คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : (os) Spirit around | Halloween project | jungkook x j-hope
Spirit around
Halloween Project
jungkook x j-hope
31.10.15
...ตามตำนานเขาว่ากันว่าวิญญาณจะไม่ยอมไม่สู้สุขติหากยังไม่หมดห่วง...
Spirit around
....นางฟ้า....
ใครบอกกันล่ะว่านางฟ้าต้องอยู่บนสวรรค์น่ะ โกหกชัดๆ...อะไรนะ เรื่องจริงเหรอ จะเชื่อได้ไงในเมื่อตอนนี้เขาเห็น นางฟ้า เดินอยู่ตรงหน้าชัดๆ...
“โอเคครับ วันนี้พอเท่านี้เนอะ เจอกันอาทิตย์หน้า อย่าลืมทำข้อสอบที่พี่ทบทวนให้วันนี้ด้วยนะ”เสียงหวานๆที่ชวนให้ใจสั่นนั้นลอยผ่านเข้ามาในหู ชวนเคลิบเคลิ้มเสียจนเผลอยกปากกาในมือขึ้นมากัดเล่นเสียอย่างนั้น
ป้าบ!
แรงตบอย่างแรงที่กลางศีรษะเรียกเอาคนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรักหน้าทิ่มจนปากกาด้ามเก่งเกือบทิ่มทะลุลิ้นไก่ เด็กหนุ่มตะหวัดสายตามองผู้กระทำข้างกายที่ทำเป็นนั่งลอยหน้าลอยตาเก็บของลงกระเป๋าเป้ด้วยความไม่หมั่นไส้ ง้างมือขึ้นกะเอาคืนสักทีให้หายหมั่นไส้ แต่ก็ต้องชะงักไว้ก่อนเมื่อเสียงหวานๆที่คุ้ยเคยนั่นดังขึ้นอีกครั้ง
“ใครมีคำถามอะไรมั๊ยครับ....น้องคนนั้น?”ฝ่ามือเรียวน่าสัมผัสผายตรงมายังเขาเล่นเอาคนที่ง้างมือเตรียมฟาดกะบาลเพื่อนถึงกับลดลงมาเกาท้ายทอยแทบไม่ทัน มองจากทางหางตาเห็นไอ้เพื่อนตัวดีกำลังกลั้นขำสุดชีวิต พอส่ายหัวกลับไปว่าไม่มีอะไรคนถามก็ดันส่งยิ้มหวานมาให้เสียจนแทบตกเก้าอี้
“ไม่ต้องอายครับ...สงสัยอะไรถามได้เลย...”รอยยิ้มกว้างที่เรียกให้ใจสั่นนั่นไม่ได้ทำลายล้างมากไปกว้าดวงตาคู่สวยนั่นที่จ้องตรงมายังเขาเลยสักนิด เด็กหนุ่มอึกอักก่อนจำต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้เมื่อมองเห็นแววตาคาดคั้นจากคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียน
“...เราชื่ออะไรครับ?”เสียงหวานนั้นเอ่ยถามขึ้นไม่เบานัก และแน่นอนว่ารอยยิ้มนั่นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าสวยของคนอายุมากกว่า
“อ่า...จองกุกครับ...”เด็กหนุ่มตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก ดวงตากลมทรงเสน่ห์ของเขาก็เสหลบเป็นพัลวัน ไม่กล้าจะมองหน้าคนถามเสียด้วยซ้ำ แค่ได้ยินเสียงยังใจสั่นขนาดนี้ถ้าขืนมองหน้าตรงๆมีหวังตายไม่ฟื้นแน่ๆ
“ว่าไงเอ่ย...สงสัยตรงไหนครับ?”
“อ...เอ่อ......”
“มันสงสัยว่าสิ้นเดือนพี่มีเพื่อนไปปาร์ตี้ฮาโลวีนยังครับ!”คำถามที่ดังขึ้นเรียกเสียงหัวเราะของคนทั้งห้องได้เป็นอย่างดี สาวๆน้อยใหญ่ต่างพากันส่งเสียงวี๊ดว๊ายถูกอกถูกใจกันยกใหญ่...แต่แน่นอนว่าคนที่ถามน่ะ ไม่ใช่จอนจองกุกเสียหน่อย!
“ไอ้เชี่ยแท!”เด็กหนุ่มโวยเสียงดังด้วยความเก้อเขิน ยิ่งพอเหลือบไปมองใบหน้าสวยของติวเตอร์คนเก่งที่กำลังแสดงสีหน้างงงวยอยู่ก็ยิ่งเขินจนแทบอยากมุดลงใต้โต๊ะแลกเชอร์ แอบเตะหน้าแข้งไอ้เพื่อนรักไปหนึ่งทีข้อหาปากสว่างไม่เข้าเรื่อง
“อ...เอ่อ พี่เหรอ...?”เจอคำถามที่ไม่คาดคิดแบบนี้คนพูดเก่งอย่างโฮซอกก็ไปไม่เป็นเช่นกัน ยิ่งมองเห็นแก้มขาวๆของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจองกุกเริ่มขึ้นสีแล้วก็ได้แต่ยกมือเรียวขึ้นหัวแก้เก้อ
...อยู่ๆก็เหมือนจะรู้สึกเขินตามขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
...แปลกจริง...
“ก็ไม่นะ...ว่างครับ แต่ถ้าใครจะมาชวนพี่ก็หลังไมค์แล้วกัน ท่องกวีของพระเจ้าเซจงที่สอนวันนี้ได้สามบทแล้วพี่จะเก็บเอาไปคิดนะ”สิ้นเสียงหวานที่เอ่ยยื่นเงื่อนไขของคนอายุมากที่สุดในห้องก็เรียกเอาเสียงคร่ำครวญด้วยความเสียดายดังระงมไปทั่วไม่ว่าจะจากเด็กสาวทั้งหลายหรือแม้แต่เด็กหนุ่มอีกหลายๆคน
...รวมทั้งไอ้เพื่อนเวรข้างกายด้วยนี่แหละ....
“เชี่ย พี่โฮซอกแม่งพั๊งค์ เพิ่งสอนวันนี้จะให้กูท่องสามบท...โอ๊ย!”ยังบ่นได้ไม่ทันจบประโยคดีเด็กหนุ่มผิวเข้มเจ้าของชื่อคิมแทฮยองก็ต้องหลุดร้องออกมาทันทีเพราะแรงฝ่ามือที่ฟาดลงมาที่ด้านหลังของศีรษะอย่างไม่คิดจะออมแรง
“มึงไม่ต้องเลยไอ้สัด...กวนส้นตีนนักนะมึงอ่ะ”ว่าแล้วจองกุกก็ง้างมือขึ้นอยากจะฟาดกะบาลมันอีกสักทีด้วยความหมั่นไส้ แต่คิมแทฮยองก็รีบยกแขนกันได้ทันท่วงทีทำให้จองกุกยอมรามือไปในที่สุด
“ก็มึงทำตัวน่าหมั่นไส้นี่หว่า...ไอ่ห่ามีอย่างที่ไหนมาเรียนไม่มองกระดานเสือกมองแต่หน้าคนสอน มึงไม่เชื่อกูก็ถามไอ้จีมินนู่นว่าหน้ามึงเคลิ้มอย่างกับกระต่ายเมากาว”พอความพ่ายแพ้ย่างกรายเข้ามาคิมแทฮยองเลยเลือกที่จะหาพวกเพิ่ม เด็กหนุ่มผิวเข้มบุ้ยใบ้ไปทางเพื่อนตัวเล็กอีกคนที่นั่งถัดไป
“อ่าวไอ้ดำมึงอย่ามาโยนขี้ให้กู กูมาเรียนของกูดีๆมีแต่มึงอ่ะกวนส้นตีนชาวบ้านเขา”เจ้าของชื่อจีมินเบ้หน้า เด็กหนุ่มตัวเล็กจัดการกวาดข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าเป้ใบโตของตนแล้วหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง ท่าทางเร่งรีบและความเร็วของเด็กหนุ่มเรียกให้เพื่อนรักอีกสองชีวิตต้องเอ่ยปากถาม
“อ้าวแล้วนี่มึงจะรีบไปไหน...”
“ไปท่องกลอนสามบท...”จีมินแล่บลิ้นปลิ้นตาใส่เพื่อนทั้งสองคนเตรียมตัวจะหมุนตัวเดินจากไปแต่ก็มีมือดำๆของใครบางคนที่คว้าหูกระเป๋าเอาไว้ก่อน
“อะไรวะ...ท่องเหี้ยอะไร”แทฮยองขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ โดยส่วนตัวแล้วแทฮยองคิดว่าเขาเป็นคนฉลาดนะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผิดที่ปาร์คจีมินนี่แหละที่พูดไม่เป็นภาษามนุษย์สักเท่าไหร่
“เอ้า...ก็เขาบอกอยู่เมื่อกี้ หลังไมค์...ท่องสามบท กูจะชวนพี่โฮซอกไปงานฮาโลวีน...”พูดจบก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ จีมินฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดตรงไปยังประตูทันที
“เดี๋ยวจีมิน! มึงท่องได้ละเหรอวะ!”แทฮยองเอ่ยถาม ดวงตาง่วงๆยามปกติของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นทันทีด้วยความตกตะลึง
“แน่นอน....พวกมึงก็ไปคู่กันเองละกันนะ ส่วนพี่โฮซอกอ่ะ ไปกับกู อิอิ”ว่าแล้วคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเพื่อนก็วิ่งรี่ออกจากห้องเรียนอย่างรวดเร็วทันที ร้อนถึงเพื่อนรักตัวสูงกว่าอีกสองคนที่ต้องรีบคว้ากระเป๋าแล้วตะโกนไล่หลังไปอย่างตื่นตระหนกเท่านั้น
“ไอ้เหี้ยจีมิน!!!!”
Spirit around
“...ละพี่โฮซอกเขาบอกว่าไง”เสียงถามจากเพื่อนรักเรียกให้คนโดนถามต้องหันไปให้ความสนใจ เด็กหนุ่มตัวเล็กเจ้าของใบหน้าน่ารักและรอยยิ้มน่าเอ็นดูกัดลูกชิ้นปิ้งลูกโตเข้าปากก่อนจะเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย
“...พี่เขาบอกกูว่ากูเก่งมากที่ท่องได้แล้ว เขาบอกว่าเขาจะเก็บไปคิดดู กูเลยขอคาทกพี่เขามา...”จีมินว่าทั้งๆที่แก้มขาวทั้งสองข้างนั้นยังพองออกเพราะลูกชิ้นที่เจ้าตัวเพิ่งยัดเข้าไปหมาดๆ
“เชี่ย!!!! มึงขอคาทกพี่เขาเหรอวะ!”คิมแทฮยองอุทานดังลั่นจนลูกชิ้นในปากร่วงลงพื้น อย่าว่าแต่แทฮยองเลยแม่แต่จองกุกที่เดินกินเงียบๆมาด้วยกันยังสำลักไอค่อกแค่กจนจีมินต้องหันไปตบหลังช่วยเหลือ
“เออ...”
