คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 8 : Touch [100%]
เฮอร์ไมโอนี่ยังไม่อาจข่มตานอนได้
จินนี่ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะสามารถทำใจให้สงบลง
และเฮอร์ไมโอนี่ก็ทำได้เพียงค่อย ๆ ลูบเส้นผมสีแดงไปจนกระทั่งเธอผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
เธอรู้ว่ามอลลี่ก็คงจะปลอบลูกสาวด้วยวิธีการคล้ายกันนี้และหลังจากนั้นเกือบทั้งคืนภายในหัวก็มีเรื่องราวของพ่อแม่ของตัวเองวนไปมา
นี่เธอคิดถึงพวกเขามากขนาดไหนกันนะ
จากนั้นสมองก็ลากพาความคิดของเธอไปคิดเรื่องของแฮร์รี่
เรื่องของรอนและท้ายที่สุดคือเรื่องของมัลฟอย
เธออยากจะปฏิเสธว่าเป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดี ๆ
จะไปคิดถึงแขกไม่ได้รับเชิญแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าคิดอยู่ดีโดยเฉพาะหลัง
ๆ มานี้ที่เขาแทรกซึมเข้ามาในความคิดทีละน้อย ถึงจะยังเป็นคนยโส ช่างอคติ
แถมยังเต็มไปด้วยส่วนผสมมากมายที่เธอไม่ชอบใจนัก แต่ต้องยอมรับว่ามัลฟอยดูรับได้มากกว่าที่ผ่านมา
เธอพบว่าตัวเอง – แน่นอนว่าบังเอิญ – ออกจากหอเพื่อไปห้องสมุดช้ากว่าที่เคยเพียงเพื่อจะรอดูว่าเขาจะออกจากห้องตอนไหน
ออกจะดูเป็นจุดประสงค์ที่งี่เง่าไปหน่อย แน่ล่ะ
แต่ก็เพราะศาสตราจารย์บอกให้เธอจับตาดูเขาเอาไว้และเธอก็แค่รู้สึกว่าการเฝ้ามองพัฒนาของเล็ก
ๆ น้อย ๆ ของเขามันดึงดูดความสนใจของเธอได้อย่างน่าประหลาด
อีกอย่าง มันก็รู้สึกดีที่ได้เห็นการมีอยู่ของมนุษย์เพศชายอีกรอบ
ถึงแม้ว่าจะเป็นการบังคับมาและรู้สึกว่าเขาน่ารำคาญบ้างก็เถอะ
แต่ถึงอย่างนั้นการได้เห็นว่าเขาพยายามจะปรับตัวเข้ากับสิ่งรอบข้างยังไงก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก
และเธอก็แอบลองทดสอบอะไรบางอย่างกับตัวเองด้วยการพยายามโน้มน้าวให้เขาทำนู่นทำนี่เท่าที่เธอจะสามารถทำได้
เฮอร์ไมโอนี่ค่อนข้างที่จะ
และอันที่จริงต้องบอกว่ามั่นใจอยู่พอตัวว่าจะสามารถลดอคติของเขาลงได้
แล้วหลังจากนั้นเขาจะได้ไม่ทรมานที่จะอยู่มากเท่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้
แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาอาจจะไม่เป็นแบบนั้น
นิสัยมองโลกในแง่ดีอย่างกริฟฟินดอร์ของเธอมักจะนำความผิดหวังมาให้เธอเสมอ
ซึ่งมันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะหยุดพยายามอยู่ดี
เธอแค่อยากจะลบคำว่าเลือดสีโคลนของจากพจนานุกรมของเขาให้ได้สักที
นาฬิกาบอกเวลาหกโมงครึ่งแล้วและเธอยังไม่ได้พักผ่อนเสียทีนั่นทำให้ในหัวเริ่มมีความรู้สึกประหลาด
เฮอร์ไมโอนี่เช็คดูอีกทีว่าจินนี่หลับดีแล้วหรือยังก่อนจะใช้แขนเสื้อยาว ๆ
ซับน้ำตาบนใบหน้าของหญิงสาวออก
เธอขยับตัวอย่างเชื่องช้าระวังไม่ให้คนที่อยู่ในนิทราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก
เรียวขายาวก้าวไปยังโต๊ะเขียนหนังสือของจินนี่แล้วเขียนโน้ตสั้น ๆ ขอโทษที่ต้องออกไปก่อนและอธิบายเพิ่มว่าเธอต้องการการพักผ่อน
เธอเหลือบมองสาวผมแดงด้วยสีหน้าอาทรก่อนจะพาตัวเองออกจากห้องอย่างเงียบเชียบ
เฮอร์ไมโอนี่เดินลงมายังระเบียงทางเดินที่เปลี่ยวว้าง
แม้ว่าระยะทางที่จะนำเธอไปถึงหอนอนจะไม่ได้ไกลมากนัก แต่ด้วยจังหวะการเดินและห้วงความคิดที่รั้งเธอเอาไว้จึงทำให้เธอใช้เวลาพอสมควร
เธอมองไปรอบ ๆ พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่เกิดขึ้นภายใน
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฮอกวอตส์ดูไร้ชีวิตชีวามากถึงขนาดนี้
เธอมองไปยังโถงที่ยังคงถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยความมืดของเช้าในฤดูหนาว
มันดูเงียบเหงามากขึ้นเมื่อไร้สัญญาณของสิ่งมีชีวิตด้วยเพราะเป็นเช้าวันเสาร์ที่ยากจะมีใครสักคนตื่นขึ้นมา
เฮอร์ไมโอนี่ทอดถอนหายใจเมื่อคิดว่าเธอเคยรักบรรยากาศอันอบอุ่นของผู้คนที่ขวักไขว่มากแค่ไหน
ยิ่งเมื่อเทียบกับตอนนี้ที่ทั้งอึมครึมและชืดชาก็อดคิดไม่ได้ว่าทั้งปราสาทกำลังดูคล้ายกับสุสานเข้าไปทุกที
คงเป็นการเปรียบเปรยที่น่าขนลุกไปเสียหน่อย...แต่มันก็เป็นสิ่งที่คอยเตือนเธอว่าขณะนี้มันน่าหดหู่มากเพียงใด
วันจันทร์ที่จะถึงนี้ตรงกับวันที่ 1 พฤศจิกายน จากไปของดัมเบิลดอร์ผ่านไปอีกเดือนแล้ว
เป็นเวลาครึ่งปีที่เธอยังคงจมปลักอยู่อย่างนั้น
เธอทอดหายใจด้วยความรู้สึกยากลำบากพลางกระซิบรหัสผ่านกับสิงโตผู้หยิ่งผยองที่ประตู
แต่แทนที่ประตูจะเปิดออกกว้างมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะที่เธอพยายามจะผลักประตูเข้าไป
แต่ก็ต้องพบว่ามันมีแรงต้านจากอีกฝั่ง เธอค่อย ๆ แทรกตัวผ่านบานประตูแล้วก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่ดูเหมือนผิวหนังมนุษย์ซึ่งทำให้เธอลงไปกองกับพื้นด้วยความตกใจ เฮอร์ไมโอนี่หอบหายใจขณะที่ปัดผมที่ปรกหน้าให้พ้นไป
ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเริ่มสังเกตได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคืออะไร
“พระเจ้า”
เธออุทานไร้เสียงแล้วลุกขึ้นคลานเข่าเข้าไปหาเขา “มัลฟอย? เดรโก!”
