คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : (sf) Devil Beside #3 | rapmonster x j-hope
Devil Beside
-3-
Rapmonster x j-hope
19.10.15
โฮซอกใช้เวลาอยู่นานพอสมควรกว่าที่เขาจะพยุงกายลุกขึ้นได้ ถึงเขาจะยังไม่หายดีแต่ผมก็ต้องยอมรับว่า พวกเขา มีพลังฟื้นฟูที่น่าทึ่งจริงๆ...
โฮซอกหมุนตัวกลับมาหาผม มือเรียวสวยที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลของเขายกขึ้นมาตรงหน้าผม แสงสีขาวนวลแสนอบอุ่นค่อยๆปรากฏขึ้นก่อนที่มันจะไหลวนโอบล้อมไปทั่วทั้งร่างของผม ความอุ่นว่านแผ่ไปทั่วทั้งกายแต่เพียงครู่เดียวมันก็ค่อยๆจางหายไปทิ้งไว้เพียงความรู้สึกสงบที่ล่องลอยอยู่ภายในใจของผมเท่านั้น
“ยกมือขวาขึ้นมาสินัมจุน”โฮซอกเอ่ยบอกพร้อมๆกับที่มือเรียวของเขาค่อยๆจับมือของผมขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ตอนนั้นเองที่ผมสั่งเกตเห็นบางอย่างที่ผิดแปลกไปบริเวณหลังมือของตัวเอง
อักขระบางอย่างที่มีหน้าตาคล้ายกลีบดอกไม้สามกลีบเรียงร้อยกันอย่างสวยความคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ที่หลังมือชวาของผม....
“สามครั้ง....”
“...?.....”
“จากนี้ไปนายสามารถตายได้แค่สามครั้ง...”จนแล้วจนรอดคำอธิบายของจองโซวอกก็ไม่เคยช่วยให้ความกระจ่างกับผมเลยสักนิด เขาบอกว่าผมสามารถตายได้สามครั้ง...ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆจะมีใครอยากลิ้มรสความตายตั้งสามครั้งกันล่ะครับ
“ฉันให้พรนาย...ท่านแม่ฉันเคยสอนไว้ ทุกครั้งที่นาย ตาย กลีบดอกไม้นี่จะหายไปหนึ่งกลีบ เมื่อไหร่ที่มันหมดนายจะไม่สามารถตายได้อีก....เพราะถ้าตายอีกคราวนี้นายได้ตายจริงๆแน่....”ผมได้แต่ขมวดคิ้วกับสิ่งที่โฮซอกบอก....
ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับกับการที่เรามีชีวิตสำรองในสถานการณ์แบบนี้ เพียงแต่ผมรู้ว่าพรวิเศาของโฮวอกมันต้องแรกมาด้วยอะไรสักอย่างแน่ๆ ผมไม่ไว้ใจพลังนั่น....
“สิ่งตอบแทนล่ะ....ครั้งนี้นายต้องแลกด้วยอะไร?”ผมไม่รู้ว่าตอนนั้นนำเสียงของผมเป็นยังไง แต่ดูจากอาการสะดุ้งโหยงเสียสุดตัวของโฮวอกแล้วผมก็คิดว่าเสียงผมมันคงต้องจริงจังมากน่าดู
ก็มันน่าโมโหไหมล่ะครับ...ถึงจะพูดเอาไว้ว่าจะไม่อยากเป็นภาระของเขา....
แต่ที่ผมเป็นอยู่นี่มันต่างจากคำว่าภาระตรงไหนกัน!
“วิญญาณฉัน....”
“ห๊ะ!”และคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของคนตัวบางตรงหน้าก็ทำเอาผมตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน วิญยาณ...เดี๋ยวก่อน! ให้วิญญาณนี่มันก็เหมือนตายเลยไหมนั่น!
จองโฮซอก!
“เฮ้ อย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ....แค่ส่วนหนึ่งของวิญญาณฉันเอง ฉันยังมีชีวิตอยู่นี่ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย...”โฮซอกว่าก่อนจะเอื้อมมือมาจับต้นแขนผมเบาๆ ใบหน้าสวยยู่ลงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะทำแก้มป่องบ่นอุบอิบแบบที่มักจะทำเสมอเวลาที่ทำให้ผมโกรธ....
ใช่ครับ...ผมกำลังโกรธ...
“นัมจุนอ่า....”พอเขาเริ่มตีหน้าเศร้าเหมือนพร้อมจะปล่อยโฮผมก็เป็นต้องพ่ายแพ้ครับ ผมถอนหายใจออกมาหนักๆเป็นการระบายอารมณ์ก่อนจะคว้าตัวเขาเข้ามากอดแน่นๆเป็นการทำโทษ
“คราวหน้าคราวหลังจะทำอะไรบอกฉันก่อนเข้าใจมั๊ย? อย่าคิดเองเออเอง...เราคุยกันแล้วนะว่าเราจะเชื่อใจกันน่ะ....”ผมวางคางลงบนลาดไหล่บางของเขาซึมซับกลิ่นหอมสดชื่นราวกับดอกไม้งามกลางป่าใหญ่ประจำตัวเขาจนเต็มปอด
ผมชอบกลิ่นนี้...กลิ่นที่ทำให้ผมสบายใจ...
ผมไม่รู้ว่าจากนี้ไปเราจะมีโอกาสได้กอดกันแบบนี้อีกหรือไม่ สิ่งเดียวที่ผมรู้คือเราสองคนจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ...
“อื้อ....ขอโทษนะ ฉันแค่เป็นห่วงนาย...”โฮซอกพูดอู้อี้เพราะใบหน้าของเขาแนบสนิทไปกับอกของผม
“ฉันก็เหมือนกัน....”ผมเอ่ยตอบ
อีกเหตุผลที่ผมโกรธเขาได้ไม่นานก็เป็นเพราะผมรู้เหตุผลในการกระทำของเขา....ผมรู้ว่าทุกอย่างที่โฮซอกทำไปนั้น...มันก็เพื่อผมทั้งนั้น
...เช่นเดียวกับที่ผมทำทุกอย่างก็เพื่อเขา....
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆโฮซอกก็ผละออกจากอ้อมกอดของผมอย่างรวดเร็ว มือเรียวของคนตัวบางกว่าออกแรงดันร่างของผมให้ถอยไปอยู่ด้านหลังก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาบังผมไว้ มันเป็นภาพที่น่าขันพอสมควรเมื่อตัวบางๆของเขากันยังไงก็ไม่อาจบังผมได้มิดหรอก
“องค์ชายขอรับ...”จีมินที่ดูเหมือนจะจัดการกับเจ้าฟิวรี่ได้จนหมดแล้วรีบกระโจนมายังจุดที่พวกผมยืนอยู่ ใบหน้าของปีศาจตัวเล็กเต็มไปด้วยความหนักใจ เขาเหลือบซ้ายแลขวาราวกับระแวงอะไรบางอย่างตลอดเวลา
“มีอะไรรึเปล่า?”ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปเมื่อเห็นว่าใบหน้าของโฮซอกก็เครียดขึงไม่แพ้องครักษ์ของเขาเลยสักนิด
“...เขามาแล้ว....”โฮซอกตอบเบาๆก่อนมือขวาที่ไม่ได้บาดเจ็บของเขาจะกอบกำด้ามดาบแน่นจนขึ้นข้อขาว
ผมขมวกคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เขา?....
ใครกัน?....
ครืนนนนนน!
แต่ก่อนที่ผมจะทันได้อ้าปากเอ่ยถามแรงสั่นสะเทือนที่พื้นดินราวกับแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงก็ทำให้ผมเสียหลักล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว โฮซอกเคลื่อนกายเข้าหาผมก่อนที่ดวงตาคู่สวยของงเขาจะจับจ้องไปยังพื้นถนนเบื้องหน้าด้วยความตึงเครียด
ผมเบือนสายตาไปมองตามสายตาของเขาก็พบกับพื้นถนนสั่นสะเทือนที่กำลังปริแตก รอยแยกของคอนกรีตนั้นอยู่ห่างจากเราไปราวๆห้าสิบเมตร มันค่อยๆแยกออกจากกันช้าๆก่อนพื้นที่ระหว่างรอยแยกจะหล่นหายลงไปราวกับถูกสูบจากเครื่องดูดฝุ่นประสิทธิภาพสูง
ไอร้อนบางอย่างพวยพุ่งออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงสีแดงฉานที่ลุกโหมไปตามร่องคอนกรีตนั้น เสียงกรีดร้องอันน่าขนลุกที่ผมคุ้นเคยจากเจ้าหมายักษ์นับสิบตัวก่อนหน้านี้ดังขึ้นอีกครั้งก่อนพวกมันจะพากันวิ่งกรูกันขึ้นมาราวกับฝูงผึ้งแตกรัง
ผมยกสองแขนขึ้นกันศีรษะทันทีที่เห็นพวกฟิวรี่บินวิ่นออกมาจากใต้พิภพ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนน่าขนลุก บินกันวุ่นวายไร้ระเบียบราวกับค้างคาวตาบอด
“โฮซอก!”ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นตัวเองตะโกนดังแค่ไหน แต่เพียงแค่เห็นว่าเจ้าฟิวรี่หน้าตาน่าเกลียดตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาโฮซอกอย่างรวดเร็วแล้วผมก็ลืมทุกอย่างไปเสียสิ้น ถ้าหากเป็นในเวลาทั่วๆไป...หมายถึงในเวลาที่เขาปกติผมจะไม่เป็นกังวลเลย
โฮซอกเก่ง...ผมเองรู้อยู่แก่ใจในความจริงข้อนั้น...
แต่ในสภาพที่เพิ่งฟัดกับฝูงหมายักษ์มาหมดๆของเขามันช่างไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย ยิ่งร่องรอยบาดแผลและหยาดเลือดที่ชโลมไปทั่วร่างเขาแบบนี้สถานการณ์มันยิ่งเลวร้ายลงไปอีกเป็นเท่าตัว
แกว๊กกกก!!!
แต่ก่อนที่ฟันคมของเจ้าฟิวรี่ตัวร้ายจะโดนผิวเนื้อขาวๆของโฮซอกมันก็หยุดชะงักลงเสียก่อน เสียงร้องโหยหวนของมันดังระงมไปทั่วพร้อมกับเปลวเพลิงสีแดงราวกับหยาดโลหิตที่พวยพุ่งแผดเผาจนร่างของมันมอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี
“อย่าทำอะไรเกินคำสั่ง”น้ำเสียงเย็นๆนั้นดังผ่านเสียงร้องงี้ดๆของอสูรกายหลายสิบตัวมาเรียบๆ มันไม่ได้เป็นการตะโกนเสียด้วยซ้ำแต่ผมไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้เรียกความสนใจของผมไปได้จนหมด....
