คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 9 : Venom [100%]
เดรโกใช้นิ้วหัวแม่มือลูบไปบนสันหนังสืออย่างใช้ความคิด เขาเริ่มอยากรู้แล้วว่าทำไมเกรนเจอร์ถึงได้อยากให้เขาอ่านมันนักหนา
มันก็ดูไม่มีอะไร ดูจากหน้าปกก็เป็นรูปขาวดำของมักเกิ้ลที่มีเงาสีเทาแทรกอยู่ประปราย ประเด็นหลักดูเหมือนจะมุ่งไปที่การศึกษา ชายผิวดำที่ดูจากลักษณะก็รู้ว่าเป็นมักเกิ้ล – และน่าจะมีความรู้และประสบการณ์อยู่พอควร เดรโกพลิกด้านหลังแล้วพบว่ามันไม่ใช่ชีวประวัติขนาดนั้น มันออกแนวหนังสือที่รวบรวมงานเขียนและจดหมายของเขาเอาไว้มากกกว่า โดยมีผู้เรียบเรียงชื่อคาร์สัน แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งบอกได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรซึ่งทำให้เขาหงุดหงิด แต่ก็รู้สึกอยากรู้ว่าทำไมเกรนเจอร์ถึงสนใจมันนัก
เขาพ่นลมหายใจที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น ปัดหนังสือไปอยู่ข้าง ๆ แล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือ ใช้ปลายนิ้วขยุ้มไปตามหนังศีรษะพลางสงสัยว่าเมื่อไหร่เรื่องบ้านี่จะจบลง ครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงเกรนเจอร์ออกจากห้องและตรงไปยังห้องอาบน้ำเหมือนอย่างที่เคยทำทุกเช้า แน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่เดรโกต้องพ่ายแพ้ให้กับกิจวัตรประจำวันที่น่ารำคาญของตัวเอง เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปทรุดตัวลงที่ข้างผนังเหมือนเคย ซบหัวให้หูแนบเพื่อฟังเสียงที่สะท้อนอยู่อีกด้าน
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เสียงบรรเลงของสายน้ำที่ไหลกระทบร่างของเธอก็ดังขึ้น เกรนเจอร์เริ่มสานต่อสิ่งที่เขาหมกมุ่นนักหนา มันเริ่มด้วยเสียงหอบหายใจแปร่งพร่าและเสียงครางแหบที่ค่อย ๆ เพิ่มระดับความดังขึ้นเรื่อย ๆ มันพาเขากลับมาที่จุดเดิม เขาเริ่มสูดลมหายใจเข้าขณะที่อาการปวดหนึบในหัวค่อยเบาลงตามเสียงของเธอ จากนั้นเขาก็เพียงแค่ปล่อยให้เสียงนั้นกล่อมให้เขาอยู่ในสภาพพร่าเลือน
อย่างที่เป็นมาเสมอ
ทว่า...
บางสิ่งภายในร่างกายของเขากลับถูกก่อกวน ความรู้สึกบางอย่างเคลื่อนผ่านปลุกบางอย่างให้ตื่นกระเหม่น เขารู้จักความรู้สึกนี้ดี แต่มันก็ผ่านมาพักใหญ่แล้ว การถูกวางเป็นหมากตัวหนึ่งในการตายของใครสักคนขโมยความรู้สึกและความคิดเกี่ยวกับมันไปจนหมด และการต้องหลบซ่อนตัวตลอด 6 เดือนยิ่งไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ฝ่ามือของเขาค่อย ๆ เคลื่อนไปตามสัญชาตญาณทั้งที่ยังคงไม่สามารถละความสนใจจากเสียงครางของเกรนเจอร์ได้ มันเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ส่วนที่ขยายนูนที่จุดกลางของส่วนสะโพก นิ้วเรียวไล้ผ่านเป็นจังหวะที่เขาพึงใจก่อนที่เปลือกตาจะเบิกโพลงขึ้น เขากระชากมือตัวเองทิ้งลงข้างลำตัวตัวความรู้สึกสยดสยองเกินพรรณนา ดึงรั้งร่างตัวเองออกจากผนังแล้วใช้อุ้งมือฟาดเข้าที่หูอย่างแรง เดรโกสั่นไปทั้งร่างด้วยความเกลียดชังและตกใจในสิ่งที่ตัวทำทั้งที่อยากจะผลักเธอออกจากความคิดนักหนา เขาหลับตาลงและขบกรามแน่น
เขานั่งสั่นกองอยู่ที่ปลายเตียงแบบนั้น ไม่ขยับแม้แต่น้อย – เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว จนกระทั่งเสียงประตูหลักดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกว่าเธอกำลังออกไปเรียนแล้ว ดวงตาสีเทาดั่งท้องฟ้ายามมีพายุค่อย ๆ เปิดขึ้น ภายในอกเขามีแต่ความขยะแขยงและตื่นตระหนก
เมื่อกี้มันบ้าอะไรกันวะ ?
หน้าผากของเขาพร่างพรมไปด้วยละอองเหงื่อและในลำคอกำลังแห้งจนรู้สึกสากจากการหอบหายใจอย่างหนัก เขารู้สึกผิดบาป รู้สึกด่างพร้อยไปด้วยสิ่งที่ร่างกายได้ตอบสนองต่อยายบ้านั่น หลุมศพเมอร์ลิน นี่เขาเป็นอะไรไป ? จิตใจที่เหี่ยวเฉาจากการโดนจองจำอยู่ภายในห้องขังของเกรนเจอร์ทำให้เขาเป็นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
ไม่!