เขาดูเหมือนคนตาย เหมือนคนตายจริง ๆ
ผิวของเขาเปลี่ยนเป็นสีซีดคล้ำเหมือนซากศพซ้ำริมฝีปากยังขาดสีเลือดจนคล้ายจะเป็นสีเขียวคล้ำ
ดวงตาที่ปิดสนิททำให้ใบหน้าของเขาไม่มีอาการได้แสดงอยู่บนนั้น
เฮอร์ไมโอนี่ตกอยู่ในอาการตื่นตระหนักและความหวาดกลัวแล่นขึ้นมาจุกที่คอ
เธอใช้ฝ่ามือที่สั่นเทาคลำไปบนตัวเขาอย่างงุ่มง่าม เธอจับข้อมือของเขาขึ้นมาแล้วก็ต้องหน้ามุ่ยเมื่อมันเต็มไปด้วยแผลไฟไหม้และช้ำเลือดช้ำหนองไปทั้งฝ่ามือ
เธอเฝ้ามองเขาด้วยสีหน้ากังวลครู่หนึ่งก่อนที่เสียงโครมครามของหัวใจจะเริ่มสงบลง
เมื่อนิ้วของเขาเริ่มขยับและเริ่มจับสัญญาณชีพจรของเขาได้เล็กน้อยเธอก็ผ่อนลมหายใจออกมา
เมื่อความวิตกเบาลงเธอก็ต้องกลับมารู้สึกหงุดหงิดกับสิ่งที่เห็นต่อ
แค่เพียงเห็นฝ่ามือที่บิดเบี้ยวและตำแหน่งที่เขาล้มอยู่ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาพยายามจะหลบหนี
มัลฟอย อีตาบ้าเอ้ย...
ร่างเล็กคุกเข่าขึ้นข้างเขาพยายามจะดึงข้อมือขึ้นเขาขึ้น
แต่วินาทีนั้นสิ่งแปลกปลอมบนแก้มก็ทำให้เธอประหลาดใจ... นี่เธอร้องไห้เหรอ? เพราะแพนิคสินะ
แพนิคนั่นแหละ เอาไว้คิดอีกทีหลังจากที่เธอได้ฟาดไอ้หมอนี้ข้อหาทำตัวงี่เง่า
“วิงกาเดียม เลวิโอซา”
เฮอร์ไมโอนี่กระซิบคาถาเสียงแผ่วเมื่อเธอยืนขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว
เธอวาดไม้กายสิทธิ์ในอากาศเพื่อพาพ่อมดที่ไร้สติไปไว้ที่โซฟา
เธอเดินตามมาและกดไม้กายสิทธิ์ลงที่อกของเขากะว่าจะปลุกให้ตื่น
แต่เธอกลับลังเล
ดวงตากวางไล่มองใบหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วตระหนักได้ว่าเธอแทบจะไม่มีโอกาสได้มองเขาแบบนี้แน่
ๆ ในชีวิตประจำวัน การได้มองเขาใกล้ขนาดนี้ทำให้เธอเห็นเขาในมุมที่ปกติกว่าทั่วไป
ไม่มีร่องรอยของความโมโหหรือสีหน้ายุ่งยากใจอย่างที่เคยปรากฏอยู่เสมอ
แทบจะมองไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าผ่านความเจ็บปวดในชีวิตมามากมายแค่ไหน เขาที่กำลังหลับใหลดูผ่อนคลายและดูเหมือนจะตรึงสายตาของเธอเอาไว้นานกว่าที่เธอจะรู้ได้
เฮอร์ไมโอนี่เอื้อมมือออกไปปัดเส้นผมสีซีดดุจหิมะให้พ้นรำคาญ จากนั้นปลายนิ้วก็ค่อย
ๆ ละเลียดสัมผัสตั้งแต่คิ้วไปจนถึงโหนกแก้ม
ภายในใจของเธอกำลังรู้สึกแน่นหน่วงขณะที่เฝ้ามองใบหน้าของเขา
ก่อนจะพบว่าตัวเองรู้สึกละอายกับความคิดที่กำลังแล่นอยู่ในหัว
เขาช่างหล่อเหลาและดูดีแทบทุกระเบียดแต่การเลี้ยงดูกลับเป็นเบ้าหลอมที่ไม่ดีนัก
มันทั้งน่าเศร้าและน่าเสียดายระคนกัน
ขณะที่เธอกำลังไล้มือไปบนใบหน้าของเขาสีเลือดก็เริ่มฝาดขึ้นตาม
และเมื่อริมฝีปากของเขาเริ่มขึ้นสีก็ทำให้คนที่กำลังเผลอไผลอดใจไม่ได้ที่จะใช้นิ้วโป้งคลึงอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากล่าง
เขา...ให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าที่เธอคาดเอาไว้...
