวบางลืมเรื่องราวน้อยใจก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น  มือเรียวถูกยกขึ้นโบกส่งไปให้คนรักก่อนจะเดินกลับเข้ามาที่ฟุตบาทอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟยังคงเป็นสีเขียว

    ...แต่เพราะความดีใจทำให้จองโฮซอกลืมไปว่ายังมีเลนที่รถผ่านตลอดอยู่ตรงหน้าตน  รถยนต์ที่ไม่ทันระวังแล่นผ่านหัวโค้งมาอย่างรวดเร็วเสียจนไม่ทันตั้งตัว

    เสียงแตรรถดังระงมปะปนไปกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของผู้คนมากมายและตามมาด้วยเสียงโครมใหญ่ของม้าเหล็กที่ปะทะเข้ากับเสาไฟถนนอย่างแรงจนกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาบทบังทัศนวิสัยเสียจนหมดสิ้น

    ...ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว...

    ...รวดเร็วเสียจนคิมนัมจุนมองเห็นสิ่งอื่นๆที่เหลือเป็นเพียงภาพช้า...

    ขายาวที่กำลังก้าวเดินกลับหยุดชะงักลงเสียดื้อๆ  สรรพเสียงโดยรอบอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์  ช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือหนาร่วงหล่นลงบนพื้นอิฐบล็อคลวดลายสวยงามเพราะร่างของใครบางคนที่เดินชนหัวไหล่ของเขา

    ความโกลาหลที่เกิดขึ้นตรงหน้ากลับกลายเป็นเพียงภาพยนตร์ที่ถูกหน่วงความเร็ว  ร่างท้วมของผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตะโกนใส่หน้าเขาปาวๆ  แต่คิมนัมจุนก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้...

    ...เพราะดวงตาของเขาเห็นเพียงใบหน้าสวยของจองโฮซอกที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น...

    ...คนรักของเขากำลังหลับใหล...หลับใหลไปตลอดการ...

    ...คิมนัมจุนสูญเสียจองโฮซอกไปแล้ว...

    ...ตลอดกาล...

     

    - Time Machine -

     

    ปัจจุบัน, 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897

    ลอนดอน

     

     

    “แน่ใจแล้วใช่มั๊ยนัมจุนว่าต้องการแบบนี้จริงๆ”น้ำเสียงของคิมซอกจินเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด  คิมนัมจุนส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนรักก่อนจะพยักหน้าให้เป็นคำตอบ

    “รู้ใช่มั๊ยว่าสัจจะธรรมของโลกคืออะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...นายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้คิมนัมจุน”คิมซอกจินว่าพลายช่วยจัดชุดสำหรับการทดลองให้กับเพื่อนรักของตนเพื่อเช็คความปลอดภัยเป็นครั้งสุดท้าย

    “ฉันจะเปลี่ยนแปลงมันเอง...ฉันไม่ได้เสียเวลาสิบเอ็ดปีไปเปล่าๆหรอกนะซอกจิน”คิมนัมจุนยิ้มให้เพื่อรักขี้กังวลของตนอีกครั้งเป็นการบอกให้เลิกกังวล  แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่นัก  เพราะใบหน้าหล่อเหลาของคิมซอกจินยังคงฉายชัดถึงความกังวล

    “ถ้ามันสำเร็จจริงๆ...ฝากความคิดถึงถึงโฮซอกด้วย  บอกเขาว่าไม่มีรอยยิ้มของเขาแล้วคนอื่นๆเหงาน่าดู”ซอกจินหัวเราะเบาๆยามที่นึกถึงเพื่อนอีกคน

    “ฉันจะทำให้ได้...จะพาเขากลับมา  แล้วถึงตอนนั้นจะยอมให้นายกอดเขาให้สมกับสิบเอ็ดปีที่จากกันเลยล่ะ”มือหนาของนัมจุนเอื้อมออกไปตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆก่อนที่คนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

    อย่าลืมล่ะนัมจุน  นายเปลี่ยนอดีตไม่ได้...”ซอกจินย้ำอีกครั้งด้วยใบหน้าจริงจัง  แต่คิมนัมจุนกลับทำเพียงแค่ยิ้มบางๆรับคำเพียงเท่านั้น

    “ขอบคุณมากซอกจิน...สำหรับทุกๆอย่าง”ชายหนุ่มร่างสูงสวมกอดร่างของเพื่อนรักแน่นๆถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดหัวใจให้กับเพื่อนแท้ของเขาที่ไม่เคยทิ้งไปไหนไม่ว่าหนทางมันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม

    “โชคดีเพื่อน”ซอกจินผละออกจากอีกคนก่อนจะโบกมือให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้ม  ชายหนุ่มเดินไปประจำอยู่ที่เครื่องควบคุมขนาดยักษ์เพื่อทำตามที่ได้ตกลงไว้กับพ่อนักวิทยาสาสตร์สติเฟื่องตรงหน้า

    นัมจุนยกมือขึ้นรับเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในแคปซูลที่เขาสร้างขึ้น  ชายหนุ่มทิ้งกายนอนลงประจำที่  จัดการสวมหมวกควบคุมคลื่นสมองให้เรียบร้อยแล้วปิดฝาครอบลงในที่สุด

    เสียงคำรามฮึ่มของเครื่องจักรดังขึ้นเรียกให้เปลือกตาหนาของคิมนัมจุนค่อยๆปิดลงช้าๆก่อนความรู้สึกบางอย่างจะถาโถมเข้ามาภายในร่างกายของเขา  ทั้งๆที่หลับตาลงแล้วแต่นัมจุนกลับเห็นภาพ...ภาพมากมายที่พุ่งฝ่ายข้างกายไปอย่างรวดเร็ว  เร็วเสียจนพาให้ปวดหัว...

    เขารู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้กับการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของภาพมากมายและเส้นแสงวิบวับที่ไหลเข้ามาในหัว  ชายหนุ่มขบฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูนเมื่อความทรมาณพุ่งพรวดขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหว

    ...นัมจุน...

    แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้นเขากลับได้ยินเสียงอ่อนหวานของใครบางคนที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน...

    ...ยิ้มหน่อยสินัมจุน...

    เสียงเอ่ยดุและเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นเคยเรียกให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนความเจ็บปวดของคิมนัมจุน  หยาดน้ำตาแห่งความสุขไหลย้อยลงมาหยดแล้วหยดเล่าจนในที่สุดมันก็ทะลักออกมาจนเกินจะกักเก็บได้

    ...กลับมาแล้ว...

    ...จองโฮซอกของเขากลับมาแล้ว...

    ความเจ็บปวดพุ่งพรวดขึ้นมาสู่จุดสูงสุดก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังลอยเค้วงอยู่ท่ามกลางความมืดของบางสิ่งบางอย่าง  ความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ้ง  มโนภาพและสรรพเสียงทุกอย่างวูบหายไป...รวมทั้งความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ด้วย...

    แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับแรงฉุดลากมหาศาลที่รั้งร่างของเขาให้พุ่งเข้าไปหาจุดกำเนิดแสงนั้นด้วยความเร็วที่ทำให้ร่างกายเขาแทบมอดไหม้

    วูบ!

    ทุกอย่างหยุดนิ่งลงแล้วพร้อมกับเสียงหอบหายใจที่ดังระงบไปทั่วทั้งโสตประสาท  คิมนัมจุนใช้เวลาสักพักในการดึงสติของตนเองกลับมา  เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆกระพริบถี่ๆสองสามครั้งก่อนจะเปิดขึ้นในที่สุด

    แสงสว่างจากภายนอกเรียกให้เขาต้องปิดตาลงอีกครั้ง  นัมจุนยกแขนข้างหนึ่งบังแสงเอาไว้ก่อนจะลืมตาใหม่อีกครั้ง...

    ภาพห้องนอนของเขาคือสิ่งแรกที่เห็น  แต่สภาพของมันต่างจากก่อนหน้านี้มากโข...มันเป็นเพียงห้องนอนของผู้ชายธรรมดาๆเท่านั้น  ไม่ใช่ห้องนอนของนักวิทยาศาสตร์เสียสติเหมือนห้องเขาเลยสักนิด

    “วันที่ๆๆๆ!”มันมีมี่ตั้งสติได้เสียงทุ้มก็ร้องออกมาดังลั่นพลางเอื้อมมือสะเปะสะปะตามหาปฏิทินทันที

    “14 กุมภาพันธ์ 1796...1796!ชายหนุ่มกู้ร้องลั่นด้วยความดีใจ  เขาทำสำเร็จ! คิมนัมจุนผุดลุกขึ้นจนเต็มความสูงด้วยความตื่นเต้น  แต่เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไม่ปกติมาทำให้เขาเสียหลักล้มลงตกเตียงลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นเสียอย่างนั้น  แต่กระนั้นเขาก็ยังคงหัวเราะ...หัวเราะราวกับคนบ้า...

    ดวงตาคู่คมเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลากว่าบ่ายโมงแล้ว  ถ้าจำไม่ผิดอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงจะมีคนของรัฐบาลมาติดต่อให้เขาไปดูงานวิจัยที่ผ่านการพิจารณา...

    คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปคว้าเอาปากกากับกระดาษออกมาเขียนโน๊ตเอาไว้แล้วเดินเอามันออกไปแปะที่หน้าประตูทันที

    นัมจุนรีบถลาตัวเข้าห้องน้ำด้วยความกระปรี้ประเปร่าอย่างถึงที่สุด  ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าภาพใบหน้าของตนที่สะท้อนอยู่กระจกนั้นดูอ่อนเยาว์กว่าที่เคยเห็นมากนัก

    ...ก็แน่ล่ะ  เพราะนี้มันคือร่างของเขาเมื่อ 11 ปีก่อน...

    หลังจากที่ใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่นานคิมนัมจุนก็แน่ใจว่าคนเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้...ถูกต้อง...เขาไม่ได้ย้อนเวลากลับมา

    สิ่งที่นัมจุนทำและทดลองมากว่าสี่ปีหลังจากที่พบว่าเส้นเวลาไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงคือการหาวิธีย่นระยะการเคลื่อนที่ของเวลาให้เข้ามาใกล้จนแทบซ้อนกันแล้วส่งคลื่นสมองของเขาในปัจจุบันเข้ามาในตัวเขาร่างอดีตเหมือนตอนนี้

    เขาที่อาศัยอยู่ในยุคนี้จึงทำหน้าที่เป็นภาชนะที่บรรจุความรู้ความคิดหรือที่เรียกว่า วิญญาณ ของเขาจากอนาคตเอาไว้เท่านั้น...

    ...นัมจุนไม่ได้ต้องการเข้ามาใช้ชีวิตในยุคนี้...

    ...สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงสิ่งเดียว...

    ...แก้ไขความผิดพลาดของตนเอง  และพาสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตกลับคืนมาเท่านั้น...

    นัมจุนใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการอาบน้ำแต่งตัว  เขาจัดการเลือกชุดที่ดูดีที่สุดเหมือนที่เคยทำ  ชายหนุ่มจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้ม...และไม่ลืมที่จะดีดนิ้วดังเป๊าะให้กับโน้ตที่ตนติดเอาไว้ที่ประตูห้องของตนเอง

     

    ฉันจะไม่ยอมให้นายมาขัดขวางวันเดตกับแฟนที่น่ารักของฉันอีกแล้วไอ้โง่!’

     

    นาฬิกาเรือนหรูบอกเวลากว่าบ่ายสามโมงแล้วซึ่งเลยเวลาที่นัดกับใครบางคนเอาไว้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว  แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยสักนิด

    จอง โฮซอก กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองให้แน่นขึ้นเพราะลมหนาวปลายฤดูที่พัดผ่านร่างเขาไป  ริมฝีปากอิ่มสีสวยพ่นลมอุ่นๆออกมาหวังช่วยคลายความหนาวเหน็บที่ตนเองกำลังประสบอยู่ได้สักเล็กน้อยก็ยังดี

    สวนสาธารณะใจกลางเมืองตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษของใครหลายๆคน และแน่นอนว่ามันเป็นวันสำคัญของเขาด้วย

    ...วันวาเลนไทน์...

    มือเรียวบางถูกเจ้าของมันยกขึ้นมาดูช้าๆด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข  แหวนทองเกลี้ยงเกลาที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาทำเอาคนหน้าสวยต้องเผลอยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงคนให้

    ดวงตาคู่สวยเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่กลางสวนอีกครั้งก่อนจะเบนสายตากลับมามองถุงกระดาษที่บรรจุเค้กก้อนโตฝีมือของตนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ

    ...ฉันจะรอนายอีกสักนิดแล้วกันนะคิมนัมจุน...

     

     

    คิมนัมจุนรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันทีที่เขากระโดดลงจากรถม้า  หัวใจของเขาเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น  เพียงแค่นึกว่าจะได้พบเจอคนที่อยู่ในห้วงคำนึงของตนมากว่าสิบปีแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล

    ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มประดับไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขจนลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างบุ๋มเข้าไป  ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วเพื่อมองหาร่างที่คุ้นเคยเสมอในความสนจำ...

    พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างบางของใครบางคนที่กำลังนั่งอมยิ้มมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าห่างไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น  ชายหนุ่มไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านั้น  เขารีบรุดวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที

    “โฮซอก!เสียงตะโกนเรียกชื่อตนที่ดังขึ้นเรียกให้เจ้าของร่างบางที่กำลังนั่งเหม่อลอยสะดุ้งสุดตัว  ดวงตาคู่สวยเหลือบเห็นร่างสูงของชายหนุ่มคนรักที่วิ่งไปตะโกนเรียกเขาไปอย่างดูไม่ได้แล้วก็ได้แต่หลุดหัวเราะ