ไม่
ไม่ มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ
มันแค่หลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้ปรนเปรอร่างกายของเขาอย่างที่ควรจะทำ ไม่นับครั้งหนึ่งในกระท่อมที่สก็อตตอนที่สเนปออกไปเอาเสบียง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่สัญชาตญาณจะเริ่มเล่นตลกกับเขาตอนที่อยู่ใกล้ผู้หญิง
ไม่ว่าจะเป็นเลือดสีโคลนหรือไม่ก็ตามที
มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาควบคุมมันได้ เขาต้องทำได้
เดรโกโงหัวขึ้นเล็กน้อยและพบกับอัตชีวประวัติของคิงส์ใกล้กับฝ่าเท้า เขาหยิบมันขึ้นมาเริ่มสะบัดเปิดกระดาษหน้าแรกพร้อมกับกลืนก้อนแห้งผากลงลำคอ
ตอนนี้การหาอะไรมาเบี่ยงความสนใจเป็นเรื่องสำคัญ
-
“อ่านหนังสือ ?” มักกอนากัลย้ำคำอย่างครุ่นคิด “ก็เห็นด้วยว่านั่นคงเป็นทางเลือกที่ดีในการทำให้คุณมัลฟอยมีอะไรทำ”
“หนูเอาหนังสือมักเกิ้ลให้เขาค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่สารภาพ “หนู...หนูคิดว่าบางทีนั่นอาจจะช่วยเปลี่ยนมุมมองที่เขามีต่อมักเกิ้ล – ”
“ฉันชื่นชมในความมีจุดยืนของเธอนะคุณเกรนเจอร์” เธอทอดหายใจขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “แต่ฉันแนะนำว่าอย่าคาดหวังกับความคิดดังกล่าวนัก คุณมัลฟอยมีแนวทางเป็นของตัวเอง – ”
“ทราบดีค่ะ” หญิงสาวกล่าวขัด “แต่หนูไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแย่อย่างที่เขาพยายามแสดงออก เขาฉลาดและหนูคิดว่าแค่เพียงเราลองหลอกล่อเขาด้วยคำถาม เขาก็จะเริ่มคิดอะไรสักอย่างได้เอง”
ศาสตราจารย์ใหญ่เม้มริมฝีปากใช้ความคิด “ดูเหมือนความคิดที่เธอมีต่อคุณมัลฟอยจะเปลี่ยนไปนะ” เธอพูดช้า ๆ เป็นการออกความเห็นไม่ใช่คำถาม
“เอ่อ” เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก “หนูคิดว่าหนูเข้าใจเขามากขึ้นเล็กน้อย และคิดว่าเขาเองก็พยายามจะปรับตัวให้เขากับหนูเหมือนกัน หนูค่อนข้างแน่ใจว่ามุมมองที่เขามีต่อหนูเองก็เปลี่ยนไป ดังนั้นบางทีหนูอาจจะเกลี้ยกล่อมให้เขาหลุดจากอคติพวกนั้นได้”
ศาสตราจารย์พิจารณาแม่มดสาวอย่างระวัง “ถ้าเป็นอย่างนั้น” เธอลังเล “ก็ขอแนะนำว่าอย่าคาดหวังจนเกินไปและระวังตัวด้วย แต่อย่างไรฉันเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเธอ เฮอร์ไมโอนี่”
“ขอบคุณค่ะ” เธอโค้งหัวพร้อมรอยยิ้มบาง “นั่นมีความหมายจริง ๆ ค่ะศาสตราจารย์”
“แล้วนอกจากนั้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง ?” หญิงชราถาม “มีอะไรแปลก ๆ หรือการปะทะอะไรหรือเปล่า ?”
สมองของเฮอร์ไมโอนี่ถูกล้อมเอาไว้ด้วยภาพความทรงจำเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและมัลฟอยซึ่งนอนสลบอยู่บนพื้น แต่เธอสัญญากับเขาไว้แล้วว่าเรื่องที่เขาพยายามหลบหนีจะมีเพียงเธอกับเขาเท่านั้นที่รู้ เมอร์ลิน นี่เธอให้สัญญาณกับเขาไปจริง ๆ มองย้อนกลับไปแล้วมันดูเป็นการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น และนั่นทำให้แม้ว่าเธอจะภักดีต่อศาสตราจารย์อย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่เธอก็ไม่อาจผิดสัญญา
ไม่ว่าจะเป็นมัลฟอยหรือไม่ก็ตามที
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้าพยายามไม่สนใจความรู้สึกผิดที่เอ่อในใจ “ไม่มีอะไร เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องของเขา”
“เข้าใจได้” น้ำเสียงของศาสตราจารย์เจือแววสงสัยเล็กน้อย “ยังไงก็ตามช่วยรายงานพฤติกรรมของเขาเป็นระยะแล้วกัน ว่าแต่เธอเป็นยังไงบ้าง คุณเกรนเจอร์ ?”
“สบายดีคะ” เธอตอบอย่างไม่ผ่านการคิดแล้วเอียงหน้ามองคนถาม “ทำไมถามอย่างนั้นคะ ?”
“แค่ตรวจสอบดูว่าว่าเธอยังโอเคดี” ศาสตราจารย์ตอบเสียงเรียบ “เข้าใจว่าเรื่องราวตอนนี้ค่อนข้างยากจึงอยากแน่ใจว่าเธอจะสบายดี”
เฮอร์ไมโอนี่ยักไหล่ “หนูว่าสำหรับหนูตอนนี้ยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ง่ายกว่าคนอื่นมากค่ะ” เธอตอบอย่างจริงใจ “หนูสบายดีค่ะศาสตราจารย์”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” หญิงชราพึมพำอย่างกังวล “แต่อยากให้รู้ว่าเธอสามารถปรึกษาฉันได้เสมอเท่าที่เธอต้องการนะ”
หญิงสาวขยับยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
“อ้อ อีกอย่าง” เธอว่าต่อ “ฉันว่าจะพาเธอกับคุณมักมิลลันไปฮอกส์มี้ดสุดสัปดาห์นี้เผื่อว่าต้องการซื้ออะไรกัน ลองถามเพื่อน ๆ ดูว่าต้องการอะไรไหม”
“ค่ะ” เธอตอบขณะลุกจากที่นั่ง “พบกันวันเสาร์ค่ะศาสตราจารย์”
-
ดึกแล้วและสายลมก็เริ่มกรรโชกแรงอีกครั้ง
เสียงของมันดังหวีดหวิวแทรกผ่านห้องสมุดร้างผู้คนฟังดูคล้ายเสียงสวดมนตร์ต่อผู้วายชนม์
ร่างของเฮอร์ไมโอนี่สะท้านตามสายลมหนาวเช่นเดียวกับแสงไฟจากคาถาลูมอสที่วูบไหวไม่ต่างกัน
เธอกอดกระชับแขนให้แน่นขึ้นเพื่อต้านความหนาวเย็นที่มากเสียจนลมหายใจกลายเป็นไอควัน
ดวงตาที่หนักอึ้งพยายามไล่ตามตัวอักษรยาวเป็นพรืดบนหน้ากระดาษ
แต่ท้ายที่สุดก็ไร้ประโยชน์เพราะสายลมยิ่งโหมเข้ามาและเธอเองก็เหนื่อยล้าเสียจนเกินจะต้านทาน
หญิงสาวไม่ได้ตรงกลับที่หอนอนอย่างที่เคยทำเป็นปกติหลังเลิกเรียน
ด้วยเพราะเนวิลล์(แทบจะ)อ้อนวอนให้เธอช่วยเกี่ยวกับการบ้านวิชาแปลงร่างและเมื่อเสร็จธุระเธอก็ไม่เห็นว่ามีเหตุผลอะไรที่จะต้องรีบกลับไป
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ยาวนานดูได้จากชุดยูนิฟอร์มที่เริ่มทำให้เธอคันยุบยิบและมีกลิ่นที่เธอไม่ชอบใจนัก
มิหนำซ้ำยังเป็นอีกวันที่เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะกินแซนวิชชีสแตงกวาดองหลังจากไปพบศาสตราจารย์เมื่อกลางวัน
นั่นทำให้เธอทั้งหิวโซ หงุดหงิด
และห่อเหี่ยวเมื่อค่ำคืนนี้ก็เหมือนกับทุกคืนที่เธอแทบจะไม่ได้ความคืบหน้าใด ๆ เลย
เสียงครวญของสายลมทำให้ประสาทของเธอตึงเขม็งและความอดทนทั้งหมดก็ทลายลง
ฝ่ามือเรียวพับปิดหนังสือเสียงดังพร้อมเสียงถอนหายใจอย่างสิ้นหวังที่ดังพอกัน สภาพอากาศเริ่มกรีดร้องใส่เธอนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้องรีบเก็บข้าวข้างและสังเกตการณ์โดยรอบอย่างระวัง
ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นเธอก็เริ่มสาวเท้าเร็ว ๆ
ผ่านโถงทางเดินที่มืดทึบออกไปจนถึงระเบียงทางเดินโดยไม่ลืมที่จะรักษาระดับฝีเท้าให้เงียบที่สุด
หัวใจของเธอเต้นระรัวเมื่อเหลือบมองเงาสะท้อนจากหน้าต่างและเริ่มรู้สึกได้ว่าที่นี่ไม่ได้มีเพียงฝีเท้าของเธอ
นั่นทำให้สองเท้ารีบจ้ำก้าวออกไป
“แอด ลูเซม!” เธอกระซิบรหัสกับสิงโตที่กำลังหาวแล้วแทรกตัวผ่านประตูเข้าไป
ก่อนจะกองตัวลงกับพื้นและพยายามจะรวบรวมสติที่กำลังกระจัดกระจายกลับมา
“เกิดบ้าอะไรขึ้นกับเธออีก ?”