“ละพี่เขาให้มึงป่ะวะ”จองกุกเอ่ยถามตาโต ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มตึงเครียดเสียจนเพื่อนอีกสองคนกลั้นขำแทบไม่อยู่
“หึหึ...”ว่าแล้วปาร์คจีมินก็ควักเอาโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูขึ้นมา สไลด์หน้าจอสองสามทีก็ยกขึ้นชูมันมาตรงหน้าเพื่อนรักทั้งสองคน รูปคอนแท็กแอพพลิเคชั่นสีเหลืองโชว์ใบหน้าสวยๆและรอยยิ้มหวานๆของใครบางคนจนจองกุกแทบจะตะครุปมาถือเอาไว้เสียเอง
“จุ๊ๆ”จีมินจิ๊ปากก่อนจะชักมือถือกลับ หรี่ตามองหน้าเพื่อนรักอย่างผู้เหนือกว่า ยิ่งเห็นว่าไอ้เพื่อนมาดเยอะอย่างจอนจองกุกกลืนน้ำลายเอื้อกแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหนืออย่างบอกไม่ถูก
...เป็นครั้งแรกที่จีมินคิดว่าจองกุกและแทฮยองเตี้ยกว่าเขาสักที...
“ปาร์คจีมิน...ข้าวหน้าเนื้อสามมื้อถ้วน...”เสียงเอ่ยจากคิมแทฮยองพร้อมกับมือหนาของเด็กหนุ่มที่ชามนิ้วขึ้นมาด้วยใบหน้าจริงจังเรียกความสนใจจากจีมินได้เล็กน้อย แต่กระนั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ยังส่ายหน้าให้กับข้อเสนอนั้น
“ปาร์คจีมิน...รายงานวิชาเคมี....”แค่เอ่ยท็อปปิคออกมาก็เรียกความสนใจจากจีมินได้มากโขแล้ว ดวงตาเรียวของเด็กหนุ่มเหลือบมองใบหน้าแสนตั้งอกตั้งใจของเพื่อนรักหน้าหล่อเล็กน้อย รอคอยให้อีกคนเอ่ยข้อเสนอออกมาสักที
“...ไอ้เหี้ยมึงขี้โกง!”แทฮยองโวยวาย เด็กหนุ่มยกมือขึ้นทิ้งหัวตัวเองไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ก็เขากับปาร์คจีมินน่ะโง่เคมียิ่งกว่าอะไร ผิดกับจอนจองกุกที่ท็อปทุกรอบอย่างกับเกิดเป็นลูกชายมารีคิวรี่
...จอนจองกุกไอ้ขี้โกง!...
“...เลี้ยงรามยอนกูทั้งอาทิตย์”จีมินเอ่ย เด็กหนุ่มเดาะลิ้นสองสามทีเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไง และคำตอบของจองกุกมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ดวงตากลมใสแจ๋วของจองกุกเป็นประกายก่อนจะเอ่ยรับออกมาเสียงดัง
“ดีล!”
“เออดีล!”สิ้นเสียงของจีมินโทรศัพท์เครื่องหรูก็ย้ายไปอยู่ในมือของจองกุกเป็นที่เรียบร้อย จีมินยืนมองเพื่อนรักหน้าหล่อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะกดโทรศัพท์มือเป็นระวิงแล้วก็ได้แต่ขำ
อันที่จริงที่ไปขอคาทกน่ะ ขอให้จองกุกนั่นแหละ.....
....แค่รู้ไงว่ามันท่องสามบทที่ว่าไม่ได้แน่ๆ ก็ตั้งใจฟังที่ไหนล่ะ เห็นแต่จ้องหน้าพี่โฮซอกเสียตัวแทบพรุน เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าจองกุกน่ะหลงครูคนสวยเข้าไปเต็มๆ...
...จีมินก็แค่เป็นกามเทพแผลงศรรักให้เพื่อนก็เท่านั้นเอง...
“พี่โฮซอกครับ!!”เสียงใสๆที่ตะโกนเรียกชื่อตนเรียกให้คนที่กำลังเดินออกจากโรงเรียนกวดวิชาต้องหันไปให้ความสนใจ รอยยิ้มกว้างแสนไร้เดียงสาคือสิ่งแรกที่เขาเห็น โฮซอกจำได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มสดใสคนนี้คือนักเรียนในชั้นเขาแน่นอน
“ครับ...ว่าไงเอ่ย”รอยยิ้มที่จองกุกเพื่อนรักนิยามมันว่ารอยยิ้มนางฟ้าถูกส่งมาให้เล่นเอาเสียศูนย์อยู่ไม่น้อย จีมินยอมรับเลยก็ได้ว่าคนตรงหน้านี้ยิ้มได้น่ารักมากจริงๆ ขนาดเขาที่มั่นใจในรอยยิ้มตัวเองยังชักจะหวั่นใจ
“คือ...เรื่องปาร์ตี้ฮาโลวีนอ่ะครับ”เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าอ้ำๆอึ้งๆคนอายุมากกว่าเลยได้แต่ฉีกยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“จะมาชวนพี่ไปเหรอ?”
“...อ...เอ่อ ก็ครับ...”จีมินเอ่ยตอบ เด็กหนุ่มส่งยิ้มเก้อๆไปให้เล็กน้อย อันที่จริงก็ไม่ใช่เขาหรอกที่จะมาชวนน่ะ แต่เอาเหอะ...ตามน้ำไปก่อนเดี๋ยวคุณครูจะไม่เชื่อใจ...
“เอ้าไหนลองท่องมาสามบทจากที่เรียนวันนี้ซิครับ”จีมินพยักหน้ารับ แต่ก่อนที่จะเริ่มท่องความคิดอะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวเสียก่อน เด็กหนุ่มฉีกยิ้มหวานก่อนจะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจตนทันที
“เอ่อพี่โฮซอกครับ...”
“ครับ...”เสียงเรียกอย่างกล้าๆกลัวๆของอีกคนเรียกให้โฮซอกต้องตั้งใจฟัง จีมินยกมือเกาท้ายทอยเล็กน้อย เด็กหนุ่มลังเลอยุ่สักพักก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุด
“คือถ้าผมท่องได้สามบท...ผมมีเรื่องอยากขอร้องให้พี่ลองเก็บไปคิดดูอ่ะครับ...”
“....”
“...ถ้าผมท่องได้สามบท วันฮาโลวีนพี่ไปปาร์ตี้กับไอ้จองกุกเพื่อนผมได้ป่ะครับ...”
...แค่เรื่องนี้แหละที่จีมินไม่ได้เล่าให้เพื่อนรักทั้งสองฟังแต่อย่างใด...
...ให้จองกุกมันพยายามด้วยตัวเองต่อไปแบบนี้แหละดีแล้ว...
“เออมึงๆ”จีมินเอ่ยเรียกเพื่อนตัวสูงที่เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับโทรศัพท์มือถือเรียกให้เด็กหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตากลมน่าหลงใหลต้องหันมาให้ความสนใจ
“พี่โฮซอกเขาฝากกูมาบอกว่าถ้าอยากชวนก็ไปชวนเขานะ...แล้วก็ไปท่องให้เขาฟังสามบท..พี่เขาบอกว่าจะเก็บไปคิดทุกคนอ่ะแหละ”ได้ยินแบบนั้นดวงตาของเด็กหนุ่มจอนจองกุกก็เป็นประกายระยิบจนจีมินต้องหลุดหัวเราะ
...ดูท่าคนนี้จอนจองกุกเพื่อนเขามันจะชอบจริงๆว่ะ...
เดินคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปสักพักทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไปตามทางกลับบ้านของตน โชคดีที่แทฮยองและจีมินอยู่ซอยเดียวกันจองกุกเลยวางใจปล่อยให้ไอ้เพื่อนตัวสูงเป็นคนทำหน้าที่ไปส่งจีมินที่บ้าน ส่วนบ้านจองกุกน่ะอยู่ถัดจากสี่แยกข้างหน้านี้ไปเพียงสองซอยเท่านั้นเอง
เด็กหนุ่มรู้สึกขบขันตัวเองไม่น้อย คิดไปคิดว่าเขาก็อาการหนักเอาเรื่องเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เอาแต่มองติวเตอร์วิชาภาษาเกาหลีคนนั้นไม่วางตา แต่รู้ตัวอีกทีก็ละสายตาออกไปไม่ได้เสียแล้ว
...ขนาดนี่ได้แค่คาทกยังเดินยิ้มเป็นไอ้บ้าแบบนี้...
...ท่าจะอาการหนักว่ะจอนจองกุก...
เหมือนจะจมอยู่กับความคิดตนเองมากไปหน่อยเด็กหนุ่มเลยไม่ทันได้สังเกตว่าทางแยกที่ตนกำลังข้ามนั้นมีรถยนต์วิ่งตัดมาอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจ สมองสั่งการให้ร่างกายของเขาขยับหนี แต่กระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ทันการเสียแล้ว รู้ตัวอีกทีจองกุกก็รู้สึกว่าร่างของตนนั้นลอยละลิ่วออกไปจนที่ใบหน้ากระแทกกับพื้นถนนนั่นแหละเขาถึงจะรู้ตัว
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทันที่จะได้รู้สึกเจ็บปวดเสียด้วยซ้ำ จองกุกไม่รู้ว่าตอนนั้นเขารู้สึกอย่างไรบ้าง แต่เขาจำได้....จำได้ว่าร่างกายหนาวเหน็บ รอบตัวมืดไปหมด...
....แล้วเขาจำได้ว่าความปารถนาสุดท้าย...
...ขอแค่ได้ไปเจอหน้าพี่โฮซอกสักวันก็ยังดี...
...ได้โปรดเถอะ...เขายังไม่ได้บอกออกไปเลยด้วยซ้ำ...
...ยังไม่ได้พูดออกไปเลยว่าชอบเขาแค่ไหน.....
...อย่าว่าแต่บอกชอบเลย แค่ชวนไปงานปาร์ตี้ด้วนกันจอนจองกุกเองยังไม่กล้าด้วยซ้ำ...
...กลอนแค่สามบทก็ยังท่องไม่ได้.....ถ้าจะรู้ว่าจะต้อจากไปแบบนี้จองกุกจะกล้า...
...จะรวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไปชวนจองโฮซอก...
...อย่างน้อยจองกุกก็ได้ลองทำ...
...ขอแค่ลองทำเท่านั้นเอง....
Spirit around
คืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ...อย่างน้อยโฮซอกก็คิดว่าเป็นแบบนั้น....
คนตัวบางในชุดนอนสำหรับผู้ชายเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าง่วงงุน เหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลากว่าตีสองแล้ว ไม่แปลกใจที่เขาจะรู้สึกง่วงขนาดนี้...
มือเรียวจับผ้าขนหนูผืนเล็กขึ้นเช็ดเรือนผมที่เปียกชื้นหลังการอาบน้ำจนหอมฟุ้งลวกๆก่อนจะเดินตรงไปยังตู้เย็นที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก คนตัวบางคว้าเอากระติกน้ำเปล่ากระติกใหญ่ขึ้นกระดกเพื่อดับกระหายก่อนเข้าสู่นิทราในคืนนี้
เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสบจนน่าขนลุกพาให้ร่างโปร่งบางของเจ้าของห้องสะดุ้งโหยง โฮซอกยกมือขึ้นลูบหน้าออกตัวเองเบาๆเป็นการปลอบขวัญก่อนจะเดินตรงไปยังที่มาของเสียงทันที
‘พี่โฮซอกนอนหรือยังครับ?’
ข้อความจากแอพพลิเคชั่นแชทยอดฮิตที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูไม่ได้สร้างความงุนงงให้กับเขาไปได้มากกว่าชื่อของผู้ที่ส่งมาเลยสักนิด
...จองกุก...
