NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 6 : Tiles (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 64


    วันนี้น่าจะเป็นวันพฤหัสฯ หรือไม่ก็วันศุกร์ เดรโกเองก็ไม่แน่ใจ

    วันเวลาเริ่มค่อย ๆ กลายเป็นบางอย่างที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ความว่างเปล่าถูกเติมเต็มด้วยโมงยามที่ถูกหลงลืมและวันคืนที่เต็มไปด้วยคำถาม รวมถึงกิจวัตรของเกรนเจอร์ที่เริ่มคาดเดาอะไรไม่ได้จนเขาเหนื่อยที่จะเฝ้ารอเหมือนทุกที เขาไม่รู้ว่าตอนเย็นย่ำแบบนี้เธอกำลังไปเถลไถลอยู่ที่ไหนแต่พนันได้ว่าถ้าไม่ใช่ห้องสมุดก็คงจะเป็นหอพักกริฟฟินดอร์ ก็เธอจะไปไหนได้อีกล่ะ? เรื่องอภิสิทธิ์การเป็นประธานนักเรียนก็เรื่องหนึ่ง แต่เขาว่าเธอคงไม่งี่เง่าพอจะเอ้อระเหยลอยชายไป ๆ  มา ๆ อยู่ข้างล่างนั่นโดยไม่มีเป้าหมายหรอก

    โดยปกติแล้วไม่ว่าเธอจะไปไหนก็มักจะกลับมาถึงห้องไม่เกินตี 3 ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาเลิกพยายามจะนอนก่อนเวลานั้น เพราะเสียงกุกกักและการมาเยือนของเธอในแต่ละคืนทำให้เขาสะดุ้งตื่นอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกความพยายามและรอให้เธอกลับมาก่อนแล้วค่อยเข้านอน

    แต่ถึงอย่างนั้นเสียงอาบน้ำของเธอก็ยังปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาอยู่ดี ...

    ความจริงเมื่อเช้านี้เขาพยายามจะต่อต้านมันแล้วก็รู้ได้ว่าการพยายามจะทำแบบนั้นมันบ้ามากแถมยังไม่ช่วยอะไรนอกจากรู้สึกปวดหัวมากขึ้นและมากขึ้น รู้ตัวอีกทีเสียงรบกวนจากห้องอาบน้ำก็เป็นเหมือนยาเสพติดที่มีฤทธิ์ร้ายกาจ แค่เพียงไม่กี่นาทีของเสียงน้ำเฉอะแฉะก็ช่วยทุเลาอาการปวดในขมับลงได้ชะงัด

    ในท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมพ่ายแพ้ต่อความต้องการทั้งหมดและปล่อยให้แต่ละวันเริ่มต้นด้วยการลากตัวเองไปที่เดิม สละทิ้งศักดิ์ศรีที่ค้ำคอแล้วปล่อยให้เสียงของเธอช่วยรักษา เมอร์ลินโปรดรู้ว่าเขาได้พยายามแล้วแต่ไม่มีอะไรช่วยเขาได้

    เขาเสพติดเธอ และไม่เคยชอบมันเลย

    เดรโกลุกขึ้นยืนหลังจากเสียงน้ำจากฝักบัวเงียบลงไปแล้ว พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่แล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน – เขารู้สึกอยากจะปะทะกับยัยเลือดสีโคลนนั่นอีกสักหน่อยเผื่อว่าเธอจะอยากไล่บี้เขาด้วยไม้กายสิทธิ์หรือไม่ก็ร้องไห้จนตายไปเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่อาจเป็นเพราะเกรนเจอร์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวที่อยู่กับเขาภายในคุกแห่งนี้ เธอเป็นสิ่งเดียวที่มีลมหายใจ มีความรู้สึก และถูกกระตุ้นได้ แม้ว่าหลายวันที่ผ่านมาเกรนเจอร์จะพยายามทำตัวเป็นอารยชนกับเขาสักเท่าไหร่แต่เขาก็ยังคงคิดถึงความรู้สึกที่เลือดในหัวมันเดือดพล่าน อยากจะเห็นเธอเลือดขึ้นหน้าและพยายามจะสวนกลับเขาให้ได้ ทั้งหมดนี้เขาทำเพียงเพราอยากจะแน่ใจว่าตัวเองยังคงเป็นความภาคภูมิใจของซัลลาซาร์อยู่ไหม

    เขาเข้าใจความเกรนเจอร์ดี เขามาไกลจากวันแรกมากพอสมควร ไกลจนคุ้นชินกับเสียงร้องเพลงและเสียงอาบน้ำตอนเช้าของเธอไปเสียแล้ว

    ร่างสูงคว้าจั๊มพ์เปอร์สีดำมาสวมก่อนจะรีบแทรกตัวผ่านประตูออกไปอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องอาบน้ำและเฝ้ามือลูกบิดอย่างจดจ่อ – จดจ่อเสียจนได้ยินเสียงเท้าเปลือยของเธอแตะไปมาบนพื้นกระเบื้องขณะที่เขาพยายามคิดหาหัวข้อมาทะเลาะกับเธอ

    ช่างแม่ง ด้นเอาแล้วกัน

    ลูกบิดทองเหลืองสั่นเล็กน้อยพร้อมกับความรู้สึกตื่นเต้นกำลังดิ้นพล่านไปทั่วประสาทสัมผัส อะดรีนาลีนที่หลั่งกระตุ้นให้ลำไส้ของเขารู้สึกมวนขดจนอึดอัด สัญญาณเลยว่าเขาจะทะเลาะให้ดีที่สุด ทันทีที่ประตูห้องน้ำเปิดออกเขาก็พุ่งเข้าไปดักด้านหน้าก่อนที่เธอจะได้ออกมา ความตกใจทำให้เธอเซถอยหลังยิ่งพื้นเซรามิคที่ลื่นอยู่แล้วยิ่งทำให้เธอสูญเสียการทรงตัว และไม่ว่าจะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรก็ตามคนที่ตั้งใจจะแกล้งเมื่อกี้ก็รีบพุ่งเข้าไปคว้าเธอเอาไว้ แต่ดูเหมือนจะผิดคาดไปหน่อยเพราะการตั้งหลักของเขาเองก็ไม่ได้มั่นคงนัก และเพียงชั่วอึดใจพวกเขาก็ลื่นไถลไปคนละทิศทางด้วยความลื่นของพื้นที่เปียกไปด้วยน้ำขัง หัวของเขาโขกเข้ากับวงกบประตูส่วนเธอก็เกือบจะชนเข้ากับอ่างอาบน้ำ

    “นี่ทำอะไรของนายเนี่ย” เฮอร์ไมโอนี่หอบหายใจอย่างตื่นตระหนก “หัวใจฉันแทบวาย – ”

    “บ้าเอ้ย” เขาพึมพำพร้อมกับซี๊ดปากขณะที่ลูบหลังหัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบาดแผล “เธอมันซุ่มซ่าม – ”

    “นายมาจับฉันเองนะ” เธอท้วงพลางตรวจเช็คว่าผ้าคลุมอาบน้ำนุ่มฟูไม่ได้ไหลหลุดออกจากร่างกาย “บ้าอะไรเนี่ยเมอร์ลิน – ”

    “ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเธอ!” เขาโกหกแล้วสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่เห็นคราบเลือดติดอยู่ที่ปลายนิ้ว “แม่งเอ้ย เกรนเจอร์ ขี้ตกใจนักเหรอ ?”

    “ใครใช้ให้มาจู่โจมตอนที่กำลังจะออกจากห้องน้ำล่ะ” เธอฮึดฮัดอย่างโมโหขณะที่พยายามจะยืนขึ้นแต่ไม่สำเร็จ “มีปัญหาอะไร ?”