ไม่สิ....ต้องเรียนว่าจากทุกชีวิตในที่นั้นเลยก็ว่าได้
“องค์ชายจองกุก......”เสียงของจีมินสั่นเทา ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นวูบไหวเสียจนน่ากลัว ผมเห็นเขาเบือนหน้าหนีไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมอง กระทั่งคันธนูทองแดงของเขาก็ยังถุกนำมาใช้ค้ำยันร่างกายที่จู่ๆก็คล้ายว่ามันจะหมดแรงเอาเสียดื้อๆ
“ตั้งสติไว้จีมิน”โฮซอกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบไม่แพ้กัน จะต่างกันก็ตรงที่ผมกลับรู้สึกได้ว่ามันเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ขอโทษทีเสียมารยาทครับพี่โฮซอก”น้ำเสียงที่ดังขึ้นนั้นมันยังคงราบเรียบแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเคารพนับถือ....
อสูรกายมากมายพากันเปิดทางให้กับผู้มาใหม่ พวกมันเคลื่อนกายออกไปด้านข้างอย่างว่าง่ายและรวดเร็วราวกับมีใครเอาไม้บรรทัดมากวาดพวกมันออกไปเป็นเส้นตรง ปลายรองเท้าหนังสีดำสนิทเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็น
“จองกุก....”โฮซอกเอ่ยเรียกอีกคนเสียงเครียด เขาอาตัวเองเข้ามาบังผมเอาไว้ในขณะที่ดวงตาคู่สวยของเขายังไม่ละออกจากคนที่สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้เลยสักนิด
ฝีเท้าของคนที่ชื่อจองกุกหยุดลงหลังจากที่ตัวเขาอยู่ห่างจากพวกเราไปประมาณสิบเมตรเศษๆ ผุ้มาใหม่ในสายตาของผมคือเด็กหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ถ้าหากให้คาดคะเนอายุแล้วผมคงตอบว่าประมาร 18 ปี....
แต่ก็นั่นแหละ....ประสบการณ์ของผมบอกให้รู้ว่าเขาคงอายุมากกว่านั้น....
คนตรงหน้าผมเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม จะเรียกได้ว่ามีใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจเลยล่ะ พูดตามตรงก็คือผมไม่เคยเห็นใครในโลกนี้หล่อเท่าเขามาก่อน....
และก็นั่นอีก....เขาไม่ใช่คนในโลกแน่ๆผมแน่ใจ
อันที่จริงคือเขาไม่ใช่ คน เสียด้วยซ้ำ....
เด็กหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสมส่วนตรงหน้าผมอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทเช่นเดียวกับโฮซอก แต่สิ่งที่ต่างกันมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้มตัวในของเขาและเขาสีโลหิตสองข้างบนหัวของเขานั่นแหละ
ดวงตาของเขามีเสน่ห์น่าหลงใหลไม่แพ้ของโฮซอกเลย ก็แน่ล่ะพวกเขาเป็นพี่น้องกันนี่นา ถึงจะบอกว่าคนละมารดา...แต่อย่างไรเสียพวกเขาสองคนก็มีสายเลือดร่วมกัน ผมลอบมองแก้วตาสีเงินแสนลึกลับของโฮซอกก่อนจะเบือนสายตาไปยังแก้วตาสีแดงราวกับลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงของคนที่ได้ชื่อว่า ‘น้องชายของโฮซอก’ แล้วก็พบว่ามันช่างเหมือนกันเหลือเกิน...
ผมหมายถึงแววตาน่ะนะ...
มันเต็มไปด้วยอำนาจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยสักนิด....
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”น้องชายของโฮซอกเอ่ยทักทายพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ถึงมันจะดูเหมือนการทักทายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยกันตามประสาพี่น้อง แต่เชื่อผมเถอะครับว่าถ้าคุณมายืนอยู่ตรงนี้มันจะเปลี่ยนเป็นหนังคนละม้วนอย่างสิ้นเชิง
“พี่สบายดีไหมครับ....ไม่กลับบ้านเป็นร้อยปีไม่นึกว่าจะสนิทชิดเชื้อกับพวกมนุษย์เสียขนาดนี้....”เด็กหนุ่มเขาแดงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆที่ในสายตาของผมผมคิดว่ามันคือการยิ้มเยาะชัดๆ
โฮซอกไหวกายเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเริ่มขยับตัว ผมไม่รู้ว่าเจ้าเด็กตรงหน้านี่เก่งกาจแค่ไหน แต่เห็นอาการระวังตัวแจของคนตัวบางข้างหน้าผมแล้วก็พอจะเดาได้ว่ามันต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“ตัวพี่มีแต่กลิ่นมนุษย์...”คนที่ดูเหมือนจะชื่อจองกุกเอ่ยหลังจากที่เขาโน้มกายเข้ามาใกล้กับโฮซอกและเอาปลายจมูกโด่งๆนั่นมาแตะที่เรือนผมนิ่มเบาๆ...
มันรวดเร็วและบางเบา....เบามาก...
แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมไม่พอใจเป็นอย่างมาก....
เฮ้! นี่มันแฟนผมนะเว้ย!
จู่ๆจะให้ใครก็ไม่รู้เอาจมูกมาซุกน่ะ ยอมได้ที่ไหนกัน!
“นายต้องการอะไรจองกุก”และดูเหมือนว่าโฮซอกจะรับรู้ความไม่พอใจของผมได้ เพราะเขาเบี่ยงใบหน้าหลบปลายจมูกโด่งนั้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือเรียวก็เอื้อมมากอบกุมมือของผมเอาไว้แน่น
“หมอนั่นยังไม่ได้บอกพี่เหรอ?”เจ้าเด็กยักษ์จองกุกถามก่อนที่เขาจะเหลือบตาไปมอง ‘หมอนั่น’ ที่ว่า ผมมองเห็นจีมินเกร็งตัวขึ้นมาทันทีที่สายตาคมดุดันของผู้มาใหม่ตะหวัดมอง อย่าว่าแต่จีมินเลยครับ ขนาดผมคนที่ไม่ได้ถูกจ้องมองตรงๆอย่างเขายังอดที่จะหวาดหวั่นกับสายตานั่นไม่ได้เลย
“...นายก็รู้ว่าพี่ไม่ได้อยากครองบัลลังก์”โฮซอกเอ่ยตอบ เขายืนจ้องตากับจองกุกอย่างไม่เกรงกลัว แก้วตาสีเงินของโฮซอกที่เคยสุกสกาวเช่นไรตอนนี้มันกลับยิ่งสว่างไสวมากไปกว่านั้น
...เพราะมันเป็นแววตาแน่วแน่ของคนที่ตัดสินใจแล้ว...
“ผมรู้ครับ....”จองกุกยกยิ้มบางก่อนที่เขาจะค่อยๆหลับตาลงแล้วเอ่ยตอบ เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนที่จะผละห่างออกไป รักษาระยะห่างให้เท่าเดิมเหมือนก่อนหน้านี้
“...แต่พวกสภาไม่รู้”จองกุกเอ่ยเสียงเรียบอีกทั้งดวงตาสีเพลิงของเขาก็ลุกโชนราวกับมีเปลวเพลิงอยู่ในนั้น...ไม่สิ มีเปลวเพลิงอยู่ในดวงตาของเขาจริงๆ! พวกมันลุกพรึ่บพั่บโหมกระพือราวกับไฟป่าในฤดูหนาว
“...งั้นพี่จะไปพูดกับพวกเขาเอง พี่ไม่ได้อยากครองบัลลังก์...พี่แค่อยากใช้ชีวิตสงบๆอยู่ที่นี่ อยู่กับคนที่พี่รัก...”โฮซอกเอ่ยตอบก่อนที่ฝ่ามือเรียวที่กอบกุมมือของผมอยู่จะกระชับแน่นขึ้นไปอีก
...ไม่น่าเชื่อว่าคำบอกรักของเขาจะทำให้ความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่ผ่านๆมาของผมถูกพัดปลิวหายไปจนหมด...
...โฮซอกบอกรักผมบ่อยจนคำว่ารักแทบจะไม่ใช่คำพิเศษอีกแล้ว...แต่ทุกครั้งมันก็จริงใจเสียจนอุ่นซ่านไปทั่วทั้งใจ...
มือเรียวที่กอบกุมมือของผมเอาไว้ออกแรงดึงเล็กน้อยให้ผมขยับกายตาม โฮซอกสะบัดมือหนึ่งครั้งดาบเล่มใหญ่ในมือของเขาก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาจูงมือผมเดินตรงไปด้านหน้าฝ่ายร่างสูงของคนที่เป็นน้องชายไปโดยไม่คิดจะชายตามองเลยสักนิด
...ผมไม่รู้ว่าเขาจะลากผมไปไหน...
พรึ่บ!
แต่ยังไม่ทันที่จะเดินผ่านพ้นร่างของจองกุกพวกเราก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเสียก่อน ผมตกใจจนแทบกระโจนถอยหลังเมื่อเห็นว่าพื้นถนนเบื้องหน้าห่างจากปลายรองเท้าหนังของโฮซอกไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรมีเปลวไฟสีโลหิตกำลังลุกโชนอยู่ตรงนั้น
“พี่ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น...”น้ำเสียงเย็นยะเยียบที่ไร้อารมณ์ดังขึ้นเรียกให้ขนอ่อนทั้งร่างกายของผมพากันตั้งชันอย่างไม่ได้นัดหมาย จองกุกไม่ได้ขยับกายไปไหนแต่ดวงตาสีเพลิงของเขากลับเหลือบมองมาที่พวกเราทั้งคู่อย่างเอาเรื่อง
“ทำไม?”ฝ่ายโฮซอกเองก็เอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่แพ้กัน ฝ่ามือที่เคยอบอุ่นของเขาก็ยังคงอบอุ่นอยู่เช่นเคย หากแต่ผมกลับรู้สึกหนาวสะท้านราวกับว่าคนที่กอบกุมมือผมอยู่ไม่ใช่โฮซอกคนเดิมที่ปมเคยรู้จัก ดวงตาสีเงินของเขาวาววับจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของคนที่มีศักดิ์เป็นน้องชายเขม็ง
“....”จองกุกไม่ได้ตอบคำถามของโฮซอก แต่ดวงตาสีเพลิงคู่นั้นกลับจ้องมองโฮซอกด้วยแววตาบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก
...ผมมองเห็นร่องรอยของความเสียใจอยู่ภายในนั้น...
“...ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามพี่....”จองกุกกระแอมไอสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบและแววตาว่างเปล่าราวกับแววรวดร้าวเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
“...ถ้างั้นพี่ก็จะไป...”โฮซอกตอบก่อนที่ขาเรียวภายใต้กางเกงสแลกขมุกขมอมจะเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะลากตัวผมให้เดินตามไปด้วย ผมเหลือบมองด้านหลังเห็นจีมินรีบเดินตามมาอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาเดินก้มหน้าตลอดราวกับไม่ต้องการที่จะมองเห็นอะไรทั้งนั้น
...ดูเหมือนเขาจะกลัวจองกุกมากทีเดียว...
