NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 8 : Touch [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 64


    เฮอร์ไมโอนี่ยังไม่อาจข่มตานอนได้

    จินนี่ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะสามารถทำใจให้สงบลง และเฮอร์ไมโอนี่ก็ทำได้เพียงค่อย ๆ ลูบเส้นผมสีแดงไปจนกระทั่งเธอผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอรู้ว่ามอลลี่ก็คงจะปลอบลูกสาวด้วยวิธีการคล้ายกันนี้และหลังจากนั้นเกือบทั้งคืนภายในหัวก็มีเรื่องราวของพ่อแม่ของตัวเองวนไปมา นี่เธอคิดถึงพวกเขามากขนาดไหนกันนะ จากนั้นสมองก็ลากพาความคิดของเธอไปคิดเรื่องของแฮร์รี่ เรื่องของรอนและท้ายที่สุดคือเรื่องของมัลฟอย

    เธออยากจะปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดี ๆ จะไปคิดถึงแขกไม่ได้รับเชิญแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าคิดอยู่ดีโดยเฉพาะหลัง ๆ มานี้ที่เขาแทรกซึมเข้ามาในความคิดทีละน้อย ถึงจะยังเป็นคนยโส ช่างอคติ แถมยังเต็มไปด้วยส่วนผสมมากมายที่เธอไม่ชอบใจนัก แต่ต้องยอมรับว่ามัลฟอยดูรับได้มากกว่าที่ผ่านมา เธอพบว่าตัวเอง – แน่นอนว่าบังเอิญ – ออกจากหอเพื่อไปห้องสมุดช้ากว่าที่เคยเพียงเพื่อจะรอดูว่าเขาจะออกจากห้องตอนไหน ออกจะดูเป็นจุดประสงค์ที่งี่เง่าไปหน่อย แน่ล่ะ แต่ก็เพราะศาสตราจารย์บอกให้เธอจับตาดูเขาเอาไว้และเธอก็แค่รู้สึกว่าการเฝ้ามองพัฒนาของเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขามันดึงดูดความสนใจของเธอได้อย่างน่าประหลาด

    อีกอย่าง มันก็รู้สึกดีที่ได้เห็นการมีอยู่ของมนุษย์เพศชายอีกรอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นการบังคับมาและรู้สึกว่าเขาน่ารำคาญบ้างก็เถอะ

    แต่ถึงอย่างนั้นการได้เห็นว่าเขาพยายามจะปรับตัวเข้ากับสิ่งรอบข้างยังไงก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก และเธอก็แอบลองทดสอบอะไรบางอย่างกับตัวเองด้วยการพยายามโน้มน้าวให้เขาทำนู่นทำนี่เท่าที่เธอจะสามารถทำได้ เฮอร์ไมโอนี่ค่อนข้างที่จะ และอันที่จริงต้องบอกว่ามั่นใจอยู่พอตัวว่าจะสามารถลดอคติของเขาลงได้ แล้วหลังจากนั้นเขาจะได้ไม่ทรมานที่จะอยู่มากเท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

    แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาอาจจะไม่เป็นแบบนั้น นิสัยมองโลกในแง่ดีอย่างกริฟฟินดอร์ของเธอมักจะนำความผิดหวังมาให้เธอเสมอ ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหยุดพยายามอยู่ดี เธอแค่อยากจะลบคำว่าเลือดสีโคลนของจากพจนานุกรมของเขาให้ได้สักที

    นาฬิกาบอกเวลาหกโมงครึ่งแล้วและเธอยังไม่ได้พักผ่อนเสียทีนั่นทำให้ในหัวเริ่มมีความรู้สึกประหลาด เฮอร์ไมโอนี่เช็คดูอีกทีว่าจินนี่หลับดีแล้วหรือยังก่อนจะใช้แขนเสื้อยาว ๆ ซับน้ำตาบนใบหน้าของหญิงสาวออก เธอขยับตัวอย่างเชื่องช้าระวังไม่ให้คนที่อยู่ในนิทราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก เรียวขายาวก้าวไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของจินนี่แล้วเขียนโน้ตสั้น ๆ ขอโทษที่ต้องออกไปก่อนและอธิบายเพิ่มว่าเธอต้องการการพักผ่อน

     เธอเหลือบมองสาวผมแดงด้วยสีหน้าอาทรก่อนจะพาตัวเองออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ เฮอร์ไมโอนี่เดินลงมายังระเบียงทางเดินที่เปลี่ยวว้าง แม้ว่าระยะทางที่จะนำเธอไปถึงหอนอนจะไม่ได้ไกลมากนัก แต่ด้วยจังหวะการเดินและห้วงความคิดที่รั้งเธอเอาไว้จึงทำให้เธอใช้เวลาพอสมควร เธอมองไปรอบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นภายใน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฮอกวอตส์ดูไร้ชีวิตชีวามากถึงขนาดนี้ เธอมองไปยังโถงที่ยังคงถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความมืดของเช้าในฤดูหนาว มันดูเงียบเหงามากขึ้นเมื่อไร้สัญญาณของสิ่งมีชีวิตด้วยเพราะเป็นเช้าวันเสาร์ที่ยากจะมีใครสักคนตื่นขึ้นมา เฮอร์ไมโอนี่ทอดถอนหายใจเมื่อคิดว่าเธอเคยรักบรรยากาศอันอบอุ่นของผู้คนที่ขวักไขว่มากแค่ไหน ยิ่งเมื่อเทียบกับตอนนี้ที่ทั้งอึมครึมและชืดชาก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งปราสาทกำลังดูคล้ายกับสุสานเข้าไปทุกที