เฮอร์ไมโอนี่ละสายตาที่มองพื้นไปยังต้นเสียงอย่างขวัญเสีย
ดวงตาของเธอยังคงเบิกกว้างและฝ่ามือทาบอยู่ที่อก “ไอ้บ้า มัลฟอย!”
เธอกรีดเสียงผ่านจังหวะหอบหายใจของตัวเอง “นายไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น ?”
เขามองสำรวจเธอด้วยดวงตาที่คมราวกับอสรพิษ
และแผนที่จะเพิกเฉยต่อเธอเพราะเหตุการณ์ไม่ปกติเมื่อเช้าเป็นอันพังทลาย
เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะปฏิเสธไม่ให้เขาไปก่อกวนเธอ ยิ่งในตอนที่คนตรงหน้าดูจากเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและเปราะบางขนาดนี้และที่สำคัญเขาชอบความคาดเดาไม่ได้ของเธอ
แม้จะอยู่ร่วมกันมาเป็นเดือนแล้วแต่เขาก็ยังคงพบว่าการอ่านเธอให้ขาดเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นั่นทำให้ถึงแม้อาการกระตุกที่ใต้หน้าท้องจะเริ่มเตือนว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องนัก
แต่เขาก็ยังคงดึงดันจะทำตามความต้องการเพื่อให้รุ้ว่าที่สุดแล้วเรื่องนี้จะเป็นยังไงต่อไป
เขารู้สึกสบายใจนิดหน่อยที่เห็นสภาพชุดเครื่องแบบของเกรนเจอร์
ด้วยกระโปรงที่ยาวไปจนถึงใต้เข่าต่างจากเด็กสาวคนอื่นที่มักจะทำให้มันสั้นจนเผยให้เห็นช่วงขา
และกระดุมทุกเม็ดก็ถูกติดไว้อย่างเรียบร้อย
การแต่งตัวแบบนี้คงไม่มีทางที่เธอจะรู้ว่าการแต่งตัวเพื่อยั่วยุอารมณ์เขาทำกันยังไง
ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้เขาพยายามบอกให้ตัวเองเชื่อต่อไปว่าเรื่องเมื่อเช้า
มันไม่มีอะไรมากไปกว่าความผิดพลาดของร่างกาย
ดังนั้นคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าจะแหย่ยายกริฟฟินดอ
(Gryffin-dick)
นี่เล่น หมายถึงก็แค่แก้เบื่อเท่านั้นแหละ
“แล้วไปทำอะไรบนพื้น ?” เขาที่ยังคงยืนอยู่ในครัวตอบกลับอย่างเย็นชา
“แล้วบ้าอะไรทำไมถึงได้สั่นขนาดนั้น ?”
เธอพยายามกลืนความตระหนกเมื่อเสียงลมดังขึ้นคล้ายเสียงของมนุษย์อีกครั้ง
“ฉัน...ฉันไม่ได้สั่น – ”
“อ้อ ไม่สั่นเลย” เขาเหยียดยิ้มเหี้ยม
เขาสำรวจเธออย่างชำนาญและบอกได้ว่าทุกอย่างมันฟ้องไปหมดแล้ว “เกือบลืมความน่าสมเพชเรื่องลมของเธอไปเสียสนิท
– ”
“หุบปากไป มัลฟอย”
เธอกระชากเสียงขณะที่ยืนขึ้นเพื่อเรียกความมั่นใจกลับมา “ทำไมนายจะต้องคอยซุ่ม – ”
“ไม่ได้ซุ่ม” เดรโกเถียงเสียงเย็น
พลางยกมือขึ้นกอดอกและเอียงตัวพิงกับเคาท์เตอร์ครัว “ฉันแค่ยืนอยู่ตรงนี้ – ”
“แล้ว...เพื่อ ?”
เธอถามอย่างเงอะงะตอนพยายามจะเหวี่ยงกระเป๋าลงโซฟา “ปกตินายจะหลับไปแล้วตอนฉันกลับมา
– ”
“ผิดอีกแล้ว เกรนเจอร์” เขาแทรก “ฉันไม่เคยหลับตอนที่เธอกลับมา
ฉันแค่อยู่ในห้อง”
เธอดูสันสบและกระสับกระส่ายเมื่อเขาเหยียดยิ้มหยันมากขึ้น
“นายตื่นอยู่ตลอดเลยเหรอ ?”
“เป็นไปไม่ได้ที่จะหลับลงถ้าเธอจะกลับมาพร้อมเสียงโครมครามขนาดนั้น
เกรนเจอร์” เขาบอกเธออย่างตรงไปตรงมา “อย่างที่บอกนะ เหมือนฉันต้องอยู่กับ – ”
“ฉันไม่ได้โครมคราม! ฉัน – ”
“แค่เสียงดังและน่ารำคาญ”
เขาจบประโยคด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “และโคตรน่ารำคาญ – ”
“เดี๋ยวนะ” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำขึ้น “แล้ว...นายมีปัญหาเรื่องการนอนเหมือนกันเหรอ
?”