โฮซอกแทบไม่ต้องใช้เวลานึกเลยด้วยซ้ำว่าเจ้าของชื่อเป็นใคร เพราะทันทีที่มองเห็นชื่อใบหนาหล่อเหลาโดดเด่นของใครบางคนก็ลอยเข้ามาในมโนสำนึกทันที ใจจริงก็ไม่อยากตอบตอนนี้หรอกเพราะโฮซอกคิดว่ามันดึกมากแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรบางอย่างบอกให้เขาตอบกลับข้อความของเด็กคนนั้นไป
‘ยังครับ’
‘ผมไปหาได้มั๊ยครับ...’
รอไม่ถึงอึดใจข้อความตอบกลับจากอีกฝ่ายก็ส่งมาอย่างรวดเร็ว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันทีที่จับใจความของข้อความนั่นได้ โฮซอกมั่นใจว่าเขาไม่รู้จักจองกุก...โอเคยังรู้จักไม่ดีพอแน่ๆ
...แต่อีกฝ่ายถามว่ามาหาได้ไหม?...
...รู้ที่อยู่บ้านเขาอย่างนั้นหรือ?...
...ไม่สิที่สำคัญกว่านั้นคือตอนนี้มันตีสอง อีกอย่างจองกุกยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายเท่านั้นเอง...
...ไม่เหมาะสมอย่างถึงที่สุด...
‘อย่าเลยครับ...พี่ว่ามันดึกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เราไปเจอกันที่โรงเรียนกวดวิชาดีกว่าครับ’
ปลายนิ้วเรียวพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็เป็นตามคาดทันทีที่กดส่งเรียบร้อยแอพพลิเคชั่นก็แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความของเขาแล้ว
‘ขอโทษครับแต่ผมอยู่หน้าห้องพี่...ให้ผมเข้าไปได้มั๊ยครับ?’
โฮซอกเบิกตากว้างทันทีที่เห็นข้อความนี้ ดวงตาคู่สวยรีบตะหวัดไปมองยังประตูห้องทันทีด้วยปฏิกริยาอัตโนมัติ โฮซอกช่างใจอยู่ชั่วครู่ว่าจะให้อีกฝ่ายเข้ามาหรือไม่....ถ้าไม่ให้เข้าเขาก็ดูจะไร้มนุษยธรรมไปสักหน่อย...แต่นี่มันตีสอง....
‘พี่ครับ?’
ไม่ปล่อยให้ได้ลังเลนานนัก เสียงเตือนจากแอพพลิเคชั่นยอดฮิตก็ดังขึ้นอีกครั้ง การย้ำคำถามขออีกฝ่ายเรียกให้โฮซอกตัดสินใจได้ในที่สุด คนตัวบางตัดสินใจเดินตรงไปยังประตูห้องทันที
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้งอย่างสุภาพดังขึ้นทันทีที่มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู โฮซอกไม่รอช้าที่จะเปิดประตูเพื่อนต้อนรับผู้มาเยือนยามวิกาลในทันที กำลังจะเอ่ยดุนักเรียนตัวดีที่มารบกวนยามค่ำคืนเสียหน่อยแต่ริมฝีปากสีสวยที่กำลังจะเอื้อนเอ่ยก็ต้องหยุดชะงักลงเสียก่อนเมื่อเบื้องหน้าในคลองสายตาคือความว่างเปล่าที่น่าขนลุก
เสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์เครื่องหรูที่อยู่ในมือบางเรียกให้เจ้าของมันสะดุ้งสุดตัว โฮซอกพ่นลมหายใจออกมาเบาๆด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าสาเหตุของความตกใจเป็นเพียงเสียงเตือนข้อความเข้าเท่านั้น คนตัวบางจัดการปิดประตูห้องแล้วหันมาสนใจข้อความในมือแทน
‘ขอบคุณครับ’
ข้อความจากเด็กคนเดิม แต่ที่เหมือนเดิมคือโฮซอกกลับรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วร่างเมื่อได้อ่านมัน
‘นายจะล้อเล่นอะไรกับพี่’
นิ้วเรียวของติวเตอร์หนุ่มรัวลงไปในแป้นพิมพ์ด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ หากเปิดไปแล้วไม่พบใครก็ยังไม่เท่ากับคำขอบคุณที่ได้รับบกลับมา...
...จองกุกบอกขออนุญาตเขา และเขาก็เปิดประตูแล้วพบกับความว่างเปล่า...และเด็กคนนี้ก็ขอบคุณเขา...
...โฮซอกคิดว่ามันไม่ตลกเลยสักนิด!
ในคราแรกที่คิดว่าอีกคนจะเปิดอ่านข้อความเขาอย่างรวดเร็วเช่นก่อนหน้านี้จำต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เมื่อเวลาล่วงเลยไปสักพัก โฮซอกยังคงยืนอยู่ที่เดิมและโทรศัพท์เครื่องหรูในมือก็ยังคงแน่นิ่ง...
ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบห้องที่เปิดไฟสลัวเตรียมเข้านอนของตนด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ นึกก่นด่าตัวเองไม่น้อยที่ดันเตรียมพร้อมนอนจนพาเอาบรรยากาศในห้องน่าขนลุกได้ขนาดนี้ ตลอดเวลาสามปีที่อาศัยในห้องนี้มานี่เป็นครั้งแรกที่โฮซอกคิดว่ามันน่ากลัว
คนตัวบางสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอด ปลอบใจตัวเองว่าเด็กมันแค่ล้อเล่นเท่านั้น...เขาควรเข้านอนเตรียมตัวตื่นไปทำงานในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว คิดได้ดังนั้นคนตัวบางก็ตัดสินใจเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนิ่มทันที
จัดการตะหวัดผ้านวมผืนหนาขึ้นคลุมร่างกายจนมิดชิดเพื่อความอุ่นใจ...และแน่นอนว่าโฮซอกไม่คิดจะปิดไฟสีส้มสบายตาที่โต๊ะเครื่องแป้งนั่นแน่ๆ...
...ให้ตายก็ไม่ปิด...
...ไม่ปิดแน่ๆ....
ในภวังค์ฝันครึ่งหลับครึ่งตื่นโฮซอกได้ยินเสียงเอ่ยแผ่วเบาของใครบางคน เอ่ยคำขอบคุณหรืออะไรสักอย่างเขาเองก็ไม่แน่ใจ แล้วโฮซอกก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าที่ประสบมาทั้งวันโดยไม่รู้เลยสักนิดว่าโคมไฟแสงสวยที่โต๊ะเครื่องแป้งถูกปิดลงตั้งแต่เมื่อใด
เช้าวันใหม่มาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างโปร่งบางของใครบางคนที่นอนหลับใหลอยู่ในห้วงแห่งความฝันถูกปลุกขึ้นด้วยสัมผัสเย็นๆที่ข้างแก้มตัดกับแสงแดดอุ่นๆที่ส่องผ่านผ้าม่านสีขาวผืนบางเข้ามา
‘...ซอก...’
เสียงเรียกผะแผ่วราวกับได้ยินจากที่ไกลๆเรียกให้แพขนตาขยับไหวเล็กน้อย โฮซอกขมวดคิ้วเมื่อเขาถูกปลุกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆที่น่ารำคาญและสัมผัสเย็นๆที่ไม่ห่างไปไหนสักที
‘พี่โฮซอกครับ’
คราวนี้เสียงเรียกดังขึ้นชัดเจนเสียจนต้องยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมอง โฮซอกเข้าใจว่าเป็นเพราะเขายังตื่นไม่เต็มที่ดวงตาของเขาเลยยังทำงานได้ไม่ดีนัก เพาะตอนนี้โฮซอกมองไม่เห็นใครเลยสักคน ทั้งห้องยังคงมีแค่เขา....
‘พี่ได้ยินมั๊ยครับ’
คราวนี้เองแหละที่คนตัวบางตื่นเสียเต็มตา จองโฮซอกติวเตอร์ภาษาเกาหลีชื่อดังกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วเสียจนหล่นตุ้บลงไปที่พื้น มือเรียวยกขึ้นลูบก้นนิ่มที่หล่งกระแทกพื้นป้อยๆก่อนจะตะโกนถามเสียดัง
“ใครน่ะ!”
...มันต้องมีใครกำลังเล่นตลกกับเขาแน่ๆ โฮซอกมั่นใจ!...
‘พี่มองเห็นผมมั๊ยครับ’
เสียงที่เคยผะแผ่วในตอนแรกกับดังขึ้นชัดเจนเสียจนโฮซอกนึกแปลกใจ คนตัวบางกำลังคิดในแง่ดีว่าบางทีนี่อาจจะเป็นการซ่อนกล้องของรายการทีสีสักช่อง ตอนกางวันแสกๆแสงแดดจ้าขนาดนี้จะไปมี...เอ่อ....อะไรที่น่าขนลุก ได้ยังไง!
“นี่ซ่อนกล้องรายการอะไรน่ะ?”โฮซอกบ่นออกมาเบาๆด้วยความงงงวย ก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเสียจนขนอ่อนทั้งร่างพากันลุกเกรียว
‘ไม่ได้ซ่อนครับ ผมอยู่ตรงนี้ไง’
โฮซอกอยากจะตะโกนถามเหลือเกินว่าไอ้ตรงนี้นี่มันตรงไหนวะ!!!
‘ที่หน้าต่างนี่ไงครับ’
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเองจะรู้ว่าโฮซอกนั้นหาไม่เจอ เสียงปริศนานั่นเลยดังขึ้นอีกครั้งเพื่อบอกตำแหน่งพิกัดของตนเอง เจ้าของห้องรีบหันไปมองตามที่อีกฝ่ายบอกทันที และสิ่งที่เห็นก็เล่นเอาแทบกรีดร้องจนหมดสติ
แสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องเข้ามาผ่านผ้าม่านนั้นสว่างสไวสวยงามเฉกเช่นที่มันควรจะเป็น แต่สิ่งที่แปลกไปในวันนี้คือร่างสูงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนขอบหน้าต่างอะลูมิเนียมนั้น
“จองกุก....”เจ้าของชื่อยิ้มรับเสียงเอ่ยเรียกด้วยความตกตะลึงนั้น โฮซอกได้แต่อ้าปากหวอจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความงงงวยก่อนจะเอ่ยปากถามไขข้อข้องใจทันทีที่ตั้งสติได้
“นายเข้ามาในนี้ได้ไง...แล้วเมื่อคืนนี้เล่นอะไร”จองกุกยิ้มขันกับท่าทางลนลานละล่ำละลักถามขออีกฝ่าย เด็กหนุ่มผุดกายลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาคนที่นั่งจุมปุ๊กอยูที่ข้างเตียงช้าๆ และตอนนั้นเองแหละที่โฮซอกมีโอกาสได้สำรวจอีกคนอย่างถ้วนถี่...
“จองกุก...นี่นาย....!!”คราวนี้คนตัวบางถึงกับเบิกตากว้างจริงๆเมื่อมองเห็นฝ่ามือขาวของอีกฝ่ายที่ยื่นตรงมานั้นเป็นประกายระยิบระยับ ร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าเขามันโปร่งแสง ราวกับคนตรงหน้าเป็นเพียงกลุ่มของแสงที่มากระจุกรวมกันเพียงเท่านั้น
‘ผมมีเรื่องอยากขอร้องพี่...’
