NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 7 : Human (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ย. 64


    เฮอร์ไม่โอนี่ไม่ได้เจอเขามาร่วม 3 วันแล้ว

    ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเปิดปิดห้องเพื่อเข้าห้องน้ำแต่ความจริงอย่างหนึ่งที่ยังคงเป็นแบบนั้นเสมอก็คือ อาหารที่เธอเตรียมเอาไว้จะอันตรธานหายไปก่อนเธอกลับจากห้องสมุดเสมอ บางทีก็เลยสงสัยว่าเขายังอยู่ในหอของเธออยู่ไหม เธอยืนไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ว่าจะพาตัวเองเข้าห้องเขาไปอีกรอบเพื่อขอโทษดีไหม แต่เธอคิดว่านั่นคงเป็นการกระทำที่ผิดแน่ ๆ เขาชัดเจนเรื่องความเป็นส่วนตัวขนาดนั้นและเธอก็ติดหนี้เขาอย่างน้อยก็เพราะการกระทำที่ไม่มีสมองตอนนั้น

    เธอยังคงเสียใจที่ทำแบบนั้นลงไป

    เฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต มันทำให้เธอขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ต่ำกว่า 4 ครั้งเพื่อร้องไห้ การตายของแชริตี้ เบอร์เบจยังคงติดตรึงเป็นดังเขม่าควันอยู่ภายในหัวใจของเธอ แต่ขณะเดียวกันเธอก็พบว่าตัวเองเอาแต่มองฝ่ามือและตามหาแผลเป็นอยู่ได้

    นิ้วเรียวยกขึ้นนวดขมับขณะที่อีกมือเปิดหน้าหนังสือต่อ เสียงลมหวีดหวิวภายนอกปราสาททำให้เธอต้องอพยพตัวเองออกมานั่งที่พื้นโดยหวังว่าจะพอช่วยให้มีสมาธิขึ้นบ้าง สายลมเป็นเหมือนจุดอ่อนของเธอ เฮอร์ไมโอนี่เลือกนั่งฟังพายุฝนฟ้าคะนองหรือไม่ก็เสียงฝนซัดสาดหลังคา ดีกว่ามานั่งฟังเสียงลมคำรามเหมือนเสียงกรีดร้องแบบนี้

    เธอพยายามใช้คาถาสงัดเสียงอย่างที่เคยทำมาตลอดการเรียนในฮอกวอตส์ แต่เมื่อเธอเกือบจะผล็อยหลับได้คาถาก็เริ่มคลาย จากนั้นเสียงลมก็จะผ่านเข้ามาทำให้เธอสะดุ้งตื่นได้อีกครั้ง และจากนั้นทุกอย่างก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด

    เฮอร์ไมโอนี่ทิ้งความคิดที่จะหลับใกล้ ๆ หน้าต่างไปหมดสิ้นและตอนนี้ก็ขดตัวอยู่บนเก้าอี้นวมในห้องนั่งเล่นซึ่งไม่มีหน้าต่าง จากนั้นก็อ่านบทกวีของลอร์ดไบรอน หนึ่งในความพึงพอใจอันน่าละอายของเธอ ร่างเล็กกระชับผ้าห่มผืนหน้าให้ห่อร่างกายแน่นขึ้นตอนที่กำลังจะอ่านถึงบท She Walks in Beauty แวะมองนาฬิกาก่อนจะพบว่าเกือบตีสามครึ่งแล้ว

    และลมบ้านี่ก็ไม่มีทางที่จะหยุดกรรโชกเลย

    เธอเผลอสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเสียงประตูดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เมื่อใช้ดวงตาสีน้ำเชื่อมสำรวจดูก็เห็นมัลฟอยค่อย ๆ เดินออกจากห้อง เขาดูรำคาญใจเมื่อเห็นหน้าเธอ แถมยังถอนหายใจเฮือกใหญ่ขณะที่เดินไปยังห้องครัว เห็นได้ชัดว่าเขาเลือกที่จะมองข้ามเธออย่างสมบูรณ์แบบ

    เฮอร์ไมโอนี่คิดทบทวนอยู่สองรอบว่าจะพูดดีไหม แต่ก่อนจะได้คิดเป็นรอบที่สามคำพูดก็รั่วออกมาจากปาก “ฉันทำให้นายตื่นหรือเปล่า ?” เธอกระซิบถาม ไม่แน่ใจว่าเขาจะได้ยินไหม หรืออาจจะได้ยินแต่มองว่าเป็นคำถามที่ไม่อยากตอบ มีแต่เมอร์ลินที่รู้ว่าทำไมเธอถึงควรคิดให้มากกว่านี้ก่อนถาม “คือฉัน – ”

    “เปล่า” เขาคำรามในลำคอขณะรินน้ำใส่แก้วทั้งที่ยังหันหลังให้อยู่

    “โอเค แล้วทำไม – ”

    “แค่หิวน้ำ” เขาว่าก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังห้อง

    “มัลฟอย เดี๋ยวก่อน” เฮอร์ไมโอนี่ละลักละลำขณะที่ยืดหลังตรง สงสัยว่าทำไมการจะพูดอะไรออกมาถึงยากเย็นนัก เขาหยุดรอแบบที่เธอไม่แน่ใจว่าทำไมและตอนนี้เธอก็กลับเข้าสู่กระบวนการไม่กล้าพูดอีกแล้ว “คือ ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ?”

    เขาถอนหายใจราวกับเธอกำลังเข้าไปขัดขวางตารางเวลา(ที่ไม่มีอยู่จริง)ของเขา “จะถามอะไรก็รีบถาม เร็ว ๆ”

    เธอลังเล “คือนายยังโกรธเรื่อง...เอ่อ...เรื่องวันนั้น – ”

    “วันที่เธอผ่ามือฉันออกดูน่ะเหรอ” เขาพูดทับให้ง่ายยิ่งขึ้น เขาหันมามอง “แล้วมันทำไม ?”

    เฮอร์ไมโอนี่มองเขาด้วยสายตาที่ถูกเคลือบเอาไว้ด้วยความเกือบจะเคลิบเคลิ้ม ขณะที่มองริมฝีปากของเขาถูกเคลือบเอาไว้ด้วยความชุ่มฉ่ำของน้ำในแก้ว “ก็มันทำไมไง” เธอสารภาพกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วหลบสายตามองมือบนตักแทน

    ความสงสัยระคนตกใจทำให้เขาเกือบสำลักน้ำแต่ยั้งเอาไว้ทัน “อะไร ?” เขาถามเสียงเข้ม “จะมีอะไรดีขึ้นหรือแย่ลงหรือไง ?”