ชิบหาย
เดรโกเพิ่งระลึกได้ว่าเขาพลาดแล้ว “ฉันก็หลับปกติ”
เขาบอกแล้วจ้องมองคนถาม “ถึงแม้ว่าเตียงกริฟฟินดอร์จะหาความสบายไม่ได้เลยก็ตาม”
เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลชะงักแล้วเอียงคอมองคนตัวสูงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสงสัย
“อย่างนั้น...นายมาทำอะไรในครัว ?”
“จะมาหาอะไรดื่ม” เขากลอกตาแล้วชี้ไปที่กาน้ำ “แต่ขยะมักเกิ้ลของเธอมันพัง
– ”
“มันไม่ได้พัง” เธอบ่นอยู่ห่าง ๆ “เดี๋ยวไปเปลี่ยนให้แล้วจะทำ
– ”
“ไม่ได้ขอ – ”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยได้ไหม” เธอขมวดคิ้ว
แต่ก็ต้องสั่นสะท้านเมื่อสายลมโหมเข้ามาอีกครั้ง
เฮอร์ไมโอนี่ขบเม้นริมฝีปากอย่างวิตกและพยายามจะดึงความมั่นใจออกมาข่มความกลัวอีกครั้ง
“แต่เอาเถอะฉันมีเรื่องต้องถามนาย เพราะงั้น – ”
“คำถาม ?” เดรโกทวนคำ “ทำไมฉันต้องตอบ – ”
“มัลฟอย หยุดเถอะ”
ความหงุดหงิดทำให้น้ำเสียงของเธอค่อนไปทางหยามหมิ่น “ฉันไม่ได้อยากจะ – ”
“เออ – ”
“คำถามที่อยากถามก็เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของนายและแนวทางที่จะทำให้นาย...รู้สึกสบายขึ้น”
เธออธิบายแล้วเดินตรงไปที่ห้องนอน “เพราะงั้น หยุดทำตัว – ”
“ฉันให้เวลาสิบนาที” เขาว่าตอนที่เดินออกจากครัวไปทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมที่เขาเคยหลับอยู่ตรงนั้น
“เร็ว ๆ เกรนเจอร์”
เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีเพื่อเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดหลวม
ๆ กับกางเกงยืด ๆ และหยิบผ้าห่มออกมา
เพราะรู้ดีว่าค่ำคืนที่ท้องฟ้าไม่สงบแบบนี้คงทำให้เธอต้องมานอนที่ห้องนั่งเล่นอีกเหมือนเคย
เดรโกเคาะเท้าไปมากับพื้นอย่างอยู่ไม่สุขขณะที่เธอกำลังเตรียมช็อกโกแลตร้อนสองแก้ว
“เออ ใช่”
เธอถอนหายใจขณะที่นั่งลงและวางแก้วลงบนโต๊ะกาแฟ “สุดสัปดาห์นี้ฉันจะไปฮอกส์มี้ดและคิดว่านายอาจจะมีอะไรที่อยากฝากซื้อ
– ”
“ไม่ได้อยากฝากซื้ออะไรทั้งนั้นแหละ”
เขากระชากเสียงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ต้องให้พูดกันอีกกี่รอบกันเกรนเจอร์?
นี่หูหนวกหรือเปล่า ? ฉันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ – ”
“ก็รู้อยู่แล้วแหละว่าจะต้องเป็นแบบนี้”
เธอบอกเขาด้วยเสียงเรียบเหมือนเป็นบทสนทนาปกติทั่วไป “แต่ก็นะ มันไม่ใช่เงินฉัน
มันเงินของฮอกวอตส์ และดูจากพ่อของนาย ในทางเทคนิคแล้วก็คงต้องใช้เงินบ้านนายนั่นแหละ”
นั่นไม่ใช่ความจริง
เฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจว่าจะจ่ายเงินให้กับทุกอย่างที่เขาต้องการถ้าหากว่าอยู่ในดุลยพินิจของเธอ
หญิงสาวคิดเอาไว้แล้วว่าเขาคงตีความหวังดีของเธอเหมือนเป็นการหยามศักดิ์ศรีและนั่นทำให้เธอต้องโกหกนิดหน่อยเพื่อกล่อมเขา
ความจริงเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมแต่เธอแค่ต้องการให้เขารู้สึกสบายใจที่จะมีอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง
บางทีนั่นอาจจะทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเขาดีขึ้นได้
หรือไม่ก็อาจจะรวมถึงเรื่องอื่นที่เธอเองก็ไม่อาจคาดเดาได้
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้แต่สาวกริฟฟินดอร์กลับเริ่มมองเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่การพยายามหลบหนีครั้งที่ผ่านมา
และตอนที่เขาจับแก้มของเธอเอาไว้ด้วยฝ่ามือที่ชุ่มไปด้วยเลือด
เธอไม่เคยคิดแม้สักครั้งว่าคนอย่างมัลฟอยจะสามารถอ่อนโยนได้ถึงขนาดนั้น
นั่นทำให้เธอยิ่งตระหนักถึงความต้องการและความรู้สึกของเขามากขึ้น
ทั้งที่การเห็นตรามารควรจะทำให้เธอตกใจและเดือดดาลแต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น
ในทางกลับกันเธอพบว่าเสียงของศาสตราจารย์ดันวนเวียนอยู่ภายในหัวของเธอแทน
การอยู่กับเขาอาจะทำให้เธอเข้าใจว่าเขาถูกบังคับให้ทำภารกิจนั้น
เฮอร์ไมโอนี่เคยบอกว่าเธอไม่สนใจ
ไม่เลยสักนิดไม่ว่าจะยังไง แต่ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนมันจากความเกลียดชัง
เป็นความเฉยเมย เป็นอะไรบางอย่างที่เธอเองก็ไม่แน่ใจ
เธอเฝ้ามองเขาผ่านดวงตาที่นิ่งงันขณะที่เขาเริ่มนั่งลงอีกครั้งและยกมือขึ้นเท้าคาง
“เธอก็เคยอยากจะช่วยไปซื้อของให้ ?” เขาถามอย่างสงสัย
“ทำไม ?”
“ก็เหตุผลที่คิดเองเออเองทั้งนั้น” เธอฉีกยิ้ม “ถ้านายมีของหรู
ๆ อย่างที่นายชอบ นายอาจจะมีความสุขมากขึ้น”
เดรโกแทบจะอ้วก “ถ้าจะทำให้ฉันพอใจคงไม่ใช่แค่ซื้อของเล่นนะเกรนเจอร์”
เขาพูดเสียงฉะฉานและหรี่ตามอง “อีกอย่างเหตุผลแบบนั้นไม่น่าเป็นไปได้
เธอไม่ได้ต้องการอะไรแน่เหรอ ?”