    คงเป็นการเปรียบเปรยที่น่าขนลุกไปเสียหน่อย...แต่มันก็เป็นสิ่งที่คอยเตือนเธอว่าขณะนี้มันน่าหดหู่มากเพียงใด วันจันทร์ที่จะถึงนี้ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน จากไปของดัมเบิลดอร์ผ่านไปอีกเดือนแล้ว เป็นเวลาครึ่งปีที่เธอยังคงจมปลักอยู่อย่างนั้น

    เธอทอดหายใจด้วยความรู้สึกยากลำบากพลางกระซิบรหัสผ่านกับสิงโตผู้หยิ่งผยองที่ประตู แต่แทนที่ประตูจะเปิดออกกว้างมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะที่เธอพยายามจะผลักประตูเข้าไป แต่ก็ต้องพบว่ามันมีแรงต้านจากอีกฝั่ง เธอค่อย ๆ แทรกตัวผ่านบานประตูแล้วก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ดูเหมือนผิวหนังมนุษย์ซึ่งทำให้เธอลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจ เฮอร์ไมโอนี่หอบหายใจขณะที่ปัดผมที่ปรกหน้าให้พ้นไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเริ่มสังเกตได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร

    “พระเจ้า” เธออุทานไร้เสียงแล้วลุกขึ้นคลานเข่าเข้าไปหาเขา “มัลฟอย? เดรโก!

    เขาดูเหมือนคนตาย เหมือนคนตายจริง ๆ

    ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีซีดคล้ำเหมือนซากศพซ้ำริมฝีปากยังขาดสีเลือดจนคล้ายจะเป็นสีเขียวคล้ำ ดวงตาที่ปิดสนิททำให้ใบหน้าของเขาไม่มีอาการได้แสดงอยู่บนนั้น เฮอร์ไมโอนี่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนักและความหวาดกลัวแล่นขึ้นมาจุกที่คอ เธอใช้ฝ่ามือที่สั่นเทาคลำไปบนตัวเขาอย่างงุ่มง่าม เธอจับข้อมือของเขาขึ้นมาแล้วก็ต้องหน้ามุ่ยเมื่อมันเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้และช้ำเลือดช้ำหนองไปทั้งฝ่ามือ

    เธอเฝ้ามองเขาด้วยสีหน้ากังวลครู่หนึ่งก่อนที่เสียงโครมครามของหัวใจจะเริ่มสงบลง เมื่อนิ้วของเขาเริ่มขยับและเริ่มจับสัญญาณชีพจรของเขาได้เล็กน้อยเธอก็ผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อความวิตกเบาลงเธอก็ต้องกลับมารู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เห็นต่อ แค่เพียงเห็นฝ่ามือที่บิดเบี้ยวและตำแหน่งที่เขาล้มอยู่ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

    เขาพยายามจะหลบหนี

    มัลฟอย อีตาบ้าเอ้ย...

    ร่างเล็กคุกเข่าขึ้นข้างเขาพยายามจะดึงข้อมือขึ้นเขาขึ้น แต่วินาทีนั้นสิ่งแปลกปลอมบนแก้มก็ทำให้เธอประหลาดใจ... นี่เธอร้องไห้เหรอ? เพราะแพนิคสินะ แพนิคนั่นแหละ เอาไว้คิดอีกทีหลังจากที่เธอได้ฟาดไอ้หมอนี้ข้อหาทำตัวงี่เง่า

    “วิงกาเดียม เลวิโอซา” เฮอร์ไมโอนี่กระซิบคาถาเสียงแผ่วเมื่อเธอยืนขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว เธอวาดไม้กายสิทธิ์ในอากาศเพื่อพาพ่อมดที่ไร้สติไปไว้ที่โซฟา

    เธอเดินตามมาและกดไม้กายสิทธิ์ลงที่อกของเขากะว่าจะปลุกให้ตื่น แต่เธอกลับลังเล

    ดวงตากวางไล่มองใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วตระหนักได้ว่าเธอแทบจะไม่มีโอกาสได้มองเขาแบบนี้แน่ ๆ ในชีวิตประจำวัน การได้มองเขาใกล้ขนาดนี้ทำให้เธอเห็นเขาในมุมที่ปกติกว่าทั่วไป ไม่มีร่องรอยของความโมโหหรือสีหน้ายุ่งยากใจอย่างที่เคยปรากฏอยู่เสมอ แทบจะมองไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าผ่านความเจ็บปวดในชีวิตมามากมายแค่ไหน เขาที่กำลังหลับใหลดูผ่อนคลายและดูเหมือนจะตรึงสายตาของเธอเอาไว้นานกว่าที่เธอจะรู้ได้ เฮอร์ไมโอนี่เอื้อมมือออกไปปัดเส้นผมสีซีดดุจหิมะให้พ้นรำคาญ จากนั้นปลายนิ้วก็ค่อย ๆ ละเลียดสัมผัสตั้งแต่คิ้วไปจนถึงโหนกแก้ม

    ภายในใจของเธอกำลังรู้สึกแน่นหน่วงขณะที่เฝ้ามองใบหน้าของเขา ก่อนจะพบว่าตัวเองรู้สึกละอายกับความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในหัว เขาช่างหล่อเหลาและดูดีแทบทุกระเบียดแต่การเลี้ยงดูกลับเป็นเบ้าหลอมที่ไม่ดีนัก มันทั้งน่าเศร้าและน่าเสียดายระคนกัน

    ขณะที่เธอกำลังไล้มือไปบนใบหน้าของเขาสีเลือดก็เริ่มฝาดขึ้นตาม และเมื่อริมฝีปากของเขาเริ่มขึ้นสีก็ทำให้คนที่กำลังเผลอไผลอดใจไม่ได้ที่จะใช้นิ้วโป้งคลึงอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากล่าง เขา...ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าที่เธอคาดเอาไว้...