    “ไม่แน่ใจเหมือนกัน” เธอพึมพำ ขณะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้นวม

    กรามของเดรโกกระตุกเล็กน้อยเมื่อผ้าห่มร่วงหล่นลงแทบเท้าของเธอและเหลือเอาไว้เพียงเสื้อยืดและกางเกงนอนย้วย ๆ อยู่ดี ๆ เขาก็กลั้นหายใจเมื่อเธอเริ่มขยับทั้งที่เธอก็แค่เดินไปยังห้องครัวเท่านั้นเอง เขาหลงอยู่ในความคิดไปชั่วขณะว่าเขาจะทำยังไงถ้าหากเธอเดินมาทางเขา ภายใต้เสียงสลัวของเทียนทำให้เธอดูต่างออกไป ดูสุขสงบแต่กลับดูเหนือจินตนาการ ความมืดคงกำลังเล่นตลกกับประสาทตาของเขาแน่ ดวงตาของเขาถึงได้จับจ้องอ้อยอิ่งอยู่กับเธอที่เพิ่งจะหยิบแก้วสองใบออกจากตู้

    “ช็อกโกแลตร้อนก่อนเข้านอนก็ดีนะ” เธอพูดเสียงแผ่วขณะที่โบกไม้กายสิทธิ์เพื่อต้มน้ำ “สักแก้วไหม ?”

    เขาไม่ตอบ แต่เธอตัดสินใจว่าจะทำให้เขาแก้วหนึ่งและไม่รู้ตัวเลยว่ากลิ่นผงโกโก้มันเข้ากันได้ดีกับกลิ่นหอมของเธอเหลือเกิน เขางุ่นง่านอยู่กับแขนเสื้อตัวเองขณะที่รอเธอชงเครื่องดื่มให้ เมื่อเสร็จแล้วเธอก็ถือมันตรงมายังเก้าอี้นวมและวางลงบนโต๊ะกาแฟ เขาเลิกคิ้วมองเธอห่อตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง ดวงตาของเขามองสลับระหว่างเธอกับแก้วเครื่องดื่มร้อนอย่างสงสัย

    “นายไม่นั่งเหรอ ?” เธอถาม และเขารู้สึกว่ามีการบังคับอยู่บ้างในน้ำเสียงนั้น

    “ฉันจะไปดื่มในห้อง” เขาพูดเสียงต่ำขณะที่ก้าวเท้าเข้ามา

    “ฉัน...” เธอเริ่มอย่างกระอั่กกระอ่วน “เอ่อ ฉันแค่หวังว่านายจะตอบคำถาม...และบางทีอาจจะอยากนั่งกับฉันแป๊บหนึ่ง...ได้ไหม ?”

    คำถามนั้นทำเอาเขาตั้งตัวไม่ติด เพราะถ้าให้เขาพนันด้วยทั้งหมดเท่าที่เขาจะทำได้นั่นไม่ควรเป็นคำพูดที่หลุดออกจากปากของเธอเลย โดยเฉพาะเมื่อพูดกับเขา ดูเหมือนจะเป็นพัฒนาการแปลก ๆ ของสถานการณ์โง่เง่าระหว่างพวกเขาและเขาก็ดันอยากรู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน

    “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาถึงถามแบบนั้น ?” เขาลากเสียงยาวแล้วพักมือไว้ที่แขนข้างหนึ่งของเก้าอี้นวม “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเธอ”

    “ใช่ ๆ นายไม่ต้องตอบก็ได้” เธอเห็นด้วย “มันก็แค่ – ”

    “แค่คำขอโง่ ๆ ”

    เธอขมวดคิ้วก่อนจะผงกหัวขึ้นมองหน้าเขา “งั้นก็ไม่เป็นไร – ”

    “ไม่สิ” เขาขัดคอ “ฉันกำลังสงสัยว่าทำไมเธอถึงอยากให้ฉันนั่งด้วย – ”

    “นายยังไม่ตอบคำถามเลย” เธอเตือน “แล้วทำไมฉันต้องตอบคำถามนายด้วย ?”

    เดรโกไม่มีเหตุผล แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นแหวกความเงียบพอดี ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเขาก็สังเกตเห็นบางอย่าง ดูเหมือนจะมีความกลัวฉายวาบขึ้นในดวงตาสีฮาเซล เขาไม่คุ้นกับความกลัวในดวงตาของเธอเท่าไหร่ มีบ้างที่มันดูระแวดระวังแต่ก็ไม่ถึงกับตระหนกกลัว หรือแม้กระทั่งวันนั้นในห้องน้ำมันก็ยังไม่ใช่ความกลัว แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะได้เห็นอะไรที่แปลกออกไป

    “เป็นอะไรไปเกรนเจอร์ ?” เขาถามพร้อมยิ้มหยัน “อย่าบอกนะว่าพวกกริฟฟินดอร์กลัวเสียงพายุแค่นี้น่ะ”

    เขาคาดหวังว่ามันจะมีการโต้เถียงเกิดขึ้นแต่เธอทำเพียงแค่กระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น “ไม่ใช่พายุ” เธอพึมพำในเวลาต่อมา “ฉันแค่...ฉันไม่ชอบเสียงลม”

    สีหน้าของเขาออกจะสับสนพอสมควร นี่เธอเพิ่งจะบอกความกลัวของตัวเองออกมา ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติในสังคมที่เขาอยู่นักและแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางพูดถึงความกลัวของตัวเองต่อหน้าศัตรูแน่ ๆ การป่าวประกาศจุดอ่อนของตัวเองนั่นเป็นเรื่องที่โง่มาก แต่เธอกลับพูดมันออกมาอย่างง่ายดาย

    ความเชื่อใจมาคู่กับคนโง่บริสุทธิ์จริง ๆ

     แต่ในขณะนั้นเธอกลับดู...จริงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความเป็นมนุษย์ของเธอกัดกินเขาเหมือนพายุฤดูหนาว เธอเป็นตัวของตัวเองและยัง...ไม่ ยังไงเธอยังคงเป็นเลือดสีโคลนอยู่ดี เลือดสีโคลนที่มีลักษณะเฉพาะตัว...อะไรแบบนั้นแหละ ใช่ อะไรแบบนั้นแหละ

    เขาเฝ้ามองด้วยความสนใจที่มากขึ้นและอาจจะมากจนสังเกตได้ว่าไหล่เธอดูผ่อนคลายลงเมื่อเสียงลมเงียบไป กลับมาเป็นเกรนเจอร์คนเดิมที่ดูจะไม่มีปัญหาใด ๆ กับสภาพอากาศ แต่จริง ๆ แล้วมันถูกซ่อนเอาไว้หลังดวงตาสีอำพันนั่น เขามองเธอหยิบแก้วช็อกโกแลตร้อนขึ้นจรดริมฝีปาก มองเธอห่อปากเหมือนวงแหวนวงเล็กและเป่าควันร้อนของช็อกโกแลต นี่ไม่ควรดึงดูดสายตาเขาได้เลย

    แต่มันดึงดูดได้ – ได้จริง ๆ

    “เครื่องดื่มมันจะเย็นหมดแล้วนะ” เธอพึมพำขณะที่จิบช็อกโกแลต

    เขาถอนหายใจเข้าก่อนจะปีนข้ามเก้าอี้นวมไปยังเก้าอี้อีกตัวและมองเธอด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “เธอกลัวลมได้ไง ?”