    “นัมจุน...!”จองโฮซอกผุดลุกขึ้นกำลังจะเอ่ยทักทายอีกคน  แต่คิมนัมจุนที่เพิ่งมาถึงไม่เปิดโอกาสให้เขาเลยสักนิด  เพราะชายหนุ่มร่างสูงคว้าเขาเข้าไปในอ้อมกอดทันทีที่เห็นหน้า  จองโฮวอกได้แต่กระพริบตาปริบๆด้วยความงงงวยแต่กระนั้นก็ยอมยกมือกอดตอบอีกคนไปเท่านั้น

    คิมนัมจุนก้มลงซุกใบหน้าลงที่ลาดไหล่บางพลางสูดดมกลิ่นหอมอ่อนประจำตัวของอีกคนเข้าไปจนเต็มปอด  กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก...กอด...ให้แน่น

     

    ...ให้สมกับสิบเอ็ดปีที่ห่างหายกันไป...

    ...สิบเอ็ดปีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด...

    ...สิบเอ็ดปีที่เขาไม่มีจองโฮซอกข้างกาย...

    ...สิบเอ็ดปี...

    ...แต่ตอนนี้เขาได้พบแล้ว...

     

    ...พบกับจองโฮซอกผู้เป็นยิ่งกว่าลมหายใจอีกครั้ง...

     

    “น...นัมจุน”โฮซอกเอ่ยเรียกชื่ออีกคนด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆแผ่นหลังกว้างที่มือเรียวสัมผัสอยู่ก็เริ่มสั่นไหว  รวมทั้งความเปียกชื้นตรงลาดไหล่บางนั้นอีก  นี่ไม่นับรวมเสียงสะอื้นของคนตรงหน้านะ...

    ...คิมนัมจุนกำลังร้องไห้....?

    “โฮซอก...”คิมนัมจุนผละออกมาจ้องมองอีกคนทั้งๆที่ยังคงมีหยาดน้ำตาให้เห็น

    “หื้อ?”โฮวอกขานรับเสียงเรียกของอีกคนเบาๆ

    “จองโฮซอก...”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกครั้ง  คล้ายกำลังเอ่ยย้ำกับตนเอง

    “มีอะไร?”คนตัวบางกว่าเอ่ยถามพลางหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับหน้าตาที่ดูไม่ได้ของแฟนหนุ่มที่อยู่ๆก็แปลงร่างเป็นเจ้าเด็กขี้แยเสียงอย่างนั้น  นิ้วเรียวบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาของอีกคนออกจากแก้มของอีกคนพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆที่คิมนัมจุนเห็นแล้วต้องเผยยิ้มกว้างตามด้วยความสุขล้น

    “จองโฮซอก...ฉันรักนายนะ”เสียงทุ้มเอ่ยบอกอีกคนเสียงดังฟันชัดเสียจนเจ้าของชื่อต้องเบิกตากว้าง  ใบหน้าสวยของจองโฮซอกขึ้นสีแดงก่ำ  กำลังจะผลักอีคนออกข้อหาพูดอะไรไม่ดูสถานที่แต่ก็ต้องหยุดการกระทำที่คิดเอาไว้ทั้งหมดเสียก่อน

    นัมจุนกดท้ายทอยของอีกคนให้เคลื่อนเข้ามาหาตนก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปประกบจูบกับคนตรงหน้าด้วยความโหยหา  ซึ่งคนที่ตกใจในคราแรกก็ยอมจูบตอบออกไปในที่สุด

    จูบอ่อนโยนที่ไม่ได้มีการจาบจ้วงใดๆ  มันมีเพียงความรู้สึกโหยหาแสนเศร้าเท่านั้นที่ส่งผ่านเข้ามาหากัน  เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้แต่คนทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจมันเท่าใดนัก

    คิมนัมจุนละจูบออกช้าๆอย่างอ้อยอิ่ง แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะละเลียดชิมความหอมหวานของริมฝีปากอิ่มสีสวยนั่นต่อไปอีก

    “ไปอดอยากมาจากไหนกันคิมนัมจุน”จองโฮซอกบ่นอุบแต่ริมฝีปากกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มเขิน  เรียกเสียงหัวเราะจากคิมนัมจุนได้เป็นอย่างดี

    “อ่ะ...จูบไปขนาดนั้นไม่ต้องใช้แล้วมั้งนี่น่ะ”ว่าแล้วชายหนุ่มร่างสูงก็จัดการยื่นช่อดอกลิลลี่สีขาวให้คนตรงหน้า  โฮซอกต่อยต้นแขนอีกคนไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อมมือออกมารับช่อดอกไม้ไปถือไว้

    “ดอกลิลลี่เนี่ยนะ?  ปกติวาเลนไทน์ควรเป็นกุหลาบสวยๆป่ะ”โฮซอกบ่น  แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงยิ้มกว้างอยู่ดี