“ก็รู้ว่านายคงไม่ได้เห็นด้วยกับอะไรที่ฉันอยากจะขอ”
เธอไหวไหล่ “และนายก็ไม่ได้มีอะไรที่ฉันอยากได้”
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังขบกราม “ก็ดี” เขาบ่น “ฉันจะชักตายอยู่แล้วที่ต้องนอนบนผ้าคลุมเตียงสีแดงนั่นทุกวัน
ไปซื้อสีเขียวมาหน่อย และน้ำยาสระผมบ้าบอของเธอ – ”
“เดี๋ยวนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดแล้วค้นกระเป๋าตัวเอง “เดี๋ยวขอจดก่อน”
เธอคลี่ม้วนกระดาษและหยิบปากกาขนนกในขณะที่ยาแก้แพ้ที่ซุกอยู่ในกระเป๋าจะร่วงหล่นออกมาแล้วกลิ้งไปที่เท้าของเดรโก
พ่อมดผิวซีดหยิบมันขึ้นมาด้วยนิ้วเรียวของเขาแล้วมองมันอย่างระวังก่อนจะพลิกมันไปมาแล้วมองดูวัตถุทรงกระบอกที่ไม่มีอะไรเขียนไว้
“อะไร มักเกิ้ลอ่านไม่เป็นเหรอ ?” เขาแหย่ “จะต้องมาคอยเดา
– ”
“มันมีภาพประกอบอยู่”
สาวเจ้าตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ถ้าฉันเกิดเป็นภูมิแพ้กำเริบขึ้นมาแล้วใครสักคนมาเจอ
ภาพพวกนั้นก็จะบอกเขาว่าจะใช้มันรักษาฉันยังไง”
“แล้วทำไมเธอไม่ทำเอง ?”
“ถึงจุดหนึ่งฉันจะไม่สามารถทำได้” เธออธิบาย “มันมีข้อควรระวัง
– ”
“แล้วถ้าไม่ได้ยาขึ้นมา ?”
เขาถามขณะที่มองไปยังแม่มดสาวอย่างสงสัย ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังสนใจคำตอบของเธอมากเกินไป
“มันจะเกิดอะไรขึ้น ?”
“ก็อาจจะตาย”
เธอตอบและเดรโกไม่ชอบท่าทางเย่อหยิ่งของเธอสักนิด “ส่งมามัลฟอย
จะได้จดรายการของต่อ”
เดรโกเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกปั่นป่วนภายในจากนั้นจึงใช้นัยน์ตาดุจน้ำแข็งมองที่วัตถุประหลาดในมืออีกครั้ง
เขาสังเกตภาพวิธีใช้อีกครั้งก่อนจะโยนกลับไปยังเจ้าของ
“แปลว่าเธอกลัวลม กลัวฟ้าฝน
และผึ้งจิ๊บจ๊อยก็สามารถฆ่าเธอได้” เขาย้ำด้วยเสียงแห้งแหบ “ฉันคิดมาตลอดว่าพวกกริฟฟินดอร์จะไม่ตายง่าย
ๆ หรือไอ้คุณลักษณะน่ารำคาญนั่นมีแค่ไอ้หน้าแผลที่ใช้ได้ ?”
“ฉันก็คนนะ”
เธอพูดเสียงแผ่วแล้วสบสายตาบึ้งตึงของเขาอย่างตั้งใจ “ฉันก็มีข้อด้อย
มีจุดอ่อนอย่างที่คนอื่นเขามีกัน”
เดรโกขมวดคิ้วแล้วพยายามจะสละทิ้งความคิดที่ไม่พึงประสงค์
“อะไรก็เหอะ” เขาคำรามในคอ “ฉันอยากได้ผ้าคลุมเตียงสีเขียวกับพวกอุปกรณ์อาบน้ำอันใหม่
ของถูก ๆ พวกนั้นเริ่มทำให้ผิวฉันแย่”
“อย่าได้ใจให้มากนัก”
เธอประชดประชันแล้วก้มหน้าเขียนสิ่งที่เขาต้องการ “อะไรอีกมั้ย ?”
“เบอร์ตี้บอตต์สักสองสามกล่อง” เขาตอบ “ไหมขัดฟันรสสตริงมินต์”
“แล้วไม่เอาของใช้เพิ่มแล้วเหรอ ?”
“ก็กำลังคิดอยู่ว่ามีอะไรในฮอกส์มี้ดที่ทำให้ห้องมันหดหู่น้อยลง”
เขาเหยียด “ก็คงมีแต่ผ้าคลุมเตียง”
“โอเค แล้วอะไรอีก ?”
คุณชายสลิธีรินหยุดคิด “ถ้าร้านเล่มหนาและม้วนกระดาษมีอะไรใหม่
ๆ ก็หาอะไรมาให้อ่านหน่อย ขยะมักเกิ้ลของเธอเริ่มทำให้ฉันไมเกรนขึ้น”
คนฟังหรี่ตา “ฉันจำได้ว่านายพูดว่ามันก็ไม่ได้แย่
– ”
“ก็ถ้าเลือกได้
ขออ่านงานประณีตอย่างวรรณกรรมผู้วิเศษดีกว่า” เขาทำหน้าบึ้ง “หนังสือที่เธอบอกให้ฉันอ่านแม่งโคตรแปลก”
“นายอ่านมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์น่ะเหรอ ?”
เธอถามพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างเพราะความสนอกอสนใจ “แล้วนายคิดว่าไง ?”
“ฉันคิดเอาเองว่าเธอคงบอกให้อ่านเพราะอยากจะล้างสมองให้ฉันรู้สึกชอบมักเกิ้ลขึ้นมาบ้าง
แต่มันเปล่าประโยชน์” เขาเปล่งเสียงอย่างไม่ชอบใจ แทบจะสำรอกออกมาตอนที่พูดคำนั้น “แต่ก็ดีใจนะที่แผนของเธอได้ผล
เพราะยิ่งอ่านยิ่งยืนยันว่ามักเกิ้ลแม่งน่าขยะแขยงขนาดไหน”
เธอทำทุกอย่างที่จะห้ามตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นไปตบเขา
“โอเค” เธอหายใจเข้าพร้อมความเครียดอย่างเห็นได้ชัด “ทำไมนายคิดแบบนั้น ?”