    “ก็ไม่ใช่เพราะลมซะทีเดียวหรอก” เธอตอบในที่สุด “แค่ไม่ชอบเสียงดังน่ะ”

    “ดูโง่จัง”

    “ทุกคนก็มีเรื่องที่กลัวกันทั้งนั้นแหละ” เธอพูดให้เหตุผลอย่างระมัดระวัง “ไม่ใช่เหรอ ? ก็ธรรมชาติของมนุษย์นี่นา”

    เดรโกนิ่วหน้าเมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น แม้จะฟังดูน่าตลกแต่ก็อดคิดตามไม่ได้ ความผิดหวังกับครอบครัวโดยเฉพาะกับพ่อแล่นเข้ามาในความคิดแต่เธอคงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้หรอก คงหมายถึงเรื่องอื่นมากกว่า ส่วนเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกถึงเรื่องไหนเป็นพิเศษ หรืออาจจะมีแต่จิตใต้สำนึกกำลังพยายามมองข้ามมัน และเหมือนเดิมเขาไม่ชอบเวลาที่เธอทำให้เขาต้องมาคิดโน่นนี่ตาม

    “ไม่มี” เขาเน้นเสียงแล้วเอื้อมไปหยิบแก้ว

    “บางทีนายอาจจะยังนึกไม่ออก” เธอว่าพลางยักไหล่ไม่ได้ยี่หระอะไร “แล้วนายจะตอบคำถามฉันไหม ? เรื่องเมื่อวันก่อนน่ะ ที่ฉัน...อย่างที่นายรู้”

    เขาหรี่ตา “สงสัยเหมือนกันว่าฉันจะเกลียดเธอมากกว่าที่เกลียดอยู่แล้วได้ไหม” น้ำเสียงของเขาฟังดูสงบทั้งที่ริมฝีปากบิดเหยียด “ลองพิจารณาดูแล้วกันเกรนเจอร์”

    ส่วนผสมของความประหลาดใจระคนโล่งใจแต้มอยู่บนใบหน้าของเธอ “จริงนะ ?”

    “จะดีกว่านี้ถ้าเธอจะไม่พูดถึงมันอีก” เขาพูดเสียงแข็งหลังจากตัดสินใจแล้วว่าเรื่องวันนั้นควรจะซ่อนอยู่ในอดีตดีกว่า “เว้นแต่ว่าเธออยากจะ – ”

    “ไม่ ๆ” เธอส่ายหน้าดิก “ไม่ ฉันอยากลืมมันเหมือนกัน”

    เดรโกไม่ได้ตอบอะไรเขาเพียงแต่พยักหน้าแล้วกลืนช็อกโกแลตร้อนลงคอ นั่นทำให้เธอรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกแต่กระนั้นก็ยังไม่ทำให้เธอรู้อยากขอบคุณการกระทำของเขาอยู่ดี เพราะเท่าที่จำได้เมื่อวันก่อนเธอทั้งขอโทษ ทั้งขอร้องไปมากกว่าที่ควรจะทำ ถ้าจะให้พูดออกมาอีกมีหวังหมอนี่คงจะเหลิงไปกันใหญ่

    แต่เอาเข้าจริง พอเห็นเขาอยู่ตรงหน้าตอนนี้มีเพียงแค่โต๊ะกาแฟขั้นกลางทำให้เธอสังเกตได้ว่าเขาดูสงบกว่าที่เคยจำได้ และนั่นทำให้สัญชาตญาณที่มีต่อเขาในแง่ลบกำลังสั่นคลอน เฮอร์ไมโอนี่เชื่อและเห็นอยู่เสมอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจะสะท้อนออกมาถึงลักษณะภายนอกเสมอ เป็นต้นว่าถ้าหากคนเรามีจิตใจที่ไม่ดี สมองของเขาก็จะคิดแต่เรื่องไม่ดีแล้วแสดงออกมาแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จึงทำให้ความเกลียดชังที่เธอมีต่อมัลฟอยลดน้อยลงอย่างน่าแปลกใจพอ ๆ กับความสงบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขา และเธอยอมรับว่าความจริงเขาก็ดูเป็นพ่อมดที่น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน

    ผิวที่ดูซีดเผือกของเขากลับดูโดดเด่นขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้ดวงไฟสลัว แสงสีส้มของมันทอผ่านม่านตาสีเงินของเขาดูจับตา แสงและเงากำลังทำหน้าที่ของมันเป็นอย่างดีเสียจนเธอได้เห็นสัดส่วนของใบหน้าที่คมชัดมากขึ้นกว่าครั้งไหน ราวกับทุก ๆ รายละเอียดกำลังกรีดร้องเรียกเร้าความสนใจจากเธอซึ่งไม่ใช่ปัญหา เธอกลับชอบมันเสียด้วยซ้ำ ยิ่งพินิจยิ่งพบว่าผิวของเขาซีดเซียวเหมือนสลักขึ้นจากน้ำแข็ง จนเธอระลึกขึ้นได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสแสงอาทิตย์เลย

    “ได้อ่านหนังสือบ้างหรือยัง ?” เธอรู้สึกว่าความเงียบกำลังค่อย ๆ ทำลายบรรยากาศลงอย่างช้า ๆ จึงเริ่มถามอย่างระวังคำพูด “อย่างอันบนสุด”

    วินาทีแรกบอกได้ว่าเขาดูลังเลอยู่สักหน่อย “อ่านแล้ว”

    “ครั้งนี้อ่านเรื่องไหน ?” เธอรุกถาม

    “อยากรู้ไปทำไม ?”