ผมจะไม่บอกว่าเขาขี้ขลาดหรอก เพราะตัวผมเองที่เพิ่งเคยเผชิญหน้ากับเขาครั้งแรกยังรู้สึกหวั่นเกรงเขาได้ขนาดนี้...
“...พี่จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”เสียงตะโกนกร้าวดันขึ้นหลังจากที่เราเดินจากมาได้เพียงสิบก้าวเท่านั้น เสียงกราดเกรี้ยวที่ดังขึ้นรียกให้อสูรกายนับร้อยตัวส่งเสียงร้องแกว๊กๆอย่างน่ารำคาญ ผมไม่รู้ว่าพวกมันเป็นอะไร หวาดกลัวหรือกำลังฮึกเหิมกันแน่....
แต่ที่แน่ๆคือพวกเรากำลังจะไม่ปลอดภัย!
สิ้นเสียงตะโกนนั้นเจ้าฟิวรี่ฝูงใหม่ก็พากันบินตรงมาหาพวกเราทั้งสามคน พวกมันอ้าปากกว้างอวดเขี้ยวแหลมน่าขยักแขยง บางตัวมีของเหลวเหนียวหนืดย้อยยืดลงมาจากปากชวนคลื่นไส้นัก
...ผมล่ะอยากรู้จริงๆว่าที่โลกปีศาจนี่เขาไม่ให้อาหารเจ้าพวกนี้กินรึไงนะมันถึงได้ทำหน้าอยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้าขนาดนี้...ซึ่งตอนนี้สิ่งที่ขวางหน้ามันอยู่ก็ผมนี่แหละ!
หวืด!
“แกว๊ก!!!”เสียงร้องแหลมหัวด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นที่ข้างหูผม หันไปก็ต้องตกใจจนแทบหงายหลังเมื่อภาพที่เห็นคือใบหน้าของเจ้าฟิวรี่ที่เข้าประชุดตัวผมจากด้านหลัง แต่สิ่งที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ก็คือดาบเล่มใหญ่ของโฮซอกที่เจ้าของมันใช้แทงทะลุใบหน้าของเจ้าอสูรกายห่างจากใบหน้าของผมไปเพียงสองเซนติเมตรเท่านั้น!
“....โฮซอก.....”ผมเอ่ยเรียกเขาเบาๆ แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับใดๆ เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยถามว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่าเหมือนที่เขามักจะทำเสมอด้วยซ้ำ ขนอ่อนทั่วร่างของผมลุกชันขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุยามที่เผลอสบนัยน์ตาสีเงินทรงอำนาจคู่นั้น....
...ปฏิเสธไม่ได้จริงๆครับว่าโฮซอกในตอนนี้ ทำให้ผมหวาดกลัว...
“...นายจะไม่ยอมให้ฉันไปใช่มั๊ยจองกุก...”โฮซอกเดินผ่านตัวผมไปเพื่อกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าน้องชาย ปลายดาบเล่มใหญ่ของเขาถูกยกขึ้นชี้ตรงไปที่ระดับใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยมือเดียว ใบหน้าของโฮซอกนั้นราบเรียบเอาจริงเอาจัง แต่ทว่าสายตาของเขากลับดุดันเชือดเฉือนจนน่าพรั่นพรึง
อาการแบบนี้ผมเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง....มันคือตอนที่เราเคยทะเลาะกันครั้งที่รุนแรงที่สุด แต่ตอนนั้นโฮซอกยังอยู่ในรูปลักษณ์ของ มนุษย์ ตอนนี้มันถึงได้น่ากลัวมากกว่าครั้งนั้นหลายขุม
“ผมก็อยากปล่อยให้พี่ไปเงียบๆ.....”ฝ่ายคนที่โดนปลายแหลมของคมดาบจ่ออยู่ที่กลางหน้าผากไม่ได้แสดงทีท่าหวาดหวั่นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าของชื่อจองกุกยังคงเอ่ยประโยคต่อมาด้วยใบหน้าราบเรียบและน้ำเสียงเนิบนาบเฉกเช่นเดิม
“...แต่ผมไม่มีทางเลือก...”
“...พี่ต้องหายไปซะโฮซอก!”
สิ้นเสียงตะโกนกร้าวของเด็กหนุ่มจองกุกดาบเล่มใหญ่ของโฮซอกก็ถูกปัดเบี่ยงทิศทางออกด้วยดมของดาบอีกเล่ม เสียงโลหะปะทะกันดังลั่นไปทั่วบริเวณราวกับเป็นระฆังสัญญาณเตือนให้ความชุนลมุนเริ่มขึ้นในตอนนั้น
“ท่านนัมจุนขอรับ!”เสียงตะโกนของจีมินดังขึ้นฝ่าเสียงกรีดร้องน่ารำคาญของอสูรกายทั้งหลายมาพร้อมกับที่ดาบเก่าๆขึ้นสนิมที่ผมคุ้นตาจะถูกโยนส่งมาให้ ในเวลานั้นผมไม่คิดอะไรอีกแล้วครับนอกจากรับมามาเหวี่ยงเพื่อป้องกันตัวเองอีกครั้ง
ผมมองเห็นจีมินกำลังง่วนกับการจัดการเจ้าหมายักษ์มากมายที่พุ่งไปรุมเขาราวกับมองเห็นเนื้อชั้นดี ดูเหมือนผมจะไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกมันเลยสักนิด คงจะเป็นอย่างที่โฮซอกเคยบอกว่าพวกมันทำอะไรผมไม่ได้เพราะผมไม่ได้มาจากโลกปีศาจ ดูเหมือนหมาล่าวิญญาณพวกนี้จะล่าเฉพาะสิ่งที่มาจากโลกปีศาจเพียงเท่านั้นจริงๆ
...เห็นแบบนี้ผมก็สบายไประดับหนึ่งครับ อย่างน้อยสิ่งที่ผมต้องระวังก็เหลือแต่เจ้าพวกฟิวรี่ค้างคาวผีพวกนี้เท่านั้นแหละ...
ผมไม่รู้ว่าผมเหวี่ยงดาบฟันเจ้าพวกนี้ไปกี่ตัว รู้แต่ว่าผมเหวี่ยงไปรอบตัวสะเปะสะปะ และแน่นอนว่าสะดุ้งทุกครั้งที่คมดาบปะทะเข้ากับอะไรบางอย่าง ถึงจะฟันมาหลายทีแล้วในวันนี้แต่เอาจริงๆผมไม่มีทางชินกับเรื่องวกนี้แน่ๆ
...แน่ล่ะครับใครจะไปชินล่ะ! ผมใช้ชีวิตเป็นพนักงานออฟฟิสรายได้ต่ำมาตลอดนะ!
งั่ม!
และดูเหมือนว่าผมจะเหม่อลอยโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าฟิวรี่ตัวหนึ่งถึงได้สบโอกาสลงเขี้ยวที่ต้นแขนซ้ายผมอย่างไม่ปราณีทันที ความเจ็บร้าวแล่นไปทั่วทั้งแขน มันชาแข็งจนขยับไม่ได้ราวกับว่าแขผมกลายเป็นหินไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“...ชิบ...!”
...ไม่ใช่เหมือนครับ....
...แขนซ้ายผมกลายเป็นหินไปแล้วจริงๆ!
ให้ตายเถอะ! ผมสบถหยาบคายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อเหลือบมองแขนที่ความเจ็บปวดหายไปก็พบว่ามันกลายเป็นหินไปแล้ว! พูดตามตรงก็คือตอนนี้ผมสติแตกมาก...ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ แน่ล่ะ! มันจะมีสักกี่วันที่คุณตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าแขนของตัวเองกลายเป็นหินน่ะ!
“ตัดมันออกนัมจุน!”ผมได้ยินเสียงตะโกนมาจากไกลๆ หันกลับไปมองก็พบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของเขา โฮซอกกระโดดหลบคมดาบของจองกุกที่ฟาดลงมากลางลำตัวก่อนทำท่าจะกระโจนเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็เป็นได้แค่ความคิดเมื่อดูเหมือนจองกุกจะไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น
“...นัมจุนตัดแขนออก! คำสาปของฟิวรี่มันจะลามไปทั่วทั้งตัวนาย มันเข้าสู่หัวใจเมื่อไหร่เราจะแก้ไม่ได้...นายตายได้สามครั้ง แต่เป็นหินนายจะไม่ตาย!”ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ผมเบิกตาโตขนาดไหนตอนที่มองกลับไปที่คนพูดอย่างโฮซอก
...ผมได้ยินไม่ผิดใช่มั๊ยเขาบอกให้ผมตัดแขน เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!
ผมเหลือบมองไปยังแขนข้างนั้นแล้วก็พบว่ามันกำลังลามขึ้นมาจริงๆ ให้ตายเถอะ! พูดง่ายแต่มันทำยากนะเรื่องแบบนี้ แค่ผมลองจิตนาการสมมุติเอาว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหนผมก็แทบจะกัดลิ้นให้ตายๆไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
พวกฟิวรี่ที่บินเข้ามาไม่ปล่อยให้ผมได้มีโอกาสตัดสินใจ มันโฉบเข้ามาหาแขนอีกข้างของผมอย่างรวดเร็ว แต่ผมก็เหวี่ยงดาบเก่าๆในมือใส่มันจนเต็มแรง เสียงร้องแกว๊กดังขึ้นก่อนที่ร่างของมันจะลอยละลิ่วออกไปหลายสิบเมตร
ความรู้สึกชาหนึบและหนักหน่วงลามขึ้นมาตามแขนจนตอนนี้แขนซ้ายของผมกลายเป็นหินไปหมดแล้ว อีกแต่ไม่ถึงคืบมันก็จะลามขึ้นมาถึงหัวไหล่ ผมรู้ตัวตอนนั้นว่าผมจำต้องทำอย่างไม่มีทางเลือก อย่างน้อยก็เพื่อรักษาชีวิต...
...แต่...ผมไม่ได้มีความกล้ามากมายขนาดนั้น...
...ผมแค่...ผม....
“นัมจุน!”เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้ผมหันไปให้ความสนใจ มองเห็นโฮซอกกำลังลงดาบใส่จองกุกที่ถอยร่นไปอย่างดุดัน ดวงตาคู่สวยของเขาเบือนมาสบผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแววอ้อนวอน
ขอร้อง....เขากำลังขอร้องให้ผมเชื่อใจเขา....
“เชื่อฉันนัมจุน...ได้โปรด...”เสียงของเขาที่เอ่ยอ้อนวอนออกมานั้นไม่ได้ดังไปกว่าเสียงประดาบและเสียงกรีดร้องของเหล่าอสูรกายพวกนี้เลยสักนิด...
...แต่ผมกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน....
มองเห็นแววตาอ้อนวอนที่ฉายแววโศกศัลย์คู่นั้นแล้วผมก็สำนึกได้ว่าผมกำลังจะทำเขาร้องไห้ ก็อย่างที่โฮซอกบอกว่าหากผมกลายเป็นหินเพราะคำสาปมันยิ่งกว่าตายเสียอีก เพราะผมจะกลายเป็นหินทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
...ผมมีพรของโฮซอกอยู่ มันทำให้ผมตายได้สามครั้ง...
