คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : (os) Time Machine | rapmonster x j-hope
Time Machine
Rapmonster x j-hope
25.1.15
*เปิดเพลงฟังไปด้วยจะได้อรรถรสมากขึ้นนะคะ บิบิ*
...ใน สามมิติ ที่มนุษย์อาศัยอยู่ มีเพียงสิ่งเดียวที่แม้แต่หลุมดำก็ดูดกลืนเข้าไปไม่ได้...
...นั่นคือ เวลา ....
- Time Machine -
รองเท้าหนังขัดมันก้าวมาหยุดอยู่หน้าบ้านพักซอมซ่อหลังหนึ่งก่อนผู้เป็นเจ้าของมันจะทิ้งกระเป๋าเอกสารสีดำลงข้างกาย มือเรียวภายใต้ถุงมือผ้าสีขาวสะอาดเอื้อมออกไปกดกริ่งใกล้พังที่โชว์อยู่ตรงหน้าช้าๆอย่างไม่เร่งรีบนัก
เจ้าของช่วงไหล่กว้างอันเป็นเอกลักษณ์ยังคงยืนรออยู่ที่หน้าประตูอย่างสงบนิ่ง แต่ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งนาทีก็ยังไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากอีกด้านหนึ่งของบานประตูไม้ผุพังตรงหน้าเลยสักนิด ผู้มาเยือนจึงจำต้องเอื้อมมือออกไปกดอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนการกดกริ่งครั้งนี้เขาจะเผลอใส่แรงมากเกินไปเสียหน่อยเพราะทันทีที่จิ้มนิ้วลงไปเจ้าปุ่มกลมๆปริศนาสนิมเขรอะนั่นก็ร่วงตุบลงไปแทบเท้าเขาแทน ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความเอือมระอาก่อนจะเปลี่ยนวิธีมาเป็นการเคาะประตูเสียงดังแทน ถึงจะเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านไปเสียหน่อยแต่ถ้ามันจะทำให้เจ้าขี้เซาหลังประตูนี่ขุดกายออกมาจากกองขยะของตัวเองได้ก็ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
“นัมจุน! คิมนัมจุน!”ตะโกนเรียกเจ้าของบ้านตรงหน้าพร้อมกับรัวมือทุบลงที่ประตูด้วยความหงุดหงิดใจเต็มแก่ เสียงโครมครามสองสามครั้งติดเป็นสัญญาณได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของบ้านนั้นตื่นแล้วแน่นอน
...ก็แน่ล่ะ นี่มันบ่ายสองแล้ว...
ผลัวะ!
บานประตูถูกกระชากเปิดอย่างรวดเร็วก่อนร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งจะถลาออกมาภายนอกอย่างรวดเร็ว
“ซอกจิน! เจอแล้ว! ฉันเจอคำตอบของสมการนั่นแล้ว!”เจ้าของชื่อคิมนัมจุนโผล่งออกมาทันทีที่เจอหน้าเพื่อนรักของตน มือหนาทั้งสองข้างของเจ้าของบ้านก็ถือกระดาษยับๆจนเต็มไม้เต็มมือไปหมด ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้ทรุดโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด ขอบตาดำคล้ำเพราะการอดนอน หรือแม่แต่หนวดเครารุงรังเพราะเจ้าตัวไม่ใส่ใจนั่นอีก
คิม ซอกจิน กวาดตามองสภาพเพื่อนรักแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา มือเรียวกระชับเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำสนิทของตนให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะก้มลงไปหยิบกระเป๋าของตนขึ้นมาถือไว้เตรียมตัวเดินเข้าบ้านของอีกคนเสียที แต่ดูเหมือนคิมนัมจุนที่กำลังดีใจจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเข้าไปง่ายๆ
“ใกล้เข้าไปอีกก้าวแล้วซอกจิน! เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้น!”น้ำเสียงดีอกดีใจและสภาพซอมบี้ที่กำลังมีชีวิตชีวาของเพื่อนทำให้คิมซอกจินไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกไปหรอก เพียงแต่...
“นายก็พูดอย่างนี้มาทุกปี...”
“ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันซอกจิน...นายต้องมาดูเอง เข้ามาสิ”เจ้าของบ้านในสภาพเสื้อเชิ้ตเน่าๆและกางเกงแสลครุ่งริ่งเอ่ยบอกพลางเปิดทางให้เพื่อนรักเดินเข้าไปภายในบ้านของตนด้วยรอยยิ้มกว้างแห่งความปิติยินดีเสียจนเห็นลักยิ้มที่บุ๋มเข้าไปข้างแก้มทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
คิมซอกจินกวาดสายตามองกองขยะรอบตัวแล้วก็ได้แต่เบ้หน้า เขาใช้เท้าเขี่ยเอาก้อนกระดาที่ถูกขยำจนยู่ยี่มากมายที่ขวางทางเดินของเขาออกก่อนจะหาที่ว่างบนเตียงฝุ่นจับนั่นเพื่อนั่งพัก
ดูจากสภาพที่เหมือนถูกปล่อยรกไว้เสียจนฝุ่นจับเกรอะขนาดนี้ซอกจินไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเลยสักนิดว่าเพื่อนรักของเขาได้นอนพักผ่อนบ้างหรือเปล่า
คิมนัมจุนที่กำลังตื่นเต้นกับความสำเร็จของตนรีบเดินตรงไปยังกระดานดำแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่ตรงผนังด้านหนึ่ง ชายหนุ่มจัดการลากโต๊ะทำงานรกรุงรังออกจากพื้นที่สัญจร เอาเท้าเขี่ยข้าวของให้พ้นทางอย่างลวกๆแล้วเคลื่อนกายเข้าไปตรงหน้ากระดานดำตรงหน้า
แปลงลบกระดานไม่ได้ถูกเหลียวมองเลยสักนิด คิมนัมจุนเลือกที่จะใช้มือของตนละเลงไปบนกระดานดำเพื่อลบรอยชอล์กสีขาวที่ถูกเขียนทิ้งไว้อย่างไร้ระเบียบนั่นออก
เสียงขีดเขียนบนกระดานดำเรียกให้ซอกจินที่กำลังมองสำรวจรังหนูขนาดยักษ์ของเพื่อนรักที่แปลงร่างเป็นซอมบี้หนูยักษ์ไปแล้วเรียบร้อยให้หันกลับมามองที่เพื่อนร่างสูงของตน
“ฉันน่าจะคิดออกตั้งนานแล้วซอกจิน! ดูนี่นะ!”เสียงทุ้มของพ่อสติเฟื่องเอ่ยออกมาอย่างร่าเริงก่อนจะลากเส้นตรงเส้นหนึ่งที่กลางกระดานดำ ขีดแบ่งมันเป็นสามส่วนอย่างง่ายๆ
“นี่คือเส้นเวลาตามที่เราเข้าใจกันมาตลอด...ส่วนจุดแรกนี่คืออดีต นี่ก็ปัจจุบัน ส่วนนี่ก็อนาคต...”ชอล์กสีขาวถูกเจ้าของมันจิ้มจึกๆเข้าที่กระดานดำจนแทบหักกลางเพื่ออธิบายให้เพื่อนรักได้เข้าใจ
“เราเข้าใจมาตลอดว่าเวลาเป็นเส้นตรงมันถึงย้อนกลับไม่ได้...แต่นั่นมันผิด มันผิดซอกจิน! เวลาไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่มันเคลื่อนที่เป็นวงแบบนี้ มันไหลเป็นวงโดยไม่มีจุดสิ้นสุดต่างหาก!”ไม่พูดเปล่าคิมนัมจุนก็จัดการลากปลายด้านหนึ่งของเส้นต่อเข้ากับปลายอีกด้านหนึ่งจนมันกลายเป็นรูปวงรี
“ถ้ามันไหลเป็นกระแสวนแบบนี้...ถึงเราจะย้อนกลับไปไม่ได้ แต่เราก็ย่อมันได้...แบบนี้”นิ้วยาวของชายหนุ่มจัดการลบสวนหนึ่งของเส้นรอบวงออกก่อนจะเชื่อมเส้นซิกแซกเข้าไปใหม่
“เราสามารถกลับไปอยู่ตรงจุดนี้ได้โดยที่ไม่ต้องย้อนเวลา...เราแค่ย่นระยะเดินทางของมัน ใช้หลักการแบบเดียวกับรูหนอน พับมันเข้าหากัน...แค่นี้มันก็ไม่ขัดกับทฤษฏีบ้าๆพวกนั้นแล้วซอกจิน! ใกล้จะสำเร็จแล้ว...ฉันใกล้ได้เจอ เขา แล้ว...”ท้ายประโยคน้ำเสียงของคิมนัมจุนกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโหยหา รอยยิ้มอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งบนใบหน้าหล่อเหลาของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนี้เรียกให้ร่องรอยแห่งความเศร้าปรากฏชัดขึ้นในแววตาของเพื่อนรักอย่างคิมซอกจิน
“นัมจุน...”ซอกจินครางชื่อเพื่อนรักออกมาเบาๆพลางจ้องมองใบหน้าเปื้อนยิ้มบางเบาของอีกคนที่กำลังมองเหม่อไปยังกรอบรูปตั้งโต๊ะรูปหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา
ภาพของชายหนุ่มวัยรุ่นสองคนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข...