    ยายนี่...

    ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่ากลิ่นของเธอชัดเจนเพียงใด กลิ่นที่ยังคงเด่นชัดเป็นไออยู่ทั่วบริเวณให้ความรู้สึกต่างจากกลิ่นจาง ๆ ที่เขาเคยได้กลิ่นพอสมควร กว่าจะรู้ตัวเขาก็เผลอสูดหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วภาวนาว่าเธอจะมองว่ามันคือวิธีควบคุมอารมณ์โมโหแทน แต่แม่งเอ้ย เหมือนเขากำลังถูกมอมเมาด้วยกลิ่นหอมของเธอ ลมหายใจที่สูดเข้าไปทำให้กลิ่นเหล่านี้ตลบอยู่ภายในทั้งโพรงจมูกและช่องปากจนลิ้นของเขาแทบจะได้ลิ้มรส แต่ก่อนที่จะเผลอไผลไปมากกว่านี้กลิ่นฉุนจัดของเชอร์รี่ก็คอยย้ำเตือนให้เขามีสติ

    สลิธีรินหนุ่มคำรามในลำคอ “ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไ – ”

    “แล้วจะพุ่งเข้ามาจับฉันหาอะไร ?” เธอถามด้วยแรงอารมณ์ “เมอร์ลิน นายมันน่า – ”

    “ก็ความผิดเธอทั้งนั้นนี่!” เขาเถียง แม้ว่าจะแอบไม่มั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่าสภาพที่หน่อยแหม็บอยู่บนพื้นห้องน้ำแบบนี้จะดูคุกคามได้สักแค่ไหน “เธอเป็นคนลื่น – ”

    “เพราะว่านายหลอกให้ฉันกลัว!” เธอย้ำความผิดของเขา การโต้เถียงเหมือนเด็กอมมือทำให้เธอเผลอกวักน้ำสาดใส่เขา และดูเหมือนว่าจะโดนหน้าเขาเต็ม ๆ นั่นทำให้ถึงแม้จะโมโหอยู่แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อดหลุดขำออกมาไม่ได้

    “พวกกริฟฟินดอร์นี่ช่างมีวุฒิภาวะเป็นเลิศจริง ๆ ” เขาชักริมฝีปากคว่ำขณะถากถาง “น่าสมเพช – ”

    “โถ เลิกพูดเถอะ” เธอครวญเสียงงึมงำขณะที่พยายามพยุงตัวเองขึ้นยืนบนสองขาที่สั่นเทา พยายามจะเบียดตัวผ่านเขาเพื่อออกจากห้องน้ำให้ได้ แต่นิ้วเรียวยาวทั้งห้ากลับคว้าเข้าที่ข้อเท้าของเธอแล้วออกแรงดึงจนเธอไถลลงกับพื้นห้องน้ำอีกรอบ ตัวเธอกระแทกจ้ำเบ้าอย่างแรงจนรู้สึกปวดบริเวณก้นกบ

    เธอพยุงหลังของเธอไว้แล้วครวญออกมาอย่างเจ็บปวด ขณะที่ดวงตาหรี่เปิด ๆ ปิด ๆ ภาพที่เห็นก็มีเพียงรอยยิ้มหยันของมัลฟอย

    “แล้วนี่มีวุฒิภาวะมากเลยล่ะสิ ?” เธอขู่ฟ่อแล้วต้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง

    “แล้วไง ?” เดรโกพ่นลมหายใจอย่างรำคาญ แต่ชักสีหน้าโอหังได้ไม่นานก็ถูกน้ำที่เธอสาดใส่อีกรอบละลายออกจนหมดสิ้น

    เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มเยาะกลับดูเหมือนว่าสถานการณ์เหนือจริงนี่จะกู่ไม่กลับเสียแล้ว เธอจำไม่ได้ว่าทำไมสงครามน้ำถึงได้เริ่มขึ้นแต่จินตนาการดูแล้วก็ดูเป็นภาพประหลาด ๆ ดี เดรโกขมวดคิ้วขณะที่เฝ้ามองรอยยิ้มขบขันของเธอถูกแทนที่ด้วยมุมโค้งใหม่บนริมฝีปากที่ดูเข้ากับเธอมากกว่า – มันดูน่าประหลาดใจนิด ๆ เหมือนกับเธอล่วงรู้ความลับบางอย่างของเขาและกำลังรอจะพูดมันออกมา ดูเหมือนว่าเขาปล่อยให้สถานการณ์นี้ไปไกลเกินไปแล้ว

    “หยุดทำตัว – ”

    “นายเลือดออกนี่” เธอขัด ก่อนจะเลื่อนตัวเข้าไปหาเขาที่กำลังปั้นหน้าบึ้งตึง

    “แล้ว ?” เขาถามกลับ และมองท่าทางของเธอที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ “นี่เธอจะทำบ้า – ”

    “ขอดูหน่อย” เธอพึมพำแล้ววางทิ้งข้อแม้ทั้งหมดแล้วคุกเข่าลงข้างเขา มันใกล้เสียจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นที่ระเรี่ยใบหู “อย่าเพิ่งขยับ” เธอร้องบอกอย่างหนักแน่นแล้วหยิบเอาไม้กายสิทธิ์ออกมา “เดี๋ยวทำแผลให้ ไม่อยากให้นายเดินเลือดไหลไปทั่วทั้งห้อง”

    เดรโกนั่งตัวแข็งทื่อพร้อมความรู้สึกวูบวาบของพลังเวทมนตร์ที่กำลังสมานแผลให้กับเขา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าที่วูบวาบนี่เป็นเพราะลมหายใจของเธออีกหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามมันก็เป็นความรู้สึกที่ดีและเนิ่นนานเชื่องช้าราวกับเป็นนิรันดร์ตั้งแต่เวทมนตร์เริ่มลามเลียผิวหนังของเขาจนถึงขณะนี้ และกลับยิ่งเชื่องช้ามากขึ้นเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วละออของเธอที่ละไล้ไปตามลำคออย่างใสซื่อ เปลือกตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยด้วยความผ่อนคลายขณะที่สูดหายใจเอาสารเสพติดที่ช่วยปลอบประโลมเข้าไว้เต็มปอดอีกครั้ง ดูเหมือนว่าทุกประสาทสัมผัสของเขาผ่อนคลายลงเพียงแค่เสียงอาบน้ำของเธอเพียงครั้งเดียว

    “เอาล่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจแล้วถอยหลังออกไปดูผลงานของตัวเอง “ดูดีขึ้นแล้วนะ นายโอเคขึ้นไหม ?”