“เพราะจากหนังสือเล่มนั้น มันเขียนถึงมักเกิ้ลกดขี่คนดำและปฏิบัติกับพวกนั้นอย่างกับขี้”
เขากระชากเสียง ดูเหมือนจะมีความโกรธกรุ่นในความคิด “เว้นแต่ว่าฉันจะตีความสิ่งที่หนังสือนั่นพยายามเขียนถึงผิด”
“ไม่” เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจ “นายเข้าใจถูกแล้ว”
เดรโกมองเหยียด
มันเป็นแนวคิดที่ประหลาดมากแต่ก็สามารถดึงความสนใจเขาได้อย่างน่าขยะแขยง
มันทำให้เขาได้ทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในทุกสังคม การเลือกปฏิบัติต่อสีผิวนั้นไม่เคยปรากฎเลยในประวัติศาสตร์ผู้วิเศษและความคิดนั้นยิ่งทำให้เขาดูแคลนมักเกิ้ลมากขึ้นไปอีก
สำหรับเขาเบลสเป็นคนผิวดำคนเดียวที่เขานับถือ
และความคิดที่ว่าเขาอาจจะถูกปฏิบัติแย่ ๆ
ใส่เพียงเพราะสีผิวของเขาไม่เหมือนคนอื่นก็ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ สรุปได้ชัดเจนว่ามักเกิ้ลเป็นพวกไร้อารยะและต่ำทราม
“โคตรปัญญานิ่ม” เขาบ่นแล้วแสยะปากคว่ำมองเธอ “จะมาพูดปกป้องพวกขยะนั่นหรือไง
?”
แม่มดสาวสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มใจและพยายามเลือกใช้คำอย่างระวังเพื่อไม่ให้สิ่งที่เธอตั้งใจพังไปต่อหน้าต่อตา
“นั่นเป็นยุคสมัยที่น่าอับอายซึ่งพวกมักเกิ้ลรู้สึกผิ – ”
“น่าอับอายดูจะเป็นคำที่ด้อยไปกว่าความเป็นจริงนะ”
เดรโกพูด “คิดว่าเธอจะฉลาดกว่า – ”
“ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะว่ามันถูกต้อง” เธอรีบปัด “ฉันกำลังจะพูดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะ
– ”
“ตลกร้ายทีเดียว” เขาพ่นลมหายใจอย่างไม่ชอบนัก “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะเข้าข้างสายพันธุ์ที่วัดคุณค่ากันที่สีผิว
มันแค่สีผิว ไม่มีใครไปบังคับมันได้นี่”
ก็นั่นแหละ...
เฮอร์ไมโอนี่กลืนความกังวลจนผ่านหลอดลมไปก่อนจะยืดไหล่ขึ้นตรง
“ใช่ไง” เธอพูดชัดถ้อยชัดคำ “มันไม่ยุติธรรมเลยที่คนคนหนึ่งจะถูกตัดสินเพียงเพราะสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจะกำหนดได้
ใช่ไหมล่ะ ?”
เดรโกเอียงหน้ามองและอยากจะกลืนคำพูดที่เขาเพิ่งพูดออกไปเข้าปาก
เพราะบทสนทนาที่ดุเดือดกำลังแตะใกล้จุดอ่อนไหวแล้ว นั่นคือสายเลือดของเธอ
ร่องรอยบึ้งตึงบนใบหน้าของเขาเริ่มจางไป
ดวงตาสีเงินและริมฝีปากแสดงความรู้สึกออกมาชัดเจน
ส่วนคิ้วขมวดเข้าหากันแสดงความสับสนอย่างปิดไม่มิด
เรียกได้ว่าความกังวลกำลังล้อมใบหน้าของเขาเอาไว้แทบทุกสัดส่วน
ประสาทของเขาตึงเขม็ง
แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่พินิจอย่างละเอียดเธอก็พบว่ามือของเขากำลังสั่นน้อย ๆ
สถานการณ์ตรงหน้าทำเอาเธอแทบหยุดหายใจ และแม้กระทั่งสายลมจะพัดหวีดหวิวอีกครั้งเธอก็แทบไม่กล้าที่จะตกใจ
“เธอมันนังร้อยเล่ห์” เขาพึมพำพร้อมความว่างเปล่า
“เธอตั้งใจจะ – ”
“ฉันแค่พูดความจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์”
เธอแสร้งใช้คำพูดที่สงบนิ่ง “นายสรุปของนายเอง – ”
“มันไม่เหมือนกัน เกรนเจอร์!”
เขาขัดขึ้นอย่างแข็งกร้าวแล้วเหวี่ยงมือทุบลงบนโต๊ะ “สถานการณ์มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!”
“สถานการณ์มันแตกต่างอยู่แล้ว” เธอเอ่ยเนิบช้า
พยายามไม่สนใจทางท่าของเขา “แต่...แต่ประเด็นและปัญหาก็ยังคงเหมือนกัน – ”
“เหี้ยเอ้ย” เขาคำราม “ถ้าคิดว่าจะเปลี่ยนความคิดของฉันที่มีต่อมักเกิ้ลได้
ขอบอกว่าเธอคิดผิดเกรนเจอร์!”
“นั่นก็เรื่องของนาย” เธอยักไหล่ไม่ยี่หระ
แต่เธอเห็นแววตาสับสนที่ซ่อนอยู่ภายใต้พายุสีเทานั่นและสิ่งนั้นคือความต้องการของเธอ
“แล้วอยากได้อะไรจากฮ้อกส์มี้ดเพิ่มไหม ?”
เดรโกปล่อยริมฝีปากก่อนจะทิ้งตัวพิงเก้าอี้นวมและคอยสังเกตท่าทางไร้เดียงสาของคนตรงหน้า
“รู้ตัวไหมว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์นะ เกรนเจอร์”
แม้ว่าคำพูดก่อนหน้านี้จะค่อนข้างหนักหนาแต่คำต่อมาก็ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถกลั้นขำคิกคักเอาไว้ได้
“นั่นก็คงได้มาจากสลิธีริน” เธอว่า “ขอถือว่าเป็นคำชมจากนายแล้วกันนะ มัลฟอย”
“หยุดเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นลงแต่ยังคงฟังดูเครียดขึง
“ต้องให้พูดย้ำไหมว่าบ้านสลิธีรินเป็นบ้านที่ได้รับอคติมากที่สุด
เพราะฉะนั้นถ้ายังพอมีสมองอยู่บ้างก็ขว้างงูให้พ้นคอหน่อยเกรนเจอร์
ตอนนี้เธอก็กำลังร่วมตัดสินบ้านของฉันอยู่เหมือนกัน”
แม่มดผมน้ำตาลกระพริบตาด้วยความประหลาดใจที่ไม่อาจหยุดยั้ง
“ฉัน...ฉันว่านายพูดถูก” เธอยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก “แต่ก็น่าเสียดายนะ
ที่นายดูจะคล้อยตามสิ่งที่เขาเหมารวม – ”
“และเธอก็ตัดสินฉันไปก่อนที่จะได้รู้จักกันด้วยซ้ำ”
เขาเถียง “หนำซ้ำยังแขวนชุดความคิดนั้นให้กับสลิธีรินทุกคน”
เฮอร์ไมโอนี่เลียริมฝีปากที่แห้งผากแล้วกลืนน้ำลายอย่างลำบาก
“โอเค” เธอเกริ่นช้า ๆ “งั้นขอโทษนะที่ด่วนสรุปเกินไป”
เธอหยุดพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “น่าละอายจริง นายดีกว่านั้นมาก”
เดรโกถอนสายตาจากเธอแล้วมองที่ก้านนิ้วตัวเอง
มันเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างสั่นไหวอยู่ภายในอก
เหมือนมันตื่นขึ้นจากสิ่งที่เธอพูดและทำ
ทั้งร่างกายและสมองของเขากำลังตอบสนองต่อเธอในทิศทางที่เขาไม่ชอบใจนัก
เขากำลังสงสัยว่ามันคืออาการทางจิตแบบที่ว่าสติสัมปชัญญะของเขาไหลออกจากหูหมดแล้ว
หรือเกรนเจอร์อาจจะ...น่ารำคาญน้อยลง
และเขาก็ไม่แน่ใจว่าคำตอบแบบไหนที่เขาต้องการกันแน่
มันแค่อุบัติเหตุ
เดรโกไม่ได้ตั้งใจจะหลับคาโซฟาอีก
แต่เสียงลมหายใจของเธอก็กล่อมเกลาเขาอย่างไม่อาจต้านทาน
ทันทีที่ตื่นขึ้นเขาก็ต้องรู้สึกถึงความเกร็งขนัดระหว่างขาและความรู้สึกที่อยากจะขโมยอะไรบางอย่างมาจากเธอ
บางอย่างนั่นอาจจะเป็นรสสัมผัส...