ฉับพลันเธอกลับสะบัดมือออกและมองจ้องเขม็งไปที่เขา
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอาการของโรคนอนไม่หลับแน่
มันกำลังปั่นสมองเธอและเริ่มต้อนให้ทำอะไรโง่ ๆ ที่ไม่สมควรแบบนี้
เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าไล่ความคิดแล้วสบถกับตัวเองเงียบ ๆ ก่อนจะชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่อกของเขาอีกครั้ง
เธอสูดลมหายใจเตรียมพร้อมสำหรับการรับอารมณ์ของมัลฟอยเมื่อเขาตื่นขึ้นมาและพบว่าเธอก้มอยู่ใกล้เขาขนาดนี้
“เอนเนอร์วาเต้!”
สิ้นเสียงร่ายคาถาร่างที่นอนนิ่งก็ผวาตื่นขึ้นพร้อมกับอ้าปากตะกองอากาศเข้าปอด
ดวงตาของเขาเบิกกว้างและอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงตามจังหวะการหายใจ
เขาไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามีหญิงสาวอยู่เคียงข้างด้วยเขาเพียงมองไปเบื้องหน้าเท่านั้น
เดรโกกระพริบตาถี่แล้วพยายามเรียกสติตัวเองกลับมา
“มัลฟอย!” เธอร้องเรียกชื่อของเขาแล้วจับแขนเอาไว้
“เดรโก ใจเย็น ๆ ทุกอย่างโอเคแล้ว”
เขาตวัดสายตามองจ้องมาที่เธอตามเสียงเรียกและในขณะนั้นเธอก็สังเกตได้ว่าจังหวะการหายใจของเขาเริ่มกลับสู่สภาวะปกติแล้ว
เฮอร์ไมโอนี่กำลังจะอ้าปากพูดแต่เดรโกกลับเอื้อมมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลออกมาโดยที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว
และในเสี้ยววินาทีนั้นเองฝ่ามือที่หนืดเหนียวไปด้วยเลือดก็แตะบนแก้มของคนตัวเล็กกว่า
มันทิ้งร่องรอยของเลือดเอาไว้
เฮอร์ไมโอนี่นั่งนิ่งพยายามจะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นส่วนเขามีท่าทางตะหนกกับฝ่ามือที่สั่นเทาบนแก้มของเธอ
ครู่เดียวมือแกร่งก็ค่อย ๆ
ตกลงพร้อมสายตาที่มองไปที่เธอด้วยความว่างเปล่า
เฮอร์ไมโอนี่ดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดก่อนหน้าแล้วเริ่มสำรวจร่างกายที่สั่นเทิ้มด้วยความวิตกของเขา
เงี่ยหูฟังเสียงขบกันของฟันที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
"มัลฟอย”
เธอสูดหายใจพยายามตั้งสติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ร่างกายของนายต้องการการรักษานะ
เข้าใจไหม ?”
เขาไม่แม้แต่จะพยายามจะฝืนแรงกระแทกของฟันเพื่อตอบและยังคงมองเธอด้วยดวงตาที่ไร้แวว
“เดี๋ยวจะไปเอาน้ำยานอนหลับมาให้ โอเคไหม ? เดี๋ยวจะรีบกลับมา”
เธอรีบรุดเข้าไปยังห้องนอนโดยไม่รอคำตอบก่อนจะเหวี่ยงเปิดตู้ออกแล้วเริ่มควานหาสิ่งที่ต้องการ
ในที่สุดหลอดน้ำยาขวดสีม่วงก็อยู่ในมือเธอ
เธอหันกลับไปหยิบผ้าห่มจากเตียงแล้วกำขวดน้ำยาวิ่งออกไปหาเขา
สภาพของเขาตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เธอวางผ้าห่มลงและย่อตัวลงข้างเขา อีกมือหนึ่งรีบดึงจุกยาออกแล้วจ่อไปที่ริมฝีปาก
“ด – เดรโก” เธอพึมพำเรียกด้วยความวิตก “อยู่นิ่ง
ๆ หน่อยได้ไหมฉันจะได้เอายาให้นายได้”
ไม่มีการตอบรับและเขาก็ยังคงตัวสั่นมากขึ้น
เธอนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ประคองแก้มของเขาเอาไว้แล้วให้นิ้วโป้งออกแรงบีบ
“มันจะไม่เป็นไร” เธอพึมพำด้วยน้ำเสียงที่ออกจะขัดกับท่าทางอ่อนโยนของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่พยายามกัดฟันทนกับความเจ็บปวดเมื่อนิ้วหัวแม่มืดเริ่มแทรกผ่านฟันที่ขบกันแน่นเพื่อที่จะได้กรอกยาให้ผ่านเข้าไปได้
เพียงไม่นานหลอดน้ำยาก็ว่างเปล่า
เธอโยนมันไปด้านหลังและใช้มือวางลงบนริมฝีปากของเขา พยายามใช้นิ้วนวดใบหน้าของเขาไปมาหวังให้คนที่กำลังจะขาดสติกลืนยาลงไป
หลังจากนั้นไม่ถึงยี่สิบวินาทีเขาก็ค่อย ๆ อ่อนลงแม้ว่าจะยังคงสั่นอยู่บ้างก็ตาม
เธอดึงผ้าห่มคลุมให้เขาและทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมอร์ลิน
เธอเกือบจะตาย...เกือบจะตายเพราะเขา...แต่สุดท้ายก็ทำทุกอย่างเท่าที่ควรทำแล้ว
เธอลอบมองเขาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาหลับสนิทดีแล้วจึงพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคงนัก
ความเหนื่อยล้าโถมทับเธอเอาไว้เสียจนทุกอย่างดูยากไปหมด ร่างเล็กค่อย ๆ
ลากตัวเองตรงไปยังห้องน้ำแล้วอิงตัวเองเข้ากับอ่างล้างหน้าพยายามรวบรวมสติ