ชายหนุ่มคนหนึ่งไม่ว่ามองยังไงก็ดูออกได้ว่านั่นคือคิมนัมจุนเมื่อวันวานสมัยเรียนมหาวิทยาลัยกำลังทอดมองคนข้างกายด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ส่วนอีกคนคือผู้ชายหน้าสวยเจ้าของรอยยิ้มสดใสและริมฝีปากรูปหัวใจเป็นเอกลักษณ์
...ชายผู้เป็นเจ้าของหัวใจของคิมนัมจุน...
“ยังไม่ลืม โฮซอก อีกเหรอนัมจุน”เสียงเอ่ยถามของเพื่อนรักเรียกให้คิมนัมจุนต้องละสายตาออกจากใบหน้าสวยๆของอดีตคนรักที่ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวอยู่ในกรอบรูปเก่าๆใบนั้น
“ยังไม่ลืม...และจะไม่มีวันลืม”เสียงเอ่ยตอบและดวงตาแน่วแน่ที่ตอบกลับคำถามของเขาเรียกให้คิมซอกจินได้แต่ถอนหายใจหนักๆออกมาด้วยความระอาใจ
“นี่มันเจ็ดปีแล้วนัมจุน...เจ็ดปีแล้วที่นายทำตัวเป็นไอ้บ้าเสียสติหมดตัวอยู่กับกองขยะโง่ๆแล้วก็ฝันลมๆแล้งๆของนาย!”ความอดทนของคิมซอกจินที่สั่งสมมาตลอดได้หมดลงแล้ว พอกันทีกับการที่ต้องทนเห็นเพื่อนรักทำร้ายตัวเองทางอ้อมแบบนี้
“มันไม่ใช่เรื่องเสียสตินะซอกจิน! นายก็เห็นว่ามันใกล้ความจริงแล้ว อีกแค่นิดเดียว! นิดเดียวเท่านั้น! ฉันจะได้เจอโฮซอก...ฉันจะได้อยู่กับเขา!”คิมซอกจินผุดลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคไร้สติของเพื่อนรัก ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วๆตรงไปหาเจ้าของบ้านก่อนจะเงื้อหมัดเข้าปะทะที่ใบหน้าหล่อเหล่านั่นอย่างแรงทันที
“เลิกหนีความจริงสักทีเถอะคิมนัมจุน! ยอมรับได้แล้วว่านาย ไม่มีวัน จะได้อยู่กับโฮซอกอีกแล้ว! โฮซอกไปแล้ว...จองโฮซอกตายไปแล้ว นายเข้าใจมั๊ย!”
สิ้นเสียงระเบิดอารมณ์อย่างเหลืออดของเพื่อนรักความอดทนของคิมนัมจุนเองก็หมดลงแล้วเหมือนกัน ชายหนุ่มร่างสูงถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อนก่อนจะจัดการสวนหมัดกลับไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของคิมซอกจินอย่างไม่คิดจะออมแรง ซอกจินเองก็ไม่ปล่อยให้คิมนัมจุนได้ทำอะไรมากกว่านั้นจัดการสวนหมัดกลับไปเช่นกัน
ใช้เวลานานกว่าสิบนาทีกว่าเพื่อนรักทั้งสองคนจะผละออกจากกันได้ คิมซอกจินทิ้งกายลงบนเตียงเก่าๆของคิมนัมจุนอีกครั้ง มือก็ยกขึ้นกุมแก้มข้างหนึ่งที่บวมช้ำจากการวิวาทเมื่อครู่
ฝ่ายนัมจุนเองก็สภาพร่อแร่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ชายหนุ่มทรุดกายนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตนก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าเอากรอบรูปเพียงอันเดียวที่ตั้งทิ้งเขาไว้ขึ้นมาจ้องมองอีกครั้ง
“ฉันก็แค่...อยากขอโทษเขา...ถ้าตอนนั้นฉันเลือกเขา...โฮซอกอาจจะยังนั่งอยู่ตรงนี้ นั่งอยู่ข้างๆฉัน ถามพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆว่าฉันเหนื่อยมั๊ย? เอาโกโก้ร้อนสักแก้วดีมั๊ย?...”น้ำเสียงสั่นไหวจนซอกจินได้แต่เบือนหน้าหนีภาพตรงหน้า
รอยยิ้มเศร้าๆระบายบนริมฝีปากได้รูปของคิมนัมจุน มือหนาลากไล้ไปที่ใบหน้าสวยของคนรักภายในรูปถ่ายแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม กดลากย้ำๆที่รอยยิ้มหวานๆของคนคนนั้น...
...รอยยิ้มนี้...
...รอยยิ้มที่ทำให้เขาตกหลุมรัก...
...รอยยิ้มที่เป็นเหมือนพลังชีวิตของคนไม่ได้ความอย่างคิมนัมจุน...
...รอยยิ้มที่ตอนนี้มีเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น...
“...ฉันจะบอกเขาว่าฉันเมื่อยมาก...โฮซอกก็จะยิ้มหวานให้ฉันแล้วอาสาจะนวดให้ ถ้าฉันล้มเหลวเขาจะเป็นคนบอกให้ฉันลองใหม่เสมอ...เขาจะยิ้มให้ฉันทุกครั้งที่ท้อแท้...เขาสัญญาว่าต่อให้ฉันไม่มีใครเขาก็จะคอยอยู่ข้างฉัน...ตอนนี้ฉันไม่เหลือใครเลย....แม้แต่เขา...”หยาดน้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลหยดออกจากหน่วยตาเพียงแผ่วเบา
“....ฉันรู้ซอกจิน...”น้ำเสียงเศร้าๆของเพื่อนรักเรียกให้ดวงตาทรงเสน่ห์ของคิมซอกจินร้อนผ่าวด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งโศกเศร้า สางสาร หรือแม้แต่รู้สึกผิด
“มันเป็นอุบัติเหตุนัมจุน...มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้...”คิมนัมจุนส่ายหัวกับประโยคปลอบใจของเพื่อนรัก
“ช่วยได้สิ...”เสียงทุ้มนั้นเอ่ยออกมาเพียงแผ่วเบาราวกับคนที่ใกล้หมดลมหายใจเต็มทน ดวงตาคู่คมที่แดงก่ำไปด้วยความโศกศัลย์เหลือบมองไปยังพิมพ์เขียวของเครื่องจักรที่ตนเป็นผู้ร่างเอาไว้เมื่อนานมาแล้วที่ถูกกองทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน
“ช่วยได้แน่...ถ้าวันนั้นฉันเลือกเขาแทนที่จะเป็นไทม์แมชชีนโง่ๆนี่...”
