NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 5 : Scent [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 6 พ.ย. 63


    Chapter 5 : Scent 


    แต่ละวันก็ผ่านไปด้วยกิจวัตรแบบเดิม เธอจะกลับมาที่หอพักแล้วเจอเขาอยู่ที่นั่น เตรียมพร้อมสำหรับการปั่นประสาทให้เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นเหมือนอยากให้มันเป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเขา –  ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ไม่เห็นด้วย การต้องกลับมาเจอเรื่องแบบนี้ทุกวันเริ่มเป็นปัญหาสำหรับเธอแล้ว ความจริงเธอควรจะได้กลับหอพักมาทำการบ้านอย่างสงบหลังเรียนเสร็จเพราะว่าห้องสมุดช่วงนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่เย็นและลากยาวไปถึงสองทุ่ม แต่เธอไม่เคยได้สัมผัสคำว่า สงบเลยสักครั้งเพราะเขา เหมือนเขาดองน้ำลายทั้งวันมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะบางวันก็ทะเลาะกันไม่กี่นาทีแต่บางวันก็เป็นชั่วโมงขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนดื้อแพ่งในประเด็นนั้นแค่ไหน

    แล้วส่วนใหญ่สิ่งที่เธอต้องเจอก็เป็นถ้อยคำเหยียดหยามเดิม ๆ

    โสโครก

    นังบ้า

    เลือดสีโคลน

    เลือดสีโคลน...

    บางทีก็เจ็บแต่บางทีก็ไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น เธอเริ่มมีภูมิคุ้มกันเรื่องเหล่านี้มากขึ้นในทุก ๆ วัน แต่อย่างไรก็ดีเขามักจะหาอะไรใหม่ ๆ มาทำให้เธอรู้สึกแย่ได้เสมอเหมือนกัน และแน่นอนว่าเธอก็ตอบแทนเขาได้เจ็บแสบพอกันกับที่เธอได้รับมา ตอนแรกเธอก็รู้สึกสนุกไปกับการได้เจอมวยถูกคู่แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์พร้อมความดันที่ขึ้น ๆ ลง ๆ จนปวดหัว ไหนจะเสียงของเขาที่ดังก้องซ้ำไปมาในหู เธอก็รู้สึกว่านี่ไม่โอเคแล้ว

    ในวันที่แปดของการมีอยู่ของเขา – มันเป็นวันศุกร์ – ระหว่างที่เธอกำลังเรียนวิชาตัวเลขมหัศจรรย์ เฮอร์ไมโอนี่เกิดภาพนิมิตเป็นเสียงของแม่

    สำหรับพวกอันธพาลไม่มีอะไรน่ารำคาญมากไปกว่าการที่ลูกนิ่งเฉย หรือจะดียิ่งกว่านั้นถ้าหากลูกทำดีกับเขา

    ความจริงเฮอร์ไมโอนี่ไม่เคยได้สนใจคำแนะนำที่ค่อนข้างงี่เง่าที่พ่อแม่พยายามจะสอนสักเท่าไหร่ เพราะบ่อยครั้งมันไม่ค่อยมีประโยชน์นักแต่ครั้งนี้ดูจะใช้การได้ เห็นได้ชัดว่ามัลฟอยพยายามจะล่อหลอกเธอเพราะความเบื่อหน่ายในชีวิตแต่ละวัน ถ้าหากเธอปฏิเสธที่จะสนใจเขาหรือไม่ก็แกล้งทำดีด้วยซ้ำหน่อยก็คงทำให้เขาหัวเสียไม่น้อย แล้วถ้าหากเขาก้าวร้าวมากขึ้นเธอก็แค่ขังเขาไว้จนกว่าจะหายบ้า

    ไม่เคยรู้สึกรักไม้กายสิทธิ์ของตัวเองเท่านี้มาก่อนเลยจริง ๆ

    อีกแค่สองวิชาเธอก็จะหมดคาบเรียนวันนี้แล้วและก็คงจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับเขาอีก แต่คอยดูเถอะ เธอจะไม่สนใจเขาหรอก ไม่ว่าเขาจะพยายามทำตัวร้ายกาจแค่ไหนแต่เธอจะไม่โต้ตอบอะไรแน่นอน