    “แค่สงสัยไง” กริฟฟินดอร์สาวยักไหล่หวังว่าจะลดความสงสัยที่มีต่อเธอลง

    เดรโกถอนหายใจเสียงดังราวกับตั้งใจ “ไททัส แอนโดรนิคัส (Titus Andronicus)”

    “เรื่องนี้ดี – ”

    “ก็ดี” เขาสำทับคำของเธออย่างรวดเร็วขณะที่ประคองแก้วอุ่นเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง “แต่บางตอนก็เลอะเทอะ”

    “เห็นด้วย” เธอพยักหน้าอย่างใช้ความคิด “ด้วยความที่เป็นงานช่วงแรกของเชคสเปียร์ด้วยแหละ”

    “เธอเอาหนังสือของเขาให้มาเยอะ” เขาพึมพำขณะย้ายดวงตามาจ้องมอง “คงเป็นนักเขียนมักเกิ้ลสินะ”

    ดวงตาสีอัลมอนด์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย จริง ๆ เธอไม่คาดคิดว่าการทดลองเล็กน้อยนี่จะมีผลกับเขา แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “นายรู้ด้วยเหรอว่าฉันเอาหนังสือมักเกิ้ลให้”

    “มันชัดเจนนะ เกรนเจอร์” เขากรอกตา “ฉันไม่เห็นจะนึกออกเลยว่านักเขียนพวกนี้เป็นใครและดูแล้วมันก็ดูเป็นแนวที่เธอคงจะชอบ”

    “ซึ่งนายก็ยังอ่านต่อเนี่ยนะ ?” เธอถามซ้ำด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ทำไมกัน ?”

    ใบหน้าของเขาบึ้งตึงขึ้นอีกหน่อย พูดตามตรงเขาไม่แตะวรรณกรรมมักเกิ้ลของเธอเป็นเวลาสองวันแถมยังเอาแต่มองมันด้วยสายตาเดียดฉันท์ แต่ความเบื่อหน่ายทรงพลังมากซ้ำร้ายสติในแต่ละวันก็ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ ดังนั้นในวันที่สามเขาจึงยอมแพ้โดยคิดเสียว่าจะอ่านหรือไม่อ่านก็เสียสติอยู่ดี เขาตั้งใจอ่านเพื่อให้ความเกลียดชังที่มีต่อมักเกิ้ลเด่นชัดขึ้น เขาจะอ่านเพื่อให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วพวกมักเกิ้ลมันไร้อาระแค่ไหน อ่านเพื่อให้รู้สึกสมเพชที่พวกนั้นพยายามดิ้นรนจะเขียนอะไรสักอย่างออกมาให้ดูดี

    แต่ว่า...

    แต่ว่ามันก็โอเค...ก็ดีพอให้อ่านหน้าต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่จิตใต้สำนึกก็เริ่มรู้สึกประทับใจไปกับมัน มันทำให้เขารู้สึกอึดอัดและคลื่นเหียนในบางทีซึ่งทำให้เขาเริ่มมีคำถาม แม้จะเพียงแค่เวลาสั้น ๆ แต่มันก็ทำให้เขามีคำถาม เขาไม่เคยเชื่อพวกโฆษณาชวนเชื่อที่ว่าพวกมักเกิ้ลนั้นดุร้ายป่าเถื่อนเหมือนสุนัขจรจัด แต่ก็แอบคิดอยู่ลึก ๆ ว่าพวกนั้นคงมีความสามารถด้านศิลปะและวรรณกรรมน้อยกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ จนกระทั่งได้อ่านงานของเชคอะไรนี่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า...ก็ไม่แย่ แต่เขาะจไม่บอกให้เกรนเจอร์รู้หรอก

    “ก็ไม่มีอะไรให้อ่านแล้วนี่” เขากดเสียงต่ำในคอและเริ่มคิดว่านี่เขาตอบโต้กับนานเกินไปแล้ว

    เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจช้อนตามองเขาผ่านม่านขนตาขณะที่ยกแก้วขึ้นจิบ หัวใจของเธอกำลังเต้นแรงไปพร้อมสัญชาตญาณความอยากรู้อยาเห็นของเธอ รวมถึงเริ่มอยากรู้แล้วว่าเธอจะสามารถทดสอบเรื่องนี้ไปได้ไกลแค่ไหน “แล้วนายคิดว่าบทละครเรื่องนี้เป็นไงบ้าง ?”

    เขาพ่นลมหายใจ “รุนแรง” เขาตอบอย่างที่เธอเดาเอาไว้ “แต่ก็บันเทิงดี แต่ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าพวกมักเกิ้ลช่างป่าเถื่อนสิ้นดี”

    “ป่าเถื่อนสิ้นดี ?” เฮอร์ไมโอนี่ซ้ำคำ พยายามดึงตัวเองไม่ให้กรี๊ดใส่เขา “ยังไง ?”

    “ก็ดูเป็นการนองเลือดแบบไร้สติ – ”

    “แล้วมันไม่เหมือนกับสงครามที่เกิดขึ้นตอนนี้หรือไง ?” เธอแย้งประเด็นทันที “ความรุนแรงมันมีอยู่ในทุกชาติพันธุ์และทุกสายพันธุ์นะ มัลฟอย โดยเฉพาะในสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษหรือไม่ – ”

    “เขาฆ่าลูกชายตัวเอง” เดรโกขยายความพลางเอียงใบหน้าราวกับผู้กำชัย “นั่นบ่งชี้ได้ว่ามักเกิ้ลไร้อารธรรมเพียงใด”

    เฮอร์ไมโอนี่หายใจติดขัด “แต่โวลเดอมอร์เองก็สังหารครอบครัวของเขา”

    เจ้าของเส้นผมสีบลอนด์เย่อหยิ่งชะงักพลัน และไม่ชอบที่เธอสังเกตมันได้ “มันต่างกัน” เขาอ้อมแอ้ม “มัน – ”

    “และเคร้าช์สังหารพ่อแท้ ๆ – ”

    “มันไม่เหมือนกัน!” เขาย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่นแต่ก็รู้ดีว่าในการแย้งครั้งที่เหตุผลของเขาอ่อนมาก

    เกรนเจอร์ไม่ได้กำลังอคติหรือหัวแข็งใส่เขาขณะที่เธอมองเข้ามาในดวงตา เธอเพียงแค่เลียริมฝีปากอย่างลำบากใจเท่านั้น “มันต่างกันได้ยังไง มัลฟอย ?”

    เขาแทบอยากจะผ่าสมองออกมาค้นหาข้อโต้แย้งที่น่าพอใจและจะทำให้เธอหงายหลัง เขาทั้งร้อนรนและกระวนกระวายใจก่อนที่ความรู้สึกยอมรับในเกรนเจอร์จะค่อย ๆ แทรกผ่านเข้ามาในจิตใต้สำนึก และนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโห เพราะมันหมายความว่าเครื่องหมายบนหัวเตียงในวันนี้จะกลายเป็นของเธออีกแล้ว ชิบหายเอ้ย

    “มันก็แค่ต่าง” เขาพึมพำแล้วกลืนช็อกโกแลตเกือบจะแสนอร่อยของเธอลงคอ 


    -


    ความรู้สึกปวดเกร็งที่ต้นคอเป็นสัญญาณแรกที่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียง และไม่แน่ใจว่ากำลังใช้อะไรหนุนแทนหมอนเพราะมันแข็งเหลือเกิน