    สัญชาตญาณสลิธีรินเอ่อท้นขึ้นมาท่วมภายในจิตใจของเขาอย่างฉับพลันราวกับเป็นกลไกป้องกันตัว นี่เธอเข้าใกล้เข้ามากเกินไปแล้ว เธอทำแบบนี้อีกแล้ว – พยายามปั่นหัวเขาด้วยการทำเป็นโอบอ้อมอารี บอกตรง ๆ ว่าเขาไม่มีทางเชื่อว่าเธอทำเรื่องพวกนี้โดยไม่มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น ใครจะไปบริสุทธิ์ใจได้ในสถานการณ์แบบนี้ และการอยู่ในอาณาเขตของศัตรูทำให้ความรู้สึกของเขาห่างไกลจากคำว่าหวาดระแวงแน่นอน

    “ถอยไปนะ” เดรโกขบกรามขณะที่ออกแรงผลักเธอให้ห่างออกไป “บอกแล้วไงว่าอย่ามาจับ – ”

    “แต่ฉันแค่ – ”

    “ก็บอกว่าอย่ามาแตะต้องตัวฉันไงวะ!” เขาตวาด พลางขยับตัวลุกถอยด้วยความเร็วจนรู้สึกวิงเวียนในหัว

    เดรโกตวัดสายตากลับไปยังเธอด้วยพร้อมจะพ่นคำพูดนานาที่คิดเตรียมเอาไว้ แต่เสียงของเขากลับถูกกลืนกลับไปในคอเมื่อได้เห็นว่าไหล่และการกระทำของเขาทำให้ชุดคลุมอาบน้ำของเธอร่นขึ้นจนเกือบจะพ้นต้นขา ส่วนคอเสื้อด้านบนกลับรุ่ยลงมา จนเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวเนียนที่มีจุดกระสีเหมือนช็อคโกแลตน่าอร่อยโปรยปรายอยู่บาง ๆ เมื่อมองอย่างเต็มตาเขาก็ไม่อาจละสายตาจากเส้นผมเป็นลอนสีท๊อฟฟี่ที่ล้อมกรอบใบหน้าและคลอเคลียที่ต้นคอระหง ตัดกันกับผิวสีน้ำนมที่มีแต้มสีกุหลาบระเรื่อ เขาไม่เคยวาดฝันเอาไว้ว่าเธอจะเปล่องประกายได้ถึงขนาดนี้เพียงเพราะได้อาบน้ำ เธอดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่เขาได้เจอหลังเลิกเรียนทั้งยังดูไร้เดียงสาจนน่าขันเมื่ออยู่ภายใต้ชุดคลุมอาบน้ำตัวโคร่ง แต่นั่นมันก็ช่าง...ดึงดูด

    “ช่างเหอะ!” เขาสบถกับตัวเองแล้วถอนเท้าออกจากห้องอาบน้ำไปทิ้งให้แม่มดสาวตกอยู่ในความสับสนแบบนั้น

    เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาหลังจากถูกทิ้งเอาไว้กับพื้นเย็น ๆ เพียงลำพัง หมอนั่นทิ้งเธอเอาไว้พร้อมกับสมองที่เริ่มจะเดือดปุดกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความจริงพฤติกรรมของมัลฟอยเริ่มจะดีขึ้นและดีขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไป (อาจจะเรียกว่าดีไม่ได้ แต่ก็เรียกว่าก้าวร้าวน้อยลงได้ล่ะนะ) เป็นหลักฐานว่าบางทีคำพูดของแม่อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้าง การทำตัวเป็นพันธมิตรกับเขาเป็นทางที่ดีที่ทำให้เธอมาถึงวันนี้ได้ อย่างน้อยเขาก็แค่เลือดร้อนง่ายและอารมณ์รุนแรงนิดหน่อยไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเธอยังไม่แน่ใจว่าที่เป็นแบบนี้เพราะหมดแรงจะสู้แล้วหรือกระบวนการปรับตัวของเขากำลังทำงาน – หมายถึงปรับตัวให้เข้ากับการมีเธอในแต่ละวัน

    แน่นอนว่าเธอหวังว่ามันจะเป็นอย่างหลัง


    -


    เฮอร์ไมโอนี่พบว่านี่เป็นอีกครั้งของวันที่เธอพยายามจะสะกดกลั้นไม่ให้ขำออกมาเมื่อในหัวฉายซ้ำภาพของมัลฟอยผู้สง่างามกำลังลื่นไถลไปบนพื้น และด้วยความเคารพ เธอต้องขอโทษศาสตราจารย์ฟลิตวิกด้วยที่สมาธิเริ่มแกว่งไปทางอื่น แทนที่จะสนใจบทเรียนคาถาขยายใหญ่ซึ่งเธอฝึกจนเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ในหัวของเธอมีแต่เรื่องเมื่อเช้าของคนที่มาขออาศัย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าน่ากลัวเหมือนอย่างที่เขาพยายามจะทำมาตลอด หนำซ้ำเธอยังรู้สึกว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจอย่างช่วยไม่ได้จริง ๆ

    ความจริงเขาก็ยังคงทำตัววางโตเหมือนยิ่งใหญ่เสียเต็มประดาแถมยังอารมณ์ร้อนเก่งเหมือนเดิม แต่บางอย่างที่ต่างออกไปก็ยังพอมีอยู่ถึงจะสังเกตได้ยากก็ตาม เหมือนกับว่ามันฝังตัวอยู่ลึก ๆ ภายใต้ใบหน้าซีดเผือดของเขาเป็นเหมือนจุดที่กำลังจะอ่อนลง ความรุนแรงและเสียงตะโกนที่เคยมีให้เธอเสมอ ๆ เริ่มหายไปและเธอก็สัมผัสได้ว่านายคนนั้นพยายามจะทะเลาะกับเธอเพียงเพราะหลักการบางอย่างและเหมือนว่าจะทำเพราะมันเป็นกิจวัตรเท่านั้นเอง นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เธออาจะคิดในแง่ดีมากจนเกินไปแต่ช่วยไม่ได้เธอแอบคิดว่ารอยยิ้มหยันครั้งล่าสุดของเขานั่นแหละคือสัญญาณที่ดี

    “วันนี้เธอดูผ่อนคลายกว่าที่เคยนะ” เสียงของเนวิลล์ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย “มีเรื่องดี ๆ หรือเปล่า ?”

    “ไม่” เธอส่ายหน้าพร้อมความรู้สึกผิดลึก ๆ “แค่เมื่อคืนนอนหลับดีกว่าที่ผ่านมา – ฉันคิดว่าแฮร์รี่คงจะส่งจดหมายนกฮูกมาเร็ว ๆ นี้แหละ ไว้จะบอกนะ”

    “ขอบใจ” เขายิ้ม ก่อนจะหันกลับไปพยายามขยายรูปสลักที่ได้รับมาเป็นโจทย์

    เฮอร์ไมโอนี่มองเนวิลล์อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ เพราะเข็มนาฬิกาที่ยังคงเดินต่อไปแต่เขายังดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจคาถาสักเท่าไหร่ วิชาคาถาเป็นคาบสุดท้ายสำหรับวันนี้และการได้ถึงแฮร์รี่กับรอนก็ทำให้เธอรู้สึกมีกำลังใจที่จะมุดหัวอยู่กับหนังสือเพื่อค้นคว้าทุกอย่างเท่าที่จะช่วยพวกเขาได้ ดังนั้นเมื่อศาสตราจารย์ฟลิตวิกเลิกคลาสเธอจึงพยักหน้าให้กับเนวิลล์เป็นการบอกลาแล้วรีบพุ่งไปยังประตูทันที แต่ก่อนจะได้ออกไปใบหน้าที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นและหยุดเธอเอาไว้ ใบหน้าของศาสตราจารยใหญ่ทำให้เธอใจหาย และการได้พบเธอที่นี่ก็ยิ่งน่ากังวล

    “คุณเกรนเจอร์ – ”

    “พวกเขา” เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาโพลงขณะที่โพล่งถามโดยไม่ได้รอฟังศาสตราจารย์พูด “แฮร์รี่กับรอน – ”

    “คุณพอตเตอร์และคุณวีสลีย์สบายดี” ศาสตราจารย์ยืนยันคำตอบโดยไม่รอคำถาม โดยมีนักเรียนสาวผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “แต่อย่างไรก็ตาม ฉันมีข่าวร้ายจะต้องแจ้งให้ทราบ”

    ใบหน้าของเธอดูเต็มไปด้วยความกังวลจนเฮอร์ไมโอนี่เผลอนึกย้อนไปถึงตอนงานศพของดัมเบิลดอร์

    “อะไรคะ” เธอถามเสียงแผ่ว “ทุกคนโอเคใช่ไหม ?”