    หมายถึงจะไม่ตอบโต้ในแบบที่เขาต้องการแน่นอน

    เหลือแค่เรียนปรุงยาและสมุนไพรศาสตร์เท่านั้น เดี๋ยวเธอจะได้ทดลองทฤษฎีใหม่ล่าสุดของเธอแล้ว

    -

    ระหว่างห้องครัวไปจนถึงห้องอาบน้ำมีกระเบื้องทั้งหมด 400 กับอีก 5 แผ่น ทั้งหมดเป็นสีขาวและมีอยู่ 56 แผ่นที่มีรอยแตก เขาใช้เวลานับอย่างละเอียดอยู่สามวันกว่าจะแน่ใจได้ว่านับไม่ผิด เขาต้องเช็คอยู่สองสามรอบเพราะเกรนเจอร์มักจะก่อกวนจนเขากลัวว่าจะนับผิดนับถูกอยู่บ่อย ๆ

    เดี๋ยวเขาจะกลับไปนับไม้กระดานใหม่ เพราะตอนแรกนับได้ทั้งหมด 97 แผ่น 38 แผ่นในห้องของเขาและที่เหลือก็นับรวม ๆ จากทุกที่ในหอยกเว้นห้องของเกรนเจอร์ แหงล่ะ เขาพยายามงัดเข้าไปเมื่อสองวันก่อนแล้วก็ถูกคำสาปจนมือแทบไหม้ตั้งแต่เริ่มแตะประตู

    เยี่ยมมาก

    วันนี้เขาตื่นตอนบ่ายสองเพราะฝันร้ายที่หลอกหลอนเขามากขึ้นและดูจะแย่ลงกว่าเดิมมาก แต่กระนั้นทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เขามองหาก็ยังคงเป็นงานศิลปะอันล้ำเลิศของเขาที่อยู่บนหัวเตียงเหมือนทุก ๆ เช้าที่ผ่านมา ฝันร้ายไม่ได้ลบกวนจิตใจของเขาได้มากเท่าการตื่นขึ้นมาเห็นว่าจำนวนขีดของอีกฝั่งมีมากกว่าเขา แต่โชคดีที่ภาพที่เห็นยังคงเป็นเขาที่มีหกขีดและเกรนเจอร์มีเพียงห้าเท่านั้น นับไปนับมาเขาก็พบว่ามันมีบางวันทีเขากับเธอทะเลาะกันมากกว่าหนึ่งครั้งและถ้าให้ลองเดาก็น่าจะเป็นเมื่อวันศุกร์

    เขามาที่นี่เมื่อวันศุกร์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแปดวันในนรกนี่

    เอาเถอะ จะว่าไปจากเรื่องนรกทั้งหมดก็ยังมีเรื่องให้ใจชื้นอยู่บ้าง – เขายังจำวันเวลาได้อยู่ คิดว่างั้นนะ...

    พูดไปแล้วความจริงบนหัวเตียงนี่แทนที่จะเป็นคะแนนแพ้ชนะเขาควรจะเขียนวันที่มากกว่า ซึ่ง...แล้วไงอ่ะ ถ้าเขาเป็นผู้ชนะเขาก็จะปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ

    หลังจากนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่เขาก็ลุกจากเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อหาอะไรทำ รอเวลาเกรนเจอร์กลับมาเขาจะได้เริ่มสงครามประสาทอีกสักที

    เกรนเจอร์

    เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมของเธอที่อวลอยู่ทั่วบริเวณ มันเป็นกลิ่นทำให้เขารู้สึกเหมือนฤดูร้อนกำลังคลานคลุมอยู่ในบรรยากาศ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่กลิ่นทีทรีทำให้อากาศหนาวในตอนนี้อบอุ่นขึ้นมาเหมือนหน้าร้อนที่มีฝนตกพร่างพรมและตบท้ายด้วยปลายหวานอมเปรี้ยวของเชอร์รี่ที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลังกลิ่นสบู่ – หวานแต่ไม่เลี่ยน เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นแค่รู้สึกอยากจะกลั้นใจตายทุกวันที่ต้องมาสูดดมกลิ่นบ้านี่ มันไม่ใช่แค่ลอยอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่มันถือวิสาสะแทรกผ่านเข้าไปในห้องของเขาด้วย และตอนนี้มันก็ได้จัดแจงฝังตัวเองอยู่ในจมูกและลึกเข้าไปถึงไซนัสกลางหน้าผากเขาแล้วเรียบร้อย นี่สินะที่เรียกว่าติดจมูก แม่ง