    เดรโกค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแล้วปรับโฟกัสเพื่อมองไปรอบตัว สิ่งที่พบก็คือเพดานที่ไม่คุ้นเคย เขาขยับตัวอย่างเชื่องช้าหลังจากที่เมื่อขบไปทั้งตัวเพราะนอนเหยียดอยู่บนโซฟา แสงสว่างรอบตัวดูน้อยเสียจนไม่แน่ใจว่าขณะนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว ซ้ำร้ายเมื่อพยายามมองหาหน้าต่างก็ไม่พบ สิ่งเดียวที่บอกเวลากับเขาได้ในตอนนี้คือนาฬิกาที่ชี้ตำแหน่งเกือบ 7 โมงเช้า

    เขาครางออกมาขณะที่ใช้ฝ่ามือนวดคลึงใบหน้า แล้วพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมเสียงดังกรอบแกรบจากกระดูกในร่างกาย วิสัยทัศน์ตอนนี้ดูจะพร่าเลือนเสียจนต้องพยายามปรับโฟกัสอยู่อีกพักใหญ่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงและมานอนอยู่บนโซฟานี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาสีเหมือนท้องฟ้าในฤดูหนาวที่ยาวนานเคลื่อนมองไปยังอีกด้านของโต๊ะกาแฟเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามมากมายของตัวเอง

    และเขาก็ต้องชะงักงัน

    เธอขดคุดคู้อยู่ตรงนั้นโดยมีผ้าห่มผืนหนาคลุมตั้งแต่คอจรดปลายเท้า เส้นผมเป็นลอนของเธอสยายอยู่บนเบาะนั่งราวกับริ้วของน้ำกาแฟที่กำลังเข้ากันดีกับนมอุ่น ๆ เธอหลับตาพริ้มพร้อมกับใบหน้าที่ดูผ่อนคลายราวกับว่ากำลังเป็นตัวแทนของความสุขสงบทั้งปวง กล้ามเนื้อที่เคยดูตึงเครียดอยู่เสมอภายใต้ผิวหนังของเกรนเจอร์หายไปหมดในขณะนี้และวินาทีต่อมาเสียงลมหายใจเชื่องช้าก็ดังเข้ามาภายในประสาทการรับรู้ มันดึงเข้าออกจากภวังค์ก่อนที่เดรโกจะเริ่มหงุดหงิดที่ตัวเองปล่อยให้สมองยามเช้าฟุ้งซ่านขนาดนี้

    เดรโกเบนสายตาออกจากเธอก่อนจะพบกับแก้วช็อกโกแลตร้อนที่เย็นชืดไปหมดแล้ว รวมถึงไม้กายสิทธิ์ที่วางท้าทายเขาอยู่ไม่ไกล

    เขาลากตัวเองขึ้นจากโซฟาแล้วพยายามเดินอ้อมโต๊ะไปอย่างเบาเสียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำแบบนี้คงจะไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะอย่างที่เธอเคยบอกว่ามีคาถาบางคาถาที่จะคอยผลักเขาออกมาแต่ทำยังไงได้ ตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ที่เหมาะเจาะ เขาหมอบลงและค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ไม้กายสิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าหญิงสาว

    ความจริงมันใกล้เสียจนลมหายใจอุ่นของเธอซ่านผ่านมาที่ลำคอของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่นั่นทำให้เขาต้องต่อสู้กับอาการสั่นที่เกิดขึ้นภายใน เขาเอื้อมมืออกไปพร้อมความหวังเดียวว่าคงจะเอาชีวิตรอดจากไอเวทมนตร์ที่กำลังแผ่ออกมา เขาสัมผัสมันได้ด้วยปลายนิ้วทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องไม้กายสิทธิ์ของเธอเสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเขาคิดเอาไว้แล้วว่าคงเป็นแบบนี้ เดรโกหอบหายใจอย่างจนทางก่อนจะผลักตัวเองออก เขาอิงตัวเองอยู่แบบนั้นขณะที่เสียงลมหายใจของคนในห้วงฝันก็ยังคงกระซิบอยู่ไม่ไกลปลายเส้นผม

    เขาเผลอหลับตา...หลงไหลไปในความรู้สึก...กลิ่นของเธอแจ่มชัด...ชัดเสียจนจับต้องได้

    แต่เพียงวินาทีต่อจากนั้นราวกับมีความร้อนของไฟแผดเผาเขาเสียจนต้องกระโจนออกมาหาความเป็นจริง เขารีบผละออกจากเธออย่างรุนแรง เธอเหมือนถูกฉาบทาเอาไว้ด้วยพิษร้าย เหมือนเธอเพิ่งจะสาปให้เขาลงไปนอนอยู่ก้นหลุมศพของซัลลาซาร์

    นี่คงเป็นผลจากการที่เธอแผลงฤทธิ์วันนั้น

    เธอกำลังมีอิทธิพลต่อเขาและกำลังทำลายประสาทสัมผัสของเขา มันไม่ใช่เพราะเลือดสีโคลนของเธอ แต่เป็นบางอย่างที่ลึกลงไปกว่านั้น บางอย่างที่กำลังจารลงบนสรรพางค์และฝังรากลงไปในเซลล์ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือเธอ – เกรนเจอร์  ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเธอ ความใสซื่อของเธอ กำลังมีผลต่อเขาเหมือนกำลังแล่นผ่านเข้ามาพร้อมกับขว้างปาเศษเสี้ยวของเธอเข้ามาฝังเอาไว้ภายในจิตใจของเขา แต่ขณะนั้นเองการกระทำก็ขบถต่อห้วงความคิด มันพาเขาผละห่างออกจากเธอพร้อมทั้งขาที่ยังคงสั่นอย่างไร้เหตุผลและอธิษฐานให้ระยะห่างค่อย ๆ ชำระล้างทุกอย่างที่เป็นเธอออกจากเขา

    ครู่หนึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา เมื่อเสียงปิดประตูอย่างฉุนเฉียวดังขึ้น

    แย่มาก นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่เธอหลับสนิทตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตามที


    -


    ลื่นลมระหว่างสี่วันผ่านไปด้วยดี และเขาสามารถเลี่ยงการพบเจอกับเธอขณะที่กำลังมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเธอเป็นเหตุผลของอาการแย่ ๆ ภายในของเขา เมื่อวันศุกร์ที่เป็นวันครบรอบ 1 สัปดาห์หลังจากการนองเลือดในห้องน้ำเขารู้สึกว่าผนังห้องของเขาเริ่มแคบลงอีกครั้ง ความรู้สึกอยากจะปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์เริ่มแผ่กระจายไปทั่วทุกรูขุมขน และแน่นอนว่าเกรนเจอร์ดันเป็นตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่ เขาอยากได้ยินเสียงลมหายใจของคนอื่นบ้างเพราะตอนนี้เสียงของเขามันดังเสียจนสะท้อนความโดดเดี่ยวให้ก้องกังวานอยู่ในหัว