แต่สิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกกลับทำให้เธอหายใจติดขัด
นั่นเอง
รอยฝ่ามือสีแดงคล้ำปรากฏเป็นรอยหนาอยู่บนแก้มมันดูดึงดูดอย่างประหลาดซ้ำยังมีร่องรอยของความอบอุ่นกรุ่นอยู่
เธอมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดก๊อกน้ำและเริ่มล้างเลือดของเขาออกพร้อมความรู้สึกประหลาดที่เต้นอยู่ภายในอก
เฮอร์ไมโอนี่มองตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วจึงพาตัวเองตรงกลับไปยังห้องนอน
เธอจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดและกางเกงนอนโดยไม่ลืมเหน็บไม้กายสิทธิ์ไว้ในกระเป๋า
พอเห็นว่าเตียงน่านอนแค่ไหนก็แทบจะร้องไห้ออกมา
ให้ตายก็อดริกคงรู้ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจหยิบผ้าห่มอีกผืนแล้วตรงกลับไปยังห้องนั่งเล่น
เธอหย่อนตัวเองลงแล้วซุกตัวเองในผ้าห่ม
ดวงตาที่หนักไปด้วยความง่วงงุนเฝ้ามองชายหนุ่มที่นอนอยู่อีกฝั่งของโซฟา
และเป็นอีกครั้งที่เขาดูต่างออกไปแต่ครั้งนี้เธอกลับไปคิดว่ามันเกี่ยวกับใบหน้าสงบของเขา
มันมีบางอย่างเปลี่ยนไป
แต่เธอยังไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่
-
เสียงของนักเรียนที่จอแจอยู่ด้านนอกทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ดวงตากลมเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าเกือบจะเที่ยงวันแล้ว
แปลว่าเธอเพิ่งจะหลับไปร่วมห้าชั่วโมงอย่างน่ามหัศจรรย์
รู้สึกว่านี่จะเป็นการพักผ่อนต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดในช่วงนี้เลย
และดูเหมือนว่าอีกไม่นานมัลฟอยก็คงจะตื่นขึ้นมาเหมือนกันถ้าเทียบจากขนาดยาที่เธอให้เขาไป
ขณะที่ใช้ตาปรือ ๆ มองไปที่เขา
ในหัวก็มีภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหมุนวนกลับมาเข้ามในหัว มันดูเหมือนความจริงแต่ก็กึ่งจะเป็นเหมือนความฝันที่เลือนรางในที
เธอยังคงเฝ้ามองเขาอยู่แบบนั้นเพื่อรอสัญญาณของการมีชีวิตและเธอคงจะเฝ้ามองอยู่อย่างนั้นเป็นหลักนาทีหรือไม่ก็หลักชั่วโมงถ้าหากเขาไม่ค่อย
ๆ ปรือตาขึ้น
ครึ่งหนึ่งเธอหวังให้เขาไม่ทันสังเกตเธอ
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะเป็นหนึ่งในสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่สุดในชีวิตเธอทีเดียว
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้หลับตาลงและทำทีว่าหลับ
เขาก็ผงกหัวขึ้นแล้ววินาทีนั้นสายตาทั้งสองคู่ก็ตรึงเข้าหากัน
เฮอร์ไมโอนี่ไม่คิดว่าจะมีมากไปกว่าอาการโมโหและท่าทีที่ทำให้ลำบากใจ
แต่ทั้งหมดเท่าที่เธอสังเกตได้ภายในดวงตาคู่นั้น มีเพียงร่องรอยของความขุ่นหมองและอาดูรจนรู้สึกเหมือนมีเมฆฝนก่ออยู่ภายใน
ความเงียบเข้ายึดครองทุกตารางนิ้วระหว่างพวกเขาโดยมีเพียงสายตาที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน
และเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ก็ดันอยากทำงานขึ้นมาเสียก่อนที่เธอจะสั่งการ
“เป็นยังไงบ้าง”
เขาหลบสายตา ก็อย่างที่เธอคิด
เธอไม่ได้หวังว่าเขาจะตอบหรอก
“อย่างเละ” เขาพึมพำ น้ำเสียงแหบลงกว่าปกติ
หญิงสาวเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิดขณะที่เจ้าตัวค่อย
ๆ พยุงตัวเองเพื่อเปลี่ยนขึ้นมานั่ง
ดูเหมือนเขาจะยังขยับตัวได้ลำบากอยู่ดูจากท่าทางและสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก
เขาชันเข่าขึ้นขณะที่หลับตาลงยกมือข้างหนึ่งขึ้นแล้วใช้ก้านนิ้วค่อย ๆ นวดขมับ
เธอสังเกตได้ว่ามืออีกข้างยังถูกซ่อนเอาไว้ใต้ผ้าห่ม
เฮอร์ไมโอนี่ขบริมฝีปากขณะที่พาตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาโดยใช้ผ้าห่มคลุมไหล่เอาไว้
นี่เธอจะทำอะไร ?
เธอนั่งลงบนพื้นข้างโซฟาของเขา จริง ๆ
มันก็เป็นความคิดที่แปลกมากสำหรับการมานั่งใกล้ ๆ เท้าของเขาแบบนี้ และถ้าหากจะโดนเขาโวยวายใส่ก็คงไม่แปลกเพราะเอาจริงตัวเธอเองก็หาเหตุผลให้กับสิ่งที่ทำอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
แต่แปลกกว่าที่เดรโกไม่ได้ขยับหนี
นี่จึงนับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เธอเคยเอาตัวเองเข้าไป
แล้วพอเริ่มทบทวนถึงช่วงชีวิต 6 ปีหลังของเธอนี้ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะแปลกอย่างมีนัยยะสำคัญ
“นายคิดอะไรอยู่ ?”