    ฉับพลันเธอกลับสะบัดมือออกและมองจ้องเขม็งไปที่เขา เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอาการของโรคนอนไม่หลับแน่ มันกำลังปั่นสมองเธอและเริ่มต้อนให้ทำอะไรโง่ ๆ ที่ไม่สมควรแบบนี้ เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าไล่ความคิดแล้วสบถกับตัวเองเงียบ ๆ ก่อนจะชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่อกของเขาอีกครั้ง เธอสูดลมหายใจเตรียมพร้อมสำหรับการรับอารมณ์ของมัลฟอยเมื่อเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเธอก้มอยู่ใกล้เขาขนาดนี้

    เอนเนอร์วาเต้!

    สิ้นเสียงร่ายคาถาร่างที่นอนนิ่งก็ผวาตื่นขึ้นพร้อมกับอ้าปากตะกองอากาศเข้าปอด ดวงตาของเขาเบิกกว้างและอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงตามจังหวะการหายใจ เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีหญิงสาวอยู่เคียงข้างด้วยเขาเพียงมองไปเบื้องหน้าเท่านั้น เดรโกกระพริบตาถี่แล้วพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา

    “มัลฟอย!” เธอร้องเรียกชื่อของเขาแล้วจับแขนเอาไว้ “เดรโก ใจเย็น ๆ ทุกอย่างโอเคแล้ว”

    เขาตวัดสายตามองจ้องมาที่เธอตามเสียงเรียกและในขณะนั้นเธอก็สังเกตได้ว่าจังหวะการหายใจของเขาเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะอ้าปากพูดแต่เดรโกกลับเอื้อมมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลออกมาโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว และในเสี้ยววินาทีนั้นเองฝ่ามือที่หนืดเหนียวไปด้วยเลือดก็แตะบนแก้มของคนตัวเล็กกว่า มันทิ้งร่องรอยของเลือดเอาไว้ เฮอร์ไมโอนี่นั่งนิ่งพยายามจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นส่วนเขามีท่าทางตะหนกกับฝ่ามือที่สั่นเทาบนแก้มของเธอ

    ครู่เดียวมือแกร่งก็ค่อย ๆ ตกลงพร้อมสายตาที่มองไปที่เธอด้วยความว่างเปล่า เฮอร์ไมโอนี่ดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดก่อนหน้าแล้วเริ่มสำรวจร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความวิตกของเขา เงี่ยหูฟังเสียงขบกันของฟันที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

    "มัลฟอย” เธอสูดหายใจพยายามตั้งสติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ร่างกายของนายต้องการการรักษานะ เข้าใจไหม ?” เขาไม่แม้แต่จะพยายามจะฝืนแรงกระแทกของฟันเพื่อตอบและยังคงมองเธอด้วยดวงตาที่ไร้แวว “เดี๋ยวจะไปเอาน้ำยานอนหลับมาให้ โอเคไหม ? เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

    เธอรีบรุดเข้าไปยังห้องนอนโดยไม่รอคำตอบก่อนจะเหวี่ยงเปิดตู้ออกแล้วเริ่มควานหาสิ่งที่ต้องการ ในที่สุดหลอดน้ำยาขวดสีม่วงก็อยู่ในมือเธอ เธอหันกลับไปหยิบผ้าห่มจากเตียงแล้วกำขวดน้ำยาวิ่งออกไปหาเขา สภาพของเขาตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เธอวางผ้าห่มลงและย่อตัวลงข้างเขา อีกมือหนึ่งรีบดึงจุกยาออกแล้วจ่อไปที่ริมฝีปาก

    “ด – เดรโก” เธอพึมพำเรียกด้วยความวิตก “อยู่นิ่ง ๆ หน่อยได้ไหมฉันจะได้เอายาให้นายได้”

    ไม่มีการตอบรับและเขาก็ยังคงตัวสั่นมากขึ้น

    เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ประคองแก้มของเขาเอาไว้แล้วให้นิ้วโป้งออกแรงบีบ “มันจะไม่เป็นไร” เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ออกจะขัดกับท่าทางอ่อนโยนของเธอ เฮอร์ไมโอนี่พยายามกัดฟันทนกับความเจ็บปวดเมื่อนิ้วหัวแม่มืดเริ่มแทรกผ่านฟันที่ขบกันแน่นเพื่อที่จะได้กรอกยาให้ผ่านเข้าไปได้

    เพียงไม่นานหลอดน้ำยาก็ว่างเปล่า เธอโยนมันไปด้านหลังและใช้มือวางลงบนริมฝีปากของเขา พยายามใช้นิ้วนวดใบหน้าของเขาไปมาหวังให้คนที่กำลังจะขาดสติกลืนยาลงไป หลังจากนั้นไม่ถึงยี่สิบวินาทีเขาก็ค่อย ๆ อ่อนลงแม้ว่าจะยังคงสั่นอยู่บ้างก็ตาม เธอดึงผ้าห่มคลุมให้เขาและทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก

    เมอร์ลิน เธอเกือบจะตาย...เกือบจะตายเพราะเขา...แต่สุดท้ายก็ทำทุกอย่างเท่าที่ควรทำแล้ว

    เธอลอบมองเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาหลับสนิทดีแล้วจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงนัก ความเหนื่อยล้าโถมทับเธอเอาไว้เสียจนทุกอย่างดูยากไปหมด ร่างเล็กค่อย ๆ ลากตัวเองตรงไปยังห้องน้ำแล้วอิงตัวเองเข้ากับอ่างล้างหน้าพยายามรวบรวมสติ แต่สิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกกลับทำให้เธอหายใจติดขัด