“อ...อะไรอ่ะ?”โฮซอกก็ไม่รู้ว่าทำไมคนขวัญอ่อนอย่างเขาถึงสามารถตอบคำถามของจอนจองกุกได้โดยที่ไม่เป็นลมไปเสียก่อน คนตรงหน้า...ไม่ใช่สิ วิญญาณแน่ๆ....แต่เขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด...ทำไมนะ
‘ผมมีบางอย่างที่อยากบอกพี่...ช่วยรับฟังได้มั๊ยครับ’
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นเศร้าสร้อยเสียจนโฮซอกไม่อาจปฏิเสธได้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธหรอก ...โฮซอกเคยได้ยินมาว่าวิญญาณนั้นจะไปสู่สุขติได้ก็จำเป็นต้องทำให้ตนหมดห่วงเสียก่อน....
...ถ้าการที่เขารับฟังนั้นจะช่วยให้ดวงวิญญาณของคนตรงหน้าไปสู้สุขติได้ล่ะก็...โฮซอกคิดว่ามันก็ไม่เสียหายที่จะฟังคำเอ่ยของเด็กหนุ่มคนนี้
เห็นอีกคนพยักหน้าเบาๆเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตากลมทรงเสน่ห์ก็แย้มรอยยิ้มกว้างแสนน่าเอ็นดูออกมา มือขาวที่ชะงักค้างไปก่อนหน้านี้เคลื่อนขยับอีกครั้ง มันสัมผัสเบาๆลงที่ข้างแก้มนิ่มของคนตรงหน้า โฮซอกรู้ว่าอีกคนกำลังสัมผัสเขา...แต่ข้างแก้มกลับไม่รู้สึกเลยสักนิด มีเพียความเย็นผะแผ่วเท่านั้นที่เขารู้สึกได้
...จองกุกหัวเราะเย้ยหยันตนเบาๆในลำคอเมื่อรู้ตัวว่าปลายนิ้วขอตนไม่อยากสัมผัสร่างกายของอีกคนได้อย่างที่หวังไว้....
...สิ่งที่ย้ำเตือนให้รู้ว่าพวกเขาแตกต่างกันอย่างสมบูรณ์แล้ว...
จองกุกสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เด็กหนุ่มตัดสินใจแล้ว...เขาจะบอกโฮซอกว่าชอบอีกฝ่ายมากแค่ไหน อย่างน้อยให้เขาได้มีโอกาสอยู่ในสายตาอีกคนบ้างก็ยังดี แค่ชั่วคราวก็ยังดี...
...แล้วเขา...จะได้จากไปอย่างสงบจริงๆ....
‘พี่โฮซอกครับ’
น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกนั้นแสนเศร้าเสียจนโฮซอกรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาทั้งสองข้างอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยิ่งมองเห็นรอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนยิ่งแล้วใหญ่
‘ผมชอบพี่ครับ...ชอบมากๆด้วย’
ถ้อยคำหนักแน่นและแววตาแน่วแน่นั้นยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจเด็กหนุ่มอย่างแท้จริง จองกุกฉีกยิ้มกว้างให้อีกคนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนี้ไปเขาคงไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว...คงไม่ได้เจอคนคนนี้อีกแล้ว
...ลาก่อนครับ...
ดวงตากลมค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า จองกุกจดจำภายใบหน้าสวยของคนตรงหน้าเอาไว้ให้สลักลึกลงไปในจิตใจ อย่างน้อยๆ...ก็เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหลังจากที่ตัวตนนั้นถูกลบเลือนไป...
เป็นเวลาพักใหญ่กว่าที่โฮซอกจะเรียกสติของตนกลับมาได้ คำสารภาพสายฟ้าแล่บของอีกฝ่ายสร้างความประหลาดใจให้เขาไม่น้อย โฮซอกไม่คิดเลยว่าความห่วงหาสุดท้ายของจองกุกคือการสารภาพรักกับเขา
...มันอาจจะเรียกว่าความรักไม่ได้ในตอนนี้...
...แต่โฮซอกรู้ดีว่าคงไม่อยากที่ความรู้สึกของจองกุกนั้นจะพัฒนาขึ้นไปอีก เพราะแววตาแสนไร้เดียงสาคู่นั้นมันถ่ายทอดออกมาทั้งหมด...
...ว่าชอบเขามากเพียงใด...
...ขอให้ไปสู้สุขติ....
โฮซอกได้แต่ภาวนาแบบนั้นขณะที่ปิดเปลือกตาลง รู้สึกวูบโหวงในใจเล็กน้อยที่คนที่เห็นกันอยู่จนถึงเมื่อวานนี้ด่วนจากไปไม่ทันได้เตรียมใจ ถึงแม้จะไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัวแต่โฮซอกจำนักเรียนทุกคนในคลาสของเขาได้ และแน่นอนว่าจองกุกก็เช่นกัน...
...เด็กหนุ่มผู้มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นและความขยันขันแข็งจนน่าชื่นชม...
...โฮซอกจำได้ดีว่าไม่มีเด็กคนไหนตั้งใจทำงานทุกชิ้นที่เขาบอกให้กับไปทบทวนเท่ากับจองกุกแล้ว แม้แต่กลุ่มเพื่อนๆของเด็กหนุ่มเองก็ตาม...
...ลาก่อนจองกุก...
“อ้าว...ไม่ไปซะทีอ่ะ?”เสียงหวานที่เอ่ยทักขึ้นเรียกให้คนที่นั่งหลับตาพริ้มยอมรับชะตากรรมต้องเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมของคนอายุน้อยกว่ากระพริบปริบๆสองสามที่เมื่อพบว่าภาพตรงหน้าตนยังคงเป็นใบหน้าสวยของติวเตอร์ภาษาเกาหลี ยิ่งเห็นชุดนอนหลุดลุ่ยและผมสีรัตติกาลที่ชี้ฟูไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่นนอนเช่นเดิมจองกุกก็ยิ่งมั่นใจ...
...เขายังอยู่ที่เดิม.......?
‘อ้าว’
...นั่นสิ...เขาไม่ได้ไปสู่สุขตินี่...
และทันทีที่ตั้งสติได้ความร้อนก็แล่นใบทั่วใบหน้าหล่อเหลาของวิญญาณหนุ่ม ยิ่งมองเห็นว่าคนร่างบางตรงหน้าหลุดหัวเราะออกมาอย่างน่ารักแล้วจองกุกก็รู้สึกอยากระเบิดตัวทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด...
อุส่าทำเท่มาสารภาพรักเขาแล้วก็จะจากไปแบบพระเอกจู่ๆกลายมาเป็นการ์ตูนแก๊กเสียอย่างนั้น เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกร่กๆ สายตาก็สอดส่ายไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกอับอาบเสียจนไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหน
“งี้ก็แสดงว่าบอกชอบฉันไม่ใช่เรื่องที่นายห่วงน่ะสิ....”โฮซอกตั้งข้อสังเกตพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะกลั้นหัวเราะ จองกุกในตอนนี้ดูเหมือนจะน่าเอ็นดูขึ้นมาอย่างประหลาด โฮซอกไม่ได้มองว่าสิ่งที่จองกุกทำนั้นขบขัน แต่เสียงหัวเราะของเขาเป็นเพราเอ็นดูเด็กคนนี้ต่างหาก
...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนะที่ทำให้โฮซอกรู้สึกว่าอยากจะช่วงดวงวิญญาณของเด็กคนนี้ให้ไปสู่สุขติ...
...อาจเป็นเพราะรอยยิ้มไร้เดียงสานั่นก็ได้กระมัง...
“นี่ลองนึกดีๆสิว่าก่อนที่จะตายน่ะ...มีอะไรค้างอยู่ในใจ...”จองกุกเริ่มไล่เรียงความคิดตามที่อีกคนบอกทันที แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่สิ่งที่เขาจำได้ก็แค่ความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ภายในใจ...ความรู้สึกที่มีต่อโซอก...
‘...ผมจำไม่ได้...แต่มันเกี่ยวกับพี่....’
โฮซอกพยักหน้ารับคำพูดนั้นก็อยากจะช่วยคิดอยู่นะ แต่ตอนนี้เพิ่งตื่นจองโฮซอกคิดอะไรไม่ออกเท่าไหร่น่ะสิ ว่าแล้วดวงตาคู่สวยของคนอายุมากกว่าก็เบือนไปสบกับนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะเครื่องแป้ง เท่านั้นแหละดวงตาคู่สวยก็ต้องเบิกกว้างจนคนมองอย่างจองกุกยังกลัวว่ามันจะหลุดออกมาเสียให้ได้
“ฉันต้องไปทำงานแล้ว...ระหว่างนี้นายก็นึกไปก่อนนะ เดี๋ยวคืนนี้จะกลับมาช่วยคิด...”โฮซอกมอบรอยยิ้มหวานแสนสดใสให้อีกคนก่อนจะรีบคว้าเอาเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าแล้ววิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำทันที แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่วายหันมาเอ่ยกำชับให้เด็กหนุ่มอีกคนได้ตาโตเล่น
“ระหว่างที่ฉันอาบน้ำห้ามนายทะลุกำแพงไปแอบดูนะเข้าใจเปล่า!”
..นี่จองโฮซอกเห็นเขาเป็นคน..เอ๊ยเป็นผียังไงกันนะ!!
Spirit around
…โฮซอกเป็นนคนน่ารัก...
...ไม่ได้หมายถึงแค่หน้าสวยๆนั่น แต่หมายถึงนิสัยของเจ้าตัวด้วยนั่นแหละ...
...เพราะเป็นคนน่ารักจองกุกเลยไม่แปลกใจเลยที่โฮซอกจะมีคนรักมากมายขนาดนี้...
...แต่นี่มันก็ออกจะ....มากไปหน่อยรึเปล่านะ...
จองกุกนิ่งนิ่งๆอยู่บนโต๊ะสอนหนังสือของโฮซอกอย่างเบื่อหน่าย เด็กหนุ่มเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มด้วยความขัดใจ มองเห็นนักเรียนที่คุ้นหน้าบ้างแปลกหน้าบ้างเดินออกจากห้องเรียนไปหลังจากที่พากันมะรุมมะตุ้มติวเตอร์คนสวยจนโฮซอกตอบคำถามแทบไม่ทัน
จองกุกแอบตามโฮซอกออกมา ในตอนแรกก็คิดว่าการตามติดชีวิตอีกคนดูบ้างในแบบที่ตอนมีชีวิตไม่เคยได้ทำคงสนุกอยู่ไน้อย แต่ก็นั่นแหละ...มันไม่ได้สนุกเท่าไหร่นัก
เพราะยิ่งเห็นว่าคนตัวบางโดนรุมแทบจะตลอดเวลาก็ชักจะหงุดหงิดขึ้นมาเสียเฉยๆ ยิ่งกับนักเรียนสาวๆนี่รู้สึกว่าจองโฮซอกจะส่งยิ้มเรี่ยราดเสียเหลือเกิน...ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้หรือเป็นอยู่แล้วแต่เขาไม่สังเกตกันนะ?
...จองกุกคิดว่าเป็นอย่างหลัง...
ก็แน่ล่ะ เขาน่ะ แค่เห็นรอยยิ้มนั่นก็ลอยค้างทำอะไรไม่ได้ไปนานแล้ว อย่าว่าแต่คอยจับสังเกตเลย...แค่ตั้งสติยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ...
เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกๆนิดหน่อยที่มองไม่เห็นร่างกายตนเอง...โอเค..ก็บอกแล้วว่าแอบตามมา จะปรากฏตัวเป็นตัวๆมาได้ยังไงล่ะ...จริงไหม?
จองกุกนั่งรอเวลาอีกสักพัก คิดว่าจะโผล่เข้าไปเซอร์ไพร์สให้อีกคนตกใจเล่น...เรื่องหนึ่งที่เขาเรียนรู้มาได้ถึงตรงนี้ก็คือ จองโฮซอกน่ะขี้กลัวอย่างบอกใครเชียว...
แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่าใจคิดบานประตูห้องเรียนถ็ถูกผลักให้เปิดออกพร้อมกับดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่ที่ถูกยื่นนำเข้ามาก่อนเข้าของจะโผล่มาเสียอีก
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ทันทีว่าคิ้วของเขากำลังกระตุกยิกๆ ยิ่งเห็นปลายรองเท้าหนังที่เหยียบย่างเข้ามาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ที่หงุดหงิดที่สุดน่ะ....
...ไอ้ใบหน้ายิ้มแย้มแสนเจ้าชู้นั่นต่างหากเล่า...
“อ้าวสวัสดีครับคุณซอกจิน”ทันทีที่เห็นผู้มาใหม่โฮซอกก็เอ่ยทักทายอย่างมีมารยาททันที อีกฝ่ายส่งยิ้มหวานมาให้ก่อนจะยื่นช่อดอกไม้ในมือให้กับคนตัวบาง โฮซอกอึกอักในทีแรกแต่สุดท้ายสองมือเรียวนั่นก็เอื้อมออกไปรับดอกไม้ช่อนั้นอยู่ดี
“ผมเลือกดอกลิลลี่สีขาวเพราะมันบริสุทธิ์เหมือนคุณครับโฮซอก...”คำพูดหวานเลี่ยนชวนอ้วกเสียจนจองกุกยังต้องเบ้หน้า แต่ดูเหมือนภูมิต้านทานของจองโฮซอกจะไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะคนตัวบางเพียงแค่หัวเราะเบาๆและเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก็เท่านั้น
...ไม่ชอบใจ...
จองกุกนั่งมองคนทั้งคู่คุยกันอยู่อีกพักหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าฝ่ายคนตัวสูงกว่าเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาและลาดไหล่กว้างสมชายคนนี้จะไม่ยอมรามือไปง่ายๆ จองกุกเห็นว่าหลายครั้งสายตาอบอุ่นคู่นั้นก็ทอดมองมาที่พี่โฮซอกของเขาในแบบที่เรียกได้ว่าเอ็นดูเกินเหตุ
...ไม่ชอบ...
ไว้เท่าความคิดเด็กหนุ่มก็ผุดกายลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินตรงไปยังร่างของชายหนุ่มสองคนที่ยืนคุยกันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนทันที
“งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ผมขออาสาพาคุณไปหาอร่อยๆทานนะครับโฮซอก”คนตัวสูงกว่าเอ่ยขึ้นก่อนจะผายมืออกไปทางประตูเป็นเชิงให้อีกคนออกไปก่อนอย่างสุภาพ จองกุกนึกหงุดหงิดไม่น้อยที่โฮซอกส่งยิ้มหวานให้อีกคนพร่ำเพรื่อทั้งๆที่ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้อยากไปเลยสักนิด
“อ่า...อย่าเลยครับ คือผม...”
...ก็สัญญากับผีเด็กหนึ่งตนไว้ว่าจะกลับไปช่วยคิดหาทางไปสู่สุขติน่ะสิ...
“นะครับ....โฮซอก ผมอยากให้เราได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้...”น้ำเสียงของคนไหล่กว้างนั้นอ่อนโยนเสียจนจองกุกยังคิดว่าหากเป็นผู้หญิงล่ะก็ พี่โฮซอกของเขาจะต้องเสร็จหมอนี่ไปแล้วแน่นอน...แต่โชคดีที่จองโฮซอกเป็นผู้ชาย...
เจอสายตาอ้อนวอนของอีกฝ่ายเสียจนหมดมาดนักธุรกิจพันล้าน ติวเตอร์หนุ่มที่ถูกตั้งเป็นว่าที่หุ้นส่วนครึ่งชีวิตเลยได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ โฮซอกเกลียดตัวเองตรงที่เป็นคนปฏิเสธใครเป็นนี่แหละ สุดท้ายพอเจอลูกอ้อนเข้าหน่อยไอ้ที่ว่าจะใจแข็งกับใครก็พังครืนทุกรอบ
วิญญาณเด็กหนุ่มที่ยืนกอดอกดังรออยู่ที่ประตูทางออกเบ้ปากเมื่อเห็นว่าสุดท้ายแล้วพี่โฮซอกของเขาก็เดินตามหลังผู้ชายตัวสูงอีกคนไปอย่างว่าง่าย ไอ้ที่ดีใจว่าโฮซอกเป็นผู้ชายเสน่ห์ของผู้ชายคนนี้คงไม่ต้องกังวลมากนักกลายเป็นน่าหงุดหงิดไปเสียเฉยๆ
ดวงตากลมของเด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังบางของติวเตอร์คนสวยที่เดินผ่านหน้าตนไปก่อนจะเบือนกลับมาสบกับใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มอีกคนที่เดินตามหลังมา พอเห็นใบหน้าเปี่ยมสุขนั่นความหมั่นไส้ก็พุ่งปรี๊ดจนต้องเบ้หน้า จองกุกยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อความคิดแผลงๆบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว ไวเท่าความคิดขายาวของเด็กหนุ่มก็ยื่นไปด้านหน้า ใช้สมาธินิดหน่อยส่วนขาที่เคยล่องหนอยู่ก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว
โครม!
เสียงโครมครามที่ด้านหลังเรียกให้คนที่เดินนำหน้าไปก่อนอย่างโฮซอกต้องรีบหันกลับไปมอง แล้วภาพที่เห็นก็ทำเอาคนตัวบางถลาเข้าไปหาอีกคนแทบไม่ทัน
“คุณซอกจิน!”ร่างสูงของชายหนุ่มนักธุกิจชื่อดังนอนผ่าหลาอยู่ที่พื้นอย่างหมดรูป ชายหนุ่มอบอุ่นค่อยๆหยัดกายลุกขึ้นนั่งช้าๆพลางยกมือขึ้นลูบจมูกโงเป็นสันของตนป้อยๆโดยที่มีโฮซอกนั่งดูอาการอยู่ข้างๆกัน
“เกิดอะไรขึ้นครับ”โฮซอกเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง จะว่าสะดุดก็เกรงว่าจะไม่ใช่เพราะพอเหลือบไปมองที่ประตูก็โล่งโจ้งเหมือนตอนเข้าเดินออกมาไม่มีผิด หรือซอกจินจะขาอ่อนหมดแรงขึ้นมากะทันหันกันนะ?
เสียงหัวเราะแผ่วๆดังขึ้นเรียกให้คนที่ได้ยินอย่างโฮซอกต้องหันรีหันขวางมองหาที่มาของเสียง เหลือบซ้ายแลขวาแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า แต่กระนั้นเสียงหัวเราะก็ยังคงดังขึ้นไม่หยุดสักที
...เหตุการณ์ประมาณนี้เหมือนว่าจะคุ้นๆอย่างไรก็ไม่รู้นะ...
“วันนี้ผมว่าเราเลื่อนไปก่อนดีมั๊ยครับ...”โฮซอกเอ่ยเบาๆทั้งที่ยังไม่ได้มองหน้าคนเจ็บข้างกาย ดวงตาคู่สวยยังคงสอดส่องไปรอบตัวอย่างหวาดระแวงเฉกเช่นเดิม เพราะไม่มีเสียงตอบรับกลับมาโฮซอกเลยค่อยๆเบือนใบหน้ากลับมามองซอกจิน กำลังจะเอ่ยปากขอความเห็นแต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นร้องลั่นทันทีที่เห็นของเหลวสีแดงเข้มที่ไหลรินออกมาจากปลายจมูกโด่งของนักธุรกิจหนุ่ม
“คุณซอกจินครับเลือดกำเดา!!!”ได้ยินคำว่าเลือดปุ๊บมือยาวก็ยกขึ้นมาเช็ดอย่างลวกๆด้วยความตื่นตระหนกทันที และพอดวงตาคมของเขามองเห็นสีแดงเข้มของหยาดโลหิตอยู่ในคลองสายตา ชายหนุ่มที่ถูกเลี้ยงมาอย่างคุณชายก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมากะทันหัน รู้สึกตัวครั้งสุดท้ายคือเสียงตะโกนลั่นขอติวเตอร์คนสวยข้างกายเท่านั้นเอง
“ช่วยด้วยครับมีคนเป็นลม!!!”
Spirit around
...วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่จองกุกรู้สึกว่าความน่ารักของจองโฮซอกช่างเป็นพิษภัยเสียจริงๆ...
ผ่านไปแล้วสองวันตั้งแต่ที่จองกุกได้พบกับโฮซอก เขาใคร่ครวญคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่ห่วงหาเป็นอย่างสุดท้ายก่อนที่จะหมดลมนั้นคืออะไร แต่จนแล้วจนรอดวิญญาณเด็กหนุ่มก็คิดไม่ออกเลยสักนิด
โฮซอกเองก็ตั้งใจช่วยอย่างแข็งขันเสียจนหัวใจที่ไม่ได้เต้นแล้วของเด็กหนุ่มพองโต ไม่รู้ว่าโฮซอกอยากช่วยเขาเพราะอะไร อาจจะแค่อยากให้เขาไปให้พ้นๆเร็วๆหรืออยากช่วยเพราะความสงสารจองกุกก็ไม่รู้ แต่กระนั้นเขาก็ยังอดปลื้มใจไม่ได้ที่อย่างน้อยสองวันมานี้ก็ดูเหมือนเขาจะได้เข้าไปอยู่ในความสนใจของติวเตอร์คนสวยไม่มากก็น้อยทีเดียวล่ะ
“อืม...นี่ก็ไม่ใช่เหรอ.....”ดินสอไม้สีดถูกเคาะลงเบาๆที่ริมฝีปากสีสวยอย่างใช้ความคิด โฮซอกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะจัดการพับกระดาษเหลือใช้ที่คว้าเอามาขีดเขียนในการช่วยเจ้าผีเด็กข้างกายคิดหาทางไปสู่สุขติลงกระเป๋ากางเกงของตน
“หรือว่าบางทีเราอาจจะคิดกันเยอะไป...ความจริงแล้วมันอาจจะเป็นอะไรที่พื้นๆมากเลยก็ได้นะ...”โฮซอกครุ่นคิด และนั่นก็ทำให้จองกุกคิดตาม
...นั่นสิ...
...หรือเขามองข้ามอะไรไปนะ...