เธอเปิดปากพูดขึ้นก่อนและก็ต้องขมวดคิ้วออกมาเมื่อเขายังคงก้มหน้างุด “รู้ไหมว่าเวทมนตร์อาณาเขตมันอันตรายแค่ไหน
นายอาจจะตายได้นะ มัลฟอย – ”
“เธอไม่กลับมา” เขาพูดขัดเสียงแผ่ว
อะไรเนี่ –
“อะไรนะ” เธอสูดหายใจแล้วมองหน้าเขาเพื่อหาคำตอบ “นายกำลังหมาย
– ”
“เธอไม่กลับมา”
เขาพูดซ้ำและในที่สุดก็เหลือบตามองเธอ “เมื่อคืนนี้”
“ฉัน...ฉันไม่รู้ว่า – ”
“ไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่” เขาขัดให้เธอเงียบ
น้ำเสียงของเขาขึงขังแต่ยังคงสงบนิ่ง “ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ ฉันแม่ง – ”
“ศาสตราจารย์รู้ว่านายอยู่ที่นี่”
เฮอร์ไมโอนี่แจง เสียงของเธอฟังดูใจเย็นเพราะเธอต้องการทำให้เขาสบายใจขึ้นและเดรโกก็อยู่ในความสับสนเกินกว่าจะรู้สึกรังเกียจมัน
นอกจากเดรโกจะพยายามไม่สนใจมันมากแล้ว
บางอย่างที่เป็นเกรนเจอร์และการได้อยู่ใกล้เธอก็เป็นเครื่องมือบางอย่างในการปลอบประโลมจิตวิญญาณลึก
ๆ ของเขา ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้เขาจึงไม่ว่าอะไรที่เธอจะทำแบบนั้น
เขายังไม่อยากให้เธอจากไปไหน หมายถึงในตอนนี้น่ะนะ
แต่เขาลืมเรื่องยายแก่นั่นไปได้ยังไง ?
มันเป็นความผิดของนังวัวเฒ่านั่นแต่แรกที่ทำให้เขาถูกขังไว้ที่นี่
“แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับยายนั่นล่ะ ?”
เขาถามด้วยอารมณ์กรุ่น “ฉันไม่เน่าตายอยู่ที่นี่จนกว่าพวกเด็กปีสามหน้าโง่สักคนจะได้กลิ่นเหม็นเน่าหรือไง”
“เดรโก” เธอสะดุ้งกับคำพูดที่ดูขมขื่นของเขา “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับศาสตราจารย์
คาถาอาณาเขตก็จะเสื่อมลงและนายก็จะสามารถออกไปได้”
เขากระพริบตา
เชี่ย
นี่เขาไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อนและตอนนี้รู้สึกตัวเองโง่บรมที่พยายามจะหนีออกไปด้วยวิธีงี่เง่าแบบนั้น
เขาตวัดสายตาออกจากเธอแล้วเริ่มสมเพชตัวเองที่เป็นแบบนี้
ถ้าที่เคยคิดว่าเรื่องที่พอตเตอร์มาเจอเขาในห้องน้ำเมื่อปีกลายเป็นเรื่องอัปยศที่สุดแล้วล่ะก็
ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีผู้เข้าชิงใหม่แล้ว
แต่ว่า...
แต่ว่าเธอไม่เหมือนกับพอตเตอร์
ไอ้เด็กอมตะนั่นก็แค่ชอบสอดไปเรื่อยอย่างที่มันชอบทำมาลอด แต่กลับเธอมันต่างไป
เธอแค่เป็นห่วงเขาอย่างซื่อตรงจริง ๆ
เขาจมอยู่กับความคิดที่เริ่มไล่ต้อนเขาแถมยังต้องต่อสู้กับสัญชาตญาณที่บอกให้เขาผลักเธออกไปให้พ้น
แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้ทำ ซ้ำยังพยายามจะมองหน้ารูปหัวใจนั้นเพื่อจับร่องรอยคำโกหกให้เจอแต่ปรากฏว่าสิ่งที่เดียวเห็นมีเพียงความจริงใจที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้
“เธอช่วยฉันทำไม ?” เขาถาม ดวงตาหรี่ลงอย่างสงสัย
“เธอนายต้องการมัน” เธอยักไหล่ตอบ สำหรับเธอมันก็แค่นั้น
“อาณาเขตมันอันตรายมากนะ และนาย – ”
“เธอเกลียดฉัน” เขาพูดเสียงลอดไรฟัน “เราต่างจงเกลียดจงชังกันเกรนเจอร์
แล้วแม่งมันเรื่องบ้าอะไร – ”
“ฉันไม่...เอ่อ ฉันไม่คิดว่าฉันจะเกลียดนาย...จริง
ๆ” เธอพูดขัดน้ำเสียงติดอ่างอย่างขัดเขิน
ทำให้เสียงของเดรโกคล้ายจะถูกดูดหายลงคอไป “คำว่าเกลียดเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก
แต่ฉันไม่เคยอยากให้นายต้องเจอกับอะไรร้าย ๆ เลย – ”
“ไม่เคยงั้นเหรอ ?” เขาคำรามในคออย่างถากถาง
“ไม่เคยเลย” เธอยืนยันด้วยความหนักแน่น “และก็อยากให้นายคิดเหมือนกันนะ”
เดรโกพ่นลมหายใจซึ่งเธอคงจะหูหนวกแน่ถ้าหากไม่ได้ยิน
ความทรงจำตอนควิดดิชเวิลด์คัพแล่นผ่านเข้ามาในสมองเขาอีกครั้ง
เขาจำได้ว่าเคยเตือนพอตเตอร์ให้เอาเธอออกจากความวุ่นวาย ตอนนั้นมันออกจะเป็นอะไรที่เกิดขึ้นเพื่อทำให้เขาสุ่มตั้งคำถามกับมันมาตลอดสัปดาห์หลังจากนั้น
และมันก็ยังคงเป็นความจริงตลอดมาว่าเขาอยากให้เธอปลอดภัยซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