- Time Machine -
7 ปีก่อน, 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1796
ลอนดอน
นาฬิกาเรือนหรูบอกเวลากว่าบ่ายสามโมงแล้วซึ่งเลยเวลาที่นัดกับใครบางคนเอาไว้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยสักนิด
จอง โฮซอก กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองให้แน่นขึ้นเพราะลมหนาวปลายฤดูที่พัดผ่านร่างเขาไป ริมฝีปากอิ่มสีสวยพ่นลมอุ่นๆออกมาหวังช่วยคลายความหนาวเหน็บที่ตนเองกำลังประสบอยู่ได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
สวนสาธารณะใจกลางเมืองตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษของใครหลายๆคน และแน่นอนว่ามันเป็นวันสำคัญของเขาด้วย
...วันวาเลนไทน์...
มือเรียวบางถูกเจ้าของมันยกขึ้นมาดูช้าๆด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แหวนทองเกลี้ยงเกลาที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาทำเอาคนหน้าสวยต้องเผลอยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงคนให้
ดวงตาคู่สวยเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่กลางสวนอีกครั้งก่อนจะเบนสายตากลับมามองถุงกระดาษที่บรรจุเค้กก้อนโตฝีมือของตนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ
...ฉันจะรอนายอีกสักนิดแล้วกันนะคิมนัมจุน...
ชายหนุ่มร่างสูงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกเมื่อร่างของเขาเข้าใกล้ที่หมายมากขึ้นทุกที ดวงตาคู่คมภายใต้กรอบแว่นสีดำฉายแววตื่นต้นอย่างปิดไม่มิด
คิม นัมจุน เป็นเพียงนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านวิทยาศาสตร์ เขาถูกดึงตัวให้มาเข้าร่วมโครงการวิจัยของรัฐบาล และตอนนี้งานวิจังของเขาก็ถูกเสนอขึ้นที่ประชุมเรียนร้อยแล้ว วันนี้จู่ๆเขาก็ถูกเรียกตัวมาเพื่อรายงานตัวและคุยเรื่องแผนการวิจัยขั้นต่อไป
เพราะความตื่นเต้นและดีใจทำให้นักวิทยาศาสตร์หนุ่มหลงลืมทุกๆเรื่องที่ตนตั้งใจจะทำในวันนั้นไปจนหมดสิ้น งานวิจัยเรื่องไทม์แมชชีนของเขาได้รับการอนุมัติให้ร่างงบคร่าวๆที่ใช้ในงานวิจัยในบ่ายวันนั้น
“ดีใจด้วยนัมจุน”ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่คณะเอ่ยทักทายและแสดงความยินดีกับน้องชายร่วมสถาบันที่ประสบความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งสำหรับเส้นทางนักวิทยาศาสตร์ที่ใฝ่ฝัน
“ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับเสียจนเห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง
“วันนี้วาเลนไทน์ฉันนึกว่านายจะไปเดตกับแฟนเสียอีก”ประโยคแสดงความสงสัยของชายหนุ่มรุ่นพี่เรียกให้ดวงตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตกใจ คิมนัมจุนรีบกุลีกุจอหานาฬิกาทันที เข็มสั้นชี้ตรงไปที่เลขห้าและเข็มยาวที่เลยเลขสองมาเล็กน้อยเรียกให้ชายหนุ่มต้องสบถออกมาเสียงดังจนคนเป็นรุ่นพี่สะดุ้งโหยง
“ไปก่อนนะครับพี่!”โบกมือลาแบบลวกๆก่อนจะจัดการเก็บของลงกระเป๋าถือของตน คว้าเอาหมวกปีกสีดำใบเก่งของตนและดอกกุหลาบช่อโตที่เริ่มเฉาบ้างแล้วของตนวิ่งออกจากห้องไปในทันที
...ซวยล่ะสิ! เขานัดโฮซอกไว้ตอนบ่ายสาม และนี่มันก็เลยมาสองชั่วโมงแล้ว!...
ใบหน้าสวยที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มเสมอของจองโฮซอกบัดนี้กลับเรียบตึงเสียจนน่าแปลกใจ คันตัวบางหย่อนกายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาวของสวนสาธารณะ ดวงตาคู่สวยก็เหม่อมองไปที่นาฬิกาเรือนโตที่ตั้งอยู่กลางสวน เข็มสั้นและยาวของมันบอกเวลากว่าห้าโมงครึ่งแล้ว เลยเวลานัดมาถึงสองชั่วโมงครึ่ง
...และแน่นอนว่าคิมนัมจุนไม่ได้บอกเหตุผลกับเขาล่วงหน้า...
ถุงกระดาษที่เคยถูกโอบอุ้มเอาไว้อย่างทะนุถนอมตอนนี้กลับถูกวางทิ้งไว้ข้างกายโดยที่เจ้าของมันไม่คิดจะสนใจเลยสักนิด
ลมหนาวพัดผ่านมาอีกครั้งเรียกให้คนตัวบางต้องมอบอ้อมกอดให้กับตัวเองแน่นขึ้นไปอีกเพื่อบรรเทาความหนาวเย็นที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นทุกที
กริ๊ก!
เข็มยาวเคลื่อนไปหยุดอยู่ตรงเลขแปด....
“หมดเวลาแล้วคิมนัมจุน...”เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คนตัวบางยิ้มบางๆให้กับตัวเองก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง ขาเรียวภายใต้กางเกงแสลคสีน้ำตาลก้าวเดินออกจากตรงนั้นทันที
ทิ้งไว้เพียงเค้กชิ้นน้อยที่เฝ้ารอใครบางคนท่ามกลางความหนาวเหน็บของกรุงลอนดอนเพียงลำพังเท่านั้น...
คิมนัมจุนรีบกระโดดลงจากรถม้ารับจ้างอย่างรวดเร็ว เขาจัดการจ่ายค่าบริการให้กับสารถีโดยไม่ได้นับเสียด้วยซ้ำ ได้ยินเสียงขอบคุณเป็นการใหญ่แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะหันกลับไปให้ความสนใจ สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาตอนนี้คือภาพใบหน้าสวยๆและรอยยิ้มหวานๆของคนรักเท่านั้น
...ภาพของจองโฮซอกเท่านั้น...
ขายาวรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที ช่อดอกไม้ในมือที่อุส่าเตรียมมากระแทกเข้ากับผู้คนมากมายที่เดินสวนกันอย่างหนาแน่นที่ใจกลางเมืองแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเจ้ากลีบกุหลาบที่กำลังบอบช้ำนั่น
นึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจที่ดันลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ จองโฮซอกไม่ใช่คนขี้งอน...โฮซอกไม่ใช่คนโกรธอะไรไร้สาระ แต่คนรักของเขาเป็นคนคิดมาก...หลายต่อหลายครั้งแล้วที่คิมนัมจุนทำให้อีกคนต้องเสียความรู้สึกเพราะความบ้างานของเขา
แต่โฮซอกก็เคยพูดกับเขาว่าเหตุผลที่คนตัวบางหลงรักเขาก็เพราะความมุ่งมั่นของเขานี่แหละ...แต่เขาก็รู้...รู้ว่าแววตาของคนพูดฉายแววน้อยอกน้อยใจเพียงใด...