เพราะงั้น...ถึงจะเจ็บจนตาย หรือสุดท้ายจะเลือดออกจนตาย...ยังไงผมก็จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง...
...ผมเชื่อโฮซอก...
ฉัวะ!
เสียงเชือดเฉือนดังก้องไปทั่วทั้งหู ในทีแรกมันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด แต่ทันทีที่ผมสำนึกได้ว่าแขนข้างซ้ายไม่ได้อยู่ติดตัวผมอีกต่อไปแล้วนั่นแหละครับที่ความเจ็บปวดมั่นแล่นริ้วขึ้นมาจนถึงปลายสุดของเส้นประสาท
ผมไม่รู้ว่าผมกรีดร้องดังแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้พยายามเหวี่ยงดาบปกป้องตัวเองอย่างที่ควรจะทำหรือไม่ ความเจ็บปวดมันบดบังทุกสิ่ง บดบังทุกๆอย่างจนผมไม่สามารถนึกถึงอะไรได้อีก
นานเท่าไหร่ก็ไม่อาจคะเนได้ที่ทุกอย่างล้วนขาวโพลนและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ใบหน้าของผมแนบลงที่พื้นถนนเสียแล้ว หูของผมไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น มันมีเสียงวี้ๆวิ่งวนไปหมด แถมสายตาก็ยังพร่าเบลอเกินกว่าจะประมวลผลภาพได้ ไม่รู้ว่าเพราะผมกำลังร้องไห้หรือว่าเพราะความเจ็บปวดกันแน่ที่ทำให้ผมมองไม่เห็น
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงผมร้องไห้หรือไม่ ร่างกายของผมไม่รู้สึกอะไรเลย.....
...ไม่เลยสักนิด...
บางทีนี่ผมอาจจะกำลังตายอย่างช้าๆ เลือดคงไหลออกจากแผลไม่หยุด...แต่เอาเถอะผมไม่ได้สนใจมันมากนักก็ในเมื่อตอนนี้ผมไม่เจ็บสักนิด จะไหลออกจนตายก็ไหลไปเถอะ...ก็เป็นอย่างที่โฮซอกบอกแหละครับ...
...ตอนนี้ผมคงเหลือตายได้อีกสองครั้ง....
ผมจำได้ว่ามันยังไม่ค่ำตอนที่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับผม แต่ตอนนี้มันกลับมืดมิด....โอเค...ผมมองไม่เห็นอะไรแล้ว...
แย่...นี่มันแย่มากๆ
ผมมองไม่เห็น...ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ขยับตัวก็ไม่ได้...โชคดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ยังได้ยินเสียงแว่วๆ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะเบาลงเรื่อยๆเหมือนกัน...
...คงใกล้แล้วมั้ง...
...อ่า ขอโทษนะโฮซอก พรที่นายให้ฉันใช้ไปแล้วหนึ่งข้อทั้งที่เพิ่งเริ่มการปะทะไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย...
..หวังว่านายจะรู้นะโฮซอก...
...ฉันรักนาย...
“นัมจุน!!!!”
Devil Beside
“....จุน....”
...เสียงใคร...
“...นัมจุน....”
...เรียกชื่อผม?
“นัมจุน”
...เสียงเหมือนโฮซอก?...
...ใครคือโฮซอก?...
“...นัมจุนได้โปรด...ตื่นเถอะ...”สัมผัสเย็นๆเปียกชื้นของอะไรบางอย่างแตะลงที่ใบหน้าของผมทำให้สติของผมเริ่มกลับมา...
...ผมชื่อคิมนัมจุน..ผมกำลังถูกฝูงฟิวรี่รุมทึ้ง...
...ผมโดนกัด....แขนของผมเป็นหิน...แล้วจากนั้นก็...
เฮือก!!!
ผมสะดุ้งพรวดขึ้นมาเต็มแรง เบิกตากว้างลมหายใจก็หอบถี่...ความรู้สึกมันเหมือนผมถูกกดน้ำไว้เป็นเวลานานแล้วพอได้อากาศหายใจผมก็รีบสูดมันเข้าปอดอย่างตะกรุมตะกราม
“..นัมจุน!”เสียงเอ่ยเรียกชื่อพร้อมกับร่างของใครบางคนที่โถมเข้าใส่ผมจนเต็มแรงไม่ได้ทำให้ผมตกใจไปได้เท่ากับสัมผัสเปียกชื่นที่หัวไหล่เลยสักนิด คนตัวบางโถมกายกอดผมเอาไว้แน่น สองแขนบางภายใต้ชุดสูทนั้นก็กอดกระชับรอบเอวของผมแน่นราวกับว่ากลัวผมจะกายไปไหน
“...ฮึก...ฉันคิดว่าพรนั่นจะไม่ได้ผลกับนายซะแล้ว...ฉันกลัวว่านายจะไม่ตื่นขึ้นมา ฉัน.....ฉัน....”ประโยคที่เหลือนั้นขาดหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นจนตัวโยน โฮซอกที่ซุกอยู่ตรงอกผมนั้นร้องไห้งอแงเป็นเด็กน้อย เสียงสะอื้นนั้นมันช่างน่าสงสารเสียจนผมอดที่จะยกแขนขึ้นกอดปลอบเขา
...แขน...
ตอนนั้นเองที่ผมสำนึกได้ว่า...ผมตัดแขนตัวเองไปแล้ว...
น่าเสียดายที่ต้องมาเสียแขนซ้ายไปแบบนั้น แต่นั่นมันก็เพื่อรักษาชีวิตผมเอาไว้...
...รักษาสัญญากับโฮซอก...
กำลังตัดพ้อกับโชคชะตาและพยายามทำใจยอมรับกับการเสียแขนอยู่ดีๆผมก็ต้องชะงักไปอีกครั้งเมื่อเผลยกมือซ้ายขึ้นลูบเรือนผมนิ่มของโฮซอก....
ครับ....มือซ้าย....
“เฮ้ย!”ผมร้องลั่นพลางรีบยกแขนขึ้นมาดูทันที แขนซ้ายของผมยังอยู่ดี ถึงปม้ตอนนี้แขนเสื้อยืดที่สวมใส่ในตอนแรกจะหายไปแถมสวนที่เหลืออยู่ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดก็ตามที
...แต่แขนของผมก็อยู่ครบ...
“...ทำไม...”
...แขนฉันถึงยังอยู่....
ผมอยากจะเอ่ยถามโฮซอกออกไปแบบนั้น แต่เพราะความตกตะลึงทำให้ผมถามไม่ออก และโฮวอกก็เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ เขาผละห่างออกไปนั่งข้างๆผมก่อนจะใช้แขนเสื้อสูทมอมแมมของตนเองเช็ดน้ำตาออกอย่างลวกๆ
“ผลของพรน่ะ....แต่ว่าขอโทษนะ ฉันใช้พรข้อที่สองของนายมาทดแทนเพื่อรักษาแขนนาย...”โฮซอกเอ่ยออกมาเบาๆ ใบหน้าของเขาฉายแววความลังเลอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นแบบนั้นผมเลยอดไม่ได้ที่จะต้องคว้าตัวเขาเข้ามาในอ้อมกอด
...บางทีอาจจะถึงคราวที่ผมต้องปลอบเขาบ้างเสียแล้ว...
“ไม่เป็นไรน่า...อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ยังตายได้อีกครั้งนะ”ได้ยินแบบนั้นโฮซอก็ทำท่าจะปล่อยโฮออกมาอีกรอบร้อนถึงผมและจีมินต้องช่วยกันปลอบยกใหญ่...
...ให้ตายเถอะ เจ้าชายปีศาจของผมนี่ขี้แงจริงๆ...
“แล้วนี่ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วพวกน้องชายนายล่ะ”หลังจากที่ใช้เวลาสักพักในการปลอบคนขี้แงให้หยุดร้องไห้ได้สำเร็จผมก็เพิ่งสังเกตว่ารอบตัวตอนนี้ไม่ใช่ถนนหลวงอีกแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นป่ารกร้างที่ดูเหมือนจะถูกปล่อยปะละเลยมาหลยสิบปี
“องค์ชายพาท่านนัมจุนหนีมาขอรับ...ข้าใช้สัตว์รับใช้ถ่วงเวลาพวกเขาไว้...น่าจะได้อีกสักพัก”จีมินเป็นคนเอ่ยตอบคำถามนั้น
“ตอนนี้ฉันว่าเราควรหนีได้แล้วล่ะ....เอาไว้สงสัยอะไรฉันจะบอกระหว่างทางนะ...”โฮซอกเอ่ยแนะนำ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย ตอนนี้สิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุดคือการหนีครับ
ถามว่าทำไมถึงไม่สู้น่ะเหรอ?
เรามีปีศาจสะบักสะบอมสองตนกับมนุษย์ไร้ความสามารถอีกหนึ่ง...
...จะไปสู้กองทัพอสูรกายพร้อมรบของอีกฝ่ายได้ไงล่ะครับ...
“เฮ้จีมินไหวรึเปล่า...”ระหว่างที่เราเดินเข้าป่ามาได้สักพักผมก็สังเกตเห็นว่าท่าเดินของจีมินแปลกไป มันดูขัดๆเหมือนจะก้าวไม่ถนัดเท่าใดนักปมเลยเอ่ยถามออกไป เจ้าของชื่อก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองผมช้าๆ เขาอึกอักสอดส่องสายตาไปทั่ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากพูดถึงมันเท่าไหร่นัก
ผมกับโฮซอกหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย สื่อสารกันผ่านทางสายตาก็เหมือนจะรู้ว่าเราควรต้องทำอะไร ไม่ปล่อยให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ผมจัดการคว้าเกราะที่ขาของเขาออกทันที
“จีมิน!”แล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ทำเอาลมแทบจับ ขาข้างหนึ่งของเขาภายใต้เกราะนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่น่าประคองสติเดินมาได้อย่างที่เขาทำอยู่
“มานั่งนี่ฉันจะรักษานาย”โฮวอกออกคำสั่งเรียกเอาทั้งผมและจีมินต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว จีมินส่ายหน้าดิกเขารีบคว้าเกราะจากมือผมไปเตรียมจะใส่กลับเหมือนเดิม แต่ไม่ครับ....ผมไม่ยอมคืนให้เขาแน่ๆ...
“ได้โปรดขอรับองค์ชาย ข้าทนเห็นท่านเจ็บปวดเพราะข้าอีกไม่ได้แล้ว...”ใบหน้าน่ารักขององครักษ์ตัวเล็กฉายแววอ้อนวอนอย่างเหลือล้น ในตาเรียวคู่นั้นมีน้ำใสๆเอ่อคลอ พอเห็นเขาทำท่าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นโฮซอกก็ได้แต่เม้มปากแน่นอย่างใช้ความ
...ดูเหมือนเขากำลังหนักใจกับเรื่องนี้...