“ขอดูมือหน่อยได้ไหม” เสียงของเกรนเจอร์ทำให้เขากลับมาสู่สถานการณ์ปัจจุบัน
“เมื่อเช้ามันดูไม่ดีเลย – ”
“ไม่เป็นไร – ”
“ไม่ มันเป็นไร”
เธอตัดบทแล้วจ้องด้วยสายตาเคร่งขรึมขณะยื่นมือออกไป “เอามาดู
ไม่งั้นฉันจะสาปให้นายเป็นหินแน่ อย่าทำให้มันยากนักนายไม่อยากจบเรื่องนี้เร็ว ๆ
หรือไง”
เดรโกแค่นหัวเราะและเดาะลิ้น “อย่าไปบอกใครแล้วกัน
เกรนเจอร์”
“ต่อให้อยากพูดก็ไม่พูดหรอก มัลฟอย” เธอว่า “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะมีแค่ฉันกับนายที่รู้”
คำพูดของสาวผมน้ำตาลทำให้เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมาถนัดก่อนเขาจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นขณะที่ยื่นมือให้เธอ
เฮอร์ไมโอนี่ให้สองมือประคองฝ่ามือของเขาเอาไว้และเมื่อเห็นมือตัวเองเต็มตาก็อดหน้าบู้บี้ไม่ได้
เพราะมันดูแย่กว่าที่เขาคิดเอาไว้ มันมีรอยบากเป็นแผลพุพองขนาดใหญ่ผ่านตรงกลางแถมยังมีรอยเลือดกรัง
ๆ อยู่เกือบทั้งมือ บางจุดก็ยังมีเลือดไหลซึมอยู่
บางจุดผิวหนังก็พับย่นเหมือนกลีบดอกไม้หน้าตาพิลึก ทั่วทั้งฝ่ามือมีรอยแดงเป็นเส้นเหมือนรากร่างอยู่ตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงข้อมือ
เดรโกยังรู้สึกถึงพลังของคาถาที่อยู่ภายในเนื้อหนังของเขาและความแสบร้อนของมันก็ยังคงแผดเผาทรมาณเขาอยู่ไม่จาง
เขาละสายตาจากมือแล้วมองไปที่เกรนเจอร์ คิดว่าเธอคงจะดูกระอักกระอ่วนเจียนอ้วกอะไรทำนองนั้น
แต่สิ่งที่เห็นเธอเพียงแต่ขบริมฝีปากแล้วใช้ดวงตาสีเฮเซลเฝ้ามองความเสียหายที่เกิดขึ้น
เขาอยากจะละสายตาจากเธอเพื่อไม่ให้สมองของเขาปั่นป่วนไปมากกว่านี้
เธอดูสนอกสนใจเขาเหลือเกิน เป็นอีกครั้งแล้วที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
จับมือกัน มีกลิ่นเลือดคลุ้งระหว่างกัน
เหมือนกับครั้งนั้นที่เขานอนอยู่บนเตียงหลังจากเกิดเรื่องในห้องน้ำ
“อาจจะใช้เวลานิดนึงนะ”
เธอพึมพำบอกแล้วดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาโบกบนแผล “เจ็บไหม ?”
“ไม่”
เขาโกหกขณะที่กัดฟันมองแสงสีทองที่ปลายไม้กายสิทธิ์ “รีบ ๆ เข้าเถอะเกรนเจอร์”
เธอเลียริมฝีปากขณะที่พยายามร่ายคาถารักษา
เริ่มจากปลายนิ้วเรื่อยไปจนถึงรอยแผลฉกรรจ์ เดรโกพยายามจะไม่สนใจความรู้สึกแย่ที่กำลังเกิดขึ้น
เขาหันกลับมาสนใจสัมผัสอ่อนโยนของเธอแทน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาละความสนใจได้เป็นอย่างดี
พวกเขานั่งอยู่ภายใต้ความเงียบพร้อมความรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด
และเขาก็ตกอยู่ในความรู้สึกเคลิ้มสบายจนไม่ได้สนใจว่าเธอกำลังดึงแขนเสื้อของเขาขึ้น
แต่เสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของเธอทำให้เขาต้องมองกลับไปที่เธออีกครั้ง
ดวงตาของเธอดูตระหนกและเขาก็แทบอยากจะละลายหายไปจากที่นี่ หายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่มาก่อน
เมื่อมองตามสายตาแล้วพบว่าเธอกำลังใช้มือที่สั่นเทาจับอยู่บนเครื่องหมายบ้านั่น
ไม่ ไม่ ไม่...
เขาไม่อยากให้เธอเห็นมัน...มันไม่ถูกต้อง
เธอบริสุทธิ์เกินกว่าจะสัมผัสมัน แค่เพียงเห็นมันก็อาจจะสร้างมลทินให้เธอได้แล้วด้วยซ้ำ
ซัลลาซาร์ฆ่าเขาเถอะ เขาไม่ต้องการแบบนี้
เขาไม่ต้องการให้เธอใกล้มันแม้แต่นิดเดียว
เขาจึงพยายามจะดึงแขนออกแต่เธอยังคงจับเขาไว้แน่น ไม่ให้ขยับไปไหน
เฮอร์ไมโอนี่เฝ้ามองตรานั่นอย่างละเอียดด้วยความที่ไม่เคยเห็นมันใกล้ขนาดนี้
เธอได้อ่านตำราเกี่ยวกับโวเดอมอร์และเวทมนตร์ของเขามานับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะมอร์สมอร์เดรกับสัญลักษณ์ของผู้เสพความตาย
แต่มันมีบางอย่างที่แปลกไปสำหรับตรามารบนแขนของมัลฟอย
สัญลักษณ์รูปกระโหลกและงูยังคงนูนขึ้นซ้ำยังช้ำแดง
ซึ่งเมื่อเทียบกับเวลาที่ดัมเบิลดอร์เสียชีวิตไปมันก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่ 6
แล้ว ในความเป็นจริงรอยแผลแบบนี้ควรจะสมานกันดี เว้นแต่ว่า...