    นั่นเอง รอยฝ่ามือสีแดงคล้ำปรากฏเป็นรอยหนาอยู่บนแก้มมันดูดึงดูดอย่างประหลาดซ้ำยังมีร่องรอยของความอบอุ่นกรุ่นอยู่ เธอมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดก๊อกน้ำและเริ่มล้างเลือดของเขาออกพร้อมความรู้สึกประหลาดที่เต้นอยู่ภายในอก เฮอร์ไมโอนี่มองตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วจึงพาตัวเองตรงกลับไปยังห้องนอน เธอจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดและกางเกงนอนโดยไม่ลืมเหน็บไม้กายสิทธิ์ไว้ในกระเป๋า

    พอเห็นว่าเตียงน่านอนแค่ไหนก็แทบจะร้องไห้ออกมา ให้ตายก็อดริกคงรู้ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจหยิบผ้าห่มอีกผืนแล้วตรงกลับไปยังห้องนั่งเล่น

    เธอหย่อนตัวเองลงแล้วซุกตัวเองในผ้าห่ม ดวงตาที่หนักไปด้วยความง่วงงุนเฝ้ามองชายหนุ่มที่นอนอยู่อีกฝั่งของโซฟา และเป็นอีกครั้งที่เขาดูต่างออกไปแต่ครั้งนี้เธอกลับไปคิดว่ามันเกี่ยวกับใบหน้าสงบของเขา

    มันมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่เธอยังไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่


    -


    เสียงของนักเรียนที่จอแจอยู่ด้านนอกทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

    ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าเกือบจะเที่ยงวันแล้ว แปลว่าเธอเพิ่งจะหลับไปร่วมห้าชั่วโมงอย่างน่ามหัศจรรย์ รู้สึกว่านี่จะเป็นการพักผ่อนต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดในช่วงนี้เลย และดูเหมือนว่าอีกไม่นานมัลฟอยก็คงจะตื่นขึ้นมาเหมือนกันถ้าเทียบจากขนาดยาที่เธอให้เขาไป

    ขณะที่ใช้ตาปรือ ๆ มองไปที่เขา ในหัวก็มีภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหมุนวนกลับมาเข้ามในหัว มันดูเหมือนความจริงแต่ก็กึ่งจะเป็นเหมือนความฝันที่เลือนรางในที เธอยังคงเฝ้ามองเขาอยู่แบบนั้นเพื่อรอสัญญาณของการมีชีวิตและเธอคงจะเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นเป็นหลักนาทีหรือไม่ก็หลักชั่วโมงถ้าหากเขาไม่ค่อย ๆ ปรือตาขึ้น

    ครึ่งหนึ่งเธอหวังให้เขาไม่ทันสังเกตเธอ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะเป็นหนึ่งในสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่สุดในชีวิตเธอทีเดียว แต่ก่อนที่เธอจะทันได้หลับตาลงและทำทีว่าหลับ เขาก็ผงกหัวขึ้นแล้ววินาทีนั้นสายตาทั้งสองคู่ก็ตรึงเข้าหากัน

    เฮอร์ไมโอนี่ไม่คิดว่าจะมีมากไปกว่าอาการโมโหและท่าทีที่ทำให้ลำบากใจ แต่ทั้งหมดเท่าที่เธอสังเกตได้ภายในดวงตาคู่นั้น มีเพียงร่องรอยของความขุ่นหมองและอาดูรจนรู้สึกเหมือนมีเมฆฝนก่ออยู่ภายใน ความเงียบเข้ายึดครองทุกตารางนิ้วระหว่างพวกเขาโดยมีเพียงสายตาที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน และเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ก็ดันอยากทำงานขึ้นมาเสียก่อนที่เธอจะสั่งการ

    “เป็นยังไงบ้าง”

    เขาหลบสายตา ก็อย่างที่เธอคิด เธอไม่ได้หวังว่าเขาจะตอบหรอก

    “อย่างเละ” เขาพึมพำ น้ำเสียงแหบลงกว่าปกติ

    หญิงสาวเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิดขณะที่เจ้าตัวค่อย ๆ พยุงตัวเองเพื่อเปลี่ยนขึ้นมานั่ง ดูเหมือนเขาจะยังขยับตัวได้ลำบากอยู่ดูจากท่าทางและสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก เขาชันเข่าขึ้นขณะที่หลับตาลงยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วใช้ก้านนิ้วค่อย ๆ นวดขมับ เธอสังเกตได้ว่ามืออีกข้างยังถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าห่ม เฮอร์ไมโอนี่ขบริมฝีปากขณะที่พาตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาโดยใช้ผ้าห่มคลุมไหล่เอาไว้

    นี่เธอจะทำอะไร ?

    เธอนั่งลงบนพื้นข้างโซฟาของเขา จริง ๆ มันก็เป็นความคิดที่แปลกมากสำหรับการมานั่งใกล้ ๆ เท้าของเขาแบบนี้ และถ้าหากจะโดนเขาโวยวายใส่ก็คงไม่แปลกเพราะเอาจริงตัวเธอเองก็หาเหตุผลให้กับสิ่งที่ทำอยู่ไม่ได้เหมือนกัน แต่แปลกกว่าที่เดรโกไม่ได้ขยับหนี นี่จึงนับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเอาตัวเองเข้าไป แล้วพอเริ่มทบทวนถึงช่วงชีวิต 6 ปีหลังของเธอนี้ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะแปลกอย่างมีนัยยะสำคัญ

    “นายคิดอะไรอยู่ ?” เธอเปิดปากพูดขึ้นก่อนและก็ต้องขมวดคิ้วออกมาเมื่อเขายังคงก้มหน้างุด “รู้ไหมว่าเวทมนตร์อาณาเขตมันอันตรายแค่ไหน นายอาจจะตายได้นะ มัลฟอย – ”

    “เธอไม่กลับมา” เขาพูดขัดเสียงแผ่ว

    อะไรเนี่ –

    “อะไรนะ” เธอสูดหายใจแล้วมองหน้าเขาเพื่อหาคำตอบ “นายกำลังหมาย – ”