    เดรโกไม่รู้จะจัดการมันยังไง จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ จะหนีจากเธอก็ไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนจะเป็นประสาทเข้าไปทุกวัน เขาถอนหายใจขณะที่เดินไปยังพื้นที่ส่วนกลาง จัดแจงหยิบถ้วยซีเรียลและแอปเปิ้ลก่อนจะมองหาอะไรที่พอจะนับได้...แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เหลืออะไรให้นับแล้ว

    เขาจึงเลือกที่จะมองนาฬิกาอยู่แบบนั้น เฝ้ามองเข็มนาฬิกาค่อย ๆ เดินผ่านไปในแต่ละนาทีจนกว่าจะถึงบ่ายสามสี่สิบที่เธอจะกลับมา – อย่างที่แบบนั้นมาเสมอ อย่างกับกลไกของนาฬิกาเพราะทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาที่เขาเฝ้ารอร่างเล็ก ๆ ก็แทรกตัวผ่านบานประตูเข้ามาเรียกรอยยิ้มชั่วร้ายให้เขาได้ไม่ยาก

    เอาล่ะเริ่มได้

    “สวัสดียามบ่ายเลือดสีโคลน” เขาเอ่ยทักอย่างวางโตไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับการที่เธอไม่ได้ตอบโต้ในทันที คงต้องปล่อยให้เธอสะสมความรำคาญสักพักกว่าจะถึงจุดที่เขาชื่นชอบ “วันนี้ยายหนอนหนังสือกริฟฟินเบื่อไปเรียนมาแล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ ?”

    “ก็ดี ขอบใจ” เธอตอบแกน ๆ ขณะที่นั่งลงไปบนโซฟาที่ประจำ

    เดรโกชะงักนิดหน่อย อะไรอ่ะ วันนี้ไม่มี ไสหัวไปมัลฟอยเหรอ ?

    “ฉันถาม – ”

    “และฉันก็ตอบแล้ว” เธอดูใจเย็น – เย็นเกินไป

    “แต่มันไม่ดีพอ” เขาวิพากษ์แล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้

    เธอไหวไหล่ – แค่นั้นแล้วเอาม้วนกระดาษออกมากางเตรียมจะทำการบ้าน จากนั้นทุกอย่างก็เงียบลง เงียบลงอย่างมีนัยสำคัญและเดรโกมองว่ามันคือการท้าทาย ได้ เดี๋ยวได้เห็นดีกัน เธอจะเงียบอยู่แบบนั้นไม่ได้หรอก เธอจะไม่มีทางทำได้

    เขารอได้เป็นชั่วโมง ขอแค่ได้เห็นดวงตาที่วาวโรจน์ของเธอและถ้อยคำที่เธอสรรหาจะเอามาบรรยายว่ารำคาญเขามากแค่ไหน เขาอยากเห็นมันและจะทำอย่างสุดความสามารถให้มันเกิดขึ้น

    “นี่มันบ้าอะไร ?” เดรโกโวยวายดึงม้วนกระดาษออกจากมือของเธอแล้วเริ่มตรวจสอบมันอย่างอุกอาจ “แค่เขียนเธอยังเขียนลายมือทุเรศอย่างกับมักเกิ้ล คือพวกเลือดสีโคลนเขียนให้เป็นระเบียบไม่เป็นหรือไง ?”

    เธอยังคงไม่มองหน้าเขาแถมยังเอาหนังสือออกจากกระเป๋าและเริ่มอ่านมันโดยไม่สนใจเลยว่าเขาพูดอะไร เดรโกโยนการบ้านของเธอไปอีกทางก่อนจะคำรามในลำคอ

    “ปั่นหัวฉันไม่ได้หรอกเกรนเจอร์” เขาค่อย ๆ พูดแล้วยืนขึ้นกอดอก “ฉันรู้ว่าเธอจะทำอะไร”

    “อ่านหนังสือไง” เธอตอบเสียงแผ่วขณะที่ดวงตาสีชินนามอนวาววับกำลังไล่ตามตัวอักษรหมึกบนหน้ากระดาษอย่างไม่ลดละ

    “เธออยากจะกรี๊ดใส่ฉันจะตายเกรนเจอร์” เขาพูดเสียงยานคางตั้งใจว่าจะแหย่ให้เธอหมดความอดทนจนต้องเอาเล็บตะกุยเขาหรือไม่ก็ด่าสักคำ “หรือว่าฉันต้องพูดถึงไอ้โง่ที่ไม่ยอมตายกับสัตว์เลี้ยงขนแดงของมันล่ะ ?”