“รอนานมั๊ยโฮซอก”เสียงแหบห้าวที่ดังขึ้นเรียกให้หนึ่งคนกับหนึ่งผีที่นั่งอยู่ที่ลานน้ำพุกลางสวนสาธารณะต้องหันไปให้ความสนใจ พอเห็นผู้มาใหม่จองกุกก็รีบทให้ร่างกายของตนโปร่งใสทันที อันที่จริงเด็กหนุ่มลองพิสูจน์มาแล้วล่ะว่านอกจากโฮซอกแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียงของเขา แต่เพื่อไม่ให้คนตัวบางต้องคอยมาพะสงเรื่องเขาจองกุกเลยคิดว่าการล่องหนไปสักพักก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ไม่นานครับพี่ยุนกิ”โฮซอกเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท เห็นแบบนั้นเจ้าของผิวขาวซีดราวกับหิมะก็รีบคว้าไหล่บางทั้งสองข้างของคนที่ก้มจนแทบขนานไปกับพื้นเอาไว้เสียก่อน
“เห้ยไม่ต้องขนาดนั้น คนกันเองๆ”
“วันนี้แต่งตัวน่ารักนะเนี่ย...”คนอายุมากกว่าอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้ ถึงจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นักที่คนตัวเตี้ยคนนั้นดูเหมือนจะพออกพอใจในตัวพี่โฮซอกของเขาเสียเหลือเกินแต่จองกุกก็อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้
ปกติที่เห็นโฮซอกมักจะสวมชุดสุภาพแบบเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวเสมอ อย่างไรเสียติวเตอร์ก็ยังขึ้นชื่อว่าครูนั่นแหละนะ...
แต่วันนี้เป็นวันหยุดและโฮซอกเองก็ไม่ได้ออกจากบ้านมาในฐานะครู เขามาในฐานะรุ่นน้องสมัยมหาวิทยาลัยที่มาช่วยงานรุ่นพี่ต่างหาก คนตัวบางเลยอยู่ในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่สวมสบายและกางเกงขาสั้นสีดำตัดกับเรียวขาขาว และแน่นอนว่าที่จองกุกคิดว่ามันดูดีที่สุดก็คงไม่พ้นรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังโชว์ข้อเท้าสวยๆนั่นและหมวกบีนี่สีแดงสดใส
...โฮซอกวันนี้ดูเด็กลงมากราวกับอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาเสียด้วยซ้ำ...
...แบบนี้จองกุกก็ว่าน่ารักไปอีกแบบนะ...
“แต่งแบบนี้มันเรียบไปมั๊ยครับพี่...พี่อุส่าให้มาเป็นนายแบบทั้งที...”โฮซอกเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ เรื่องก็คืออีกสามสัปดาห์จะมีงานประกวดภาพถ่าย ซึ่งมินยุนกิก็เป็นหนึ่งในช่างกล้องอิสระที่จะลงประกวดด้วยเลยมาขอความช่วยเหลือจากรุ่นน้องคนสนิทอย่างโฮซอกให้ช่วยมาเป็นนายแบบให้สักหน่อย
“ไม่หรอก...แบบนี้ดีแล้ว พี่อยากได้ภาพน่ารักๆ”ว่าแล้วผู้ชายเย็นชาในสายตาใครหลายๆคนก็ส่งยิ้มกว้างมาให้รุ่นน้องตัวบาง ทั้งสองคนคุยอะไรกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเริ่มหาโลเคชั่นสวยๆภายในสวนสาธารณะเพื่อเตรียมภายภาพทันที
“เอียงตัวไปทางซ้ายนิดนึง...อื้อนั่นแหละ น่ารักมาก...”
..น่ารักมาก...
ไม่รู้ว่าจองกุกคิดไปเองรึเปล่านะแต่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าคำนี้มันจะดังออกมาจากริมฝีบางบางของชายหนุ่มตัวเล็กหลายครั้งหลายคราเสียเหลือเกิน ครั้งไอ้นักธุรกิจหน้าหล่อนั่นก็ทีแล้ว นี่ก็ยังช่างภาพอิสระอีกอย่างนั้นหรือ...
..ความน่ารักของจองโฮซอกมันไม่น่าไว้วางใจเลยให้ตายเหอะ...
ตอนแรกก็แค่หงุดหงิดเฉยๆนะ แต่พอเริ่มมีการจัดท่าทางที่ถึงเนื้อถึงตัวกันเกินกว่าความจำเป็นนี่จองกุกก็คิดว่าเขาควรต้องทำอะไรสักอย่าแล้ว มันน่าตีให้ตายทั้งคู่นั่นแหละคนหนึ่งก็จับอยู่นั่น ส่วนพี่โฮซอกคนน่ารักของเขานี่ก็น่ารักเสียเหลือเกิน ไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิดว่าไอ้ตากล้องผิวเผือกนี่ได้กำไรไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้วน่ะ!
“...นี่เหรอครับ...”โฮซอกขยับกายออกครั้งเพื่อทำตามคำสั่งของตากล้องตัวขาวอย่างมินยุนกิ แต่ขยับมาแล้วกว่าสิบนาทีก็ยังไม่ได้ท่าที่ถูกใจพ่อเจ้าประคุณเขาสักทีร้อนถึงตากล้องที่ต้องลดกล้องในมือลงแล้วสาวเท้าตรงเข้ามาเขา
“มา...เดี่ยวพี่จัดท่าให้แล้วกัน....”ว่าแล้วมินยุนกิก็เริ่มจัดท่าทางอย่างที่ปากว่าจริงๆ จับซ้ายหมุนขวา จับตรงนู้นตรงนี้ตรงนั้นไม่จบไม่สิ้นสักทีจนจองกุกที่ยืนกอดอกดูอยู่ไกลๆชักจะหมดความอดทน
...เจอดีแน่ไอ้ตากล้องผิวเผือก!
“เอานะครับ...หนึ่ง สอง...!”
ปุ!
นับยังไม่ทันถึงสามช่างกล้องตัวขาวก็ต้องรีบดันกล้องตัวโปรดออกห่างจากใบหน้าทันทีเมื่อเสียงคล้ายการปะทุของอะไรบางอย่างดังขึ้นพร้อมกับประกายไปเล็กๆที่ปรากฏขึ้นให้ใจหายเล่น
“พี่ยุนกิ!”โฮซอกร้องลั่นก่อนจะรีบวิ่งมาดูอาการของคนอายุมากกว่าทันที พอเห็นว่าอีกคนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็โล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ดูจากใบหน้าตึงๆขอรุ่นพี่คนสนิทก็แทบไม่ต้องเดาเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้สภาพอารมณ์ของตากล้องตัวเล็กนี้อยู่ในสภาวะไหน
“กล้องเป็นอะไรเหรอครับ?”โฮซอกเอ่ยถามด้วยความสงสัย ยุนกิส่ายหน้าแทนคำตอบว่าตัวเองเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ชายหนุ่มตัวขาวง่วนกับการดูอาการกล้องของตนอยู่พักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาในที่สุด
“เฮ้อ...พี่ว่าเดี๋ยวต้องเอาไปให้ศูนย์ดู วันนี้คงถ่ายไม่ได้แล้ว โทษทีนะโฮซอกอุส่าออกมา...”ยุนกิส่งยิ้มบางๆให้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ได้ยินแบบนั้นโฮซอกก็รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ละล่ำละลักบอกว่าไม่เป็นไรเป็นการใหญ่
“งั้นไว้เดี๋ยวพี่ซ่อมเสร็จแล้วจะโทรไปรบกวนใหม่แล้วกัน...เดี๋ยววันนี้พี่รีบเอาไปให้เขาดูก่อน...”ยุนกิเอ่ยพลางยกกล้องในมือให้อีกฝ่ายเห็นว่าไอ้สิ่งที่จะเอาไปให้ช่างดูน่ะเป็นอะไร
หลังจากนั้นมินยุนกิก็เลี้ยงโกโก้เย็นโฮซอกหนึ่งแก้วแล้วทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไป โฮซอกเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตนที่บ่งบอกว่าเวลาเพิ่งล่วงเลยมาถึงเที่ยงวันเท่านั้นเอง
“เฮ้อ...เคว้งเลย ทำอะไรดีนะ...”คนตัวบางบ่นกระปอดกระแปด ก่อนรอยยิ้มกว้างจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โทรศัพท์เครื่องหรูถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดโทรออกหาใครบางคนทันที
“นัมจุนว่างป่ะ?”ทันทีที่ปลายสายกดรับเสียงใสก็กรอกเสียงลงไปทันทีโดยไม่คิดจะเอ่ยแนะนำตัวเลยสักนิด พอได้ยินเสียงเอ่ยตอบโฮซอกก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยความประสงค์ของตนให้อีกฝ่ายฟังทันที
“ไปกินข้าวเที่ยงกันป่ะ?”
‘พี่ชอบกินอาหารญี่ปุ่นเหรอ’
เสียงเอ่ยถามไม่มีปี่มีขลุ่ยจากข้างกายเรียกเอาคนที่กำลังนั่งรอคนมารับไปกินข้าวต้องสะดุ้งสุดตัว โฮซอกยกมือขึ้นลูบหัวลูบตัวเรียกขวัญกลับมาก่อนจะเอ่ยดุอีกคนไปเล็กน้อยข้อหาที่ทำให้เขาตกใจ
“จู่ๆโผล่มาแบบนี้พี่ตกใจนะ”โฮซอกว่าพลางพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จ้องมองวิญญาณเด็กหนุ่มที่หย่อนกายนั่งลงที่เข้าอี้ยาวข้างๆกัน คิ้วเรียวขมวดมุ่นก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่ตนสงสัยออกไปทันที
“นี่ถามจริง...ออกมาเจอแดดได้ด้วยเหรอ?”จองกุกขมวดคิ้วก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับใบหน้าจริงจังกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของคนข้างกาย ใครจะไปคิดล่ะว่าติวเตอร์ภาษาเกาหลีคนเก่งจะมีมุมแบบนี้กับเขาด้วยน่ะ
‘ผมเป็นผีนะไม่ใช่แวมไพร์ที่โดนแดดแล้วจะไหม้น่ะ’
จองกุกตอบเรียบๆ แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังพยายามกลั้นขำอย่างสุดชีวิต
“แล้วมาเดินตัวใสๆแบบนี้คนอื่นเห็นไม่เป็นลมตายเอาเหรอ?”จองโฮซอกติวเตอร์หนุ่มที่บัดนี้แปลงร่างเป็นเจ้าหนูจะไมเป็นที่เรียบร้อยแล้วเอ่ยถาม
‘ผมหายตัวได้...เนี่ย...’
ไม่พูดเปล่าจองกุกก็สาธิตให้ดูโดยการหายวับไปต่อหน้าต่อตาจนโฮซอกสะดุ้งโหยง แต่พักเดี๋ยวผีเด็กหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างและเสียงหัวเราะขบขันเกินกว่าจะกลั้นไหว
‘หน้าพี่ตอนตกใจตลกมากเลย’
“หล่อขนาดนี้ตลกตรงไหน....หายตัวไปแล้วเห็นได้ไง”
‘ผมล่องหนแต่ผมก็ยังมองเห็นทุกอย่างปกตินะ...’
..เดี๋ยวนะ....เห็นทุกอย่าง...
“นี่อย่าบอกนะว่าเรื่องประหลาดๆกับกล้องพี่ยุนกินี่ฝีมือนาย?”โฮซอกหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างจับผิด เรียกให้คนที่มีชนักติดหลังต้องเสสายตาหลบโดยอัตโนมัติ อากัปกริยานั้นแหละที่ทำให้โฮซอกมั่นใจว่าปรากฎการแปลกประหลาดช่วงนี้ต้องเป็นฝีมือของเจ้าเด็กนี่แน่ๆ
“ห้ามทำแบบนี้อีกรู้มั๊ยจองกุก...เกิดมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไง....”เสียหวานนั้นอ่อนลงในท้ายประโยค ในคราแรกที่ตั้งใจจะเอ่ยดุให้รู้จักจำเสียหน่อยกลายป็นเสียงอ่อนแบบนี้ได้ยังไงโฮซอกเองก็ไม่แน่ใจ
...อาจจะเป็นเพราะดวงตาใสๆของอีกคนล่ะมั้ง...