    “ก็ฉันไม่ใช่คนปกตินี่”นัมจุนว่า

    “ครับๆพ่อนักวิทยาสาสตร์สติเฟื่อง...ถ้าใกล้จะเป็นบ้าก็บอกฉันล่วงหน้านะจะได้หาแฟนใหม่ทัน ยังไม่อยากมีแฟนบ้าเหมือนไอสไตน์”โฮซอกเอ่ยทีเล่นทีจริงเรียกความมันเขี้ยวจากคิมนัมจุนได้เป็นอย่างดี  ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นไปหยิกแก้มกลมๆนั่นด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟัง

    “ก็เลยให้ดอกลิลลี่นี่ไง”

    “เกี่ยวกันยังไงล่ะนั่น”โฮวอกเอ่ยถามพลางเบ้หน้าลงเล็กน้อยเพราะดันโดนแฟนหนุ่มของตัวเองรังแกแก้มกลมๆที่หวงแหนเสียได้

    “รู้มั๊ยว่าดอกลิลลี่สีขาวหมายความว่ายังไง?”จองโฮซอกส่ายหน้ากับคำถามนั้น

    ขอโทษไง....”นัมจุนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ  ก่อนดวงตาคู่คมจะจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสวยของอีกคน...จ้องลึกลงไปราวกับจะส่งความรู้สึกทั้งหมดให้ผ่านเข้าไปถึงหัวใจดวงน้อยๆของจองโฮซอก

     

    “ขอโทษเอาไว้ล่วงหน้า...เพราะถึงฉันจะเป็นบ้าไปแล้วก็จะไม่หยุดรักนาย...ฉันรักนายจองโฮซอก  รัก...และจะไม่มีวันหยุดรัก  ต่อให้นายจะหนีจากฉันไปไหนฉันก็จะไปตามเอานายกลับมาเป็นของฉันให้ได้...ขอโทษที่คิมนัมจุนคงปล่อยให้นายไปไหนไม่ได้  เพราะความรักของฉันที่มีให้นายมันมากมายเกินไป...ความรักของฉันจะเป็นของนายตลอดไปจองโฮซอก...”

     

    ประโยคบอกรักยาวเหยียดจากคิมนัมจุนเรียกให้แก้มขาวของโฮซอกขึ้นสีเรื่อ  คนตัวบางกว่าไม่ได้เอ่ยตอบรับใดๆกับประโยคนั้น  มีเพียงรอยยิ้มขวยเขินน่าเอ็นดูเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมาให้คนรักของตน

    “พูดแบบนี้ไม่ขอแต่งงานไปเลยล่ะ”จองโฮซอกก็ยังคงเป็นจองโฮซอก  เขินแทบตายแต่ก็ยังมีหน้ามายุเขาอีก  ซึ่งมีหรือคนขี้แกล้งอย่างคิมนัมจุนจะยอมปล่อยให้ลอยนวล

    “เฮ้ย! บ้าเหรอ! พอเลยพอๆ”โฮซอกร้องลั่นเมื่อเห็นว่าคิมนัมจุนบ้าจี้  ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะทรุดกายนั่งลงไปจริงๆ

    คิมนัมจุนหัวเราะลั่นกับใบหน้ามู่ทู่ของอีกคน  การหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีของคิมนัมจุน...

    ...ความสุขที่มีชื่อว่าจองโฮซอก...

     

     

     

    ทั้งสองคนใช้เวลากันได้อย่างคุ้มค่า  เผลอเพียงแว่บเดียวท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว  มือหนากอบกุมมือบางของอีกคนเอาไว้แน่นพลางเดินทอดน่องเคียงข้างกับไปตามฟุตบาทข้างทาง  จ้องมองบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองลอนดอน  ซึมซับความงดงามของคืนวันพิเศษเอาไว้เต็มหัวใจ

    “สวยจริงๆเลยเนอะ”เสียงหวานของคนข้างกายดังขึ้นเรียกให้คิมนัมจุนต้องเบือนสายตากลับใบจ้องมอง

    ...สวย...ใช่...