    ดวงตาของคนขี้โมโหเลื่อนไปหยุดที่ริมฝีปากอวบอิ่มและคาดหวังว่ามันจะกระตุกเขม่นเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมา เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำเหมือนรู้ดีเรื่องของเธอนักหนาคงเป็นเพราะว่าเมื่อต้องถูกขังเอาไว้ และได้เจอคนแค่คนเดียวตลอดเวลามันเลยทำให้เขาเผลอสังเกตคนคนนั้นไปโดยปริยาย เขาต้องการที่จะได้เห็นสัญญาณอะไรบางอย่างแต่เกรนเจอร์กลับสนใจอยู่แต่กับหนังสือเท่านั้น นี่มันไม่ปกติ ความจริงตอนที่ยกเรื่องเพื่อนคนพิเศษของเธอขึ้นมาพูด ริมฝีปากของเธอควรจะกระตุกเหยียดก่อนที่รูม่านตาจะขยายจากนั้นใบหน้าและแก้มก็จะขึ้นสีแดงแล้ววินาทีต่อมาเธอก็จะเริ่มระเบิดถ้อยคำออกจากริมฝีปากนั้น

    แต่วันนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ริมฝีปากสีเหมือนกลีบดอกไม้ยังคงเรียบสนิท เธอกำลังทำลายความเป็นปกติพวกนี้ลง – ความปกติที่เกือบจะเป็นที่น่าจดจำสำหรับเขา นี่เธอกล้าดียังไง

    เขาฉวยคว้าหนังสือออกจากมือเธอแล้วโยนทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใยดี

    “มองหน้าฉันเกรนเจอร์” เขาเรียกร้องอย่างว่าท่า “มองเดี๋ยวนี้!

    ดวงตาสีน้ำผึ้งค่อย ๆ ช้อนขึ้นมองเขาทว่ามันกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า หรืออาจเรียกได้ว่ามันมีแววของความเบื่อหน่ายฉายออกมาอย่างชัดเจน การวางเฉยต่อเขานั่นง่ายกว่าที่คิดเอาไว้ โชคดีที่เธอฝึกวิธีการหูทวนลมมานานเพื่อรับมือกับรอนและแฮร์รี่ที่เอาแต่คุยเรื่องควิดดิช เธอใช้โอกาสระหว่างที่เดรโกเอาแต่พูดวนไปวนมาสำรวจใบหน้าของเขา ระหว่างที่เขาพูดว่าขยะแขยงเลือดของเธอแค่ไหนเธอก็เห็นว่าผิวของเขาที่ขาวเหมือนตุ๊กตาจีน น่าแปลก ปกติแล้วผิวซีดของเขาก็ดูเข้ากับเขาดีแต่รอบนี้เธออาจบอกได้ว่ามันดูซีดมากกว่าเดิมและพ่วงด้วยความหมองประหลาด

    “...จะถูกคนอย่างเธอเมินเนี่ยนะ!” เขายังคงพูดต่อในขณะที่เธอไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก “เกรนเจอร์ เธอมัน...”

    เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตามองหน้าซีดเผือดของเขาแล้วพบว่ามันดูเหมือนคนที่อดหลับอดนอนมานาน ทั้งดูอิดโรยแถมดวงตาก็ยังลึกโหลไม่หลงเหลือพลังงานอะไรให้สัมผัสผ่านดวงตาคู่นั้นเลย หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าขณะที่เขาเข้าใกล้จนเธอสามารถรับรู้กลิ่นของเขาได้

    แอปเปิ้ลกับความรู้สึกที่ทำให้ง่วงนอน – แอปเปิ้ลกับความรู้สึกเซื่องซึมตลอดเลย

    ความคิดอื่นเริ่มเข้าครอบงำเธอและริมฝีปากก็เผยอออกจากกันด้วยความใคร่รู้ เธอไม่ได้พูดอะไรออกไปในทันทีแต่กลับยืนขึ้นในขณะที่เลือดในหัวใจของคนตัวสูงกำลังสูบฉีด จากนั้นก็เดินผ่านเขาไปยังห้องครัว

    “นั่นเธอจะไปไหน ?” เธอได้ยินแต่แสร้งเป็นไม่ได้ยิน “ฉันถามว่าเธอจะไปไหน!