“งั้นเอาอย่างนี้...จีมิน...โฮซอกจะไม่รักษานาย แต่เราจะปฐมพยาบาลเบื้องต้น....”พอเห็นว่าสถานการณ์นี้ตัดสินใจยากจนเกินไปผมเลยเลือกที่จะเป็นคนหาทางแก้ที่พอใจทั้งสองฝ่ายเอง
“...แต่ฉันจะไม่ให้นายเดินอีกแล้ว ในเมื่อนายบินไม่ได้แบบโฮซอก...ฉันจะแบกนายเองเข้าใจมั๊ย?”ทันทีที่ผมเสนอตัวปีศาจทั้งสองตนก็หันขวับมามองผมเป็นตาเดียว สายตาตื่นตะลึงเชิงไม่เห็นด้วยของจีมินและแววตาเขียวปั๊ดอย่างไม่เห็นด้วยของโฮซอกเรียกให้ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆออกไปขัดตาทัพเพียงเท่านั้น
“เอาน่า เราไม่มีเวลาแล้ว...จีมินเดินเองก็อาการหนักขึ้นแถยังช้าด้วย อีกอย่างฉันก็แข็งแรงที่สุดในตอนนี้แล้วนะ...”ผมยกข้ออ้างที่คิดว่าน่าเชื่อถือที่สุดออกมาใช้ทันที ผมไม่ได้โกหกนะ สภาพตอนนี้ผมดูดีที่สุดจริงๆ เพราะผม เกิดใหม่ มาแล้วไงล่ะ ตอนนี้ร่างกายเลยฟิคปึ๋งปั๋งไร้บาดแผลใดๆ
สุดท้ายแล้วทุกคนก็ยอมเห็นด้วยกับผม พวกเราจึงได้ออกเดินทางได้คล่องขึ้นโดยที่ผมมีจีมินอยู่บนหลัง...จีมินบอกว่าที่มาของบาดแผลไม่ได้น่าอภิรมย์นัก เรื่องก็คือเขาถูกเจ้าหมายักษ์นั่นกัดเข้าเต็มรัก แต่ก่อนที่พิษมันจะลามไปส่วนอื่นให้ทรมาณเล่นเขาก็ตัดการเฉือนเนื้อบริเวณนั้นออกไปอย่างไม่ลังเล
...ได้ยินแบบนั้นผมก็ดันนึกถึงตอนที่ตอนเองตัดใจเฉือนแขนตนเองออกมาตะหงิดๆ...
...มันก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอยากพูดถึงจริงๆนั่นแหละ...
ระหว่างทางพวกเรากูคุยกันเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไรจองกุกถึงต้องไล่ล่าโฮซอกด้วย ทำไมถึงไม่อยากให้โฮซอกขึ้นครองบัลลังก์ก่อนแล้วสละบัลลังก์ให้เขา และคำตอบที่ได้ยินจากโฮซอกก็ทำให้ผมเริ่มครุ่นคิด
...ชาติพันธุ์มันสำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
“...ฉันเข้าใจจองกุก เพราะถ้าฉันเป็นเขาก็อาจจะทำแบบเดียวกัน...บัลลังก์ของโลกปีศาจที่ผ่านมามีแต่สายเลือดแท้ทั้งนั้น ฉันเป็นรัชยายาทคนแรกที่เป็นเลือดผสม...ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ฉันเป็นลูกครึ่งสวรรค์....”โฮซอกเอ่ยก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างคนที่ยอมรับความจริงในทุกๆอย่าง
“...อันที่จริงแล้วประชาชนส่วนมากก็ไม่เห็นด้วยถ้าหากฉันจะขึ้นครองบัลลังก์ แต่เพราะพวกเรายึดถือ กฎมลเทียรบาล มาก่อนสิ่งใดเสมอทำให้พวกเขาต้องยอมจำนน...ยิ่งฉันมีราชาปีศาจคอยสนับสนุนด้วยยิ่งแล้วใหญ่....”
“แค่เรื่องที่นายเป็นลูกครึ่งสวรรค์น่ะหรือ? ไม่ใช่ว่านายเลือกที่จะเป็นปีศาจเต็มตัวแล้วเหรอ?”ผมเอ่ยถามตามที่สงสัย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเหยียดเรื่องชาติพันธุ์กันแบบนั้นด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแม่แต่ในโลกปีศาจก็มีเรื่องความขัดแย้งทางชาติพันธุ์แบบนี้อยู่เหมือนกัน
“...มันเป็นเรื่องของเกียรติยศในราชวงศ์น่ะ อาจจะเข้าใจยากไปสักหน่อย...แต่ฉันก็เป็นจุดด่างพร้อยดีๆนี่เอง...”ชั่วขณะผมเห็นแววตาเศร้าโศกของเขา แต่มันก็เปลี่ยนกลับมาเด็ดเดี่ยวเช่นเดิมได้อย่างรวดเร็ว
“...เกียรติยศที่ทำให้ต้องมาเข่นฆ่าคนในครอบครัวเนี่ยนะ...เกียรติแบบไหนกัน?”ผมไม่รู้หรอกครับว่าเผลอใส่อารมณ์ลงไปเยอะแค่ไหน แต่มันก็คงจะมากพอให้น่าขันเพราะผมแอบเห็นโฮซอกหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
...ถึงสุดท้ายแล้วเขาจะกลับมาเป็นจริงเป็นจังอีกครั้ง...แต่การได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยดูเหมือนจะทำให้ความตึงเครียดของเขาลดน้อยลงได้แหละครับ...
...แค่เห็นเขายิ้มได้ผมก็ดีใจ...
“มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก...จองกุกคิดไปไกลกว่านั้น เขาไม่ได้ทำลงไปเพราะต้องการอำนาจ เราโตมาด้วยกัน...ฉันรู้จักเขาดี...”โฮซอกอธิบายให้ผมฟัง แก้วตาสีเงินของเขาเต็มไปด้วยแววของความเอ็นดู
...ในเวลาแบบนี้เขาก็ยังคงเป็นโฮซอก...
เขากำลังแก้ต่างให้จองกุก เขาพยายามบอกว่าจองกุกมีเหตุผลในการกระทำ...ดูๆไปแล้วเหมือนเขาจะไม่คิดติดใจอะไรด้วยหาดพวกเราหนีไปได้...
...ทั้งๆที่น้องชายที่รักของเขากำลังตามฆ่าพวกเราเนี่ยนะ?...
...จองโฮซอก...
...เขาบริสุทธิ์เกินไปจริงๆ...
โฮซอกไม่ควรต้องมาเจอเรื่องงี่เง่าพวกนี้เลยสักนิด เขาจิตใจดีมาก มีเมตตามากกว่ามนุษย์ธรรมดาเสียอีก...
...จองโฮซอกเป็นนางฟ้าจริงๆ...
...เขาไม่ใช่ปีศาจอย่างที่บอกหรอก...
...ไม่ว่าโฮซอกจะรู้ตัวหรือไม่....
แต่เขาเหมาะกับสวรรค์มากกว่าใครๆ...อาจจะมากกว่าเทวดาขี้เท่อที่เหยียดเขาเพียงเพราะปีกสีดำนี่เสียอีก...
“...ถ้าเกิดประชาชนไม่ยอมรับคนที่จะขึ้นมาครองบัลลังก์แล้วล่ะก็...นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
“...”
“...ก่อกบฏน่ะสิ และเมื่อถึงตอนนั้นต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอนไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ...หากประชาชนชนะ ผู้ปกครองที่ไม่ได้รับการยอมรับย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้...หรือถ้าฝั่งผู้ปกครองชนะ...ก็ต้องมีการล้มหายตายจากจากการปะทะแน่นอน...”โฮซอกอธิบาย เขาทอดมองไปยังป่าทึบด้านหน้าราวกับกำลังจมอยู่ในความคิดตนเอง แต่ก็แค่พักเดียวเท่านั้น เขาหันมาส่งยิ้มบางๆให้ผมราวกับจะบอกว่าอย่าไปใส่ใจเรื่องที่เขากำลังพูดอยู่เลย
...สงสัยว่าผมคงคิดตามจนคิ้วแทบผูกโบแล้วกระมัง...
“...จองกุกคิดไปถึงตรงนั้น การสูญเสียคือสิ่งที่พวกเราในฐานะชนชั้นปกครองไม่อาจปล่อยผ่านได้ ยิ่งเป็นการสูญเสียหรือความเสียหายที่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกันยิ่งแล้วใหญ่....”ผมสาวเท้าให้เร็วขึ้นตามที่โฮซอกเร่งจังหวะ เหลือบไปมองจีมินที่อยู่ด้านหลังก็พบว่าเขาหลับไปแล้วเพราะความเหนื่อยล้าและพิษบาดแผล โฮซอกเอื้อมมือเรียวของเขาขึ้นมาขยี้ผมคนที่หลับเป็นเด็กน้อยอยู่บนหลังของผมอย่างรักใคร่เอ็นดูก่อนจะเอ่ยต่อ
“...จองกุกน่ะทำเพื่อเกียรติของราชวงศ์...ทำเพื่อความเป็นระบบของโลกปีศาจ เขาพยายามสร้างความพอใจให้กับทุกฝ่ายโดยที่ไม่ทำลายกฎมลเทียนบาลที่ถือเป็นบรรทัดฐานของโลกเรา...ทั้งหมดนั้นก็เพื่อโลกปีศาจทั้งนั้น...”
“....”
“จองกุกน่ะ...ต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย...”โฮซอกเอ่ยก่อนที่เขาจะยกรอยยิ้มบางๆ
...เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมไม่ชอบรอยยิ้มของเขา....
..รอยยิ้มแสนเศร้าแบบนี้ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย...
“...โฮซอก...”เดินไปได้สักพักโฮซอกก็กันให้ผมหยุดฝีเท้า เห็นคนที่เดินนำหน้าอยู่เริ่มสอดส่องสายตาไปทั่วอย่างหวาดระแวงแล้วก็รู้สึกคนลุกอย่างประหลาด
“นัมจุนฟังนะ....”โฮซอกหมุนกายกลับมาหาผม ฝ่ามือเรียวของเขาก็จับที่ต้นแขนของผมเอาไว้แน่น ใบหน้าจริงจังของเขามันทำให้ผมสังหรณ์บางอย่าง...บางอย่างที่คงไม่ใช่เรื่องดีนัก...
“...นายต้องวิ่งนำหน้าไป เราต้องไปให้ถึงน้ำตกก่อนพวกนั้นจะตามมาทัน น้ำเป็นธาตุสวรรค์เป็นพิษกับพวกสัตว์อสูร...ฉันจะคอยคุ้มกันหลังให้...”โฮซอกเอ่ยก่อนจะเดินสวนผมไปที่ด้านหลังทั้งที่ผมยังไม่ทันตอบตกลงเสียด้วยซ้ำ
...เฮ้เดี๋ยวนี่เขาหมายถึงให้ผมล่วงหน้าไปก่อนงั้นหรือ?...