...ให้ตายเถอะตายไปแล้วแท้ๆทำไมถึงยังมีดวงตาที่มีชีวิตชีวาขนาดนี้นะ....
...คำตอบนั้นโฮซอกก็หาให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน...
รออยู่ได้ไม่นานคนที่นัดไว้ก็มาถึงสักที แอบรู้สึกโหวงๆนิดหน่อยที่จองกุกไม่ได้ชวนคุยเลยหลังจากที่เขาดุเจ้าตัวไป แต่ก็ยังดีที่เจ้าผีเด็กนี่ไม่ได้หายตัวไปไหน เขายังนั่งอยู่ตรงนั้นที่เดิม ข้างๆกันจนโฮซอกขึ้นรถของคิมนัมจุนออกมาจากสวนสาธารณะนั่นแหละเด็กหนุ่มถึงได้หายตัวไป
“โฮซอกเป็นอะไรรึเปล่า...อาหารไม่อร่อยเหรอ”เจ้าของชื่อถูกดึงออกมาจากห้วงแห่งความคิดในตอนที่เสียงทุ้มของใครบางคนเอ่ยทัก โฮซอกส่งยิ้มออกไปขัดตาทัพก่อนจะเริ่มลงมือกินสักที นึกว่ากล่าวตนเองอยู่ในใจที่เผลอใจลอยเสียได้...แถมเป็นการใจลอยที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยสักนิด
...แย่...
การกินอาหารมื้อนี้ไม่สนุกอย่างที่คิด มันเหมือนมีอะไรบางอย่างค้างคาอยู่ในใจซึ่งโฮซอกเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“นายจับสิ่งของได้เหรอ?”เสียงหวานของเจ้าของห้องเอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัยเมื่อพบว่าวิญญาณเด็กหนุ่มผู้มาขออาศัยชั่วคราวกำลังพลิกหน้าหนังสือ 'บทกวีของพระเจ้าเซจง' ไปมาอย่างตั้งอกตั้งใจ
‘ผมเริ่มจับได้แล้วน่ะ...ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ถ้าตั้งสมาธิหน่อยผมก็จะจับพวกมันได้’
จองกุกตอบด้วยท่าทางที่ปกติผิดกับเมื่อตอนเที่ยงลิบลับ เด็กหนุ่มส่งยิ้มบางๆมาให้โฮซอกก่อนจะหันไปสนใจหนังสือตรงหน้าต่อ โฮซอกลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ...
...หรือบางทีอาจจะรู้ก็ได้...
ริมฝีปากสีสวยเม้มแน่นก่อนคนอายุมากกว่าจะตัดสินใจเดินตรงไปหาเด็กที่นอนอ่านหนังสือของเขาอยู่บนเตียงอ่างถือวิสาสะ แรงยวบของเตียงเรียกให้คนที่จดจ่ออยู่กับหนังสือไหวตัวเล็กน้อย จองกุกเงยหน้าคนที่นั่งลงข้างกายก่อนจะไล่มองมาจนถึงฝ่ามือเรียวที่เอื้อมออกมาด้านหน้า
‘ครับ?’
“จับได้ใช่ป่ะ ลองจับหน่อยดิ...พี่อยากรู้ว่าเวลาโดนผีจับจะรู้สึกยังไง?”เป็นอีกครั้งที่จองกุกหัวเราะออกมากับความคิดประหลาดๆของคนตรงหน้า เด็กหนุ่มช่างใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือออกไปในที่สุด
สัมผัสเย็นเยียบแบบแปลกๆทำให้โฮซอกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจไปมากกว่าสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับจากอีกคนเลยสักนิด โฮซอกมองจองกุก...แต่จองกุกไม่ได้มองหน้าเขา ดวงตาสีรัตติกาลที่ควรจะไร้ชีวิตชีว่าคู่นั้นเป็นประกายระยิบระยับยามที่ไล้นิ้วมือโปร่งแสงนั้นไปตามข้อนิ้วบางของใครอีกคน
...จองกุกรู้สึกดี...
...เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกดีที่มีโอกาสได้สัมผัสมือบางคู่นี้...
...ตอนยังมีชีวิตอยู่เด็กหนุ่มเคยคิดเอาไว้ว่ามันจะรู้สึกดีแค่ไหนหากได้จูงมือคู่นี้ไปอวดใครต่อใครในงานเลี้ยงสักงาน....
ฝ่ามือที่กอบกุมมือบางของใครอีกคนอยู่พลันชงักลงพร้อมกับความคิดบางอย่าที่ผุดขึ้นมาในหัว
...งานเลี้ยง...ปาร์ตี้!
‘พี่โฮซอก...’
เสียงเรียกของใครอีกคนได้รับการตอบรับเป็นเพียงเสียงฮึมฮัมในลำคอ ดวงตากลมทรงเสน่ห์ของเด็กหนุ่มจ้องมองตรงไปยังดวงตาคู่สวยของอีกคน ข้อความบางอย่างถูกส่งผ่านมาโดยไม่ต้องการคำพูด โฮซอกไม่รู้ว่าความรู้สึกร้อนๆที่ข้างแก้มมันเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ให้พูดกันตามตรงคือสายตาที่จองกุกใช้มองเขาตอนนี้มันทำให้เขาอยู่ไม่สุข
พอเห็นว่าอีกคนพยายามจะเบือนหน้าหนีตนมือขาวของเด็กหนุ่มจึงเอื้อมไปสัมผัสผิวแก้มขาวเบาๆพาให้ร่างโปร่งบางของโฮซอกนั้นหยุดนิ่งได้อย่างดีนัก จองกุกไม่ได้ขืนบังคับใบหน้าของเขา เด็กหนุ่มทำเพียงแค่แตะมันเบาๆนั้น
...สัมผัสแผ่วเบาทว่าอ่อนโยน..
...ฝ่ามือเย็นชืดที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากลมเย็นของเครื่องปรับอากาศแต่กลับอบอุ่นอย่างที่ให้คำนิยามไม่ได้...
‘ผมชอบพี่...’
ถึงจะเคยได้ยินมาแล้วแต่ไม่รู้ทำไมว่าครั้งนี้มันถึงไม่เหมือนตอนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นหรือว่าเป็นเพราะบรรยากาศหวานเยนที่ลอยอบอวนไปทั่วทั้งห้องนี่กันแน่ที่ผลักดันให้คำพูดนี้ราวกับมีอะไรบางอย่างที่สะกดให้โฮซอกไม่อาจไหวกายได้แม้แต่นิด
‘...ถึงมันจะแค่ไม่กี่วัน แต่การได้อยู่กับพี่ผมมีความสุขมากๆ’
“...”
‘..ขอบคุณมากนะครับ....’
จองกุกส่งยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะละฝ่ามือออกจากแก้มขาวของคนตัวบางกว่า เด็กหนุ่มยกยิ้มกว้างยิ่งขึ้นไปอีกก่อนจะลงจากเตียง ร่างสูงของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีค่อยๆย่อตัวลงนั่งชันเข่าที่พื้นห้องก่อนจะยื่นมือมาให้เขาข้างหนึ่ง
‘ปาร์ตี้ฮาโลวีนปีนี้...พี่ไปกับผมได้มั๊ยครับ’
โฮซอกนิ่งอึ้งกับคำของและท่าทางของอีกฝ่ายไปพักหนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด ยิ่งมองเห็นว่าเบื้องหลังใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววจริงจังจนชวนให้ใจสั่นนั่นคือใบหูขาวที่ขึ้นสีด้วยความเขินอายแล้วก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าเอ็นดูเหลือเกินเสียอย่างนั้น
“...นายก็แค่ตามพี่ไป....จองกุก!”กำลังจะให้คำตอบโฮซอกก็ต้องอุทานชื่ออีกฝ่ายออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นความผิดปกติบางอย่างผ่านเข้ามาในสายตา
ร่างกายที่โปร่งแสงในตอนแรกตอนนี้ก็ยังโปร่งแสงอยู่ แต่มันกลับเป็นประกายระริบระยับราวกับทรายที่สะท้อนกับแสงแดดริมหาด
เพราะเสียงอุทานด้วยความตกใจของโฮซอกเรียกให้โฮซอกต้องไหวตัว เด็กหนุ่มก้มลงสำรวจร่างตนก็พบว่ามันเป็นประกายสีทองทั่วไปหมด แต่ตกใจกับแสงสีทองได้ไม่นานร่างของเขาก็กระตุกวูบราวกับถูกดึงอย่างแรงไปทางด้านหลัง
จองกุกไม่ตกใจกับแรงดึงนั้น...แต่ที่เขาตกใจคือความรู้สึกเจ็บแปล๊บไปทั่วร่างต่างหาก วิญญาณไม่มีความรู้สึก...อันนี้จองกุกเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่ทุกครั้งที่ถูกลากดึงในตอนนี้ร่างกายกลับเจ็บระบมไปหมดราวกับว่าเขาเพิ่งถูกรถสิบล้อทับมาอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้จองกุกเกิดอะไรขึ้น!”โฮซอกร้องลั่นพยายามคว้าจับร่างของจองกุกที่ถูกดึงห่างออกไปเรื่อยๆให้กลับเข้ามา แต่ไม่ว่าเขาจะไขว่คว้าเท่าไหร่ก็ได้กลับมาเพียงแค่ความว่างเปล่าก็เท่านั้น
...โฮซอกไม่แน่ใจ โฮซอกคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่การหมดห่วง...
...เพราะถ้าหมดห่วงจริงๆ....ใบหน้าของเด็กหนุ่มจะเจ็บปวดแบบนั้นหรือ...
ยื้อยุดกายไว้ได้สักพักจองกุกก็พบว่ามันช่างไร้ประโยชน์ น้องจากความเจ็บร้าวที่เพิ่มขึ้นแล้วแรงดึงนี่ก็เพิ่มขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วบอกตัวเองอีกครั้งว่าเขาได้ทำตามความปารถนาสุดท้ายแล้ว
...จองกุกกล้าเอ่ยปากชวนจองโฮซอกไปงานเลี้ยงด้วยกัน...
...ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว...
‘พี่โฮซอก...ขอบคุณครับ’
โฮซอกไม่รู้ว่าจองกุกพูดอะไรบ้างเพราะเขาแทบไม่ได้ฟัง แต่มีเพียงประโยคเดียวที่เขาฟังรู้เรื่อง...คำขอบคุณ...
...ประโยคสุดท้ายก่อนร่างวิญญาณของเด็กหนุ่มจะถูกดึงหายไปในกลุ่มแสงสีทองและจากไปอย่างไร้ร่องรอย...
...เร็วไปที่จะจากลา...
...โฮซอกยังไม่ได้ให้คำตอบของคำเชิญก่อนหน้านี้เลย...
...ไม่อยากฟังหรอกเหรอจองกุก...
Spirit around
ปาร์ตี้ฮาโลวีนมาถึงในที่สุด...
สองสัปดาห์หลังจากการหายตัวไปของวิญญาณจองกุกแน่นอนว่าจองกุกไม่ได้โผล่มาที่โรงเรียนกวดวิชา..แม้แต่เพื่อนๆของเขาก็ไม่มา...