    “เธอไม่กลับมา” เขาพูดซ้ำและในที่สุดก็เหลือบตามองเธอ “เมื่อคืนนี้”

    “ฉัน...ฉันไม่รู้ว่า – ”

    “ไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่” เขาขัดให้เธอเงียบ น้ำเสียงของเขาขึงขังแต่ยังคงสงบนิ่ง “ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ฉันแม่ง – ”

    “ศาสตราจารย์รู้ว่านายอยู่ที่นี่” เฮอร์ไมโอนี่แจง เสียงของเธอฟังดูใจเย็นเพราะเธอต้องการทำให้เขาสบายใจขึ้นและเดรโกก็อยู่ในความสับสนเกินกว่าจะรู้สึกรังเกียจมัน นอกจากเดรโกจะพยายามไม่สนใจมันมากแล้ว บางอย่างที่เป็นเกรนเจอร์และการได้อยู่ใกล้เธอก็เป็นเครื่องมือบางอย่างในการปลอบประโลมจิตวิญญาณลึก ๆ ของเขา ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้เขาจึงไม่ว่าอะไรที่เธอจะทำแบบนั้น เขายังไม่อยากให้เธอจากไปไหน หมายถึงในตอนนี้น่ะนะ

    แต่เขาลืมเรื่องยายแก่นั่นไปได้ยังไง ? มันเป็นความผิดของนังวัวเฒ่านั่นแต่แรกที่ทำให้เขาถูกขังไว้ที่นี่

    “แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับยายนั่นล่ะ ?” เขาถามด้วยอารมณ์กรุ่น “ฉันไม่เน่าตายอยู่ที่นี่จนกว่าพวกเด็กปีสามหน้าโง่สักคนจะได้กลิ่นเหม็นเน่าหรือไง”

    “เดรโก” เธอสะดุ้งกับคำพูดที่ดูขมขื่นของเขา “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับศาสตราจารย์ คาถาอาณาเขตก็จะเสื่อมลงและนายก็จะสามารถออกไปได้”

    เขากระพริบตา

    เชี่ย นี่เขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อนและตอนนี้รู้สึกตัวเองโง่บรมที่พยายามจะหนีออกไปด้วยวิธีงี่เง่าแบบนั้น เขาตวัดสายตาออกจากเธอแล้วเริ่มสมเพชตัวเองที่เป็นแบบนี้ ถ้าที่เคยคิดว่าเรื่องที่พอตเตอร์มาเจอเขาในห้องน้ำเมื่อปีกลายเป็นเรื่องอัปยศที่สุดแล้วล่ะก็ ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีผู้เข้าชิงใหม่แล้ว

    แต่ว่า...

    แต่ว่าเธอไม่เหมือนกับพอตเตอร์ ไอ้เด็กอมตะนั่นก็แค่ชอบสอดไปเรื่อยอย่างที่มันชอบทำมาลอด แต่กลับเธอมันต่างไป เธอแค่เป็นห่วงเขาอย่างซื่อตรงจริง ๆ เขาจมอยู่กับความคิดที่เริ่มไล่ต้อนเขาแถมยังต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณที่บอกให้เขาผลักเธออกไปให้พ้น แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำ ซ้ำยังพยายามจะมองหน้ารูปหัวใจนั้นเพื่อจับร่องรอยคำโกหกให้เจอแต่ปรากฏว่าสิ่งที่เดียวเห็นมีเพียงความจริงใจที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้

    “เธอช่วยฉันทำไม ?” เขาถาม ดวงตาหรี่ลงอย่างสงสัย

    “เธอนายต้องการมัน” เธอยักไหล่ตอบ สำหรับเธอมันก็แค่นั้น “อาณาเขตมันอันตรายมากนะ และนาย – ”

    “เธอเกลียดฉัน” เขาพูดเสียงลอดไรฟัน “เราต่างจงเกลียดจงชังกันเกรนเจอร์ แล้วแม่งมันเรื่องบ้าอะไร – ”

    “ฉันไม่...เอ่อ ฉันไม่คิดว่าฉันจะเกลียดนาย...จริง ๆ” เธอพูดขัดน้ำเสียงติดอ่างอย่างขัดเขิน ทำให้เสียงของเดรโกคล้ายจะถูกดูดหายลงคอไป “คำว่าเกลียดเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก แต่ฉันไม่เคยอยากให้นายต้องเจอกับอะไรร้าย ๆ เลย – ”

    “ไม่เคยงั้นเหรอ ?” เขาคำรามในคออย่างถากถาง

    “ไม่เคยเลย” เธอยืนยันด้วยความหนักแน่น “และก็อยากให้นายคิดเหมือนกันนะ”

    เดรโกพ่นลมหายใจซึ่งเธอคงจะหูหนวกแน่ถ้าหากไม่ได้ยิน ความทรงจำตอนควิดดิชเวิลด์คัพแล่นผ่านเข้ามาในสมองเขาอีกครั้ง เขาจำได้ว่าเคยเตือนพอตเตอร์ให้เอาเธอออกจากความวุ่นวาย ตอนนั้นมันออกจะเป็นอะไรที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้เขาสุ่มตั้งคำถามกับมันมาตลอดสัปดาห์หลังจากนั้น และมันก็ยังคงเป็นความจริงตลอดมาว่าเขาอยากให้เธอปลอดภัยซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

    “ขอดูมือหน่อยได้ไหม” เสียงของเกรนเจอร์ทำให้เขากลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน “เมื่อเช้ามันดูไม่ดีเลย – ”

    “ไม่เป็นไร – ”

    “ไม่ มันเป็นไร” เธอตัดบทแล้วจ้องด้วยสายตาเคร่งขรึมขณะยื่นมือออกไป “เอามาดู ไม่งั้นฉันจะสาปให้นายเป็นหินแน่ อย่าทำให้มันยากนักนายไม่อยากจบเรื่องนี้เร็ว ๆ หรือไง”