    ความชิบหายของทั้งหมดทั้งมวลกำลังก่อจลาจลอยู่ในสมองของเขา ความต้องการที่จะมีใครอีกสักคนปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าทำให้เขารู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเขาเจียนบ้าเต็มทน เขาอยากโต้เถียงหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขายังมีชีวิตและมีอะไรอยู่นอกกำแพงห้องนี่บ้าง เขาเริ่มพินิจารณาสถานการณ์อย่างละเอียด...ถ้าหากมันจะมีใครสักคน หมายถึงใครสักคน ใครสักคนที่ไม่ใช่เธอที่จะช่วยปัดเป่าปีศาจร้ายไปจากเขาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้และไม่จำเป็นต้องไปสุงสิงกับเกรนเจอร์ด้วย

    เอาจริง ๆ เป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่วีสลีย์ จะเลือดบริสุทธิ์หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวแล้ว ตอนนี้ความคิดของเขากำลังทำให้เขาดีขึ้นนิดหน่อย

    เขาเริ่มได้ยินเสียงเธอกำลังเดินวนไปมาภายในครัว เสียงเครื่องครัวกระทบกันดังสร้างความน่ารำคาญกว่าที่ควรจะเป็น เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้าขณะที่แทรกนิ้วผ่านเส้นผมสีซีดก่อนจะลุกขึ้นสละทิ้งคุกห้องนอนสี่เหลี่ยม และออกไปเพื่อพบว่าเธอกำลังวุ่นวายอยู่กับกระทะและผักของเธอ

    เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกได้ถึงการปรากฏตัวของเขาเสียก่อนที่จะหันไปมองเสียอีก เธอหมุนตัวออกจากห้องครัวและมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “ขอเดานะ” เธอพูดขึ้น “ฉันทำเสียงดังน่ารำคาญถูกไหม ?”

    “ใช่” เขารับคำและก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด “ทำบ้าอะไรของเธออีกเกรนเจอร์ ?”

    “กำลังเตรียมข้าวของสำหรับพรุ่งนี้แหละ” เธออธิบายพร้อมกับยักไหล่ชะอ้อน “แต่บางทีก็ควรจะถามนายเสียก่อนว่านายแพ้อะไรไหม”

    “ไม่” เขาส่ายหน้าแล้วพาตัวเองไปนั่งบนเคาท์เตอร์ “มีแค่เธอ”

    เขาตั้งใจจะให้คำตอบมันเย็นชาและเชือดเฉือนแต่ดูเหมือนมันจะขาดการเย้ยหยันแบบที่เขาทำได้ดีมาตลอดหลายปี จนมันดูกลายเป็นอะไรที่เหมือนกับการ...หยอกล้อ ? เอาเถอะดูจะเป็นอย่างนั้นเพราะเกรนเจอร์พ่นลมหายใจกลั้วหัวเราะออกมาแถมยังเบ้ปากใส่เขานิดหน่อย เขาเกือบจะเรียกเธอว่ายายเลือดสีโคลนอย่างที่เคยชินแล้วแต่สมองกลับสั่งไม่ให้เขาทำ ซึ่งก่อนเขาจะได้หาข้อสรุปกับมันเกรนเจอร์ก็พูดขึ้นมาก่อน

    “อ่านไททัสจบหรือยัง ?” เธอถาม เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็รู้สึกไม่รู้จะวางตัวยังไงเมื่ออยู่กับเขา และแน่นอนว่าเรื่องนี้เขาและเธอเป็นเหมือนกัน

    เขาหัวเราะหยัน “เชื่อเถอะเกรนเจอร์” เขาบ่นแล้วพักแขนลงบนหัวเขาขณะที่มองหน้าเธอ “ฉันอ่านจะจบอยู่แล้ววันนั้น ดังนั้นแปลว่าฉันอ่านจบแล้วตอนนี้”

    “โอเค” เธอพยักหน้า โบกไม้กายสิทธิ์เพื่อทำอาหารต่อ “อ่านจบแล้วคิดเห็นยังไง ?”

    “มันดูรีบไปหน่อย” เขาตอบง่าย ๆ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยการวิจารณ์ที่ห้วนสนิท “ตัดจบเหมือนพวกมือสมัครเล่น”

    เธอครางในลำคออย่างใช้ความคิดก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก “เห็นด้วย”

    “เรื่อง ?”

    “ก็เห็นด้วยไง” เฮอร์ไมโอนี่พูดซ้ำแล้วมองด้วยสายตาไม่มั่นใจ “มันดำเนินเรื่องเร็วจริง ๆ ไง แล้วได้อ่านเล่มอื่นหรือยัง ?”

    เขาอ่านหนังสือมักเกิ้ลพวกนั้นไปครึ่งหนึ่งแล้วและตัดสินใจจะปล่อยผ่านงานของเชคอะไรสักอย่างไป สุดท้ายก็ตัดสินใจอ่านหนังสือที่ปกดูน่ากลัวซึ่งเขียนโดยมักเกิ้ลที่ชื่อวิลคี คอลลินส์ และเริ่มถูกดูดเข้าไปอยู่ในแต่ละหน้าของบทที่ซึ่งทำให้เขารู้สึกขยะแขยงอยู่ข้างใน

    “ปริศนาหญิงชุดขาว (The Woman in White)” เขาพูดพร้อมลมหายใจรัวแรงเมื่อเห็นเธอเหยียดยิ้มออกมานิดหน่อย

    “นั่นหนึ่งในเล่มโปรดของฉัน” เธอบอก “แล้ว – ”

    “เลิกทำตัวกระตือรือร้นใส่ฉันสักที” เขาพูดเสียงต่ำ “ทักษะการเขียนยังอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานของนักเขียนที่เป็นผู้วิเศษ”

    เธอหุบยิ้มก่อนจะหันหลังให้เขาและกลับไปทำสตูว์ต่อ “มัลฟอย นายเชื่อจริง ๆ ใช่ไหมว่าเลือดบริสุทธิ์อยู่เหนือกว่าเลือดมักเกิ้ล ?”

    เขาเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน ดวงตาแข็งกร้าวของเขาไล่มองลาดไหล่และสั้นหลังของเธอพยายามหาคำใบ้ที่พอจะบอกเขาได้ว่าทำไมเธอถึงถามแบบนั้น “เธอรู้คำตอบอยู่แล้ว เกรนเจอร์” เขาตอบอย่างภาคภูมิแต่ในอกกลับมีเสียงเต้นของหัวใจที่ประหลาดออกไป “อย่างน้อยถ้าคิดว่าตัวเองพอจะมีสมองอยู่บ้างก็อย่าถามคำถามปัญญาอ่อนนักเลย”

    เสียงถอนหายใจที่ฟังดูผิดหวังดังออกจากปากของเธอ “งั้นขอฉันแนะนำอะไรสักอย่างได้ไหม ?” เธอพึมพำเสียงค่อย ขณะที่นิ้วเริ่มอยู่กไม่สุขกับสายจั๊มพ์เปอร์สีแดงตัวโคร่ง

    เธอพูดคำว่าขออีกครั้งแล้ว เขาไม่ค่อยชอบมันและรู้สึกว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เตือนว่าเธอมีจิตใจที่บริสุทธิ์เพียงใด ภายในสมองของเขากำลังคิดถึงความทรงจำที่เขาทะเลาะกับเธอแต่ที่สุดแล้วเขาก็กลับมาจุดเดิมอีกครั้ง การสนทนาดี ๆ แบบนี้มันชวนอ้วกแต่ก็ยังดีที่พอจะทำให้เขารู้สึกถึงความปกติบ้าง รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์บ้าง เหมือนกับเสียงอาบน้ำของเธอ นี่ก็ทำให้อาการปวดหัวของเขาทุเลาลง

    “จะพูดอะไรก็พูดเถอะ” เขายักไหล่ไม่ยี่หระแล้วทำหน้าบึ้งตึง “แต่ความเป็นไปได้ที่ฉันจะเห็นด้วยดูเหมือนจะใกล้เคียงกับคำว่าไม่มีทาง”

    เธอหันกลับมาอีกครั้งด้วยใบหน้าสงบและประนีประนอม แต่เขาก็พอจะสังเกตเห็นดวงตาที่ฉายแววปั่นป่วนได้ เธอน่าสนใจเสมอโดยเฉพาะเวลาแบบนี้เวลาที่เขาได้สำรวจความเป็นไป เหมือนกับปริศนาที่ไม่มีรางวัลใด เขามองเห็นสิ่งที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ภายในหัวใจได้ผ่านดวงตาสีเหมือนฤดูใบไม้ร่วง มันเป็นบางอย่างที่ยากต่อการเข้าใจซึ่งเข้าใจได้ว่าคงดีกับเธอเสียกว่าถ้าหากจะพยายามซ่อนมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะต่อหน้าใครสักคนที่เธอเกลียดนักหนา ใครสักคนที่แปลว่าเขานั่นเอง

    “หลังจากอ่านจบแล้ว” เธอเริ่มเปิดปากพูด “อยากให้นายลองอ่านชีวประวัติของมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์”

    คิ้วของเขาหรี่ลงอย่างระมัดระวัง “เพราะ ?”

    “ฉันคิดว่านายคงเจอแนวคิดที่น่าสนใจบางอย่าง” เฮอร์ไมโอนี่เสนอขณะกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่ก็แค่แนะนำนะ”

    จากนั้นเธอก็ค่อย ๆ พาตัวเองหายไปจากสายตาของเขา หายเข้าไปในห้องของตัวเอง ปล่อยทิ้งให้เขาขบคิดอยู่กับคำขอที่เธออยู่ ๆ ก็ขอขึ้นมา

    เขาคงไม่อ่านมัน แน่นอน


    -


    เฮอร์ไมโอนี่ไม่มีเวลาคิดเรื่องที่คุยกับมัลฟอยนานนักเพราะเสียงเคาะกระจกจากเจ้านกฮูกที่คุ้นเคยดังขึ้นพอดี เธอพาตัวเองรี่ไปยังบานหน้าต่างก่อนจะปลดสลักกลอนให้นกตัวสวยร่อนเข้ามาภายใน

    “เฮดวิก” เธอร้องเรียกสัตว์เลี้ยงผู้สัตย์ซื่อของแฮร์รี่ขณะที่มันคายจดหมายลงบนฝ่ามือ ใบหน้าที่มีขนนุ่มปกคลุมไถอ้อน “ฝากความห่วงใยไปให้ทั้งสองคนด้วยนะ”

    นกฮูกหิมะไม่รอการตอบจดหมายเพราะเสี่ยงเกินไปที่จะรั้งอยู่ที่นี่ ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ก็ห่อเหี่ยวหัวใจเหมือนกับทุกครั้งที่เฝ้ามองปีกว้างเหินบินจากไป ความจริงเธออยากจะเขียนทุกอย่างลงไปเพื่อตอบกลับ แต่ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ามันเสี่ยงมากในการที่จะแลกเปลี่ยนจดหมายเกินความจำเป็น แม้แต่การค้นพบอะไรก็ตามที่จะเป็นประโยชน์แก่พวกเขา เธอยังมีความจำเป็นที่จะต้องรายงานมันผ่านศาสตราจารย์ กฎเหล่านี้เข้มงวดมากแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจนักแต่ก็ต้องจำยอม

    เมอร์ลิน เธอคิดถึงพวกเขา...

    จดหมายถูกพลิกไปมาในมือด้วยความต้องการที่จะเปิดมันออกอ่าน แต่เพราะสัญญากับจินนี่เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเปิดอ่านด้วยกันทุกครั้ง เอาเข้าจริงถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ด้วยความยากลำบากแล้ว นอกจากเธอก็คงเป็นน้องสาวของวีสลีย์นั่นแหละ ทั้งแฟนหนุ่มทั้งพี่ชายกำลังอยู่ในภารกิจที่น่าเป็นห่วงกว่าอะไรดังนั้นจริงไม่แปลกเลยแต่จินนี่จะรู้สึกเคว้งคว้าง

    เฮอร์ไมโอนี่ดึงเสื้อคลุมขึ้นมาสวมและเก็บไม้กายสิทธิ์รวมถึงจดหมายเอาไว้ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง เมื่อออกจากห้องมาเธอกวาดตามองทั้งห้องครัวและโซนนั่งเล่นก่อนจะพบว่าเดรโกคงจะกลับเข้าไปอยู่ในห้องตลอดค่ำนี้เหมือนทุกที เธอจึงรีบออกจากหอพักและตรงไปยังหอคอยกริฟฟินดอร์ทันที

    สิบนาทีหลังจากนั้นเธอก็นั่งลงบนเตียงของจินนี่โดยมีสาวผมแดงนั่งข้าง ๆ เธอมีท่าทีกังวลดูได้จากปลายนิ้วที่ม้วนเส้นผมไม่หยุด ความจริงในห้องนี้ยังมีปารวตี พาติลอีกคนแต่ช่วงหลังเธอมักจะหายตัวไป เป็นไปได้ว่าคงไปขลุกอยู่กับดีน โทมัสหลังทั้งสองเพิ่งจะคบหากัน ดังนั้นตอนนี้จึงมีความเป็นส่วนตัวมากพอให้ทั้งสองคนสามารถปล่อยให้ตัวเองแสดงความรู้สึกที่มีต่อจดหมายได้อย่างเต็มที่ รวมถึงยังเป็นจังหวะที่ดีที่จะอ่านจดหมายเพราะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเพื่อนรักทั้งสองยังคงติดต่อมา