    แต่สำหรับคิมนัมจุนจองโฮวอกที่กำลังเหม่อมองบรรยากาศงดงามยามค่ำคืนนั้นสวยกว่าเป็นไหนๆ  ใบหน้างดงามที่แสนลงตัวราวกับเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าคือหนึ่งในสิ่งที่เขาหลงรัก  ดวงตาคมสวย แพขนตาหนา จมูกโด่งรั้นดูซุกซน และเหนืออื่นใดริมฝีปากอิ่มสีสวยที่มักเผยรอยยิ้มหวานเสมอ

    “สวย...”คิมนัมจุนเห็นด้วย  แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคนข้างกายไม่ไปไหน  คนโดนจ้องก็เหมือนจะรู้ตัว  โฮซอกเบือนสายตากลับมามองคนรักแล้วก็ต้องตกใจแทบหงายหลังเมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกคนนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เขามากแค่ไหน

    “ให้มองเมืองนู่นไม่ใช่มองหน้าฉัน...ไปๆไปเลย ไปซื้อโกโก้ร้อนมา”มือเรียวของจองโฮซอกดันใบหน้าหล่อเหลาของคิมนัมจุนออกให้ห่างกายตนพลางเอ่ยสั่งด้วยเสียงหัวเราะ 

    นัมจุนหัวเราะตอบก่อนจะยอมผละออกไปซื้อโกโก้ร้อนให้อีกคนตามคำบัญชา  แต่ก็ยังไม่วายหันไปส่งยิ้มทะเล้นให้กับคนรัก  ซึ่งก็ได้รอยยิ้มหวานกับการโบกมือไล่ไม่จริงจังนั่นกลับมาเป็นของขวัญ

    โครม!

    เสียงโครมใหญ่และเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้คิมนัมจุนที่กำลังถือโกโก้ร้อนสองแก้วกลับไปหาคนรักต้องหันกลับไปมอง  ความโกลาหลสะท้อนเข้ามาในหน่วยตา

    ...ราวกับฉายภาพซ้ำ...

    ...ภาพของความสูญเสียที่เขาเคยพบเจอ...

    แก้วโกโก้ร้อนทั้งสองแก้วร่วงลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก  ขายาวรีบก้าวพาร่างของตนกลับไปยังที่ที่เขาทิ้งจองโฮซอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ทันที  ซึ่งมันคือจุดเดียวกับความโกลาหลนั่น

     

    ...อะไรบางอย่างกำลังกรีดร้องอยู่ในอกจนเหมือนหัวใจจะถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ...

     

    ...ภาพของชายหนุ่มแปลกหน้าห้าหกคนช่วยกันยกรถม้าที่เสียหลักล้มคว่ำออกมาคือสิ่งที่สะกดขาเขาเอาไว้กับที่ราวกับตอกหมุด...

    ชายหนุ่มคนหนึ่งอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของใครบางคนออกมาจากเศษซากความวุ่นวายนั่น  ใบหน้าสวยเปื้อนฝุ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีกำลังหลับพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราว

    เห็นเพียงเท่านั้นคิมนัมจุนก็รีบถลาเข้าไปในทันที  ชายหนุ่มเข้าไปเปลี่ยนกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น  เขาตระกองกอดร่างไร้วิญญาณของคนรักเอาไว้แนบอก  พลางร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย

    ...อีกครั้ง....

    ...จองโฮซอกจากเขาไปอีกครั้ง...

    ...จากไปพร้อมกับหัวใจ ดวงวิญญาณ และอนาคตทั้งหมดของคิมนัมจุน...

    ...จองโฮซอกจากไปเช่นเดียวกับคิมนัมจุนที่ตายทั้งเป็นอีกครั้ง...

     

    - Time Machine -

     

    “อย่าลืมล่ะนัมจุน  นายเปลี่ยนอดีตไม่ได้...”

     

    คำพูดของเพื่อนรักยังคงดังก้องไปทั่วทั้งโสตประสาท  แต่คิมนัมจุนไม่สนใจมัน  ชายวัยกลางคนจัดการกระชับชุดสำหรับใส่ทดลองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปกดเปิดเครื่องที่นับถอยหลังสามสิบวินาที

    ตอนนี้แม้แต่คิมซอกจินก็ไม่อยู่แล้ว  เพื่อนรักของเขาตัดสินใจที่จะหันไปดูแลครอบครัวของตนแทนที่จะมาใช้เวลาไร้สาระไปกับนักวิทยาศาสตร์เสียสติอย่างเขา  ซึ่งนัมจุนก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด  ดีเสียอีกเพราะเพื่อนรักคนนี้ช่วยเหลือเขามามากเกินพอแล้ว

     

     

    “บันทึกครั้งที่ 54  วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1901 ผมคิมนัมจุนกำลังจะทำการจูนคลื่นสมองอีกครั้ง  ซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาที่นี่อีกได้มั๊ยเพราะตอนนี้ร่างกายของผมมันเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว...ความทรงจำของผมเริ่มขาดหายไป  บางครั้งผมก็ลืมไปว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...บางครั้งหัวของผมก็เหมือนจะมีความคิดของคนอื่นเข้ามา  ไม่รู้ว่ามันจะมีครั้งที่ 55 มั๊ย  แต่ผมก็อยากจะทำจนกว่ามันจะสำเร็จ...ถ้าหากว่า...ผมทำสำเร็จ  ผมพาเขากลับมาได้  แต่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่...ผมจะบอกคุณ  ใครก็ตามที่ฟังเทปนี้...บอกโฮซอกว่าผมรักเขาแค่ไหน...บอกเขาว่าเทปทั้งหมดของผมอยู่ในกล่องใต้เตียง  ขอจบบันทึกครั้งที่ 54 แต่เพียงเท่านี้...”