...ไปแล้วจริงๆหรือจองกุก?....
ตอนแรกโฮซอกก็ไม่ได้รู้สึกอยากมาเลยสักนิด แต่เขาก็ให้เหตุผลกับตัวเองว่าเขาควรทำตัวให้เป็นปกติเพื่อที่จะได้ลืมเลือนความรู้สึกวูบโหวงแปลกประหลาดในใจนี่ไปสักที แต่ดูเหมือนจนแล้วจนรอดมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด...
ผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตามากมายเดินเข้ามาทักทายเขา วันนี้ทุกคนสนุกสนานกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การขบคิดเรื่องชุดที่จะแต่งมาไปจนถึงเครื่องดื่มรสดีและเพลงสนุกๆที่เปิดให้ได้โยกย้ายกันเสียจนลืมกังวล
เพราะไม่ได้วางแผนว่าจะอยู่นานมากนักโฮซอกเลยเลือกที่จะแต่งตัวแบบง่ายๆเพียงแค่ชุดคอสเพลย์สตาร์วอร์สำเร็จรูปเท่านั้น เห็นบางคนแต่งตระกาลตาเข้ามาตั้งแต่ทางเข้าแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
...วันปล่อยผี...แต่มนุษย์กลับมีความสุขเสียอย่างนั้น...
...น่าแปลก...
เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลากว่าสามทุ่มแล้ว อันที่จริงสำหรับเขามันไม่ได้ดึกดื่นอะไรเลย แต่โฮซอกก็แค่ไม่อยากอยู่ต่อ...เขาอยากกลับบ้านไปนอนมากกว่า คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มร่างบางเลยตัดสินใจเดินออกไปด้านนอกโถงจัดงานทันที
โฮซอกนึกนับถือฝ่ายจัดสถานที่ที่ตกแต่งได้วังเวงน่าขนลุกเสียจนก้าวขาแทบไม่ออก ไอ้ที่เหมือนจริงให้ความรู้สึกขนลุกได้น่ะมันก็ดีอยู่หรอก...แต่มาเขย่าขวัญกันในวันสิ้นเดือนตุลาคมแบบนี้ก็ใจร้ายเอาเรื่องเหมือนกันนะ
โฮซอกไม่รู้ว่าเขาต้องใช้ความสามารถมากแค่ไหนกันที่จะต้องเมินบรรยากาศชวนขนลุกรอบกายแล้วเดินตรงไปที่รถยนต์ส่วนตัวที่จอดทิ้งไว้เลียบทางเท้าใกล้ๆนี้
“พี่โฮซอกครับ!”เสียงเรียนชื่อที่ดังขึ้นจากที่ไกลๆเรียกให้ฝีเท้าชะงักลง ดวงตาคู่สวยก็กวาดมองรอบกายเพื่อหาที่มาของเสียง แต่เพราะรอบกายนั่นถูกปกคลุมไปด้วยความมืดที่น่าขนลุกมันเลยทำให้ลำบากในการมองหาที่มาของเสียงไม่น้อย
“พี่ได้ยินผมมั๊ย”เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบสงัดของยามค่ำคืน โฮซอกนึกแปลกใจที่มันดันเรียกความทรงจำเหตุการณ์บางอย่างให้ไหลย้อนกลับเข้ามาในมโนสำนึกอีกครั้ง
‘ผมอยู่ตรงนี้’
“ผมอยู่ตรงนี้”เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้มากขึ้น...ใกล้เสียจนโฮซอกไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา พลันแรงสะกิดแผ่วๆที่ไหล่ขวาจากด้านหลังก็เรียกให้คนขวัญอ่อนสะดุ้งสุดตัว โฮซอกรีบหันรีหันขวางกลับไปมองทันที แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า...
...เหมือนตอนนั้น...
ทั้งๆที่ควรจะกลัวแต่โฮซอกไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่คอยปลอบใจเขาว่าไม่ต้องกลัว...โฮซอกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในตอนนั้นอะไรดลจิตดลใจให้เปิดปากถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ
“...จองกุก...?”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น และตอนนั้นเองแหละที่โฮซอกพบว่าเสียงนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เขามากเท่าใด
“ผมนึกว่าพี่จะจำเสียงผมไม่ได้แล้ว”สิ้นเสียงนั้นไหล่บางทั้งสองข้างก็ถูกคว้าจับเอาไว้ก่อนจะจับหมุนให้ร่างเขาหันหน้าไปตามทิศทางที่ต้องการ
แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ใบหน้าหล่อเหลาของวิญญาณเด็กหนุ่มอย่างที่เคยเป็น ภาพตรงหน้าของเขาคือเด็กหนุ่มวัยรุ่นสามคนกำลังยืนฉีกยิ้มส่งมาให้เขา คนแรกคือเด็กหนุ่มตัวสูงเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งสุดเซ็กซี่แต่งกายเป็นแฟรงเกนสไตน์ครบสูตร คนขวาสุดคือเด็กหนุ่มตัวเล็กในเครื่องแต่งกายผีดูดเลือดแสนน่ารัก และคนตรงกลาง....
“งั้นพวกกูไปก่อนนะ...”เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดเอ่ยบอกกับคนตรงกลางก่อนจะจัดการลากเพื่อนแฟรงเกนสไตน์ให้เดินตามตนออกไปด้วยโดยมีสายตาของคนสุดท้ายยืนมองจงหายไปลับตา
“ผมหาชุดไม่ทันน่ะเลยมาทั้งแบบนี้เลย....แต่คิดว่าคงพอใช้ได้อยู่”เด็กหนุ่มที่เหลือเพียงลำพังเอ่ยกลั้วหัวเราะ โฮซอกอยากจะจับคนตรงหน้ามาเขย่าเรียกสติแรงๆสักที อย่างบอกว่าไอ้ที่เป็นอยู่ตอนนี้น่ะไม่ใช่ศพก็ใกล้เคียงเชียวล่ะ!
“ผ้าพันแผลเต็มตัวขนาดนี้เป็นมัมมี่แล้วกันเนอะ”เด็กหนุ่มตรงหน้าเอ่ยก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อร่างของเขาถูกสวมกอดแผ่วเบาจากติวเตอร์คนสวยโดยไม่ทันตั้งตัว
“นายไม่ใช่ผีนี่....”โฮซอกตาโตและรีบผละกายออกมาจากอีกคน
“ก็ไม่ใช่น่ะสิครับ...”จองกุกหัวเราะเสียงใส ยิ่งยามที่เห็นใบหน้าหลายหลายอารมณ์เหมือนคนคิดไม่ตกของจองโฮซอกแล้วมันก็ขบขันเสียจนกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้
“..แต่ตอนนั้นพี่เห็น...”
“อ๋อนั่นน่ะ...ผมก็กำลังจะไปสู่สุขติจริงๆแหละ หัวใจผมหยุดเต้นไปแล้ว...แต่หมอเขาก็ช็อตเอาผมกลับไปจนได้....”จองกุกว่าก่อนจะยกยิ้มบางๆก่อนจะเอ่ยเรียกชื่ออีกคนเบาๆ
“พี่โฮซอกครับ”ฝ่ายคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกับความสงสัยที่มีคับอกก็ถูกดึงกลับมาสู่ความจริงเพราะเสียงเรียกแผ่วเบาและฝ่ามือขาวที่เต็มไปด้วยบาดแผลของอีกคนที่เอื้อมออกมาคว้ามือบางของเขาไปกอบกุมเอาไว้
“ผมมาเอาคำตอบเมื่อตอนนั้นครับ....”
“...”
“ปาร์ตี้ฮาโลวีน....พี่ไปกับผมได้มั๊ยครับ?”
จองกุกจ้องมองใบหน้าสวยที่เรียบนิ่งด้วยความลุ้นระทึก หัวใจดวงนี้วูบโหวงทันทีที่อีกฝ่ายค่อยๆชักมือออกจากการกอบกุมช้าๆแต่ทว่าช่างแสนสุภาพ
“ไม่”
สิ้นเสียงนั้นเปลือกตาขาวที่บวมเปล่งจากบาดแผลมากมายก็ปิดลงอย่างเชื่องช้า...อันที่จริงจองกุกก็คิดไว้อยู่แล้วแหะว่าอาจจะได้รับคำปฏิเสธ....โฮซอกน่ารัก คงมีคนชวนมางานนี้เยอะมากมายอยู่แล้ว
แล้วคนป่วยที่นอนสลบอยู่ในโรงพยาบาลวิญญาณออกจากร่างมาเป็นอาทิตย์อย่างเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปชวนให้ทันคนพวกนั้น...
ตัดพ้อกับตัวเองในใจได้ไม่ถึงอึดใจดวงตากลมทรงเสน่ห์นั้นก็ต้องเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อฝ่ามือบางของใครบางคนเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายกอบกุมมือของเขาเอาไว้แทน โฮซอกแย้มรอยยิ้มหวานที่ชวนให้ใจเต้นแรงไม่ต่างจากครั้งแรกที่พบเจอมาให้เขาก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้จองกุกยิ้มกว้างเสียจนลืมเจ็บแผลบนใบหน้าไปเสียสิ้น
“ท่องบทกลอนของพระเจ้าเซจงมาสามบทแล้วพี่จะลองคิดดูนะจอนจองกุก”
...ตามตำนานเขาว่ากันว่าวิญญาณจะไม่ยอมไม่สู้สุขติหากยังไม่หมดห่วง...
…แต่บางครั้งการหมดห่วงก็ไม่ได้ไปสู่สุขติเสมอไป...
...เพราะคุณอาจจะได้ไปงานปาร์ตี้ฮาโลวีนกับติวเตอร์ภาษาเกาหลีแทน...
...คุณว่าแบบไหนมันคุ้มกว่ากันล่ะ?...
END.
TALK. ทริคออร์ทรีต กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด จบแล้ววววววว เหนื่อยมากกกกก งื้อออออ แต่ก็แต่งมาลงทันจนได้ ฮื่อออออ ถ้าใครตามทวิตเพชรจะเห็นค่ะว่าวอแวกับเรื่องนี้มาก เปลี่ยนพล๊อตมาสามสี่พล๊อต ใสบ้างกามบ้าง(?) แต่สุดท้ายกาลงตัวที่อันนี้ คิ้วท์ๆ ขอเรียกว่าบีเอพีช่วยชีวิตค่ะ 555555555555555555555555
แล้วก็ต้องขอบคุณอภินันทนาการจากน้องพีพี่เอิงพี่แป้งคาโมพี่ตูนแล้วก็ฝนมากๆที่อยู่เป็นเพื่อนและตามทวงตามจิกจนต้องแต่งให้จบ 55555 ขอบคุณค่า
สำหรับตัวฟิคนั้นเราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกเพราะมันช่างไร้สาระเหลือเกิน 55555555555555 แต่ในส่วนของการฮาร์ดเซลนั้น.....
เราเปิดจองฟิคแล้วนาจาร์ อิอิ ปกสวยมากวาดเองไม่อยากจะอวด แง้วววว 555555555555555 สนใจรายละเอียดติดตามได้ที่ลิ้งค์นี้เลยจ้า>> Fic Zillion Hope of Butterfly
เอาไว้เจอกันเรื่องต่อไปน้า แต่ตอนนี้ขอไปลุยรหัสแดงกับรวมเล่มก่อนนะค้า อิอิ
ความคิดเห็น