“เดี๋ยวนะ”
เธอกระซิบส่งเดชขณะที่โน้มตัวใกล้ขึ้นอีก
ใกล้เสียจนลมหายใจเริ่มรินรดบนท่อนแขนแกร่จนทำให้เจ้าของแขนสั่นไหวอยู่ภายใน
เขาเฝ้ามองดวงตาของเธอที่กำลังสำรวจอย่างตั้งใจและเผลอกลั้นหายใจเมื่อเธอเริ่มเปิดปากพูด
“นายไม่เต็มใจ”
เขาเกือบจะสำลัก “อะไร ?”
“นายไม่เต็มใจ” เธอซ้ำคำแล้วเชิดหน้าขึ้นมองเขา “ไม่ใกล้เคียงเลย”
“นี่เธอกำลังพูด – ”
“ร่างกายของนายปฏิเสธมันเพราะนายไม่ต้องการมัน”
เธออธิบายแล้วชี้ไปบนรอยอักเสบของผิวหนังรอบ ๆ ตราสัญลักษณ์ “มันควรจะหายดีแล้วถ้านายยินยอมและเชื่องขนาดนั้น”
เดรโกไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง
เพราะในที่สุดแล้วข้อสันนิษฐานของเธอก็ ใช่ ถูกต้องอีกแล้ว ระหว่างพิธีกรรมเขามีความกังวลหลายอย่างและสุดท้ายคืนวันนั้นก็กลายมาเป็นเหมือนตราบาปของเขาเรื่อยมา
เขาถูกยุมากเกินไปให้แก้แค้นเรื่องที่พ่อของเขาถูกกุมขัง
แต่เมื่อเขาก้าวออกจากร้านเบอร์เจนและเบิร์กส์
เขาก็พบว่ามีเพียงความเจ็บปวดที่คงเหลือเอาไว้พร้อมกับร่องรอยน่ารังเกียจนี่
มันได้อะไรกับการยอมรับตรามารมาน่ะเหรอ ?
ก็มีแค่คืนวันที่รวดร้าว ประสาทแดกในห้องน้ำพรีเฟ็ค และการหลบซ่อนตลอด 6
เดือนที่โคตรอัปยศ
เขารู้ดี
เขายอมรับมาตั้งนานแล้วว่านี่คือเรื่องผิดพลาดที่อัปยศที่สุดในชีวิตของเขา
แต่เขาไม่ได้อยากให้เธอรู้
“เธอจะไปรู้อะไร ?”
เขาเอ่ยท้าทายอยากถากถางแล้วดึงแขนกลับมาดึงเสื้อปิดเอาไว้ “ขอเดานะ
คงลอกมากจากหนังสือเล่มไหนสักเล่มล่ะสิ
เธอควรจะรู้นะว่าทุกอย่างในหนังสือไม่ได้เชื่อได้ไปเสียหมด – ”
“ฉันรู้ว่านายไม่ได้เลือก มัลฟอย”
เธอแย้งด้วยน้ำเสียงสงบที่ทำให้เขาไม่พอใจหนักขึ้น “และความเป็นจริงฉันไม่จำเป็นต้องดูเอาจากรอยตราของนายด้วยซ้ำ
– ”
“ช่วยเก็บปรัชญางี่เง่าอะไรนั่นเอาไว้กับตัวทีเถอะ
เกรนเจอร์” เขาตวาด แต่ก็ไม่อาจกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้ที่ทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยวได้
“นายเป็นอะไรไหม ?” เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปหา “ไหน
ขอดู – ”
“อย่ามายุ่ง!” เขาแหวแล้วพยายามลุกขึ้นจากโซฟาแต่ทว่าร่างกายกลับไม่เห็นด้วย
“แม่ง – ”
“มันเป็นเวทมนตร์นะ”
เธอถอนหายใจแล้วขยับเข้าไปอีกหน่อย อาจจะใกล้เกินไปเสียทีเดียวซ้ำ “ให้ฉันรักษาให้เสร็จก่อน
– ”
“ไม่ต้อง”
“จะไม่แตะตรานั่นแล้ว” เธอเสนอพลางยกไหล่ยอม “สาบาน
จะไม่พูดถึงมันด้วย และอย่างที่บอกว่าอะไรที่เกิดขึ้นที่นี่จะรู้แค่เราสองคน”
ถ้าไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ยังแล่นอยู่ใต้ผิวหนังแล้วคำถากถางอีกมากมายก็คงหลุดออกมา
เดรโกมองเธออย่างชั่งใจก่อนจะค่อย ๆ ส่งแขนให้อีกครั้ง
พยายามควบคุมใบหน้าไม่ให้แสดงออกมากจนเกินไปเธอจะได้ไม่คิดเอาเองว่าเขากำลังโอเคกับสถานการณ์ตอนนี้
นิ้วของเธอสัมผัสลงบนตัวเขาอีกครั้ง และเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆ
ครั้งนี้เธอแสดงออกต่างออกไป
มือเล็กดึงแขนเสื้อของเขาขึ้นแล้วพยายามจะไม่มองไปยังรอยสีดำบนนั้น
หญิงสาวเม้มริมฝีปากและพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจตรามารตรงหน้าที่พยายามจะดึงสายตาเธอเหมือนกัน
เธอหลับตาลงวูบหนึ่งพลางสูดหายใจลึก เธอได้กลิ่นของเขา มันเปลี่ยนไป
มันไม่ใช่กลิ่นของแอปเปิ้ลอีกต่อไปแต่กลับเป็นกลิ่นของชายหนุ่ม
ที่เจือด้วยกลิ่นหนังสือใหม่ที่เธอมักจะหลงใหลอยู่เสมอ มีปลายของมิ้นต์จากสบู่อาบน้ำ
มันผสานกันได้เป็นอย่างดีกับกลิ่นอบอุ่นและร้อนแรงของเขา
โดยรวมแล้วมันเป็นกลิ่นที่ดี...