กลิ่นของเธออวลขึ้นกว่าในตอนเช้า มันเจือเอาไว้ด้วยกลิ่นมัสก์ที่ยวนใจซึ่งเขากำลังกำซาบมันผ่านจมูก
มันทำให้เขารู้สึกถึงฤดูร้อน – ฤดูร้อนที่เขาไม่ได้กำลังหลบลี้อยู่ที่สกอตแลนด์
ฤดูร้อนที่เขาโหยหา และเธอ – สาบานต่อเมอร์ลิน
ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาเขาแทบอยากจะตรงกลับไปห้องนอนเพื่อนปฐมพยาบาลอาการแข็งขืนของแกนกระดูก
แต่ทว่าก็ไม่อาจต้านทานความต้องการในเบื้องลึกได้
รู้ตัวอีกทีนิ้วมือของเขาก็พรมผ่านเส้นผมของเธออย่างแผ่วเบา
ริมฝีปากของเธอไม่เคยมีครั้งไหนที่ดูเชื้อเชิญได้เท่าครั้งนี้
มันแห้งเผือดจากการหลับใหลซึ่งนั่นราวกับพยายามเรียกร้องให้เขาเป็นผู้มอบความชุ่มชื้นคืนให้
แต่เขาไม่ได้แพ้พ่ายต่อสิ่งล่อใจอันน่าสะอิดสะเอียนนั้น
เดรโกรีบสาวเท้ากลับไปล็อกตัวเองอยู่ในห้อง
เขาฝังตัวเองเข้ากับมุมหนึ่งแล้วซบใบหน้าลงกับฝ่ามือ
ปล่อยให้ความขยะแขยงที่มีต่อตนเองแผดเผาจากภายในพร้อมกับเสียงหัวใจที่ดังกว่าเสียงใด
ๆ ในตอนนี้ เขาไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่เขาเกลียดที่สุดในตอนนี้
เธอ หรือตัวเขาเองกันแน่
และที่เลวร้ายที่สุด
การล่อหลอกของเธอในคืนนี้สร้างคำถามที่กำลังขบเคี้ยวความคิดของเขาเสียจนเบี้ยวบิ่น
แม้กระทั่งในตอนหลับก็ไม่ปราณี เกรนเจอร์กำลัง...เปลี่ยนบางอย่าง เธอเด็ดดึงความคิดของเขาราวกับกลีบดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งก่อนจะแกล้งปั่นป่วนมันราวกับเป็นมหรสพที่เธอพึงใจ
นี่เธอทำบ้าอะไรกับเขากันแน่?
เฮอร์ไมโอนี่นวดเปลือกตาขณะที่ค่อย ๆ ตื่นขึ้นในเช้าวันใหม่พร้อมความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายจากการพักผ่อนที่ดี
แต่ก็สับสนเล็กน้อยเพราะแทบจะจำตอนผล็อยหลับไปไม่ได้และไม่รู้ด้วยว่ามัลฟอยออกไปจากห้องนั่งเล่นตอนไหน
แต่เมื่อดวงตาจับจ้องไปที่นาฬิกานั่นก็ทำให้เธอไม่มีเวลาจะมาคิดเรื่องนี้มากนัก
เธอกำลังสายแล้ว
เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้อาบน้ำและใช้คาถาสกอร์จิฟายเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้วจึงรีบตรงไปยังชั้นเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์
วิชานี้ผ่านไปค่อนข้างช้าก่อนที่เธอจะใช้เวลาช่วงบ่ายที่ห้องสมุดกับแซนวิชแฮมและการค้นคว้าเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์
สามสี่ชั่วโมงหลังจากนั้นสภาพอากาศก็เริ่มส่งเสียงดังผ่านช่องต่าง
ๆ และแนวทางเดินนั่นทำให้เธอตัดสินใจกลับไปยังหอนอน
ระหว่างที่เดินไปตามระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่าในความคิดของเธอก็เต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับมัลฟอย
สมองของเธอกำลังขุดเอาความทรงจำเกี่ยวกับบทสนทนาที่ค่อนข้างหนักเมื่อคืนขึ้นมา
นั่นเรียกได้ว่าเป็นบทสนทนาที่จริงจังที่สุดเท่าที่เธอจะนึกขึ้นได้
และขณะนั้นเองก็เธอมั่นใจว่าสามารถเข้าถึงเขาไปได้อีกระดับหนึ่งแล้ว
มันรู้สึกเหมือนเป็นชัยชนะเล็ก ๆ
เพราะเขาดูมีคำถามและหลงทางในความคิดตัวเองซึ่งดูไม่เหมือนเขาที่เคยเป็นเลย
เพราะจดจ่อกับแขกหัวบลอนด์มากจนเกินไปนั่นทำให้เธอไม่ทันได้สังเกตเสียงหึ่ง
ๆ บนหัว
และกว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแล้วพบรอยสีแดงอยู่ที่หลังมือ
เธอถูกผึ้งต่อย
“แย่แล้ว”
เธอพูดเสียงแผ่วขณะที่เดินเข้าไปในหอพักแล้วพยายามควานมือเข้าไปในกระเป๋า
เธอรู้สึกถึงมันแล้ว
พิษของผึ้งกำลังแล่นผ่านสรรพางค์และเดือดปุดขึ้นในลำคอ
มันคือสัญญาณของอาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis)
ลมหายใจของเธอเริ่มติดขัดและเธอกำลังควบคุมลมหายใจไม่ได้
เธอละลักละลำและเริ่มไอขณะที่พยายามคุ้ยหาสิ่งนั้นจากในกระเป๋า
เธอรู้สึกว่าหัวกำลังสั่นและเริ่มบวมขณะที่เข่ากำลังอ่อนแรงเมื่อเธอพยายามอย่างหนักที่จะสูดเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย
“มัลฟอย!” เธอหายใจหอบขณะที่ล้มกองลงบนพื้น
ข้าวของกระจัดกระจายไปตามแรงที่เธอพยายามลากกระเป๋า “เดรโก!”