    เดรโกแค่นหัวเราะและเดาะลิ้น “อย่าไปบอกใครแล้วกัน เกรนเจอร์”

    “ต่อให้อยากพูดก็ไม่พูดหรอก มัลฟอย” เธอว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะมีแค่ฉันกับนายที่รู้”

    คำพูดของสาวผมน้ำตาลทำให้เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมาถนัดก่อนเขาจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นขณะที่ยื่นมือให้เธอ เฮอร์ไมโอนี่ให้สองมือประคองฝ่ามือของเขาเอาไว้และเมื่อเห็นมือตัวเองเต็มตาก็อดหน้าบู้บี้ไม่ได้ เพราะมันดูแย่กว่าที่เขาคิดเอาไว้ มันมีรอยบากเป็นแผลพุพองขนาดใหญ่ผ่านตรงกลางแถมยังมีรอยเลือดกรัง ๆ อยู่เกือบทั้งมือ บางจุดก็ยังมีเลือดไหลซึมอยู่ บางจุดผิวหนังก็พับย่นเหมือนกลีบดอกไม้หน้าตาพิลึก ทั่วทั้งฝ่ามือมีรอยแดงเป็นเส้นเหมือนรากร่างอยู่ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงข้อมือ

    เดรโกยังรู้สึกถึงพลังของคาถาที่อยู่ภายในเนื้อหนังของเขาและความแสบร้อนของมันก็ยังคงแผดเผาทรมาณเขาอยู่ไม่จาง เขาละสายตาจากมือแล้วมองไปที่เกรนเจอร์ คิดว่าเธอคงจะดูกระอักกระอ่วนเจียนอ้วกอะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่เห็นเธอเพียงแต่ขบริมฝีปากแล้วใช้ดวงตาสีเฮเซลเฝ้ามองความเสียหายที่เกิดขึ้น เขาอยากจะละสายตาจากเธอเพื่อไม่ให้สมองของเขาปั่นป่วนไปมากกว่านี้ เธอดูสนอกสนใจเขาเหลือเกิน เป็นอีกครั้งแล้วที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จับมือกัน มีกลิ่นเลือดคลุ้งระหว่างกัน เหมือนกับครั้งนั้นที่เขานอนอยู่บนเตียงหลังจากเกิดเรื่องในห้องน้ำ

    “อาจจะใช้เวลานิดนึงนะ” เธอพึมพำบอกแล้วดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาโบกบนแผล “เจ็บไหม ?”

    “ไม่” เขาโกหกขณะที่กัดฟันมองแสงสีทองที่ปลายไม้กายสิทธิ์ “รีบ ๆ เข้าเถอะเกรนเจอร์”

    เธอเลียริมฝีปากขณะที่พยายามร่ายคาถารักษา เริ่มจากปลายนิ้วเรื่อยไปจนถึงรอยแผลฉกรรจ์ เดรโกพยายามจะไม่สนใจความรู้สึกแย่ที่กำลังเกิดขึ้น เขาหันกลับมาสนใจสัมผัสอ่อนโยนของเธอแทน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาละความสนใจได้เป็นอย่างดี พวกเขานั่งอยู่ภายใต้ความเงียบพร้อมความรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด และเขาก็ตกอยู่ในความรู้สึกเคลิ้มสบายจนไม่ได้สนใจว่าเธอกำลังดึงแขนเสื้อของเขาขึ้น

    แต่เสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของเธอทำให้เขาต้องมองกลับไปที่เธออีกครั้ง ดวงตาของเธอดูตระหนกและเขาก็แทบอยากจะละลายหายไปจากที่นี่ หายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่มาก่อน เมื่อมองตามสายตาแล้วพบว่าเธอกำลังใช้มือที่สั่นเทาจับอยู่บนเครื่องหมายบ้านั่น

    ไม่ ไม่ ไม่...

    เขาไม่อยากให้เธอเห็นมัน...มันไม่ถูกต้อง เธอบริสุทธิ์เกินกว่าจะสัมผัสมัน แค่เพียงเห็นมันก็อาจจะสร้างมลทินให้เธอได้แล้วด้วยซ้ำ ซัลลาซาร์ฆ่าเขาเถอะ เขาไม่ต้องการแบบนี้ เขาไม่ต้องการให้เธอใกล้มันแม้แต่นิดเดียว เขาจึงพยายามจะดึงแขนออกแต่เธอยังคงจับเขาไว้แน่น ไม่ให้ขยับไปไหน

    เฮอร์ไมโอนี่เฝ้ามองตรานั่นอย่างละเอียดด้วยความที่ไม่เคยเห็นมันใกล้ขนาดนี้ เธอได้อ่านตำราเกี่ยวกับโวเดอมอร์และเวทมนตร์ของเขามานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะมอร์สมอร์เดรกับสัญลักษณ์ของผู้เสพความตาย แต่มันมีบางอย่างที่แปลกไปสำหรับตรามารบนแขนของมัลฟอย สัญลักษณ์รูปกระโหลกและงูยังคงนูนขึ้นซ้ำยังช้ำแดง ซึ่งเมื่อเทียบกับเวลาที่ดัมเบิลดอร์เสียชีวิตไปมันก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่ 6 แล้ว ในความเป็นจริงรอยแผลแบบนี้ควรจะสมานกันดี เว้นแต่ว่า...

    “เดี๋ยวนะ” เธอกระซิบส่งเดชขณะที่โน้มตัวใกล้ขึ้นอีก ใกล้เสียจนลมหายใจเริ่มรินรดบนท่อนแขนแกร่จนทำให้เจ้าของแขนสั่นไหวอยู่ภายใน เขาเฝ้ามองดวงตาของเธอที่กำลังสำรวจอย่างตั้งใจและเผลอกลั้นหายใจเมื่อเธอเริ่มเปิดปากพูด “นายไม่เต็มใจ”

    เขาเกือบจะสำลัก “อะไร ?”