ทั้งๆที่คิดเอาไว้แล้วว่าอยากจะใช้วันพิเศษนี้ในการขอโทษอีกคนที่เคยทำให้เสียใจเอาไว้หลายครั้ง แต่ก็กลายเป็นว่าเขากำลังจะทำให้คนรักของเขาต้องเสียใจอีกครั้ง...
...คิมนัมจุนคนไม่เอาไหน...
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปทันทีที่ดวงตาเหลือบไปเห็นแผ่นหลังบางที่แสนคุ้นเคย ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดก่อนจะเอ่ยปากตะโกนเรียกอีกคนด้วยความดีใจทันที
“โฮซอก!”เสียงเอ่ยเรียกชื่อตนเรียกให้คนที่กำลังเดินข้ามถนนอยู่ต้องหันมาให้ความสนใจ ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและสภาพเหมือนฟัดกับหมามาของคิมนัมจุนเรียกให้จองโฮซอกเผลอหลุดหัวเราะ
คนตัวบางลืมเรื่องราวน้อยใจก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น มือเรียวถูกยกขึ้นโบกส่งไปให้คนรักก่อนจะเดินกลับเข้ามาที่ฟุตบาทอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสัญญาณไฟยังคงเป็นสีเขียว
...แต่เพราะความดีใจทำให้จองโฮซอกลืมไปว่ายังมีเลนที่รถผ่านตลอดอยู่ตรงหน้าตน รถยนต์ที่ไม่ทันระวังแล่นผ่านหัวโค้งมาอย่างรวดเร็วเสียจนไม่ทันตั้งตัว
เสียงแตรรถดังระงมปะปนไปกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจของผู้คนมากมายและตามมาด้วยเสียงโครมใหญ่ของม้าเหล็กที่ปะทะเข้ากับเสาไฟถนนอย่างแรงจนกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาบทบังทัศนวิสัยเสียจนหมดสิ้น
...ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว...
...รวดเร็วเสียจนคิมนัมจุนมองเห็นสิ่งอื่นๆที่เหลือเป็นเพียงภาพช้า...
ขายาวที่กำลังก้าวเดินกลับหยุดชะงักลงเสียดื้อๆ สรรพเสียงโดยรอบอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์ ช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือหนาร่วงหล่นลงบนพื้นอิฐบล็อคลวดลายสวยงามเพราะร่างของใครบางคนที่เดินชนหัวไหล่ของเขา
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นตรงหน้ากลับกลายเป็นเพียงภาพยนตร์ที่ถูกหน่วงความเร็ว ร่างท้วมของผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาตะโกนใส่หน้าเขาปาวๆ แต่คิมนัมจุนก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้...
...เพราะดวงตาของเขาเห็นเพียงใบหน้าสวยของจองโฮซอกที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น...
...คนรักของเขากำลังหลับใหล...หลับใหลไปตลอดการ...
...คิมนัมจุนสูญเสียจองโฮซอกไปแล้ว...
...ตลอดกาล...
- Time Machine -
ปัจจุบัน, 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897
ลอนดอน
“แน่ใจแล้วใช่มั๊ยนัมจุนว่าต้องการแบบนี้จริงๆ”น้ำเสียงของคิมซอกจินเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด คิมนัมจุนส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนรักก่อนจะพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
“รู้ใช่มั๊ยว่าสัจจะธรรมของโลกคืออะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...นายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้คิมนัมจุน”คิมซอกจินว่าพลายช่วยจัดชุดสำหรับการทดลองให้กับเพื่อนรักของตนเพื่อเช็คความปลอดภัยเป็นครั้งสุดท้าย
“ฉันจะเปลี่ยนแปลงมันเอง...ฉันไม่ได้เสียเวลาสิบเอ็ดปีไปเปล่าๆหรอกนะซอกจิน”คิมนัมจุนยิ้มให้เพื่อรักขี้กังวลของตนอีกครั้งเป็นการบอกให้เลิกกังวล แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่นัก เพราะใบหน้าหล่อเหลาของคิมซอกจินยังคงฉายชัดถึงความกังวล
“ถ้ามันสำเร็จจริงๆ...ฝากความคิดถึงถึงโฮซอกด้วย บอกเขาว่าไม่มีรอยยิ้มของเขาแล้วคนอื่นๆเหงาน่าดู”ซอกจินหัวเราะเบาๆยามที่นึกถึงเพื่อนอีกคน
“ฉันจะทำให้ได้...จะพาเขากลับมา แล้วถึงตอนนั้นจะยอมให้นายกอดเขาให้สมกับสิบเอ็ดปีที่จากกันเลยล่ะ”มือหนาของนัมจุนเอื้อมออกไปตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆก่อนที่คนทั้งคู่จะหัวเราะออกมาเบาๆ
“อย่าลืมล่ะนัมจุน นายเปลี่ยนอดีตไม่ได้...”ซอกจินย้ำอีกครั้งด้วยใบหน้าจริงจัง แต่คิมนัมจุนกลับทำเพียงแค่ยิ้มบางๆรับคำเพียงเท่านั้น
“ขอบคุณมากซอกจิน...สำหรับทุกๆอย่าง”ชายหนุ่มร่างสูงสวมกอดร่างของเพื่อนรักแน่นๆถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดหัวใจให้กับเพื่อนแท้ของเขาที่ไม่เคยทิ้งไปไหนไม่ว่าหนทางมันจะลำบากแค่ไหนก็ตาม
“โชคดีเพื่อน”ซอกจินผละออกจากอีกคนก่อนจะโบกมือให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มเดินไปประจำอยู่ที่เครื่องควบคุมขนาดยักษ์เพื่อทำตามที่ได้ตกลงไว้กับพ่อนักวิทยาสาสตร์สติเฟื่องตรงหน้า
นัมจุนยกมือขึ้นรับเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในแคปซูลที่เขาสร้างขึ้น ชายหนุ่มทิ้งกายนอนลงประจำที่ จัดการสวมหมวกควบคุมคลื่นสมองให้เรียบร้อยแล้วปิดฝาครอบลงในที่สุด
เสียงคำรามฮึ่มของเครื่องจักรดังขึ้นเรียกให้เปลือกตาหนาของคิมนัมจุนค่อยๆปิดลงช้าๆก่อนความรู้สึกบางอย่างจะถาโถมเข้ามาภายในร่างกายของเขา ทั้งๆที่หลับตาลงแล้วแต่นัมจุนกลับเห็นภาพ...ภาพมากมายที่พุ่งฝ่ายข้างกายไปอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนพาให้ปวดหัว...
เขารู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้กับการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วของภาพมากมายและเส้นแสงวิบวับที่ไหลเข้ามาในหัว ชายหนุ่มขบฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูนเมื่อความทรมาณพุ่งพรวดขึ้นมาจนแทบรับไม่ไหว
...นัมจุน...
แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้นเขากลับได้ยินเสียงอ่อนหวานของใครบางคนที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนาน...
...ยิ้มหน่อยสินัมจุน...
เสียงเอ่ยดุและเสียงหัวเราะที่แสนคุ้นเคยเรียกให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนความเจ็บปวดของคิมนัมจุน หยาดน้ำตาแห่งความสุขไหลย้อยลงมาหยดแล้วหยดเล่าจนในที่สุดมันก็ทะลักออกมาจนเกินจะกักเก็บได้
...กลับมาแล้ว...
...จองโฮซอกของเขากลับมาแล้ว...
ความเจ็บปวดพุ่งพรวดขึ้นมาสู่จุดสูงสุดก่อนที่ชายหนุ่มจะรู้สึกราวกับว่าร่างของเขากำลังลอยเค้วงอยู่ท่ามกลางความมืดของบางสิ่งบางอย่าง ความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ้ง มโนภาพและสรรพเสียงทุกอย่างวูบหายไป...รวมทั้งความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ด้วย...
แสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับแรงฉุดลากมหาศาลที่รั้งร่างของเขาให้พุ่งเข้าไปหาจุดกำเนิดแสงนั้นด้วยความเร็วที่ทำให้ร่างกายเขาแทบมอดไหม้
วูบ!
ทุกอย่างหยุดนิ่งลงแล้วพร้อมกับเสียงหอบหายใจที่ดังระงบไปทั่วทั้งโสตประสาท คิมนัมจุนใช้เวลาสักพักในการดึงสติของตนเองกลับมา เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆกระพริบถี่ๆสองสามครั้งก่อนจะเปิดขึ้นในที่สุด
แสงสว่างจากภายนอกเรียกให้เขาต้องปิดตาลงอีกครั้ง นัมจุนยกแขนข้างหนึ่งบังแสงเอาไว้ก่อนจะลืมตาใหม่อีกครั้ง...
ภาพห้องนอนของเขาคือสิ่งแรกที่เห็น แต่สภาพของมันต่างจากก่อนหน้านี้มากโข...มันเป็นเพียงห้องนอนของผู้ชายธรรมดาๆเท่านั้น ไม่ใช่ห้องนอนของนักวิทยาศาสตร์เสียสติเหมือนห้องเขาเลยสักนิด
“วันที่ๆๆๆ!”มันมีมี่ตั้งสติได้เสียงทุ้มก็ร้องออกมาดังลั่นพลางเอื้อมมือสะเปะสะปะตามหาปฏิทินทันที
“14 กุมภาพันธ์ 1796...1796!”ชายหนุ่มกู้ร้องลั่นด้วยความดีใจ เขาทำสำเร็จ! คิมนัมจุนผุดลุกขึ้นจนเต็มความสูงด้วยความตื่นเต้น แต่เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ไม่ปกติมาทำให้เขาเสียหลักล้มลงตกเตียงลงไปนอนแอ้งแม้งที่พื้นเสียอย่างนั้น แต่กระนั้นเขาก็ยังคงหัวเราะ...หัวเราะราวกับคนบ้า...
ดวงตาคู่คมเหลือบไปมองนาฬิกาแขวนผนังที่บอกเวลากว่าบ่ายโมงแล้ว ถ้าจำไม่ผิดอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงจะมีคนของรัฐบาลมาติดต่อให้เขาไปดูงานวิจัยที่ผ่านการพิจารณา...
คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะเอื้อมมือไปคว้าเอาปากกากับกระดาษออกมาเขียนโน๊ตเอาไว้แล้วเดินเอามันออกไปแปะที่หน้าประตูทันที
นัมจุนรีบถลาตัวเข้าห้องน้ำด้วยความกระปรี้ประเปร่าอย่างถึงที่สุด ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่าภาพใบหน้าของตนที่สะท้อนอยู่กระจกนั้นดูอ่อนเยาว์กว่าที่เคยเห็นมากนัก
...ก็แน่ล่ะ เพราะนี้มันคือร่างของเขาเมื่อ 11 ปีก่อน...
หลังจากที่ใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่นานคิมนัมจุนก็แน่ใจว่าคนเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้...ถูกต้อง...เขาไม่ได้ย้อนเวลากลับมา
สิ่งที่นัมจุนทำและทดลองมากว่าสี่ปีหลังจากที่พบว่าเส้นเวลาไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรงคือการหาวิธีย่นระยะการเคลื่อนที่ของเวลาให้เข้ามาใกล้จนแทบซ้อนกันแล้วส่งคลื่นสมองของเขาในปัจจุบันเข้ามาในตัวเขาร่างอดีตเหมือนตอนนี้
เขาที่อาศัยอยู่ในยุคนี้จึงทำหน้าที่เป็นภาชนะที่บรรจุความรู้ความคิดหรือที่เรียกว่า ‘วิญญาณ’ ของเขาจากอนาคตเอาไว้เท่านั้น...
...นัมจุนไม่ได้ต้องการเข้ามาใช้ชีวิตในยุคนี้...
...สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงสิ่งเดียว...
...แก้ไขความผิดพลาดของตนเอง และพาสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตกลับคืนมาเท่านั้น...
นัมจุนใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีในการอาบน้ำแต่งตัว เขาจัดการเลือกชุดที่ดูดีที่สุดเหมือนที่เคยทำ ชายหนุ่มจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้ม...และไม่ลืมที่จะดีดนิ้วดังเป๊าะให้กับโน้ตที่ตนติดเอาไว้ที่ประตูห้องของตนเอง
‘ฉันจะไม่ยอมให้นายมาขัดขวางวันเดตกับแฟนที่น่ารักของฉันอีกแล้วไอ้โง่!’
นาฬิกาเรือนหรูบอกเวลากว่าบ่ายสามโมงแล้วซึ่งเลยเวลาที่นัดกับใครบางคนเอาไว้มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยสักนิด
จอง โฮซอก กระชับเสื้อโค้ทสีน้ำตาลอ่อนของตัวเองให้แน่นขึ้นเพราะลมหนาวปลายฤดูที่พัดผ่านร่างเขาไป ริมฝีปากอิ่มสีสวยพ่นลมอุ่นๆออกมาหวังช่วยคลายความหนาวเหน็บที่ตนเองกำลังประสบอยู่ได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
สวนสาธารณะใจกลางเมืองตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเพราะวันนี้เป็นวันพิเศษของใครหลายๆคน และแน่นอนว่ามันเป็นวันสำคัญของเขาด้วย
...วันวาเลนไทน์...
มือเรียวบางถูกเจ้าของมันยกขึ้นมาดูช้าๆด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข แหวนทองเกลี้ยงเกลาที่ประดับอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของเขาทำเอาคนหน้าสวยต้องเผลอยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงคนให้
ดวงตาคู่สวยเหลือบไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่กลางสวนอีกครั้งก่อนจะเบนสายตากลับมามองถุงกระดาษที่บรรจุเค้กก้อนโตฝีมือของตนเอาไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ
...ฉันจะรอนายอีกสักนิดแล้วกันนะคิมนัมจุน...
คิมนัมจุนรีบวิ่งตรงไปยังที่หมายทันทีที่เขากระโดดลงจากรถม้า หัวใจของเขาเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาจากอกด้วยความตื่นเต้น เพียงแค่นึกว่าจะได้พบเจอคนที่อยู่ในห้วงคำนึงของตนมากว่าสิบปีแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล
ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มประดับไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขจนลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้างบุ๋มเข้าไป ดวงตาคมกวาดมองไปทั่วเพื่อมองหาร่างที่คุ้นเคยเสมอในความสนจำ...
พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างบางของใครบางคนที่กำลังนั่งอมยิ้มมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าห่างไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น ชายหนุ่มไม่รอให้เสียเวลาไปมากกว่านั้น เขารีบรุดวิ่งตรงไปยังที่หมายทันที
“โฮซอก!”เสียงตะโกนเรียกชื่อตนที่ดังขึ้นเรียกให้เจ้าของร่างบางที่กำลังนั่งเหม่อลอยสะดุ้งสุดตัว ดวงตาคู่สวยเหลือบเห็นร่างสูงของชายหนุ่มคนรักที่วิ่งไปตะโกนเรียกเขาไปอย่างดูไม่ได้แล้วก็ได้แต่หลุดหัวเราะ
“นัมจุน...!”จองโฮซอกผุดลุกขึ้นกำลังจะเอ่ยทักทายอีกคน แต่คิมนัมจุนที่เพิ่งมาถึงไม่เปิดโอกาสให้เขาเลยสักนิด เพราะชายหนุ่มร่างสูงคว้าเขาเข้าไปในอ้อมกอดทันทีที่เห็นหน้า จองโฮวอกได้แต่กระพริบตาปริบๆด้วยความงงงวยแต่กระนั้นก็ยอมยกมือกอดตอบอีกคนไปเท่านั้น
คิมนัมจุนก้มลงซุกใบหน้าลงที่ลาดไหล่บางพลางสูดดมกลิ่นหอมอ่อนประจำตัวของอีกคนเข้าไปจนเต็มปอด กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก...กอด...ให้แน่น
...ให้สมกับสิบเอ็ดปีที่ห่างหายกันไป...