    “ฉันคิดว่าเราควรจะไปคุยเรื่องนี้กันที่ห้องของฉันจะดีกว่า”

     


    เขานั่งอยู่บนเคาท์เตอร์ครัวและเคาะนิ้วลงบนพื้นเย็น ๆ เป็นจังหวะตามเสียงนาฬิกา

    เดรโกเฝ้ามองแป้นนาฬิกาด้วยความพิศวง เมื่อเข็มนาทีเดินทางเข้าสู่สามนาทีหลังหกโมงตรงแล้ว จริงอยู่ที่พวกสิ่งประดิษฐ์อาจจะมีความผิดพลาดได้บ้าง แต่มันก็เป็นไปได้ยากมากสำหรับนาฬิกามนตรา และเป็นไปยากมากกว่าสำหรับเกรนเจอร์ – ไม่มีใครคาดคิดว่าคนอย่างเธอจะรู้จักคำว่าสายด้วย เดรโกคิดขณะที่นั่งรอเธอมาพักใหญ่หลังกินซุปผักที่เธอทำเอาไว้ให้ เขาหวังว่าเธอจะรีบกลับมาเพื่อที่จะได้สะสางความผิดพลาดเมื่อเช้าให้จบสักที

    ความจริงก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขากำลังทำตัวเหมือนเด็กที่รู้สึกสนุกเหลือเกินกับการย่ำไปบนแอ่งน้ำขัง น่าสงสัยว่าที่เธอดูจะผ่อนคลายกับเขามากขึ้นอาจเป็นเพราะการที่เขาเอาแต่ทำตัวโง่เง่าแบบนี้ ซึ่งไม่ได้การ นี่จะต้องได้รับการแก้ไข อย่างที่รู้กันพวกกริฟฟินดอร์ออกจะคลั่งไคล้มิตรภาพเหลือเกินและนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เกรนเจอร์กล้าที่จะทำตัวเป็นมิตรต่อเขา ทั้งที่ก็เป็นแค่เลือดสีโคลน – ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม เขาก็เหนือกว่า เธอควรจะจำใส่กระโหลกเอาไว้

    เธอควรจะจำให้ขึ้นใจว่ายังไงคนอย่างเธอก็ต้องอยู่ข้างล่างเขาอยู่ร่ำไป – แน่นอนว่านี่พูดถึงการอุปมาอุปไมยเท่านั้น

    โอเค งั้นนี่คือแผนการสำหรับวันนี้ แต่ติดอยู่อย่างเดียวก็คือเธอกำลังจะสายเป็นชั่วโมงแล้ว คิดไปคิดมาถ้าจะให้พูดถึงเรื่องดี ๆ ของการคบค้าสมาคมกับเกรนเจอร์นอกจากความฉลาดจนน่ารำคาญของเธอ สิ่งหนึ่งก็คงจะเป็นการที่เธอรักษาเวลาเป็นเลิศ เขาเกลียดพวกไม่รู้จักเวลาและไม่เป็นระเบียบที่สุด

    แล้วตอนนี้เธอหายหัวไปไหน ?

    หอพักเริ่ม...วังเวงเมื่อไม่มีเธอ และเขาก็เริ่มสงสัยอีกครั้งว่าตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาวะหวาดระแวงหรือยัง บรรยากาศเริ่มชื้นขึ้นเรื่อย ๆ และสาบานได้เลยว่ากลิ่นหอมของเธอกำลังค่อย ๆ จางไป เขาเริ่มคิดหาทางแก้ไขแต่ต้องยอมรับว่าไม่ชอบมันเอาเสียเลย เขานั่งคิดอยู่ว่าจะลุกไปอาบน้ำเพื่อลดอาการกังวลดีไหม แต่ก่อนจะได้ตัดสินใจเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น

    “หายหัวไปไหน ?” เขากระโดดลงจากเคาท์เตอร์ครัวท่าทางขึงขังราวกับหมาป่าตัวใหญ่ แต่เธอไม่ได้สนใจเขาสักนิด “นี่เกรนเจอร์! ฉันกำลังพูดอยู่นะ!

    ยังคงไม่สนใจ

    เขาคำรามในลำคอขณะที่สืบเท้าเข้าไปหาเธอ คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นเมื่อเห็นว่าท่าทางของเธอแปลกไป ใบหน้าของเธอถูกมุมของร่างกายและเส้นผมสีน้ำตาลบดบังเอาไว้ เดรโกพยายามมองก่อนจะพบว่าร่างกายของเธอสั่นเทา นั่นยิ่งทำให้เขาฉงนจนต้องพยายามเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าและในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่รอดผ่านริมฝีปากของเธออกมา – เธออาจจะไม่ได้สะอื้นอยู่แต่ก็ใกล้เคียง

    เดรโกหยุดเท้าก่อนจะถึงตัวเธอสองสามก้าวเมื่อแสงไฟส่องกระทบจนเห็นหยดน้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่ที่แพขนตางอน – น้ำตา – นี่เขาไม่ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้มาก่อน

    ดวงตาสีอ่อนกระพริบสงสัยก่อนจะลอบสบถด่าตัวเองเงียบ ๆ นี่เขาเป็นแบบนี้อีกแล้ว อึก ๆ อัก ๆ เหมือนคนปัญญานิ่ม เท่าที่จำได้ปกติแล้วถ้าได้เห็นเกรนเจอร์เลือดสีโคลนร้องไห้เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกเสียจากพอใจและกระชุ่มกระชวย ตอนนี้เขาต้องการรู้สึกแบบนั้นเพื่อที่อย่างน้อยก็จะได้แน่ใจว่าเขายังไม่สูญเสียตัวตนไป

    “ฉันถามคำถามเธอนะเกรนเจอร์” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะทำหน้าบึ้งเมื่อเธอสะดุ้ง “ทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมถึงกลับช้ – ”

    “ไม่ใช่ตอนนี้” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำและยังคงซุกใบหน้ากับท่อนแขน “ขอ – ”

    “ฉันไม่สนว่าเธอจะพร้อมหรือไม่พร้อมนะ” เดรโกยังคงจู่โจมอย่างต่อเนื่องและพยายามกันทางไม่ให้เธอหนีไปได้ “ฉันถาม – ”

    “มัลฟอย หยุดสักที” เธอบอกและหลบหน้าหนีก่อนที่เขาจะทันได้เห็น “ปล่อยฉันไป – ”

    “ทำไมมีน้ำตาล่ะเกรนเจอร์ ?” เขาถามพลางคิดว่าน้ำเสียงเยาะเย้นน่าจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาที่น่าพอใจ “วีสลีย์แล้วก็นังบราวน์อีกแล้วหรือไง ?”

    “ให้ฉันอยู่คนเดียวเถอะ” เธอพูดเหมือนน้ำท่วมปาก เสียงเกือบจะปนก้อนสะอื้นแล้ว “ขอร้องเถอะมัลฟอย ขอให้ฉันอยู่ – ”

    “ไม่” เขาปฏิเสธเสียงหยันแม้ว่าท่าทางของเธอจะทำให้เขารู้สึกลังเลก็ตาม “ร้องไห้ทำไม ? ดูน่าสมเพช – ”

    “มัลฟอย – ”

    “ตอบมา!

    “ไม่!” เธอกรีดเสียงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง “ปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพังได้แล้ว!