เสียงเรียกของเธอแผ่วเบาจนเหลือเพียงแต่เสียงภายในคอที่ฟังไม่ได้ศัพท์
ประสาทตาเริ่มเลือนและภาพโดยรอบเริ่มบิดเบี้ยว
ในหูของเธอได้ยินเสียงประตูเปิดแต่มันก็ไกลเหลือเกิน เงาสูงของใครบางคนปรากฏขึ้นในดวงตาแต่ทว่ามันกลับบิดเบี้ยวเสียจนเธอไม่อาจรับรู้ได้
และภาพที่เดรโกเห็นคืออาการกระตุกอย่างน่ากลัวและการเคลื่อนไหวบริเวณหน้าอกที่ดูน่าอึดอัด
สามัญสำนึกสั่งให้เขาระลึกถึงอาการแพ้ของเธอในทันทีแต่นั่นก็ทำให้เขาทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่
เขาเกือบจะพูดได้ว่าจริง ๆ
อยากจะหันหลังกลับและปล่อยให้เธอตายไปเสีย
เขาก็แค่ไปซ่อนตัวในห้องแล้วรอจนกว่าเลือดสีโคลนมันจะสิ้นลมหายใจสุดท้ายไป
นั่นอาจจะทำให้ทุกอย่างจบเสียที
การกระทำของเธอทำให้ความรู้สึกและจิตใจของเขาบุบสลาย
บางทีถ้าหากเขาปล่อยให้เธอหายไปจากชีวิตของเขา ทุกอย่างอาจจะกลับมาเป็นปกติ
ไม่ก็ทำให้เขาเป็นบ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย
เดรโกเคลื่อนตรงไปหาเธอก่อนจะสามารถหยุดตัวเองเอาไว้ได้
เขาคุกเข่าลงและเริ่มปัดมือไปบนข้าวของของเธอ
ดวงตาของเขามองไปตรงหน้าอย่างลนลานเพื่อตามหาหลอดแก้วอันนั้นและในที่สุดก็พบว่ามันคั่นอยู่ระหว่างหน้าหนังสือ
เขาหมุนตัวกลับไปหาเธอ
“เกรนเจอร์” เขาเรียกเสียงแข็ง “บอกมาว่าฉันต้องทำยังไง”
แต่ไม่มีการตอบกลับใด ไม่มีแม้แต่แสงทอประกายจากดวงตาสีทองของเธอ “เชี่ยเอ้ย”
เขาพลิกมันเพื่อดูภาพประกอบและเริ่มพยายามทำความเข้าใจ
หลังจากทวนเป็นรอบที่สี่และอาการอ้าปากหอบเอาอากาศของหญิงสาว
ก็ทำให้เขาต้องรวบรวมสติและมุ่งตรงไปหาเธอ
เดรโกลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโน้มเข้าไปหาแล้วถอดเสื้อคลุมของเธอออก
นิ้วมือของเขาสั่นเทาตอนที่เริ่มปลดกระดุม
เขาเตรียมเครื่องมือที่บริเวณซี่โครงและตรวจสอบน้ำยาอีกครั้งจากนั้นจึงฉีดมันเข้าไปในตัวเธอที่เหนือสะโพกโดยใช้นิ้วหัวแม้มือกดมันเอาไว้
ชีพจรของเขากำลังเดือดพล่าน
เสียงในหัวของเขาดังอึกทึกราวกับฟ้ากัมปนาท
เขากำลังเฝ้าดูผลของความพยายามโดยที่มืออีกข้างโอบรอบเอวที่เปลือยเปล่าของเธอ
เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกได้ว่าจังหวะการหายใจของเธอกำลังเปลี่ยน
นิ้วมือของเขายังคงคาอยู่กับไซริงค์ ส่วนฝ่ามือวางแนบกับผิวเนื้อละเอียด
และดวงตาไม่อาจละจากใบหน้าไม่สู้ดีของเธอได้เลย
เดรโกจดจำทุกรายละเอียดบนใบหน้าของเธอในทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไป
ในที่สุดสีชมพูก็เริ่มเจือขึ้นที่แก้มและความตระหนักรู้เริ่มเติมเข้าในดวงตา
ตอนนี้เขาอยู่ใกล้เธอเสียจนลมหายใจร้อนนั้นสามารถปัดเป่าเส้นผมที่ปกระใบหน้าให้คลายไป
เขาไม่สามารถหยุดถอนหายใจอย่างโล่งใจได้เมื่อมีสัญญาณไม่ได้ศัพท์ดังออกจากริมฝีปากของเธอและส่งผ่านมาถึงปากของเขา
มันหวานอย่างกับน้ำตาลแต่อบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์
เขากลืนน้ำลายเมื่อเธอเริ่มกระพริบตาตื่น
ครึ่งหนึ่งเขาหวังว่าเธอจะผลักไสเขาออกไปและเอ่ยปากด่าเพราะว่าเขาใกล้เกินกว่าที่จำเป็น
แต่เขาควรจะรู้ว่าการคาดเดาเกรนเจอร์นั้นเป็นไปได้ยาก
เพราะแทนที่จะเป็นแบบนั้นเขาพบว่าเกรนเจอร์กลับใช้อุ้งมือประคองที่ข้างแก้มของเขา
นิ้วโป้งไล้ผ่านกระดูกโหนกแก้มอย่างเลื่อนลอย
เธอใช้ดวงตาที่เป็นกายแวววาวมองเขาและนั่งสะกดให้เดรโก
มัลฟอยไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวออกจากเธอ
“ขอบคุณนะ” เธอกระซิบบอกอย่างอ่อนแรง
ก่อนที่อีกถ้อยคำจะดังขึ้นตามหากแต่คราวนี้คำพูดนั้นกลับสัมผัสเข้าที่ลิ้นของเขาแทนโสตประสาท
ไม่รู้ว่านี่เป็นความจริงหรือแค่ประสาทหลอน
แต่เขาขอสาบานต่อหน้าหลุมศพของซัลลาซาร์ว่า
เธอเริ่มขยับเข้ามาหาเขาก่อน
ความคิดเห็น