“โฮซอก!”ผมเอ่ยรั้งเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะเดินจากไป ฝีเท้าของโฮซอกชะงักลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับมามอง
...ผมไม่อยากแยกจากเขาตรงนี้...
...ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกหากเราแยกกันตรงนี้....
...มันอาจจะเป็นแค่ความคิดมากของผมเอง.....แต่อย่างไรเสียผมก็อยากให้พวกเราไปพร้อมกัน....
“...ม...”กำลังจะเอ่ยขอร้องว่าไม่แยกกันได้ไหม ให้เขาไปกับผมได้ไหมผมก็ต้องชะงักปากไว้เสียก่อนเพราะโฮซอกหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับผม เขาเขย่งกายเล็กน้อยก่อนจะแนบริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นลงบนปากผมแผ่วเบา
ในขณะที่เขากำลังจะผละห่างก็เป็นผมเองนี่แหละครับที่ตัดสินใจกดแนบจูบของเราให้แนบแน่นขึ้นไปอีก ใจจริงอยากจะเอื้อมมือไปคว้าตัวเขาเข้ามาโอบกอดอีกสักครั้ง แต่น่าเสียดายที่ผมต้องแบกจีมินที่หมดสติเอาไว้
“....แล้วฉันจะตามไปนัมจุน ฉันสัญญา...”ทันทีที่ผมปล่อยให้ริมฝีปากของเขาเป็นอิสระ โฮซอกก็เอ่ยออกมาเบาๆ เขากระซิบออกมาทั้งที่ริมฝีปากของเรายังอยู่ใกล้กันจนแทบชิด
ผมจ้องมองเข้าไปในแก้วตาสีเงินยวงคู่นั้น มันฉายแววแน่แน่เด็ดเดี่ยวเหมือนเช่นทุกครั้ง...โฮซอกตัดสินใจแล้ว...และเขากำลังขอให้ผมเชื่อใจเขา..
...และน่าแปลกที่ผมเชื่อเขา...
“...ในตัวนายมีวิญญาณของฉันอยู่...”
“....”
“...จำไว้นะนัมจุน....ฉันจะอยู่เคียงข้างนายเสมอ....”
โฮซอกเอ่ยทิ้งไว้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่จะหมุนตัววิ่งกลับไปอีกทางทันที ผมมองจนแผ่นหลังบางๆทว่าสง่างามของเขาหายลับเข้าไปในแนวป่าแล้วก็หมุดตัวกลับเพื่อวิ่งตรงไปยังตำแหน่งของน้ำตกที่โฮซอกว่าทันที
...เอาเข้าจริงผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่ามันอยู่ตรงไหน...
...แต่อะไรบางอย่างบอกว่าผมรู้ว่าควรไปที่ไหน...
...อะไรบางอย่างที่ผมคิดว่ามันคือโฮซอก...
ตอนนี้ผมแยกกับเขามาพักหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแต่ความอุ่นซ่านภายในร่างของผมยังคงอยู่ วิญญาณของโฮซอกยังคงอยู่ ผมคิดว่าเขาจะไม่เป็นอะไร...
เสียงซ่าๆของสายน้ำที่กระทบกันเรียกให้ผมหูผึ่ง หัวใจลิงโลดยิ่งกว่าสิ่งใดเมื่อค้นพบว่าเสียงนั้นคือน้ำตกไม่ผิดแน่นอน อีกนิดเดียวผมก็จะถึงน้ำตกแล้ว...อย่างน้อยถ้าไม่ต้องมาคอยห่วงผมกับจีมิน เขาน่าจะทำอะไรๆได้ง่ายขึ้น...
กรรรรร!!
กำลังจะออกวิ่งตรงไปที่น้ำตก เสียงคำรามของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นเสียก่อน พอหันหลังกับไปผมก็ตกใจจนแทบทำจีมินบนหลังหลุดมือ มันคือเจ้าหมายักษ์สุนัขล่าวิญญาณตัวมหึมานั่นเอง และแน่นอนว่ามันไม่ได้มาตัวเดียว พวกมันกันถึงห้าตัว!
“...ท่าน...นัมจุน...”เสียงเอ่ยเรียกจากด้านหลังดังขึ้นเรียกให้ผมต้องเบือนหน้ากลับไปให้ความสนใจ จีมินในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงเริ่มขืนกายจะลงจากหลงผมให้ได้ จนในที่สุดเท้าทั้งสองข้างของเขาก็สัมผัสกับผืนดินได้ในที่สุด....
....แต่ก็ได้เท่านั้น....
ทันทีที่ผมปล่อยให้เขาเป็นอิสระจีมินก็ล้มลงทันที เขาไม่ได้หมดสติ...แต่ให้พูดกันจริงๆสภาพของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างกับการหมดสติเท่าใดนัก เขาในตอนนี้อย่าว่าแต่จะให้ไปฟัดกับเจ้าหมาบ้านี่เลย แค่ยืนยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“...ท่านนัมจุน...ล่วงหน้าไปที่น้ำตกก่อนเถอะขอรับ...เดี๋ยวทางนี้ข้าจัดการเอง...”จีมินเอ่ย เขาพยายามฝืนตัวลุกขึ้นยืนจนผมต้องรีบตรงเข้าไปประคอง ผมส่ายหัวก่อนจะส่งยิ้มให้เขาบางๆ
“...มันทำอะไรฉันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ...ฉันไม่ได้มาจากโลกปีศาจนะ....”ก็อย่างที่บอกไปแหละครับว่าเจ้าหมานั่นทำอะไรผมไม่ได้ อย่างมากก็แค่การขู่ให้กลัว..ซึ่งใช่ มันทำสำเร็จ ผมกลัว....
“...ไม่ขอรับ...ท่านตายไปแล้ว...ตอนนี้ท่านก็เปรียบเหมือนดวงวิญญาณจากทุ่งวิญญาณ....”
...ชิบ....ย....
กรรรรรรร!
ยังไม่ทันที่จะสบถออกมาได้เต็มคำ ร่างของผมก็ลอยละลิ่วจากแรงตะปบของเจ้าหมายักษ์ ความเจ็บปวดแล่นริ้วไปทั่วหน้าท้องจนต้องเบ้หน้า คามแสบร้อนคือสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น ให้ตายเถอะ! แม้แต่เล็บมันก็มีพิษงั้นเหรอครับ!
“...หนีไปขอรับท่านนัมจุน! เฉือนพิษออกแล้วหนีไปขอรับ!”จีมินตะโกนลั่นก่อนเขาจะโยนดาบเก่าๆที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้หลายครั้งมาให้
...โอเค นี่ผมต้องใช้มันตัดเนื้อตัวเองอีกแล้วเหรอเนี่ย!
ผมกัดฟันก่อนจะลงมือตามที่จีมินบอกทันที โชคดีที่ครั้งนี้ผมโดนแค่ถากๆเท่านั้น มันไม่ได้ร้ายแรงเหมือนตอนที่โดนคมเขี้ยวของฟิวรี่แผลเลยไม่ใหญ่มาก ผมฉีกชายเสื้อยืดมอมแมมของตนเองมามัดปากแผลเอาไว้ลวกๆ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ชะลอให้เลือดไหลออกจากตัวได้ช้าลงแล้วล่ะครับ
เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง พอผมเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าเจ้าหมาบ้าพวกนั้นกำลังไล่ฟัดจีมินที่สะบักสบอมอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมมองเห็นคนตัวเล็กนั้นสู้สุดชีวิตเพียงเพื่อถ่วงเวลาให้ผมวิ่งหนีเอาตัวรอดได้...
...เท่านั้นจริงๆ...
...จีมินไม่นึกถึงตัวเองเลยด้วยซ้ำ...
...เขาไม่ต้องทำให้ผมขนาดนี้ก็ได้....ผมไม่ใช่คนรู้จักของเขาด้วยซ้ำ...
ตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจได้...
“กรรรรร!”เสียงร้องโหยหวนของเจ้าหมายักษ์หนึ่งตัวดังขึ้นเพราะคมดาบที่ฟาดฟันลงที่ปลายจมูกของมัน ผมถลาตัวเข้าไปหาจีมินแล้วเริ่มเหวี่ยงดาบฟาดเจ้าหมาบ้าพวกนี้อย่างรุนแรงทันที
ผมไม่รู้หรอกครับว่าจีมินตะโกนห้ามผมกี่ครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองฟันพวกมันไปกี่แผล....ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนงับเข้ากี่จุด....
...แต่สิ่งที่ผมรู้ตอนนี้คือผมไม่อาจทิ้งให้จีมินที่พยายามปกป้องผมและโฮซอกมาตายตรงนี้แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดได้แน่ๆ...
...ขอโทษนะโฮซอก....
...ฉันอาจจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนายไม่ได้....
...แต่ฉัน....รักนายนะ...
...จองโฮซอก...
รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็ล้มลงที่พื้นอีกครั้ง ความรู้สึกหนาวเหน็บเข้ามากอบกุมหัวใจ ผมรู้ได้ทันทีว่าเวลานั้นมาถึงอีกแล้ว...ผมกำลังจะตายอีกครั้ง...
ความหนาวเหน็บและเงียบงันโรยตัวไปทั่วทั้งบริเวณ...ไม่สิ รอบตัวผมไม่ได้เงียบเลยสักนิด แต่หูของผมเองที่ไม่ได้ยิน....
...ผมเคยคิดว่าใครจะไปชินกับความเจ็บปวดกัน...แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกชินกับความตายเสียอย่างนั้น...
...ผมตายมาหนึ่งครั้งแล้ว...และนี่ก็เป็นครั้งที่สอง...
...ให้ตายเถอะจะมีใครที่มีโอกาสลิ้มรสความตายหลายรอบได้แบบผมบ้างนะ...
...คงไม่มี....และผมก็ภาวนาให้ไม่มีจริงๆ...
แหมะ!
ผมรู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ของเหลวบางอย่างหยดลงที่ปลายจมูก ประสาทสัมผัสที่ยังทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพนักของผมบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร
สักพักกว่าที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมกลับคืนมา กลิ่นคาวคลุ้งลองเข้ามาในประสาทการรับรู้ของผมในที่สุด ตอนที่จมูกของผมกลับมาได้กลิ่นอีกครั้งกลิ่นแรกที่รู้สึกได้ดันเป็นกลิ่นคาวเหม็นโฉ่จนต้องเบ้หนาเสียอย่างนั้น
...ให้ตายเถอะ!
ผมค่อยๆพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งของตนเองขึ้นเพื่อมองความเป็นไปตรงหน้า แต่เมื่อยามที่ดวงตาของผมมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งสิ่งที่ผมเห็นดันเป็น...สีแดง...
...สีแดงฉานของหยาดโลหิต...