    “นายไม่เต็มใจ” เธอซ้ำคำแล้วเชิดหน้าขึ้นมองเขา “ไม่ใกล้เคียงเลย”

    “นี่เธอกำลังพูด – ”

    “ร่างกายของนายปฏิเสธมันเพราะนายไม่ต้องการมัน” เธออธิบายแล้วชี้ไปบนรอยอักเสบของผิวหนังรอบ ๆ ตราสัญลักษณ์ “มันควรจะหายดีแล้วถ้านายยินยอมและเชื่องขนาดนั้น”

    เดรโกไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง เพราะในที่สุดแล้วข้อสันนิษฐานของเธอก็ ใช่ ถูกต้องอีกแล้ว ระหว่างพิธีกรรมเขามีความกังวลหลายอย่างและสุดท้ายคืนวันนั้นก็กลายมาเป็นเหมือนตราบาปของเขาเรื่อยมา เขาถูกยุมากเกินไปให้แก้แค้นเรื่องที่พ่อของเขาถูกกุมขัง แต่เมื่อเขาก้าวออกจากร้านเบอร์เจนและเบิร์กส์ เขาก็พบว่ามีเพียงความเจ็บปวดที่คงเหลือเอาไว้พร้อมกับร่องรอยน่ารังเกียจนี่ มันได้อะไรกับการยอมรับตรามารมาน่ะเหรอ ?  ก็มีแค่คืนวันที่รวดร้าว ประสาทแดกในห้องน้ำพรีเฟ็ค และการหลบซ่อนตลอด 6 เดือนที่โคตรอัปยศ

    เขารู้ดี เขายอมรับมาตั้งนานแล้วว่านี่คือเรื่องผิดพลาดที่อัปยศที่สุดในชีวิตของเขา แต่เขาไม่ได้อยากให้เธอรู้

    “เธอจะไปรู้อะไร ?” เขาเอ่ยท้าทายอยากถากถางแล้วดึงแขนกลับมาดึงเสื้อปิดเอาไว้ “ขอเดานะ คงลอกมากจากหนังสือเล่มไหนสักเล่มล่ะสิ เธอควรจะรู้นะว่าทุกอย่างในหนังสือไม่ได้เชื่อได้ไปเสียหมด – ”

    “ฉันรู้ว่านายไม่ได้เลือก มัลฟอย” เธอแย้งด้วยน้ำเสียงสงบที่ทำให้เขาไม่พอใจหนักขึ้น “และความเป็นจริงฉันไม่จำเป็นต้องดูเอาจากรอยตราของนายด้วยซ้ำ – ”

    “ช่วยเก็บปรัชญางี่เง่าอะไรนั่นเอาไว้กับตัวทีเถอะ เกรนเจอร์” เขาตวาด แต่ก็ไม่อาจกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้ที่ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวได้

    “นายเป็นอะไรไหม ?” เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปหา “ไหน ขอดู – ”

    “อย่ามายุ่ง!” เขาแหวแล้วพยายามลุกขึ้นจากโซฟาแต่ทว่าร่างกายกลับไม่เห็นด้วย “แม่ง – ”

    “มันเป็นเวทมนตร์นะ” เธอถอนหายใจแล้วขยับเข้าไปอีกหน่อย อาจจะใกล้เกินไปเสียทีเดียวซ้ำ “ให้ฉันรักษาให้เสร็จก่อน – ”

    “ไม่ต้อง”

    “จะไม่แตะตรานั่นแล้ว” เธอเสนอพลางยกไหล่ยอม “สาบาน จะไม่พูดถึงมันด้วย และอย่างที่บอกว่าอะไรที่เกิดขึ้นที่นี่จะรู้แค่เราสองคน”

    ถ้าไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ยังแล่นอยู่ใต้ผิวหนังแล้วคำถากถางอีกมากมายก็คงหลุดออกมา เดรโกมองเธออย่างชั่งใจก่อนจะค่อย ๆ ส่งแขนให้อีกครั้ง พยายามควบคุมใบหน้าไม่ให้แสดงออกมากจนเกินไปเธอจะได้ไม่คิดเอาเองว่าเขากำลังโอเคกับสถานการณ์ตอนนี้ นิ้วของเธอสัมผัสลงบนตัวเขาอีกครั้ง และเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆ ครั้งนี้เธอแสดงออกต่างออกไป มือเล็กดึงแขนเสื้อของเขาขึ้นแล้วพยายามจะไม่มองไปยังรอยสีดำบนนั้น

    หญิงสาวเม้มริมฝีปากและพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจตรามารตรงหน้าที่พยายามจะดึงสายตาเธอเหมือนกัน เธอหลับตาลงวูบหนึ่งพลางสูดหายใจลึก เธอได้กลิ่นของเขา มันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่กลิ่นของแอปเปิ้ลอีกต่อไปแต่กลับเป็นกลิ่นของชายหนุ่ม ที่เจือด้วยกลิ่นหนังสือใหม่ที่เธอมักจะหลงใหลอยู่เสมอ มีปลายของมิ้นต์จากสบู่อาบน้ำ มันผสานกันได้เป็นอย่างดีกับกลิ่นอบอุ่นและร้อนแรงของเขา โดยรวมแล้วมันเป็นกลิ่นที่ดี...