     

     

    ตลับเทปถูกวางไว้ที่ข้างแคปซูล  คิมนัมจุดจัดการสวมหมวกให้เรียบร้อยก่อนจะปิดฝาแคปซูลเพื่อฟังเสียงสัญญาณนับถอยหลังเท่านั้น  ชายหนุ่มจ้องมองรูปถ่ายเก่าๆที่ซีดเซียวผ่านกาลเวลามานานจนมันกลายเป็นสีน้ำตาลในมือ

    นิ้วยาวยกขึ้นลูบไปเบาที่ใบหน้าสวยของคนในห้วงคำนึง  รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากก่อนหยาดน้ำตาจะไหลหยดออกมาเพียงหนึ่งหยด

    “ฉันจะไปหานายนะโฮซอก....อวยพรให้ฉันด้วย...”เสียงทุ้มนั้นเอ่ยแผ่วเบาก่อนชายวัยกลางคนจะเก็บรูปถ่ายนั้นลงในกระเป่าเสื้อของตนและหลับตาลงในที่สุด

    สิบเอ็ดปีของการรอคอยในครั้งแรก  และอีกสี่ปีมาถึงตอนนี้...

     

    “ไม่แน่ว่าคราวนี้ฉันอาจจะตามไปอยู่กับนายจริงๆก็ได้....”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาพึมพำกับตัวเอง  เสียงสัญญาณนับถอยหลังเดินทางมาถึงห้าวินาทีสุดท้ายก่อนการเริ่มทำงานของเครื่องจักร

     

     

    “ฉันรักนายจองโฮซอก...”

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    สายฝนที่พร่ำลงมาทำให้ทุกคนต้องรีบหาร่มกันเป็นการใหญ่  แต่ถึงจะมีสายฝนเป็นอุปสรรคขัดขวางแต่เหล่าญาติสนิทมิตรสหายก็ยังคงมาร่วมไว้อาลัยเป็นเกียรติครั้งสุดท้ายให้กับผู้ล่วงลับไปแล้วอยู่ดี

    “คุณคะ...”เสียงหวานของหญิงวัยกลางคนที่ดังขึ้นข้างกายเรียกให้คิมซอกจินต้องหันไปให้ความสนใจ

    “แคทเธอรีนเดี๋ยวคุณกลับก่อนก็ได้นะ  ผมอยากคุยกับเขาอีกสักหน่อย”รอยยิ้มอ่อนโยนของสามีที่ส่งกลับมาให้เธอเรียกให้หญิงวัยกลางคนแต่ยังคงงดงามพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ

    “โทมัสกลับบ้านกับคุณแม่ก่อนนะครับ”เธอก้มลงไปพูดกับลูกชายตัวน้อยข้างกายของตน  ก่อนสองแม่ลูกจะพากันเดินจากไปทิ้งไว้เพียงแค่คิมซอกจินที่ยังคงยืนจ้องมองป้ายหินเงียบๆเท่านั้น

    ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขายืนมองป้ายหินสลักอยู่ตรงนี้  รู้เพียงแต่ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้ว  ผู้คนที่เคยมาร่วมไว้อาลัยให้กับการจากไปของเพื่อนรักก็ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว

    “นัมจุน...”เอ่ยเรียกผู้ที่หลับใหลไปแล้วแผ่วเบาด้วยรอยยิ้มบางๆก่อนจะทรุดกายนั่งยองๆลงที่หน้าป้ายหลุมศพตรงหน้า  ซอกจินล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อสูทก่อนจะหยิบเอากรอบรูปอันหนึ่งออกมา

    กรอบรูปไม้หรูหราที่สั่งทำขึ้นเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายสำหรับเพื่อนรัก  ภายในกรอบไม้ราคาแพงบรรจุรูปถ่ายเก่าๆที่พื้นสีขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปแล้วเอาไว้  ที่ขอบมุมหนึ่งของมันถูกไหม้หายไปเกือบหนึ่งในสี่จากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ที่พรากเอาชีวิตของเพื่อนรักของเขาไปด้วย

    บ้านทั้งหลัง  ข้าวของทั้งหมด  งานวิจัย  หรือแม้แต่เครื่องจักรที่สร้างเอาไว้ของคิมนัมจุดวอดวายไปหมด  แต่น่าแปลกที่ภาพถ่ายใบนี้กลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ท่ามกลางกองขี้เถ้า