“...ท่าน.....นัมจุน...”เสียงนั้นเอ่ยเรียกผมผะแผ่ว ดวงตาเรียวของใครบางคนจ้องมองมาที่ผมอย่างแน่วแน่ ชั่วขณะที่ดวงตาของเราสองคนเผลอสบกันโดยบังเอิญแววตาอ้อนวอนของอีกคนก็ส่งตรงมาหาผมอย่างไม่คิดจะปิดบัง
...ไม่หรอก ปิดบังไม่ได้ต่างหาก....
...เพราะดวงตาคู่นั้นอยู่ห่างจากใบหน้าของผมไปเพียงหนึ่งฟุตเท่านั้น...
“จี....มิน?”
“หนีไปขอรับ....ได้โปรด...เพื่อองค์ชาย...”เสียงของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมาอ่อนระโหยโรงแรง จีมินส่งยิ้มบางๆให้ผมและเขาก็พูดได้เพียงเท่านั้นเมื่อร่างของเขากระตุกวูบอย่างแรงแล้วถูกเหวี่ยงออกไปอย่างไร้ปราณี
ผมมองภาพเบื้องอน้าอย่างจกตะลึงเมื่อเห็นว่าคนที่ควรอยู่ตรงหน้าผมเมื่อครู่ถูกเหวี่ยงออกให้พ้นทางด้วยคมเขี้ยวของเจ้าหมายักษ์ตนหนึ่ง จีมินนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น...ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร...
ดวงตาของเขายังคงจับจ้องมาที่ผมอย่างอ้อนวอน แต่เขาไม่อาจขยับกายไปไหยได้....เขาขยับไม่ได้เพียงเพราะร่างกายส่วนล่างของเขาชุ่มโชกไปด้วยหยาดโลหิตสิแดงฉาน...
....เขากำลังร้องไห้ ผมเห็นหยาดน้ำตาของเขาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ทั้งๆที่ไม่อาจขยับร่างกายได้อีกต่อไปแล้วแต่ริมฝีปาดอิ่มของเขาก็ยังคงขยับพร่ำบอกให้ผมหนีไปทั้งที่ไร้เสียง...
ผมจ้องมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย...ในระหว่างที่ผมตายไปเขาต้องพยายามอย่างหนักแค่ไหนในการรักษาร่างกายของผมเอาไว้ จีมินที่ไม่อาจขยับร่างกายได้ดั่งใจพุ่งตัวเข้ามาปกป้องร่างกายเปล่าๆที่ไร้วิญญาณไปชั่วขณะของผมเอาไว้...
เขายืนอยูตรงนั้น...เบื้องหน้าของผมจนกระทั่งผมรู้สึกตัว แม้แต่คมเขี้ยวของสุนัขล่าวิญญาณจีมินก็ยอมรับมัน...เขายิ้มให้ผม...อ้อนวอนให้ผมหนีไป...ฝากฝั่งองค์ชายของเขาเอาไว้ที่ผม....
...จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต...
ฉัวะ!
ผมได้สติอีกครั้งในตอนที่มองเห็นหยาดโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไปทั่วด้วยคมเขี้ยวของสุนัขล่าวิญญาณตัวใหญ่ ร่างของจีมินกระตุกเบาๆทุกครั้งที่ถูกฝั่งเขี้ยวลงไป แต่แน่นอนว่าไม่มีเสียงกรีดร้องออกมาเลยสักนิด....
...จีมิน...ตายแล้ว....
ภาพทุกอย่างตรงหน้าเกิดขึ้นราวกับภาพช้า ผมมองเห็นรายละเอียดทุกสิ่งอย่าง มองเห็นทิศทางการสาดกระเซ็นของหยาดเลือดหรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงฉีกทึ้งร่างไร้วิญญาณนั้น
‘หนีไปขอรับท่านนัมจุน’
...จีมิน....ฉันเสียใจ....
‘หนีไปขอรับ!’
ผมกัดฟันกลืนก้อนอารมณ์บางอย่างที่เอ่อล้นกลับลงไปในลำคออีกครั้งก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สบตากับร่างไร้วิญญาณของจีมินเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหมุนตัววิ่งตรงไปยังน้ำตกที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตรทันที
“วิ่งเร็วนัมจุน!”เสียงตะโกนที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังทำให้หัวใจที่เต้นช้าลงทุกขณะของผมกลับมามีชีวิตอีกครั้ง หันหลังมองผ่านร่างใหญ่โตของสุนัขล่าวิญญาณไปก็คือร่างโปร่งบางของใครบางคนที่ผมเฝ้าคนึงหา
...โฮซอก...
เขาอยู่ตรงนั้น กำลังกระโจนเข้ามาหาผมด้วยสภาพที่เรียกได้ว่าดูไม่จืดเลยสักนิด โฮซอกสะบักสบอมไปทั้งตัวแต่โดยรวมดูเหมือนเขาจะปลอดภัยดี ผมมองเห็นร่างสูงของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อจองกุกเคลื่อนกายตามมาติดๆ แต่สภาพอีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีไปกว่าโฮซอกเท่าใดนัก
...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเพียงแค่เห็นใบหน้าสวยของเขา....ผมก็รู้สึกอยากยิ้มออกมา...
...ยิ้มทั้งที่ผมเองก็ไม่รู้ความหมายของมัน...
...ผมรู้เพียงแค่ว่าหัวใจที่บอบช้ำของผมกำลังถูกเยียวยาช้าๆเพียงแค่ได้เห็นใบหน้าของเขา...
โฮซอกจะรู้มั๊ยนะว่าเขาวิเศษแค่ไหน....
ผมจำไม่ได้ว่าโฮซอกตะโกนบอกให้ผมเร่งฝีเท้าอีกกี่ครั้ง จำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรนอกจากยิ้มให้เขาหรือไม่ จำไม่ได้ว่าใบหน้าสวยนั้นเปลี่ยนจากร้อนรนมาเป็นตกตะลึงตั้งแต่เมือ่ไหร่...
...เขาว่ากันว่าในวินาทีที่ความตายคืบคลานเข้ามาใกล้....
...คนเราจะเห็นโลกหมุนช้าลง...
สำหรับผมก็คงจะเป็นเช่นนั้น...
ทุกอย่างรอบกายของผมเคลื่อนไหวช้าลงจนเหมือนภาพสโลว์ ผมมองเห็นใบหน้าตื่นตะลึงของโฮซอกที่จ้องตรงมาทางนี้ ก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาทั่วร่างจนหูอื้ออึงไปหมด
ผมมองเห็นเงาดำของอะไรบางอย่างที่พาดผ่านไปพร้อมกับหยาดโลหิตสีแดงฉานที่สาดกระเซ็นไปทั่วทั้งคลองสายตา
...เลือด....
....ของผมเอง?....
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ทั้งร่างร่วงลงกระแทกกับพื้นดินแข็งๆห่างจากน้ำตกเพียงเอื้อมมือ หยาดน้ำเย็นๆแสนสดชื่นจากน้ำตกเบื้องหลังกระเด็นโดนใบหน้าของผมเล็กน้อย มองจากมุมนี้น้ำตกนี้ก็สวยเอาเรื่องเหมือนกัน
...น่าเสียดายที่ผมน่าจะชื่นชมความงามของมันได้อย่างเต็มที่หากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้...
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรเลย...ไม่เจ็บปวดด้วยซ้ำ...
...อันที่จริงแล้วความตายก่อนหน้านี้ควรจะสบายให้ได้แบบนี้มั๊ยนะ...
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นการตายจริงๆของผมแล้วใช่ม๊ยเนี่ย....
...รู้สึกผิดมากอยู่เหมือนกันที่ดูเหมือนชีวิตของผู้ชายโง่ๆที่จีมินเสียสละชีวิตของตนช่วยเอาไว้จะจบลงเร็วขนาดนี้...
...แล้วก็เสียใจที่ไม่สามารถรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับโฮซอกได้....
....ทั้งๆที่อยู่ห่างกับเขาแค่เอื้อมเท่านั้นเอง...
เบือนใบหน้าไปฝั่งตรงข้ามกับน้ำตกก็มองเห็นโฮซอกกระโจนเข้ามาหาผม เขาออกแรงเหวี่ยงดาบในมืออย่างรุนแรงและบ้าคลั่ง ผมไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เขาดูโกรธเกรี้ยวและแค้นเคืองทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้...
...ถ้าให้พูดกันตามจริง โฮซอกตอนนี้ดูเหมือนปีศาจขึ้นมาสักทีแหละนะ...
ผมจำได้ว่ามันเป็นเพียงพริบตาเดียวที่เจ้าหมาล่าวิญญาณทั้งหายถูกเปลวเพลิงสีดำแผดเผาจนมอดไหม้หายไปหมด โฮซอกโยนดาบเล่มใหญ่ทิ้งลงข้างกายรากับของไร้ค่าก่อนจะถลาตรงมาหาผม
ฝ่ามือเรียวทั้งสองข้างของเขาค่อยๆประคองร่างของผมเข้าไปในอ้อมกอดที่สั่นเทานั้น เขาร้องไห้....
....ร้องไห้จนตัวโยน....
น่าสงสารจนผมต้อเอื้อมมือขึ้นไปซับน้ำตาให้เขา....
....และนั่นก็แทบจะเป็นเรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่ผมมีในตอนนี้...
“นัมจุน...ฮึก...นัมจุน ฉันจะรักษา...ฉันจะรักษานายเอง...ฮึก นายจะไม่เป็นอะไรนะ...นายจะไม่เป็นอะไร...”เขาร้องไห้ไปเอ่ยปลอบประโลมไปจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ถึงเขาจะเอ่ยคำเหล่านั้นกับผม แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้ปลอบผมหรอก
...เขากำลังปลอบใจตนเองต่างหาก...
แสงสีขาวนวลที่ผมคุ้นเคยสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมไม่อาจรับรู้ความอบอุ่นของมันได้เลยสักนิด ใบหน้าสวยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของเขาค่อยๆซีดเผือดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาต้องหลุดร้องออกมาในที่สุด
...เห็นแบบนั้นผมก็ทนให้เขาทำตามใจอีกต่อไปไม่ได้แล้ว...
...เพราะผมรู้ดีว่ารักษาไปก็เท่านั้น....
...ผมไม่มีทางรอด....
“โฮซอก....พอเถอะ....”ผมพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดเท่าที่มีเอ่ยบอกเขาออกไป ผมส่งยิ้มบางๆให้เขาพร้อมกับกอบกุมมือเรียวที่กำลังสั่นเทาคู่นั้นไว้แนบแน่น กระชับกอบกุมมันเอาไว้คล้ายการปลอบใจ
...มันน่าผิดหวังที่ผมไม่อาจรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเขาได้...
ผมเหลือบมองสภาพที่ชุ่มโชคไปด้วยเลือดของตนเองช้าๆ โฮซอกเองก็มองตามเช่นกัน สภาพของผมมันไม่น่าดูเลยสักนิด อยากจะจับใบหน้าของโฮซอกหันหนีเหลือเกิน อันที่จริงที่ปมไม่รู้สึกเจ็บปวดที่โดนเจ้าหมายักษ์นั่นขย้ำเป็นเพราะ ส่วนที่โดนขย้ำ ของผมนั้นหายไปแล้วต่างหาก...