...สิบเอ็ดปีที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด...
...สิบเอ็ดปีที่เขาไม่มีจองโฮซอกข้างกาย...
...สิบเอ็ดปี...
...แต่ตอนนี้เขาได้พบแล้ว...
...พบกับจองโฮซอกผู้เป็นยิ่งกว่าลมหายใจอีกครั้ง...
“น...นัมจุน”โฮซอกเอ่ยเรียกชื่ออีกคนด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆแผ่นหลังกว้างที่มือเรียวสัมผัสอยู่ก็เริ่มสั่นไหว รวมทั้งความเปียกชื้นตรงลาดไหล่บางนั้นอีก นี่ไม่นับรวมเสียงสะอื้นของคนตรงหน้านะ...
...คิมนัมจุนกำลังร้องไห้....?
“โฮซอก...”คิมนัมจุนผละออกมาจ้องมองอีกคนทั้งๆที่ยังคงมีหยาดน้ำตาให้เห็น
“หื้อ?”โฮวอกขานรับเสียงเรียกของอีกคนเบาๆ
“จองโฮซอก...”เสียงทุ้มเอ่ยเรียกอีกครั้ง คล้ายกำลังเอ่ยย้ำกับตนเอง
“มีอะไร?”คนตัวบางกว่าเอ่ยถามพลางหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับหน้าตาที่ดูไม่ได้ของแฟนหนุ่มที่อยู่ๆก็แปลงร่างเป็นเจ้าเด็กขี้แยเสียงอย่างนั้น นิ้วเรียวบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาของอีกคนออกจากแก้มของอีกคนพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆที่คิมนัมจุนเห็นแล้วต้องเผยยิ้มกว้างตามด้วยความสุขล้น
“จองโฮซอก...ฉันรักนายนะ”เสียงทุ้มเอ่ยบอกอีกคนเสียงดังฟันชัดเสียจนเจ้าของชื่อต้องเบิกตากว้าง ใบหน้าสวยของจองโฮซอกขึ้นสีแดงก่ำ กำลังจะผลักอีคนออกข้อหาพูดอะไรไม่ดูสถานที่แต่ก็ต้องหยุดการกระทำที่คิดเอาไว้ทั้งหมดเสียก่อน
นัมจุนกดท้ายทอยของอีกคนให้เคลื่อนเข้ามาหาตนก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปประกบจูบกับคนตรงหน้าด้วยความโหยหา ซึ่งคนที่ตกใจในคราแรกก็ยอมจูบตอบออกไปในที่สุด
จูบอ่อนโยนที่ไม่ได้มีการจาบจ้วงใดๆ มันมีเพียงความรู้สึกโหยหาแสนเศร้าเท่านั้นที่ส่งผ่านเข้ามาหากัน เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้แต่คนทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจมันเท่าใดนัก
คิมนัมจุนละจูบออกช้าๆอย่างอ้อยอิ่ง แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะละเลียดชิมความหอมหวานของริมฝีปากอิ่มสีสวยนั่นต่อไปอีก
“ไปอดอยากมาจากไหนกันคิมนัมจุน”จองโฮซอกบ่นอุบแต่ริมฝีปากกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มเขิน เรียกเสียงหัวเราะจากคิมนัมจุนได้เป็นอย่างดี
“อ่ะ...จูบไปขนาดนั้นไม่ต้องใช้แล้วมั้งนี่น่ะ”ว่าแล้วชายหนุ่มร่างสูงก็จัดการยื่นช่อดอกลิลลี่สีขาวให้คนตรงหน้า โฮซอกต่อยต้นแขนอีกคนไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเอื้อมมือออกมารับช่อดอกไม้ไปถือไว้
“ดอกลิลลี่เนี่ยนะ? ปกติวาเลนไทน์ควรเป็นกุหลาบสวยๆป่ะ”โฮซอกบ่น แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังคงยิ้มกว้างอยู่ดี
“ก็ฉันไม่ใช่คนปกตินี่”นัมจุนว่า
“ครับๆพ่อนักวิทยาสาสตร์สติเฟื่อง...ถ้าใกล้จะเป็นบ้าก็บอกฉันล่วงหน้านะจะได้หาแฟนใหม่ทัน ยังไม่อยากมีแฟนบ้าเหมือนไอสไตน์”โฮซอกเอ่ยทีเล่นทีจริงเรียกความมันเขี้ยวจากคิมนัมจุนได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นไปหยิกแก้มกลมๆนั่นด้วยความเอ็นดูก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟัง
“ก็เลยให้ดอกลิลลี่นี่ไง”
“เกี่ยวกันยังไงล่ะนั่น”โฮวอกเอ่ยถามพลางเบ้หน้าลงเล็กน้อยเพราะดันโดนแฟนหนุ่มของตัวเองรังแกแก้มกลมๆที่หวงแหนเสียได้
“รู้มั๊ยว่าดอกลิลลี่สีขาวหมายความว่ายังไง?”จองโฮซอกส่ายหน้ากับคำถามนั้น
“ขอโทษไง....”นัมจุนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนดวงตาคู่คมจะจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสวยของอีกคน...จ้องลึกลงไปราวกับจะส่งความรู้สึกทั้งหมดให้ผ่านเข้าไปถึงหัวใจดวงน้อยๆของจองโฮซอก
“ขอโทษเอาไว้ล่วงหน้า...เพราะถึงฉันจะเป็นบ้าไปแล้วก็จะไม่หยุดรักนาย...ฉันรักนายจองโฮซอก รัก...และจะไม่มีวันหยุดรัก ต่อให้นายจะหนีจากฉันไปไหนฉันก็จะไปตามเอานายกลับมาเป็นของฉันให้ได้...ขอโทษที่คิมนัมจุนคงปล่อยให้นายไปไหนไม่ได้ เพราะความรักของฉันที่มีให้นายมันมากมายเกินไป...ความรักของฉันจะเป็นของนายตลอดไปจองโฮซอก...”
ประโยคบอกรักยาวเหยียดจากคิมนัมจุนเรียกให้แก้มขาวของโฮซอกขึ้นสีเรื่อ คนตัวบางกว่าไม่ได้เอ่ยตอบรับใดๆกับประโยคนั้น มีเพียงรอยยิ้มขวยเขินน่าเอ็นดูเท่านั้นที่ถูกส่งกลับมาให้คนรักของตน
“พูดแบบนี้ไม่ขอแต่งงานไปเลยล่ะ”จองโฮซอกก็ยังคงเป็นจองโฮซอก เขินแทบตายแต่ก็ยังมีหน้ามายุเขาอีก ซึ่งมีหรือคนขี้แกล้งอย่างคิมนัมจุนจะยอมปล่อยให้ลอยนวล
“เฮ้ย! บ้าเหรอ! พอเลยพอๆ”โฮซอกร้องลั่นเมื่อเห็นว่าคิมนัมจุนบ้าจี้ ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะทรุดกายนั่งลงไปจริงๆ
คิมนัมจุนหัวเราะลั่นกับใบหน้ามู่ทู่ของอีกคน การหัวเราะอย่างเปี่ยมสุขครั้งแรกในรอบสิบเอ็ดปีของคิมนัมจุน...