    “พร้อมนะ ?” เฮอร์ไมโอนี่สูดหายใจเข้าและไม่รอคำตอบ เธอฉีกซองจดหมายออกก่อนจะคลี่กระดาษแล้วกวาดสายตาไปยังเนื้อความ


    สาว ๆ

    ทุกอย่างเป็นไปได้สวย ยังไม่มีอะไรต้องรายงานตอนนี้

    ยังคงพยายามกับบางอย่างอยู่แต่ไม่แน่ว่าจะสูญเปล่าไหม

    และเหมือนเดิมนะ อย่ากังวลไป

    คิดถึงและรักเธอทั้งสองคน

    ฮและร

     

    เนื้อหาภายในจดหมายสั้นและได้ใจความเหมือนอย่างเคย พวกเขามักไม่ลงรายละเอียดอะไรเพื่อป้องกันการถูกดักข้อมูล ส่วนครั้งนี้ในจดหมายเป็นลายมือแฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนี่เฝ้ามองจินนี่ที่ใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามรอยตัวอักษรพร้อมหยดน้ำตาที่เกาะบนแพขนตา เธอรู้สึกว่าใต้ตาของตัวเองก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาบ้างเหมือนกันและแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะสิ่งที่เขียนบนกระดาษ แต่เป็นเพราะสิ่งที่ไม่ได้เขียนไว้ในนั้นต่างหาก

    พวกเขาไม่เคยพูดอะไรแบบนี้ และเบื้องหลังถ้อยคำเหล่านี้ก็ขาดอะไรบางอย่างไป บางอย่างที่เธอคิดถึงมัน หลายครั้งแค่เพียงอ่านมุกโง่ ๆ ของรอนหรือถ้อยคำปลอบประโลมจากแฮร์รี่นั่นก็ดีมากพอแล้ว บ้าที่สุด ถ้าพวกเขาเขียนถึงควิดดิชมาเธอคงจะดีใจมากกว่านี้ ให้ตายเธออยากให้พวกเขากลับมาเสียที...

    “เธออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม ?” จินนี่โพล่งออกมาพร้อมเสียงสะอื้น “ป – ปาราวตีไม่อยู่ และฉันไม่อยากอยู่คนเดียว”

    เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าเห็นใจก่อนจะดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ “ได้เลย ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนนะ”

    -

    หายไปไหนวะ?

    อย่างที่เดรโกสังเกตมาตลอด จริง ๆ เกรนเจอร์เป็นผู้หญิงที่ทำอะไรตามกิจวัตร มักจะมีเวลาที่แน่นอนและไม่ค่อยผิดตาราง เขาได้ยินเธอออกจากห้องไปหลังจากพวกเขาคุยกันที่ห้องครัวเหมือนทุก ๆ วัน จากนั้นก็ปล่อยเขาทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวตลอดค่ำ เขาได้อ่านนิยายมักเกิ้ลเพิ่มอีกหน่อยก่อนจะไปอาบน้ำและเตรียมตัวนอน – นอนรอเกรนเจอร์กลับมา

    แต่วันนี้เหมือนจะไม่ปกติ

    จากการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มานานทำให้เขารู้ได้ว่าพวกนกจะมาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันช่วงตีห้าและเธอมักจะกลับมาช่วงตีสาม แต่นี่ยังไร้วี่แวว เดรโกมองหน้าต่างด้วยความสับสนก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงเพื่อออกไปยังห้องนั่งเล่น ดูนาฬิกาอีกทีเพื่อให้แน่ใจแต่นี่ก็ตีห้าห้านาทีกว่าแล้ว เธอยังไม่กลับบ้านมาอีก

    บ้าน...เดี๋ยว ?

    เออ เดี๋ยวค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลัง ตอนนี้ที่เขารู้สึกได้คือความรู้สึกอึดอัดหนัก ๆ ในอกและตอนนี้มันเริ่มทำให้เขาคิดเรื่องอื่นไม่ออก อย่างกับความรู้สึกแพนิค...อืม ใช่แหละ แพนิคอยู่ คำถามมากมายโถมเข้ามาในสมองแล้วเริ่มทุบกระแทกหัวเข้าซ้ำ ๆ

    เธอไปอยู่ที่ไหน

    ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เขาจะต้องติดอยู่ในนี้ใช่ไหม ?

    ถูกลืมน่ะนะ ?

    คนเดียว ?

    จะทำยังไงกับความคิดตอนนี้ดี

    แล้วจะทำยังไงถ้าไม่มีกลิ่นกับเสียงอาบน้ำ

    เขาอยากออกไป

    ไม่มีทางที่เขาจะอยู่ที่นี่ได้ จะปล่อยให้ตัวเองเน่าตายเหมือนพวกไร้ค่าได้ยังไง เขารีบสาวเท้าไปยังประตูหลัก ไม่ได้สนใจเลยว่าจะเกิดผลอะไรตามมา ในตอนนี้เขาแค่จะทำอย่างที่เขาอยากทำ

    เขากำลังบนลูกบิดทองเหลืองพร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาแทบจะในทันที มันเกือบจะเผามือของเขาแถมยังทำให้ร้าวไปทั้งแขน ความร้อนลามเลียจากภายในและเริ่มกัดกินกระดูกของเขาจนสัญชาตญาณตะโกนร้องให้เขาปล่อยมัน แต่เขาไม่เชื่อฟัง เดรโกขบกรามข่มความเจ็บปวดและพยายามจะผลักมันออก ทว่าทันใดความร้อนก็เริ่มเผาไหม้สันหลังของเขา แผ่นหลังของเขาโก่งเว้าพร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดที่ดังก้อง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขายอมแพ้

    เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังอ่อนแอลง เปลวไฟกำลังผลาญพลังงานและเรี่ยวแรงในกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง เขากำลังกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ ความทรมาณคล้ายกำลังจะฉีกตัวเองออกจากลำคอของเขาแต่นี่เป็นหนทางสุดท้ายที่จะหนีออกไป ดังนั้นเขาจะทำทุกอย่างเพื่อเปิดประตูออก

    ความร้อนยังคงเผาร่างของเขาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับความเจ็บปวดในหัว เพียงไม่นานความวูบวาบที่เล่นผ่านต้นคอก็ทำให้เขาชาดิก เขาแทบจะไม่รู้ตัวในขณะที่ค่อย ๆ ร่วงลงที่หน้าประตู เขากระตุกเกร็งและบิดเบี้ยวอย่างบ้าคลั่งแทบจะทุกตารางนิ้วของร่างกาย และจากนั้นสติสัมปชัญญะก็วูบดับไป


    -

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×