...ตั้งแต่เอวลงไป....ไม่ได้อยู่กับผมอีกแล้ว...
....สิ่งที่เห็นมีเพียงหยาดโลหิตสีแดงฉานที่เจิ่งนองไปทั่วต่างหาก....
ได้ยินคำห้ามปรามของผมดวงตาคู่สวยนั้นก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ทำนบน้ำตาจะหลั่งไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ทันที โฮซอกคุกเข่าร้องไห้โฮราวกับเด็กน้อย ภาพนี้มันช่างบาดใจของผมจริงๆ...เจ็บปวดกับภาพนี้มากกว่ารู้ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เสียอีก
...คิมนัมจุนคนไม่เอาไหนที่ทำให้โฮซอกร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
สักพักทีเดียวกว่าที่โฮซอกจะหยุดร้อง....ไม่สิเขาไม่ได้หยุดร้องไห้แต่เขาเพียงแค่ไม่ได้คร่ำครวญเท่านั้น น้ำตาของเขายังคงไม่แห้งเหือดไปไหน ขอบตาของเขาบวมช้ำจนน่าสงสาร โฮซอกหลับตาลงก่อนจะเปิดเปลือกตาบางของตนขึ้นในเวลาต่อมา
แววตาโศกเศร้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ราวกับตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว....
“อย่าห่วงนะนัมจุน...นายทำได้ดีมาก นายรักษาสัญญาได้ดีมาก...”โฮซอกเอ่ยบอกกับผมเบาๆ มือเรียวข้างหนึ่งก็เอื้อมมาเป็นฝ่ายกอบกุมมือของผมเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าของผมเบาๆอย่างรักใคร่
“จองกุก...”โฮซอกเอ่ยเรียกชื่อใครบางคนแผ่วเบาแต่ทว่าผมคิดว่าเขาได้ยิน เจ้าของชื่อที่ยืนห่างออกไปหลายสิบเมตรขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววรวดร้าวของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อแล้วก็ได้แต่ส่งสายตาขอบคุณไปให้เขาเบาๆ
...อย่างน้อยในระยะเวลาสั้นๆสุดท้ายของชีวิตผม เขาก็ปล่อยให้ผมได้อยู่กับโฮซอกโดยไม่คิดจะฉวยโอกาสนี้ทำร้ายโฮซอกเลยสักนิด เขาเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น...เฝ้ามองดูบทสรุปนี่อย่างเงียบๆเท่านั้น...
“...พี่สัญญากับนัมจุนไว้....”ทันทีที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในรัศมีการสนทนา โฮซอกก็เริ่มเอ่ยความจำนงของตนทันที
“....”
“...เราสองคนสัญญากันไว้ว่าจะจากโลกนี้ไปพร้อมๆกัน....”พอเขาพูดมาถึงตรงนี้ผมก็เริ่มรู้ว่าเขาต้องการอะไร กำลังจะเค้นเสียงเอ่ยค้านแต่โฮซอกกลับหันมาส่งยิ้มให้ผมเสียก่อนราวกับรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร
“...นายช่วยให้พี่เป็นคนเลือกจากไปพร้อมกับเขาเองได้มั๊ย?”
จองกุกเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็หลับตาลงแล้วพยักหน้ารับในที่สุด อย่าว่าแต่เขาเลยครับที่ตกใจในการตัดสินใจของโฮซอก แม้แต่ผมเองก็ยังอดตกใจไม่ได้เลย
....ทั้งๆที่รู้ว่าอย่างไรเสียตัวผมเองก็ไม่มีทางรอด และโฮซอกก็รักษาให้ผมไม่ได้...โฮซอกรักษาบาดแผลได้ แต่เขาคืนชีพคนตายไม่ได้...
....ทั้งๆที่รู้แบบนั้นแต่ผมกลับอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ...
...มันเป้นความเห็นแก่ตัวของผมเอง ทั้งๆที่เขาก็เคยบอกกับผมไปแล้วว่าไม่ต้องการชีวิตยืนยาวที่แสนเดียวดายแบบนั้นอีกแล้วก็ตาม...
“...รอเดี๋ยวนะนัมจุน...”โฮซอกเอ่ยก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ผม รอยยิ้มหวานๆที่ทำให้ผมตกหลุมรัก...รอยยิ้มที่ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนมันก็ยังคงงดงามเสมอในความคิดของผม
...ผมนึกขอบคุณร่างกายตนเองที่ฝืนเอาไว้ได้จนกระทั่งได้เห็นรอยยิ้มนั้น...อ่า ขอบคุณที่ภาพสุดท้ายที่ตาของผมเห็นคือรอยยิ้มหวานๆของเขา...
ก่อนที่ดวงตาของผมจะมืดสนิทผมมองเห็นลางๆว่าโฮซอกเดินกลบไปคว้าดาบเล่มใหญ่ของเขามาถือเอาไว้ ไม่นานนักหลังจากนั้นร่างของผมก็ถูกโอบกอดเอาไว้อีกครั้งด้วยแขนข้างเดียวของเขา
“...นัมจุน...เจ็บแป๊บเดียวนะ...”โฮซอกเอ่ยปลอบผม ใจจริงอยากจะตะโกนบอกเขาเหลือเกินว่าปมไม่เจ็บอีกแล้ว ผมไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว แต่ก็เหนื่อยล้าและไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าที่จะทำแบบนั้นได้
“...ขอบคุณนะนัมจุนที่รักฉัน...ขอบคุณที่รักษาสัญญา...ขอบคุณนะ...”คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมอดที่จะยกยิ้มบางๆไม่ได้ ดูเหมือนเรี่ยวแรงของผมตอนนี้ที่ทำได้ก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น ผมไม่รู้ว่าโฮซอกทำสีหน้าแบบไหน สิ่งที่ผมรู้มีเพียงแค่อ้อมกอดที่กระชับแน่นขึ้นและน้ำเสียงกระซิบแสนหวานที่ราวกับบทสวดส่งวิญญาณที่ไพเราะที่สุดของเขาก็เท่านั้นเอง
ปลายดาบเล่มใหญ่แทงทะลุผ่านร่างของผมไปจากด้านหลังสู่ด้านหน้าก่อนที่โผล่พ้นเสื้อสูทสีดำสนิทของโฮซอกออกไป ดาบโลหะเล่มโตเปรียบดังสายใยที่เชื่อมเราสองคนไว้ด้วยกันท่ามกลางความอบอุ่นของอ้อกอดและหยาดโลหิตที่ไหลรินไม่ขาดสาย
ผมมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมือมิดในคลองสายตา โฮซอกอยู่ตรงนั้น...เขายิ้มกว้างและเอื้อมมือออกมาหาผม ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าจับมือเรียวนั่นเอาไว้...
...เราสองคนจับจูงกันเดินตรงไปยังแสงสว่างที่ปลายทางนั้นด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขและความอบอุ่นที่ล้นทะลักไปทั่วทั้งใจ...
...ผมรู้ในตอนนั้นทันทีว่าต่อจากนี้ไปเราจะไม่แยกจากกันไปไหนอีก...
...พสกเราจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ...
...ขอบคุณครับพระเจ้า...
...ขอบคุณโลกใบนี้....
...ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ผมมีคนรักที่วิเศษขนาดนี้...
...ขอบคุณที่ทำให้ช่วงชีวิตสั้นๆของผมงดงามจนไม่อาจลืมเลือนได้ไม่ว่าจะอีกกี่ชาติภพ...
...ขอบคุณที่ส่งจองโฮซอกมาให้ผมรัก...
...และขอบคุณโฮซอก...
...ขอบคุณที่รักฉัน...
...ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันจวบจนวินาทีสุดท้าย...
...ขอบคุณ...
“...เราจะอยู่เคียงข้างกันตราบวันสุดท้ายของลมหายใจ...ฉันสัญญานัมจุน...”
END.
TALK. เอ้าสามสี่ปรบมือค่ะ!!! เอ้าปรบมือสิคะรออะไร จบแล้ววววววว เย้!!!!! ฮื่อออออออออออออออ ดีใจแรงมากที่ในที่สุดก็จบสักที แล้วนี่ใครขว้างสากมาคะ เฮ้!
จะบอกว่าเรื่องนี้พล๊อตเป็นแบบนี้จริงๆค่ะ ไม่ได้เพิ่งมาเปลี่ยนหรืออะไรทั้งนั้น ขอให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าเพชรไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใครทั้งสิ้น 5555555555555
โอเคค่ะเข้าเรื่องเนอะ ตอนนี้ยาวมากกกกก ตอนแรกว่าจะแบ่งเป็นสองตอน แต่มันก็สั้นไปอ่ะค่ะ เลยช่างแม่ง รวมเลยละกัน 555555555555
ตัวเนื้อเรื่องจบเท่านี้ค่ะ แต่เดี๋ยวจะมีบทส่งท้ายอีกบท เป็นเนื้อหาสั้นๆ บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด ยังไงก็อย่าลืมติดตามนาจาร์ อิอิ
โอเคค่ะ ต่อไปคือเรื่องรวมเล่ม เรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายในบทความที่เอาลงรวมเล่มค่ะ เพชรจะพักการอัพชอทฟิคไว้ก่อนจนกว่าจะแต่งเรื่องที่จะลงในเล่มครบนะคะ แต่รหัสแดงจะยังเรื่อยๆเท่าที่ว่างเหมือนเดิมค่ะ
รวมเล่มที่คิดไว้คร่าวๆจะมี 9 เรื่องค่ะ โดย 7 เรื่องมาจากบทความนี้ คือ
· Jungkook’s essay
· BUD Hormones
· Lust
· Time Machine
· Doll’s maker secret
· Between two pairs of converse
· Devil Beside
· แล้วก็เรื่องใหม่ที่ลงเฉพาะในเล่มอีก 2 เรื่องค่ะ
ส่วนอีกสองเรื่องนี่คู่ใครอะไรยังไงจะแจ้งอีกทีตอนเปิดจองเนอะ รวมแล้วจะประมาณ 350 หน้าค่ะ ราคาก็น่าจะประมาณ 350 นี่แหละค่ะ แต่ยังไม่เปิดเร็วๆนี้เนอะ รอแต่งให้จบก่อน 555555 ส่วนของแถมมีแน่ๆจ้าไม่ต้องห่วง 5555
ใครสนใจก็เก็บตังค์รอไว้ได้เลย 555555555555 แล้วก็ชอทฟิคเรามีแท็คแล้วน้า สามรถไปสกรีมกันได้ #ficzillionhope นี่จ่ะ ยาวหน่อยแต่รับรองไม่ซ้ำ 5555555
โอเคค่า ไว้เจอกันคราวหน้านะคะ มาอีกทีน่าจะตอนเปิดจองเลยทีเดียว 55555555 เจอกันค่า บ๊ายบายยยยย เยิ้ฟฟฟฟฟฟ
ความคิดเห็น