     ริมฝีปากของเขากระตุกเกร็งขณะที่มองสำรวจเธอ สองแก้มเปรอะน้ำตาแถมดวงตาก็บวมช้ำ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความเหินห่างและวิงวอน ความตั้งใจหนักแน่นของเขาแทบจะหล่นหายไปหมดเมื่อเห็นริมฝีปากที่สั่นระริก เขาเห็นรอยแยกเล็ก ๆ ที่เผยออกมาระหว่างเส้นตรงเม้มสนิทขณะที่เธอพยายามจะขบมันไว้เพื่อข่มอารมณ์บางอย่าง เห็นแบบนี้ก็ดูแปลกไปหมด จากหนึ่งในสามพวกบ้าแห่งฮอกวอตส์กลายมาเป็นเปราะบางถึงขนาดนี้ได้ยังไง ใจเสาะจริง

    เขาควรที่จะรู้สึกเพลิดเพลินเพราะนี่ก็นับเป็นหนึ่งในชัยชนะทั้งยังมอบโอกาสอันงดงามให้เขาได้เย้ยหยันเธอเต็มที่ แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น กลับกันเขากลับพบว่าฉากที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขา...อยู่ไม่สุข

    เธออาศัยช่วงที่เขากำลังสับสนรีบแทรกผ่านเขาไป ชัดเจนว่าพยายามจะล็อกตัวเองเอาไว้ในห้องและเริ่มปลดปล่อยความเศร้าออกมา แต่เขาไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เขาไม่รู้เหมือนกันว่าจะรั้งเธอเอาไว้ทำไม – เอาไว้เพื่อถากถางอย่างไม่มีจุดหมายหรือเพื่อไขข้อสงสัย แต่เท่าที่รู้ก็คือธุระของเขายังไม่เสร็จสิ้น

    “ฉันยังคุยไม่จบนะ!” เดรโกตะโกนแล้วก้าวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปกันเธอไว้ไม่ให้เข้าห้อง “ฉันบอกว่า – ”

    “แต่ฉันคุยจบแล้ว!” เธอเหวี่ยงเสียงกลับก่อนจะสำลักน้ำตา “เป็นบ้าอะไร ทำไมนายถึงไม่ปล่อยให้ฉันไป ?”

    “ฉันชอบเห็นเธอร้องขอ” เขาบอกเสียงขรึม “ตอบคำถาม – ”

    “ฉันจะไม่มีทางบอกอะไรนายอีก มัลฟอย” เธอบอกถึงแม้ที่เป็นอยู่จะไม่ดีพอให้สามารถขู่อะไรเขาได้ “จะถอยไปดี ๆ หรือให้ฉันทำให้นายถอย – ”

    “เอาสิ” เขาท้าแล้วจับข้อมือเธอเอาไว้ก่อนจะได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋า “ถ้าไม่มีไม้กายสิทธิ์ก็คงพล่ามอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ใช่ไหม – ”

    “ป – ปล่อยฉัน” เธอพึมพำก่อนที่มืออีกข้างจะถูกพันธนาการซ้ำ “นายจะใช้ไม้กายสิทธิ์ของฉันไม่ได้ ม – มันมีคาถา – ”

    “ก็น่าจะเป็นงั้น” เขาว่าแล้วบิดแขนเธอจนเข้ามาอยู่ในมุมที่ไม่น่าพึงใจนักจนเธอร้องออกมาเบา ๆ “ทีนี้บอกมา! ทำไมจะต้องร้องไห้ด้วย ?”

    เขาลืมแขนอีกข้างของเธอไปเสียสนิท ความผิดพลาดโง่ ๆ ทำให้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกเมื่อเธอหมุนร่างเล็กแล้วหันกลับมาใช้หมัดปะทะเข้าที่สันกราม มันไม่ได้รุนแรงมากนักแต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาล่าถอยไปและปล่อยให้เธอเป็นอิสระ ทันทีที่เธอหลุดออกจากพันธนาการเสื้อคลุมที่สะบัดพลิ้วก็ทำให้ไม้กายสิทธิ์หล่นลงมาและร่ายคาถาใส่เขาจนลอยหวือไปฟุบอยู่หน้าห้องอาบน้ำ ตามมาด้วยเสียงดังก้องของพื้นกระเบื้อง เขารู้สึกวิงเวียนและเจ็บแปลบที่ชายโครงเพราะกระแทกเข้าเต็มเปา เดรโกเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยดวงตาพร่า

    ดวงตาสีผงเถ้าพบว่าเธอยืนอยู่ที่วงกบประตู ความขุ่นเคืองก่อตัวเหมือนเมฆอยู่ภายใต้ฝ่าหมอกน้ำตาที่คลออยู่ที่ขอบตาแดงก่ำ ร่างเล็กของหญิงสาวขณะนี้สั่นเทิ้มเพราะความโกรธ และลมหายใจที่พ่นผ่านริมฝีปากออกมาก็เป็นหลักฐานชั้นดี คาถาของเธอทำให้เขาสับสนว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่

    “บอกแล้วไงว่าขออยู่คนเดียว!” เธอตะโกนบ้าง คราวนี้เขาพบว่าเธอได้ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลเรียบร้อยแล้ว “นายมันโง่งี่เง่า!

    รู้สึกว่าเขาจะทำให้อารมณ์เธอพุ่งไปไกลเกินเสียแล้ว เห็นได้ชัดจากท่าทางเดือดดาลและประกายไฟในตาที่เธอไม่สนใจจะควบคุมมันอีกต่อไป ท่าทางน่ากลัวของเธอคงเกิดจากการระเบิดอารมณ์ที่เธอพยายามจะสะกดกลั้นเอาไว้ และนั่นทำให้สัญชาตญาณของเขาเร่งร้องบอกให้ระวังองศาไม้กายสิทธิ์ของเธอให้ดี แต่ความเป็นสลิธีรินในเบื้องลึกก็เตือนให้เขานึกถึงพฤติกรรมน่าสมเพชที่เขามีต่อเกรนเจอร์เมื่อหลายวันที่ผ่านมา นั่นทำให้ในที่สุดคำด่าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีถูกบีบให้หลุดออกจากปากได้อย่างง่ายดาย

    “เธอมันเลือดสีโคลนโสโครก!

    เหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดผึง และเขาสังเกตได้ เหมือนมีบางอย่างสั่นไหวในดวงตาของเธอ – มันดูดุร้ายอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาพยายามจะเคลื่อนตัวหนีแต่คลื่นความเกลียดชังจากเกรนเจอร์ก็พุ่งเข้าโจมตีเขาอีกรอบจนสมองชาไปหมด เขาพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะโฟกัสที่เธอแต่ดวงตาก็พร่าเกินไป

    “เลือดสีโคลน” เธอย้ำคำเหมือนเสียงฮัมเพลงที่แหบแห้งก่อนจะยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นอีกครั้ง

    เดรโกพ่นลมหายใจออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าเธอใช้ไม้กายสิทธิ์แทงลงที่ฝ่ามือ ปลายแหลมของไม้ที่เหลาอย่างดีค่อย ๆ แทรกตัวผ่านเนื้อหนังก่อให้เกิดรอยแยกที่มีของเหลวสีแดงเข้มทะลักล้นออกมา เฮอร์ไมโอนี่ลากขาเข้ามายังห้องอาบน้ำ นั่งลงใกล้กับเขาและให้เขาใกล้กับรอยแผลสด ๆ ของเธอ นี่มันผิดปกติไปหมด เขามองบาดแผลที่เลือดกำลังไหลอาบนิ้วกลางของเธอ และสองหยดที่เหมือนเม็ดทับทิมก็หยดกระทบพื้นสีงาข้าง ๆ ฝ่าเท้า

    “นายบอกว่ามันโสโครกเหรอ ?” เฮอร์ไมโอนี่ด้วยน้ำเสียงแกว่งแปร่ง “คิดว่าเลือดของฉันสกปรกมากนักเหรอ ?”