“โอเค”
เธอพึมพำด้วยลมหายใจที่ติดขัดขณะที่ลดไม้กายสิทธิ์ลงแล้วปล่อยแขนเขา “น่าจะเรียบร้อยดีแล้ว”
“ดี” เขาหายใจ รู้สึกว่าอยู่ดี ๆ
แขนของเขาก็เย็นเยียบเมื่อไร้สัมผัสจากเธอ
“รู้สึกยังไงบ้าง ?” เธอถามพลางทัดผมเอาไว้ข้างหู
“ยังมึน ๆ หรือ – ”
“ไม่” เขาโกหกเสียงแปร่ง เชิญทุบตีตัวเองด้วยเศษซากอัตตาที่เหลืออยู่บ้างให้พอ
เขาคิดวุ่นวายกับตัวเองแล้วลุกขึ้นจากโซฟา พยายามเป็นอย่างมากที่จะเคลื่อนไหวอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้สูญเสียอัตตาที่เพิ่งจะสร้างขึ้นมาไป
และขณะที่กำลังจะถึงห้องเสียงของเกรนเจอร์ก็ดังขึ้นรั้งเขาเอาไว้
เมอร์ลินช่วยทำให้เธอเลิกยุ่งกับเขาเสียที
“มัลฟอย” เธอเรียกด้วยน้ำเสียงกังวล “คือฉัน...ฉันขอถามอะไรสักอย่างก่อนนายจะไปได้ไหม
?”
เขาสะกดความสงสัยเอาไว้ไม่ได้จึงทำได้เพียงหันกลับไปมองคนที่อยู่ด้านพร้อมกับอิงไหล่กับผนังเอาไว้
“ให้เร็ว”
“คือ” เธอดูลังเล “จำตอนแรกที่นายมาที่นี่ได้ไหมแล้วนายถามฉันว่าฉันคิดยังไงกับนาย
แล้วฉันก็บอกว่า – ”
“เธอพูดออกมามากมายว่าเกลียดฉันแค่ไหน”
เขาพูดอย่างหมดความอดทนพลางกลอกตา “ใช่ไหม ?”
“แต่คือ...ฉันเพิ่งจะพูดไปเมื่อกี้ว่าฉันไม่ได้เกลียดนาย”
เธอพูดต่อท่าทางกระสับกระส่าย “คำว่าเกลียดมันค่อนข้าง – ”
“แม่ง” เขาขบกราม “แบบทดสอบความจำที่ดูไร้สาระมันยังดูมีสาระมากกว่าเธอตอนนี้เลยเกรนเจอร์
เข้าประเด็นสักที!”
“ตอนนี้นายรู้สึกยังไงกับฉันเหรอ ?” เธอโพล่งถามแล้วหลบสายตา
“หมายถึง...ยังเกลียดกันอยู่ไหม ?”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววของความสับสนและปั่นป่วนซึ่งทำให้เธอรู้สึกงี่เง่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
คำถามของเธอเป็นเหมือนเสียงเตือนอยู่ในหูที่กวนเอาความทรงจำที่เขาเสพติดเสียงอาบน้ำของเธอกลับขึ้นมา
และบทสนทนาน่าสนใจมากมายที่พวกเขาได้พูดคุยกัน ถามว่าเกลียดไหมเหรอ ? ก็ใช่
แต่ไม่ใช่แบบนั้น
เขาเกลียดที่เธอกำลังทำให้เขาสับสนและปั่นป่วนภาพจำที่เขาเคยมีต่อเธอ
เขาเกลียดเธอเพราะบางทีก็ทำให้เขารู้สึกก้ำกึ่งว่าจะรับความเป็นเธอได้
แต่ที่เกลียดที่สุดคือเธอทำให้เขาคิด ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง
“ฉันเกลียดเธอไหม ?” เขาถามซ้ำอย่างถือดี “คำตอบคือมากขึ้น
มากขึ้นทุกวัน”
เขาไม่รอปฏิกิริยาตอบกลับแล้วเดินเข้าห้องไป โชคดีที่ทิ้งตัวลงบนเตียงได้ก่อนที่กล้ามเนื้อจะบอกว่ายอมแพ้
เดรโกยกมือขึ้นมามองดูผลงานอันน่าทึ่งของเกรนเจอร์อีกรอบ
เป็นอีกครั้งที่เธอทำได้ดี ผิวหนังของเขากลับมาเป็นสีนวลที่ไม่มีรอยขีดข่วนอีกครั้ง
แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงอะไรสักอย่างที่อยู่ภายในฝ่ามือและข้อมืออยู่ดี
มันไม่ใช่เพราะคาถาของมักกอนากัลแต่มันดูเหมือน...
เหมือนว่าจะเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จากการสัมผัสของเกรนเจอร์
มันเป็นความคิดที่น่าตลกและอันตรายไปพร้อม ๆกัน
เขากำมือแน่นแล้วทุบลงบนเตียงนอนด้วยความหงุดหงิด
นี่มันผิดนะ ทั้ง ๆ
ที่นี่เคยเป็นสิ่งที่เขาเกลียดนักหนา
แต่เธอกำลังทำตัวเหมือนเป็นไวรัสที่กำลังจะกลืนกินเขาทีละนิดในแต่ละวัน
เขาทบทวนความคิดของเขา เฝ้าถามว่าอะไรบ้างที่เธอล่วงล้ำเข้ามา
อย่างแรกคือกลิ่นที่ตามติดมาด้วยเสียงอาบน้ำ
แล้วก็สายตาของเขาที่ไม่ได้มองเธอเป็นมักเกิ้ลน่ารังเกียจอย่างที่ควรจะเป็น
และตอนนี้ก็ยังมีเรื่องของสัมผัส เขาสัมผัสเธอได้ สัมผัสของเธอบนผิวของเขาและความเป็นเธอที่ยังคงไหลเวียนอยู่ภายในตัวของเขาตั้งแต่วันนั้นในห้องน้ำ
สี่อย่างแล้วที่เธอล่วงเข้ามา กลิ่น เสียง ภาพ
และสัมผัส แล้วอย่างที่ห้าล่ะ ?
อ้อใช่ รสชาติ
ความคิดเห็น