    “ฉันเลือกที่ข้างๆโฮซอกให้นายเลยนะ...ได้เจอกันรึยังล่ะ”คิมซอกจินเอ่ยพลายเผยยิ้มบาง  เขาจัดการวางกรอบรูปลงตรงที่ว่างระหว่างป้ายสลักสองอัน  ดวงตาทรงเสน่ห์กวาดมองป้ายสลักของเพื่อนรักเพียงครู่เดียวก็เบือนกลับไปมองที่ป้ายหินสลักอีกอันที่อยู่ข้างกัน

    “จริงๆนายน่าจะพามันไปอยู่ด้วยตั้งนานแล้วนะโฮซอก...ปล่อยให้มันเป็นบ้าเสียสติอยู่ได้เป็นสิบปี หึหึหึ”เขาหัวเราะออกมาเบาๆราวกับเรื่องที่คุยกับป้ายหินสลักนั้นมันสนุกนักหนา

    “เอาเป็นว่า  อยู่ด้วยกันแล้วก็อย่าหาเรื่องห่างหันไปไหนอีกล่ะ....”ซอกจินเอ่ยเบาๆพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มหลังฝน  กระแสลมพัดผ่านมาวูบหนึ่งพร้อมกับม่านฟ้าที่ค่อยๆแยกตัวออกจากกันช้าๆเผยให้เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดลงมาเป็นสัญญาณว่าเมฆฝนได้จากไปแล้ว

     

    “ถ้าชาติหน้ามีจริง....ขอให้พวกนายได้เกิดมารักกันอีกนะ...”

     

    ...นั่นเป็นคำอธิฐานสุดท้ายที่ซอกจินจะมอบให้กับเพื่อนรักและคนรักของเพื่อนได้...

     

    - Time Machine -

     

     

     

    ...ใน สามมิติ ที่มนุษย์อาศัยอยู่  มีเพียงสิ่งเดียวที่แม้แต่หลุมดำก็ดูดกลืนเข้าไปไม่ได้...

    ...นั่นคือ  เวลา ....

     

     

     

     

     

    END.

     

     

     

    TALK. จบแล้ววววว ฮื่อออออออออออ เป็นฟิคที่ดูดพลังสุดๆไปเลยค่ะ โอยยยยยย ;______; ไม่รู้ว่าคนอ่านจะอินไปกับเพชรมั๊ย  คือเป็นคนแต่งดราม่าไม่เก่งเอาซะเลย  แต่อยากแต่งเรื่องนี้ ฮือออออ  เรื่องเกิดจากฟังเพลง time machine ของ illslick ระหว่างเดินกลับบ้านค่ะ  แล้วพล๊อตเรื่องนี้มันก็พุ่งๆๆๆๆ สุดท้ายก็เลยต้องหาที่ระบายมาเป็นเรื่องนี้เอง

     

    บอกเลยค่ะว่าเรื่องนี้เป็นดราม่าเรื่องแรกเลยนะ ฮื่อออออ ตอนแต่งอีนี่นั่งฟังเพลงบิ้วต์จนน้ำตาซึมอ่ะคิดดู แต่ไม่รู้แต่งออกมาเป็นยังไงบ้าง ฮื่ออออ #พักเช็ดน้ำตาแป๊บ  เรื่องนี้เพชรพยายามใส่ความหมายโดยนัยลงไปเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่าจะสื่อถึงคนอ่านรึเปล่าน่ะสิ ใครเจออะไรก็เอามาบอกกันได้นะ จะได้รู้ว่าสำเร็จมั๊ย 555555555

     

    ตอนแรกจะเอาเรื่องนี้ลงวาเลนไทน์ค่ะ แต่คิดว่าไม่เวิร์ค ไม่เวิร์คแน่ๆ  เพราะมันควรจะมุ้งมิ้งมั๊ยวาเลยไทน์อ้ะ  สุดท้ายเลยเอามาลงวันนี้เลยแล้วกัน ฮุ่ยยยยยย  เรียกน้ำตาสำเร็จมั๊ยเม้นบอกด้วยนะคะ  ไม่เม้นก็ไปบอกในทวิตก็ได้โน๊ะ @ppbhy ค่ะ  งั้นเอาไว้เจอกันเรื่องต่อไปนะคะ ใครอยากอ่านคู่ไหนบอกนะ เดี๋ยวจะลองหาก่อนถ้ามีพล๊อตก็อาจจะได้แต่ง 55555  แน่นอนว่าต้องโฮปเคะนะ บิบิ  ไปละค่า บ๊ายบายยยยยยยย

     

    ©
    t
    h
    e
    m
    y
    b
    u
    t
    t
    e
    r
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×