...ความสุขที่มีชื่อว่าจองโฮซอก...
ทั้งสองคนใช้เวลากันได้อย่างคุ้มค่า เผลอเพียงแว่บเดียวท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเสียแล้ว มือหนากอบกุมมือบางของอีกคนเอาไว้แน่นพลางเดินทอดน่องเคียงข้างกับไปตามฟุตบาทข้างทาง จ้องมองบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองลอนดอน ซึมซับความงดงามของคืนวันพิเศษเอาไว้เต็มหัวใจ
“สวยจริงๆเลยเนอะ”เสียงหวานของคนข้างกายดังขึ้นเรียกให้คิมนัมจุนต้องเบือนสายตากลับใบจ้องมอง
...สวย...ใช่...
แต่สำหรับคิมนัมจุนจองโฮวอกที่กำลังเหม่อมองบรรยากาศงดงามยามค่ำคืนนั้นสวยกว่าเป็นไหนๆ ใบหน้างดงามที่แสนลงตัวราวกับเป็นที่รักใคร่ของพระเจ้าคือหนึ่งในสิ่งที่เขาหลงรัก ดวงตาคมสวย แพขนตาหนา จมูกโด่งรั้นดูซุกซน และเหนืออื่นใดริมฝีปากอิ่มสีสวยที่มักเผยรอยยิ้มหวานเสมอ
“สวย...”คิมนัมจุนเห็นด้วย แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคนข้างกายไม่ไปไหน คนโดนจ้องก็เหมือนจะรู้ตัว โฮซอกเบือนสายตากลับมามองคนรักแล้วก็ต้องตกใจแทบหงายหลังเมื่อเห็นว่าใบหน้าของอีกคนนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้เขามากแค่ไหน
“ให้มองเมืองนู่นไม่ใช่มองหน้าฉัน...ไปๆไปเลย ไปซื้อโกโก้ร้อนมา”มือเรียวของจองโฮซอกดันใบหน้าหล่อเหลาของคิมนัมจุนออกให้ห่างกายตนพลางเอ่ยสั่งด้วยเสียงหัวเราะ
นัมจุนหัวเราะตอบก่อนจะยอมผละออกไปซื้อโกโก้ร้อนให้อีกคนตามคำบัญชา แต่ก็ยังไม่วายหันไปส่งยิ้มทะเล้นให้กับคนรัก ซึ่งก็ได้รอยยิ้มหวานกับการโบกมือไล่ไม่จริงจังนั่นกลับมาเป็นของขวัญ
โครม!
เสียงโครมใหญ่และเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้คิมนัมจุนที่กำลังถือโกโก้ร้อนสองแก้วกลับไปหาคนรักต้องหันกลับไปมอง ความโกลาหลสะท้อนเข้ามาในหน่วยตา
...ราวกับฉายภาพซ้ำ...
...ภาพของความสูญเสียที่เขาเคยพบเจอ...
แก้วโกโก้ร้อนทั้งสองแก้วร่วงลงพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ขายาวรีบก้าวพาร่างของตนกลับไปยังที่ที่เขาทิ้งจองโฮซอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ทันที ซึ่งมันคือจุดเดียวกับความโกลาหลนั่น
...อะไรบางอย่างกำลังกรีดร้องอยู่ในอกจนเหมือนหัวใจจะถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ...
...ภาพของชายหนุ่มแปลกหน้าห้าหกคนช่วยกันยกรถม้าที่เสียหลักล้มคว่ำออกมาคือสิ่งที่สะกดขาเขาเอาไว้กับที่ราวกับตอกหมุด...
ชายหนุ่มคนหนึ่งอุ้มร่างไร้เรี่ยวแรงของใครบางคนออกมาจากเศษซากความวุ่นวายนั่น ใบหน้าสวยเปื้อนฝุ่นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีกำลังหลับพริ้มไม่รู้เรื่องรู้ราว
เห็นเพียงเท่านั้นคิมนัมจุนก็รีบถลาเข้าไปในทันที ชายหนุ่มเข้าไปเปลี่ยนกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น เขาตระกองกอดร่างไร้วิญญาณของคนรักเอาไว้แนบอก พลางร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย
...อีกครั้ง....
...จองโฮซอกจากเขาไปอีกครั้ง...
...จากไปพร้อมกับหัวใจ ดวงวิญญาณ และอนาคตทั้งหมดของคิมนัมจุน...
...จองโฮซอกจากไปเช่นเดียวกับคิมนัมจุนที่ตายทั้งเป็นอีกครั้ง...
- Time Machine -
“อย่าลืมล่ะนัมจุน นายเปลี่ยนอดีตไม่ได้...”
คำพูดของเพื่อนรักยังคงดังก้องไปทั่วทั้งโสตประสาท แต่คิมนัมจุนไม่สนใจมัน ชายวัยกลางคนจัดการกระชับชุดสำหรับใส่ทดลองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปกดเปิดเครื่องที่นับถอยหลังสามสิบวินาที
ตอนนี้แม้แต่คิมซอกจินก็ไม่อยู่แล้ว เพื่อนรักของเขาตัดสินใจที่จะหันไปดูแลครอบครัวของตนแทนที่จะมาใช้เวลาไร้สาระไปกับนักวิทยาศาสตร์เสียสติอย่างเขา ซึ่งนัมจุนก็ไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด ดีเสียอีกเพราะเพื่อนรักคนนี้ช่วยเหลือเขามามากเกินพอแล้ว
“บันทึกครั้งที่ 54 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1901 ผมคิมนัมจุนกำลังจะทำการจูนคลื่นสมองอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาที่นี่อีกได้มั๊ยเพราะตอนนี้ร่างกายของผมมันเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว...ความทรงจำของผมเริ่มขาดหายไป บางครั้งผมก็ลืมไปว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่...บางครั้งหัวของผมก็เหมือนจะมีความคิดของคนอื่นเข้ามา ไม่รู้ว่ามันจะมีครั้งที่ 55 มั๊ย แต่ผมก็อยากจะทำจนกว่ามันจะสำเร็จ...ถ้าหากว่า...ผมทำสำเร็จ ผมพาเขากลับมาได้ แต่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่...ผมจะบอกคุณ ใครก็ตามที่ฟังเทปนี้...บอกโฮซอกว่าผมรักเขาแค่ไหน...บอกเขาว่าเทปทั้งหมดของผมอยู่ในกล่องใต้เตียง ขอจบบันทึกครั้งที่ 54 แต่เพียงเท่านี้...”
ตลับเทปถูกวางไว้ที่ข้างแคปซูล คิมนัมจุดจัดการสวมหมวกให้เรียบร้อยก่อนจะปิดฝาแคปซูลเพื่อฟังเสียงสัญญาณนับถอยหลังเท่านั้น ชายหนุ่มจ้องมองรูปถ่ายเก่าๆที่ซีดเซียวผ่านกาลเวลามานานจนมันกลายเป็นสีน้ำตาลในมือ
นิ้วยาวยกขึ้นลูบไปเบาที่ใบหน้าสวยของคนในห้วงคำนึง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนริมฝีปากก่อนหยาดน้ำตาจะไหลหยดออกมาเพียงหนึ่งหยด
“ฉันจะไปหานายนะโฮซอก....อวยพรให้ฉันด้วย...”เสียงทุ้มนั้นเอ่ยแผ่วเบาก่อนชายวัยกลางคนจะเก็บรูปถ่ายนั้นลงในกระเป่าเสื้อของตนและหลับตาลงในที่สุด
…สิบเอ็ดปีของการรอคอยในครั้งแรก และอีกสี่ปีมาถึงตอนนี้...