    “เกรนเจอร์ – ”

    “คิดแบบนั้นใช่ไหม ?” แม่มดสาวแหวเสียงสูงแล้วพุ่งเข้าไปจับมือของเขา

    “นี่เธอจะทำบ้าอะไร ?” เขาถาม ยอมรับเลยว่ากำลังแพนิคอย่างหนักกับการกระทำน่าสงสัยของเธอ “เกรนเจอร์ เป็นห่าอะไร ?”

    เธอไม่ตอบอะไรแต่ทำการเถือฝ่ามือของเขาด้วยวิธีเดียวกัน ความตกใจทำให้ปฏิกิริยาตอบกลับของเขาแสนเฉื่อยชา มันไม่ยอมให้เขาได้ดิ้นรนเพราะรู้ตัวอีกทีเธอก็ใช้ฝ่ามือที่โชกเลือดของทั้งเขาและเธอประกบเข้าหากันแล้ว

    “ไง” เฮอร์ไมโอนี่ตวาด แกว่งมือที่จับกันไว้แนบสนิทขณะพูด “ทีนี้เลือดของนายก็โสโครกเหมือนกันแล้ว!

    เลือดในกายสูบฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อจนทำให้เขาใช้เรี่ยวแรงที่มีกระชากมือที่จับกับเธอออกและออกแรงเหวี่ยงเธอให้พ้นออกจากตัวเขาไป เฮอร์ไมโอนี่ไถลไปกับพื้นพร้อมเสียงกรีดร้อง ภาพตอนเช้าฉายซ้ำเข้ามาอีก เดรโกไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเย้ยหยันของเธอเพราะดวงตายังคงไม่อาจละไปจากคราบสีแดงบนผิวตัวเองได้

    แย่ที่สุดคือเขาไม่สามารถแยกได้ว่าคราบไหนคือรอยเลือดของเธอ มันเป็นสีเดียวกันสนิท...เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านี่หมายความว่ายังไง

    ดวงตาที่เบิกโพลงย้ายไปมองยังเฮอร์ไมโอนี่อย่างลนลานแล้วพบว่าเธอกำลังมองมาที่เขาเช่นกัน สีหน้าของเธอทั้งหวาดกลัวและสับสน ท่าทางน่าขนลุกก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้วเธอกลับมาเป็นเกรนเจอร์ที่ดูใสซื่อเหมือนเคย พวกเขาทั้งคู่หอบหายใจอย่างรุนแรงด้วยอารมณ์มากมายที่แหวกว่ายไปมาระหว่างพวกเขา ทั้งโกรธ สับสน และเดียดฉันท์...มันมากเกินกว่าจะรับไหว เขาได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น นิ่งงันและมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่สบเข้าหากัน

    ฉากนี้แปลกประหลาดและชวนให้นึกถึงเช้าแปลก ๆ ของพวกเขา หากทว่ามันแตกต่างกันอยู่มาก มันไม่มีรอยยิ้มยั่วทะเล้นหรือการสาดน้ำแบบเด็ก ๆ มีเพียงพวกเขาและหยดเลือด ในจมูกของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นแปร่งเหมือนเหล็กและนั่นทำให้เขาเกิดคิดถึงกลิ่นรสของเกรนเจอร์ขึ้นมาอย่างฉับพลัน

    “พระเจ้า” เธออ้างปากค้างขณะที่พยายามจะคุกเข่าขึ้นอย่างยักแย่ยักยัน “พระเจ้า มัลฟอย ฉันขอโทษ – ”

    “อย่าเข้ามาใกล้ฉัน” เขาคำรามแล้วเบียดแผ่นหลังเข้าหากำแพงขณะที่เธอพยายามจะเข้ามาใกล้ “อย่าแม้แต่จะคิด นังบ้า – ”

    “ฉันไม่ – ไม่อยากจะเชื่อว่าทำอะไรแบบนั้นลงไป” เสียงของเธอตะกุกตะกักและเต็มไปด้วยความเศร้า หยดน้ำตาใสเริ่มไหลเคลือบแก้มและริมฝีปากอีกครั้ง “มานี่หน่อย ขอฉัน – ”

    “เธอทำอะไรลงไป ?” เขาพึมพำมองไปยังบาดแผลก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน “เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย ?!

    “ไม่รู้ ฉันไม่รู้” เธอครวญออกมาเสียงดังพยายามจะถดตัวหนีเมื่อเขาย่ำเท้าผ่านเธอไป “นายจะไปไหน ?”

    “ไปให้ไกลจากเธอ!” เขาตวาดเสียงดังแล้วเดินปึงปังออกจากห้องไปหยุดอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมามอง “อย่าเข้ามาใกล้ฉันแม้แต่นิ้วเดียว – ”

    “มัลฟอย ได้โปรด” เธอปล่อยโฮกเมื่อเขาหายไปจากสายตา “ขอให้ฉันได้อธิบาย”

    แต่สิ่งที่เธอได้รับมีเพียงเสียงประตูที่ปิดลงเสียงดังสนั่น ร่างกายของเธอสั่นสะท้านอย่างน่ากลัว เกือบจะมีอาการชักรุนแรงขณะที่สำลักก้อนสะอื้น เธอขดตัวเข้าหากันแล้วครวญครางอย่างปวดร้าวแต่ทว่าแทบจะไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา เธอใช้ท่อนแขนปิดบังใบหน้าและเสียงของเธอเอาไว้ – ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอสะอื้นอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งร่างกายเริ่มรู้สึกร้อนอยู่ภายใน

    ส่วนผนังอีกด้าน เดรโกฝังตัวลงบนเตียงและปล่อยให้เสียงร้องไห้อย่างโศกเศร้าของเธอลอยผ่านหู สาบานเถอะเมอร์ลิน เขาอยากได้ยินเสียงเธออาบน้ำมากกว่า ดวงตาสีหม่นสำรวจฝ่ามือที่กรังเลือดด้วยสีหน้าบู้บี้พยายามจะบอกให้ได้ว่าเลือดของพวกเขาต่างกันอย่างไร แต่มันไม่มีความแตกต่างใด ๆ ทั้งสี สัมผัส...ทุกอย่างเหมือนกัน

    เขาไม่ควรกระตุ้นเธอแบบนั้น...