    “โอเค” เธอพึมพำด้วยลมหายใจที่ติดขัดขณะที่ลดไม้กายสิทธิ์ลงแล้วปล่อยแขนเขา “น่าจะเรียบร้อยดีแล้ว”

    “ดี” เขาหายใจ รู้สึกว่าอยู่ดี ๆ แขนของเขาก็เย็นเยียบเมื่อไร้สัมผัสจากเธอ

    “รู้สึกยังไงบ้าง ?” เธอถามพลางทัดผมเอาไว้ข้างหู “ยังมึน ๆ  หรือ – ”

    “ไม่” เขาโกหกเสียงแปร่ง เชิญทุบตีตัวเองด้วยเศษซากอัตตาที่เหลืออยู่บ้างให้พอ เขาคิดวุ่นวายกับตัวเองแล้วลุกขึ้นจากโซฟา พยายามเป็นอย่างมากที่จะเคลื่อนไหวอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้สูญเสียอัตตาที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมาไป และขณะที่กำลังจะถึงห้องเสียงของเกรนเจอร์ก็ดังขึ้นรั้งเขาเอาไว้ เมอร์ลินช่วยทำให้เธอเลิกยุ่งกับเขาเสียที

    “มัลฟอย” เธอเรียกด้วยน้ำเสียงกังวล “คือฉัน...ฉันขอถามอะไรสักอย่างก่อนนายจะไปได้ไหม ?”

    เขาสะกดความสงสัยเอาไว้ไม่ได้จึงทำได้เพียงหันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านพร้อมกับอิงไหล่กับผนังเอาไว้ “ให้เร็ว”

    “คือ” เธอดูลังเล “จำตอนแรกที่นายมาที่นี่ได้ไหมแล้วนายถามฉันว่าฉันคิดยังไงกับนาย แล้วฉันก็บอกว่า – ”

    “เธอพูดออกมามากมายว่าเกลียดฉันแค่ไหน” เขาพูดอย่างหมดความอดทนพลางกลอกตา “ใช่ไหม ?”

    “แต่คือ...ฉันเพิ่งจะพูดไปเมื่อกี้ว่าฉันไม่ได้เกลียดนาย” เธอพูดต่อท่าทางกระสับกระส่าย “คำว่าเกลียดมันค่อนข้าง – ”

    “แม่ง” เขาขบกราม “แบบทดสอบความจำที่ดูไร้สาระมันยังดูมีสาระมากกว่าเธอตอนนี้เลยเกรนเจอร์ เข้าประเด็นสักที!

    “ตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับฉันเหรอ ?” เธอโพล่งถามแล้วหลบสายตา “หมายถึง...ยังเกลียดกันอยู่ไหม ?”

    ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววของความสับสนและปั่นป่วนซึ่งทำให้เธอรู้สึกงี่เง่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก คำถามของเธอเป็นเหมือนเสียงเตือนอยู่ในหูที่กวนเอาความทรงจำที่เขาเสพติดเสียงอาบน้ำของเธอกลับขึ้นมา และบทสนทนาน่าสนใจมากมายที่พวกเขาได้พูดคุยกัน ถามว่าเกลียดไหมเหรอ ? ก็ใช่ แต่ไม่ใช่แบบนั้น เขาเกลียดที่เธอกำลังทำให้เขาสับสนและปั่นป่วนภาพจำที่เขาเคยมีต่อเธอ เขาเกลียดเธอเพราะบางทีก็ทำให้เขารู้สึกก้ำกึ่งว่าจะรับความเป็นเธอได้ แต่ที่เกลียดที่สุดคือเธอทำให้เขาคิด ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง

    “ฉันเกลียดเธอไหม ?” เขาถามซ้ำอย่างถือดี “คำตอบคือมากขึ้น มากขึ้นทุกวัน”

    เขาไม่รอปฏิกิริยาตอบกลับแล้วเดินเข้าห้องไป โชคดีที่ทิ้งตัวลงบนเตียงได้ก่อนที่กล้ามเนื้อจะบอกว่ายอมแพ้ เดรโกยกมือขึ้นมามองดูผลงานอันน่าทึ่งของเกรนเจอร์อีกรอบ เป็นอีกครั้งที่เธอทำได้ดี ผิวหนังของเขากลับมาเป็นสีนวลที่ไม่มีรอยขีดข่วนอีกครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ภายในฝ่ามือและข้อมืออยู่ดี

    มันไม่ใช่เพราะคาถาของมักกอนากัลแต่มันดูเหมือน... เหมือนว่าจะเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จากการสัมผัสของเกรนเจอร์

    มันเป็นความคิดที่น่าตลกและอันตรายไปพร้อม ๆกัน เขากำมือแน่นแล้วทุบลงบนเตียงนอนด้วยความหงุดหงิด

    นี่มันผิดนะ ทั้ง ๆ ที่นี่เคยเป็นสิ่งที่เขาเกลียดนักหนา แต่เธอกำลังทำตัวเหมือนเป็นไวรัสที่กำลังจะกลืนกินเขาทีละนิดในแต่ละวัน เขาทบทวนความคิดของเขา เฝ้าถามว่าอะไรบ้างที่เธอล่วงล้ำเข้ามา อย่างแรกคือกลิ่นที่ตามติดมาด้วยเสียงอาบน้ำ แล้วก็สายตาของเขาที่ไม่ได้มองเธอเป็นมักเกิ้ลน่ารังเกียจอย่างที่ควรจะเป็น และตอนนี้ก็ยังมีเรื่องของสัมผัส เขาสัมผัสเธอได้ สัมผัสของเธอบนผิวของเขาและความเป็นเธอที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายในตัวของเขาตั้งแต่วันนั้นในห้องน้ำ

    สี่อย่างแล้วที่เธอล่วงเข้ามา กลิ่น เสียง ภาพ และสัมผัส แล้วอย่างที่ห้าล่ะ ?

    อ้อใช่ รสชาติ

     

    tbc
    ช่วงนี้กำลังพยายามกลับมาจริงจังกับการแปลเรื่องนี้ ยังไงรบกวนเม้นให้หน่อยนะคะ
    คอมเม้นเป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับเราจริง ๆ 
    ขอบคุณค่ะ

    รักนะคะ
    โมนิค
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×