“ไม่แน่ว่าคราวนี้ฉันอาจจะตามไปอยู่กับนายจริงๆก็ได้....”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาพึมพำกับตัวเอง เสียงสัญญาณนับถอยหลังเดินทางมาถึงห้าวินาทีสุดท้ายก่อนการเริ่มทำงานของเครื่องจักร
“ฉันรักนายจองโฮซอก...”
.
.
.
.
.
สายฝนที่พร่ำลงมาทำให้ทุกคนต้องรีบหาร่มกันเป็นการใหญ่ แต่ถึงจะมีสายฝนเป็นอุปสรรคขัดขวางแต่เหล่าญาติสนิทมิตรสหายก็ยังคงมาร่วมไว้อาลัยเป็นเกียรติครั้งสุดท้ายให้กับผู้ล่วงลับไปแล้วอยู่ดี
“คุณคะ...”เสียงหวานของหญิงวัยกลางคนที่ดังขึ้นข้างกายเรียกให้คิมซอกจินต้องหันไปให้ความสนใจ
“แคทเธอรีนเดี๋ยวคุณกลับก่อนก็ได้นะ ผมอยากคุยกับเขาอีกสักหน่อย”รอยยิ้มอ่อนโยนของสามีที่ส่งกลับมาให้เธอเรียกให้หญิงวัยกลางคนแต่ยังคงงดงามพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
“โทมัสกลับบ้านกับคุณแม่ก่อนนะครับ”เธอก้มลงไปพูดกับลูกชายตัวน้อยข้างกายของตน ก่อนสองแม่ลูกจะพากันเดินจากไปทิ้งไว้เพียงแค่คิมซอกจินที่ยังคงยืนจ้องมองป้ายหินเงียบๆเท่านั้น
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขายืนมองป้ายหินสลักอยู่ตรงนี้ รู้เพียงแต่ตอนนี้ฝนหยุดตกไปแล้ว ผู้คนที่เคยมาร่วมไว้อาลัยให้กับการจากไปของเพื่อนรักก็ทยอยกลับกันไปหมดแล้ว
“นัมจุน...”เอ่ยเรียกผู้ที่หลับใหลไปแล้วแผ่วเบาด้วยรอยยิ้มบางๆก่อนจะทรุดกายนั่งยองๆลงที่หน้าป้ายหลุมศพตรงหน้า ซอกจินล้วงมือเข้าไปในสาบเสื้อสูทก่อนจะหยิบเอากรอบรูปอันหนึ่งออกมา
กรอบรูปไม้หรูหราที่สั่งทำขึ้นเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายสำหรับเพื่อนรัก ภายในกรอบไม้ราคาแพงบรรจุรูปถ่ายเก่าๆที่พื้นสีขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปแล้วเอาไว้ ที่ขอบมุมหนึ่งของมันถูกไหม้หายไปเกือบหนึ่งในสี่จากอุบัติเหตุเพลิงไหม้ที่พรากเอาชีวิตของเพื่อนรักของเขาไปด้วย
บ้านทั้งหลัง ข้าวของทั้งหมด งานวิจัย หรือแม้แต่เครื่องจักรที่สร้างเอาไว้ของคิมนัมจุดวอดวายไปหมด แต่น่าแปลกที่ภาพถ่ายใบนี้กลับรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ท่ามกลางกองขี้เถ้า
“ฉันเลือกที่ข้างๆโฮซอกให้นายเลยนะ...ได้เจอกันรึยังล่ะ”คิมซอกจินเอ่ยพลายเผยยิ้มบาง เขาจัดการวางกรอบรูปลงตรงที่ว่างระหว่างป้ายสลักสองอัน ดวงตาทรงเสน่ห์กวาดมองป้ายสลักของเพื่อนรักเพียงครู่เดียวก็เบือนกลับไปมองที่ป้ายหินสลักอีกอันที่อยู่ข้างกัน
“จริงๆนายน่าจะพามันไปอยู่ด้วยตั้งนานแล้วนะโฮซอก...ปล่อยให้มันเป็นบ้าเสียสติอยู่ได้เป็นสิบปี หึหึหึ”เขาหัวเราะออกมาเบาๆราวกับเรื่องที่คุยกับป้ายหินสลักนั้นมันสนุกนักหนา
“เอาเป็นว่า อยู่ด้วยกันแล้วก็อย่าหาเรื่องห่างหันไปไหนอีกล่ะ....”ซอกจินเอ่ยเบาๆพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดครึ้มหลังฝน กระแสลมพัดผ่านมาวูบหนึ่งพร้อมกับม่านฟ้าที่ค่อยๆแยกตัวออกจากกันช้าๆเผยให้เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดลงมาเป็นสัญญาณว่าเมฆฝนได้จากไปแล้ว
“ถ้าชาติหน้ามีจริง....ขอให้พวกนายได้เกิดมารักกันอีกนะ...”
...นั่นเป็นคำอธิฐานสุดท้ายที่ซอกจินจะมอบให้กับเพื่อนรักและคนรักของเพื่อนได้...
- Time Machine -
...ใน สามมิติ ที่มนุษย์อาศัยอยู่ มีเพียงสิ่งเดียวที่แม้แต่หลุมดำก็ดูดกลืนเข้าไปไม่ได้...
...นั่นคือ เวลา ....
END.
TALK. จบแล้ววววว ฮื่อออออออออออ เป็นฟิคที่ดูดพลังสุดๆไปเลยค่ะ โอยยยยยย ;______; ไม่รู้ว่าคนอ่านจะอินไปกับเพชรมั๊ย คือเป็นคนแต่งดราม่าไม่เก่งเอาซะเลย แต่อยากแต่งเรื่องนี้ ฮือออออ เรื่องเกิดจากฟังเพลง time machine ของ illslick ระหว่างเดินกลับบ้านค่ะ แล้วพล๊อตเรื่องนี้มันก็พุ่งๆๆๆๆ สุดท้ายก็เลยต้องหาที่ระบายมาเป็นเรื่องนี้เอง
บอกเลยค่ะว่าเรื่องนี้เป็นดราม่าเรื่องแรกเลยนะ ฮื่อออออ ตอนแต่งอีนี่นั่งฟังเพลงบิ้วต์จนน้ำตาซึมอ่ะคิดดู แต่ไม่รู้แต่งออกมาเป็นยังไงบ้าง ฮื่ออออ #พักเช็ดน้ำตาแป๊บ เรื่องนี้เพชรพยายามใส่ความหมายโดยนัยลงไปเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่าจะสื่อถึงคนอ่านรึเปล่าน่ะสิ ใครเจออะไรก็เอามาบอกกันได้นะ จะได้รู้ว่าสำเร็จมั๊ย 555555555
ตอนแรกจะเอาเรื่องนี้ลงวาเลนไทน์ค่ะ แต่คิดว่าไม่เวิร์ค ไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะมันควรจะมุ้งมิ้งมั๊ยวาเลยไทน์อ้ะ สุดท้ายเลยเอามาลงวันนี้เลยแล้วกัน ฮุ่ยยยยยย เรียกน้ำตาสำเร็จมั๊ยเม้นบอกด้วยนะคะ ไม่เม้นก็ไปบอกในทวิตก็ได้โน๊ะ @ppbhy ค่ะ งั้นเอาไว้เจอกันเรื่องต่อไปนะคะ ใครอยากอ่านคู่ไหนบอกนะ เดี๋ยวจะลองหาก่อนถ้ามีพล๊อตก็อาจจะได้แต่ง 55555 แน่นอนว่าต้องโฮปเคะนะ บิบิ ไปละค่า บ๊ายบายยยยยยยย
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ความคิดเห็น