    ร่างสูงหรี่ตาปิดลงเริ่มสงสัยว่าทำไมถึงได้รู้สึกผิดขึ้นมาแบบนี้ เขาควรจะคำรามด้วยความโกรธและโถมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ใส่เธอให้สาสมกับสิ่งที่ทำ แต่ที่สุดแล้วสิ่งที่เขาทำในตอนนี้กลับมีเพียงคำถามที่ว่าอะไรที่ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาดลง เขาอยากจะเหยียดหยันเธอเพื่อที่จะได้ปริ่มเปรมไปกับความทุกข์ของเธอ

    แต่สุดท้ายแล้วไม่เลย

    เขาไม่ได้เกลียดเธอขนาดนั้น

     -------------------------

    เฮอร์ไมโอนี่ไม่แน่ใจว่าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าการร้องไห้จะทุเลาลงแต่คิดว่าอย่างน้อยก็คงร่วมสามชั่วโมงได้ เพราะเมื่อรู้สึกตัวอีกทีเสียงจากรอบนอกก็เงียบลงไปมากและหอทั้งหอก็มืดลงสงัด ดวงตาอ่อนล้าหลุบลงมองพื้นกระเบื้องแบบดั้งเดิมก่อนคิ้วจะขมวดมุ่นขณะที่เธอไล่สายตาไปตามรอยสีแดงจาง ๆ รอบตัว รอยนิ้วมือสีแดงคล้ำทำให้เธอระลึกขึ้นในวินาทีนั้นราวกับกลีบดอกป็อปปี้กลางหิมะ – นั่นคือรอยนิ้วมือของเดรโก

    พอคิดได้ดังนั้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรแต่ความรู้สึกถัดมาคือความสิ้นหวัง เธอรู้สึกว่าตัวเองคงหมดโอกาสจะได้ขอโทษและพยายามอธิบายอะไรอีกต่อไป เฮอร์ไมโอนี่โกรธตัวเองที่ทำอะไรแบบนั้นไปอย่างไม่มีหัวคิด ทั้งที่ปกติในหมู่เพื่อนด้วยกันเธอมักจะเป็นคนที่รอบคอบมากที่สุด แต่ดูเธอตอนนี้สิ ดูสิ่งที่เธอทำลงไป

    เปลือกตาบวมพยายามมองไปยังรอยแดง ๆ จากนิ้วนางจนถึงนิ้วโป้งของเธอและพบว่ามันเริ่มกรังแล้ว วินาทีต่อมาจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ใช่เวลาจะมาเจ็บปวดกับบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายตัวเอง และเริ่มสงสัยว่ามัลฟอยจะเจ็บมากไหม เธอค่อย ๆ ยืดมือที่บาดเจ็บออกมาก่อนจะพยายามร่ายคาถารักษาบาดแผลขณะที่ริมฝีปากขบกันแน่น

    หลังจากนั้นคาถาอีกสองสามบทก็ทำให้ห้องน้ำกลับมาอยู่ในสภาพที่ปกติ แม่มดสาวนั่งอยู่กลางห้องน้ำนิ่ง ๆ อยู่พักใหญ่ หมดปัญญากับการรวบรวมศักดิ์ศรีและความกล้าหาญทั้งหมดให้กลับคืนมา

    เธอต้องการพบเขา เธอต้องอธิบาย

    ฝ่ามือเรียวค่อย ๆ จับอ่างล้างหน้าพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนและพยายามลากขาไปตามพื้นเย็นเฉียบอย่างงุ่มง่าม เพราะแข้งขากำลังไร้ซึ่งเรี่ยวแรงทั้งในอกยังมีความเจ็บปวดบางอย่างเกาะกิน เธอกล้ำกลืนฝืนความกังวลทั้งหมดขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องของเขา ฝ่ามืออันสั่นเทาค่อย ๆ เคาะลงบนประตู

    “มัลฟอย” เธอเรียก “ขอเขาไปหน่อยได้ไหม ?”

    “บอกว่าอย่าเข้ามาใกล้ไง” เสียงแหบห้าวดังตอบกลับมา ทีแรกเธอคิดว่าเขาจะไม่ตอบด้วยซ้ำ

    “อาโลโฮโมรา” เธอพึมพำก่อนจะสูดหายใจแล้วผลักประตูเข้าไปอย่างร้อนใจ เขานั่งอยู่บนเตียงและมองมาที่เธอ เดรโกดูใจเย็นกว่าที่เธอคิด “มัลฟอย – ”

    “ฉันคิดว่าฉันพูดชัดแล้วนะว่าไม่ต้องการให้เธอโผล่มาให้เห็น” เขาพูดดักคอด้วยน้ำเสียงต่ำน่ากลัว

    “ฉันรู้” เธออ้อมแอ้มตอบและเดินเข้าไปอีกก้าว “แต่ฉันต้องอธิบาย –”

    “ออกไป” เขาร้องสั่ง ไม่ได้มองหน้าเธอด้วยซ้ำ “อย่าเข้ามาใกล้ – ”

    “เดรโก ได้โปรด – ” เธอบอกเขาขณะที่ละทิ้งอัตตาทั้งหมด เขาต้องรู้ว่าทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้ “ล – เลือดของฉันจะไม่อยู่กับนายหรอก...ระบบเลือดของนาย – ”

    “ฉันรู้ดีว่าภายวิภาคของฉันทำงานยังไง เกรนเจอร์” เขาลากเสียงแต่เธอมองเห็นกรามของเขาขบกันแน่น “ออกไป”

    มีเพียงเมอร์ลินที่รู้ว่าทำไมเธอจึงปีนขึ้นไปบนเตียงของเขา ส่วนเธอรู้แค่เพียงว่าการเข้าไปใกล้ ๆ อาจจะทำให้เขารับฟังเธอมากขึ้น ดวงตาของเขาจ้องเขม็งมากที่เธอแต่ก็ยังไม่เห็นสายตามาดร้ายที่เธอเตรียมใจเอาไว้ เขาเพียงแค่มองมาด้วยความแปลกใจเหมือนไม่เคยเห็นเธอมาก่อนและอาจจะมีเหตุผลอีกบางประการที่ซ่อนอยู่

    เดรโกไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงกับการปรากฏตัวของเธอ ทุกเซลล์ประสาทในสมองบอกว่าเขาควรลากออกไปอยู่นอกห้องให้เร็วที่สุด แต่ความสงสัยและสับสนกลับชนะความโกรธเกรี้ยของเขาได้ในครั้งนี้ เขาอยากรู้มากกว่าว่าเธอทำแบบนั้นไปทำไม เขาพอจะรู้อยู่แล้วว่าเลือดมักเกิ้ลของเธอจะไม่รวมเข้ากับเลือดของเขา ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเธอ เขาดันรู้สึกถึง เธอ ความเป็นเธอมันไหลเวียนอยู่ในระบบเลือดและกำลังปั่นป่วนระบบประสาท นี่แหละคือปัญหา

    “ฉันขอโทษจริง ๆ เดรโก” เสียงพึมพำดึงความสนใจของเขากลับมา “ฉัน – ฉันขอโทษจริง ๆ”

    มีสองอย่างที่ทำให้เขาผงะเล็กน้อย อย่างแรกคือเธอเรียกชื่อต้นของเขา อย่างที่สองคือเธอพยายามขอโทษด้วยความรู้สึกทั้งหมดเท่าที่มี เขามองสำรวจเธออย่างลวก ๆ และพบว่ามันมีเพียงความจริงใจอยู่ที่นั่น น่าแปลกเมื่อเทียบกับอารมณ์ของเธอก่อนหน้านี้

    “ฉัน – ฉันเพิ่งรู้ว่าศาสตราจารย์เบอร์เบจถูกฆ่า” เธอค่อย ๆ พูดออกมาอย่างระมัดระวัง และเขาสังเกตได้ว่าเธอพยายามจะกลั้นไม่ให้น้ำตาระลอกที่สองพรั่งพรูออกมา “โดยโวลเดอมอร์”

    เขากระพริบตา ดูเหมือนว่าที่เธอสติแตกจะดูมีเหตุผลมากขึ้นแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่าน่าแปลกใจเพราะเขาไม่ได้ยินชื่อนั้นมาตั้งแต่สเนปทิ้งเขาไว้ที่นี่ เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถมองเธอในแบบที่ไม่ใช่ศัตรู เพราะมันดูไม่สมเหตุสมผลกับการเป็นศัตรูกันทั้ง ๆ ที่ใครคนนั้นอยากให้พวกเขาทั้งคู่ตายเหมือนกัน ไม่ – ไม่ใช่ศัตรู แต่ก็ไม่ใช่มิตรอยู่ดี เป็นอะไรสักอย่างที่อยู่กึ่งกลาง

    “เขาเป็นเพื่อนเรา” เธอสะอื้นเล็กน้อยตอนพูด “และเมื่อนาย – นายพูดแบบนั้น ฉันแค่เปรียบเทียบและรู้สึกว่านี่มันไม่ยุติธรรมเลย”

    เดรโกปล่อยให้ความเงียบทำงานเพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป มีความรู้สึกอยากจะตวาดใส่เธอที่ทำตัวโง่เง่าแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ความโกรธตอนนี้มีไม่มากพอแถมเสียงเล็ก ๆ ที่น่ารำคาญในหัวยังเอาแต่บอกเขาว่าอย่าทำร้ายเธอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เกรนเจอร์เข้ามามีผลกับความคิดผิดชอบชั่วดีของเขา ถ้าจะให้เดาก็คงเริ่มตั้งแต่เธอทำอะไรทิ้งไว้ให้นั่นแหละ

    “ฉันขอโทษ” เธอพูดอีกครั้ง มีหยดน้ำตาที่ดื้อรั้นไหลหยดออกจากดวงตา “ฉันสัญญาจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

    เขาพิจารณาเธอและดูเหมือนความจริงใจที่เธอพยายามจะแสดงออกมามันชะล้างความโกรธของเขาอย่างกับยากล่อมประสาท เขาสูดหายใจเข้าและพยายามจะไม่สนใจกลิ่นหอมของเธอที่เริ่มแตะจมูก มันมีกลิ่นของน้ำตาแต่ก็ยังคงเป็นเธอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้เหมือนเดิม เขาไม่ได้อยากตะโกนใส่เธอ...แต่ก็ยังรู้สึกว่าท่าทางอ่อนแอของเธอมันไม่ถูกต้อง

    “พูดอะไรสักอย่างได้ไหม” เธอวิงวอนและโน้มตัวใกล้ขึ้น “อะไรก็ได้”

    เขาขบฟันและเลิกคิ้ว “ถ้าเธอคิดจะทำอะไรแบบนั้นอีกครั้ง” เขาเริ่มพูดทีละพยางค์อย่างชัดถ้อยชัดคำ “เธอจะต้องเสียใจ”

    แม้ว่าความหมายจะดูไม่ชัดเจนแต่เขาแน่ใจว่าเธอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

    “ได้” เธอพยักหน้าเชื่องช้า

    “ฉันไม่มีวันอยู่ในนี้ไปตลอดเกรนเจอร์” เขาบอก “และฉันจดจำทุกอย่างที่เธอทำ ชัดไหม ?”

    “เข้าใจ” เธอเอ่ยปากเสียงแผ่ว ดูจะผ่อนคลายมากกว่าที่เขาชอบใจ “ฉันเสียใจ – ”

    “รู้แล้ว” เขาดักคอแล้วกลอกตา “ทีนี้ปล่อยฉันให้อยู่คนเดียวสักที”

    เธอไม่ขยับ “เจ็บไหม ?” เธอถามและชี้ไปยังแผลของเขา

    “ไม่”

    “เดี๋ยวล้างแผลให้” เธอขอและยื่นมือออกไปขอมือ “แป้บเดียว – ”

    “ฉันล้างเองได้ – ”

    “ได้โปรด” เธอไม่รอฟังจนจบและได้รับสายตาหงุดหงิดจากพ่อมดหนุ่ม “มันจะดีกว่าถ้าให้ฉันช่วย – ”

    “เออ ๆ” เขาคำรามแล้วยัดมือของตัวเองให้เธอเพราะคิดว่าคงทำให้เธอออกไปจากนี่ได้เร็วขึ้น “ให้มันเร็ว ๆ ด้วยนะเกรนเจอร์”

    เฮอร์ไมโอนี่เลียริมฝีปากก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ไปยังบาดแผล มันใช้เวลาสองสามนาทีและความเงียบทำงานหนักไปสำหรับเธอแล้ว เธอเหลือบตาขึ้นมองหน้าเขาแต่ดวงตาขี้โมโหทำให้เธอละสายตาไปยังหนังสือกองหนึ่งที่โต๊ะข้างเตียง

    “อ่านหมดแล้วเหรอ ?” เธอถาม

    “อ่านผ่าน ๆ” เขาบอกไม่เต็มเสียง “เคยอ่านแล้ว”

    “ไม่แปลกใจ” เธอบอก น้ำเสียงของเธอยังเจือไปด้วยความประหม่า “ก็เป็นแบบเรียนของเรา – ”

    “ตั้งแต่เมื่อปีกลาย” เขาจบประโยคของเธอ “ใช่ รู้แล้ว”

    “แล้วทำไมถึงหยิบมาอ่าน ?”

    “ดูเหมือนมีกิจกรรมอะไรให้ทำนักหนางั้นแหละ” เดรโกเหยียดริมฝีปาก ก่อนจะรู้สึกตัวได้ว่าเขากำลังจับมือกับเกรนเจอร์อยู่บนเตียงและเธอต้องรีบไปได้แล้ว “เร็ว ๆ ได้ไหมเนี่ย”

    “ใกล้แล้ว” เธอบ่นขณะชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่แผล “เห็นไหม เสร็จแล้ว”

    เขารีบดึงมืออกจากเธอและตรวจสอบดูก่อนจะเพยิดหน้าไปทางประตู “ไสหัวไปสิ เกรนเจอร์”

    ดวงตาสีน้ำผึ้งมองไปยังหนังสือกองเท่าภูเขาอีกรอบแล้วขยับปากพึมพำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรแต่ความกล้าหาญอย่างกริฟฟินดอร์ได้จากเธอไปแล้วในคืนนี้ เธอค่อย ๆ คลานลงจากเตียงอย่างงุ่มง่ามและออกจากประตูห้องไป ทันทีที่ประตูห้องปิดตัวลงก็พอจะมีโอกาสให้เขาถอนหายใจได้สักที เขานวดหัวคิ้วขณะที่นึกถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อกี้ซ้ำไปมา

    เขามองที่บาดแผลและค่อย ๆ ใช้มือไล้ไปบริเวณที่ดูเหมือนไม่เคยมีแผลอยู่

    เขายืนยันว่าเขารู้สึกถึงเธอได้ เธอไหลเวียนอยู่ในระบบเลือดนี่แหละและสุดท้ายเขาก็ใช้ความเป็นเธอทำให้ตัวเองข่มตาหลับลงได้อีกครั้ง จนฟ้าสางเขาตื่นขึ้นอีกครั้งและทำเหมือนเดิม แต่งตัว ออกไปที่ครัว ดูว่าเกรนเจอร์ทำอะไรให้กินวันนี้

    คอทเทจพาย

    หนึ่งในเมนูที่เขาชื่นชอบ

    และใกล้กับหม้อพายหนังสือเถาหนึ่งถูกวางไว้ที่นั่น ไม่มีเล่มไหนที่เขาเคยเห็นมาก่อน

     

    -- tbc --


    ขอโทษที่ช้าค่ะ อ่านให้สนุกนะคะ


    ป.ล. ทุกคนมีวิธีจัดการกับอาการอกหักกันยังไงบ้างคะ ชีวิตเราเหมือนเป็นสีขาวดำไปหมดเลยตอนนี้ การต้องรับมือกับความว่างเปล่าของการเคยมีบางอย่างที่ดีมาก ๆ มันยากมากเลยเนอะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×