    สำหรับเธอตอนนี้เขาเหมือนภาพเบลอที่อยู่ไกลออกไป เธอเอื้อมมือขึ้นเปิดประตูตู้ในห้องครัวและสำรวจสิ่งที่มีอยู่ในนั้นก่อนจะพยายามนึกว่าหลายวันที่ผ่านมาเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง และแน่นอนว่า – เมอร์ลิน ทำไมเธอไม่เคยสังเกตมาก่อน

    “เฮ้ย!” เขาร้องเรียกขณะที่เดินปึงปังมาด้านหลัง “ยายเลือดชั้นต่ำ ฉันถาม – ”

    “นี่นายกินอะไรไปบ้างหรือยัง ?” เธอหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเขาแล้วถามเสียงแข็งโดยไม่ได้คาดคิดว่าเธอกับเขาจะอยู่ใกล้กันเกินพอดีแล้ว

    เขามีสีหน้าสับสนเล็กน้อย “บ้าอะไร – ”

    “นายกินอะไรไปบ้าง ?” เธอถามซ้ำแต่คราวนี้เกรี้ยวกราดขึ้น “เท่าที่เห็น ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้กินอะไรนอกจากแอปเปิ้ลและนม – ”

    “นี่เธอเป็นบ้าอะไร ?”

    “นายกินแค่นั้นจริง ๆ เหรอ ?” เธอถามขณะที่รู้สึกว่ากำลังรู้สึกตกใจอยู่ลึก ๆ “แค่นมกับแอปเปิ้ลเนี่ยนะ ?”

    ในดวงตาของเขามีแต่คำถาม ใบหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์กับพฤติกรรมประหลาดของเฮอร์ไมโอนี่ เธอจะมาเดือดร้อนเรื่องการกินของเขาทำไม ? “ซีเรียลด้วย” เขาพึมพำอย่างไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรออกไปแต่มีความรู้สึกลึก ๆ ว่าควรจะพูดอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ตัวเองจนตรอกจนเกินไป

    “แค่นั้นเนี่ยนะ ?” เธอขมวดคิ้วและถามเหมือนเดิม จากนั้นเสียงถอนหายใจอย่างอดสูก็ดังขึ้น “มัลฟอย นายจะอยู่โดยกินแต่ – ”

    “แล้วมันทำไม – ”

    “นายจะขาดวิตามิน” เธอว่าต่อ ส่วนเขาก้าวถอยนิดหน่อยเมื่อระลึกได้ว่าระยะห่างตอนนี้เสี่ยงต่อการปนเปื้อนกับเลือดสีโคลน เช่น อากาศที่หายใจเข้าไป หรืออะไรก็แล้วแต่ “อีกทั้งยังจะเกิดสภาวะขาดโปรตีน – ”

    “ทำไมฉันจะต้องมานั่งฟังเธอบรรยายเรื่องกายวิภาคนี่ด้วย ?” เขาตะคอกอย่างหมดความอดทนขณะที่ก้มลงมองนิ้วและเล็บตัวเองเหมือนเด็กที่รู้ตัวว่ามีความผิดแต่ไม่ยอมรับ

    “นายต้องกินมากกว่านี้” เฮอร์ไมโอนี่บอกเขา ซึ่งน่าประหลาดใจมากที่มีแววของความเป็นห่วงเป็นใยเจืออยู่ในน้ำเสียงของตัวเอง คำสาปนักทำความดีกลับมาทำงานอีกแล้วสินะ “ทำไมนายถึง – ”

    เสียงของเธอขาดห้วงไปเมื่อความเป็นจริงเริ่มชัดเจน เธอเห็นว่าใบหน้าของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนว่าไม่ควรพูดอะไรไปมากกว่านี้ แต่โทษที กริฟฟินดอร์กล้าหาญเสมอและมากกว่าอะไรทั้งหมด เขาต้องไม่ลืมว่าเธอเป็นแม่มดหัวแข็งชนิดที่ไม่มีอะไรเยียวยาได้

    “นายไม่รู้วิธีทำอาหารแบบไม่ใช้เวทมนตร์” เธอคาดเดาด้วยเสียงแผ่ว “ใช่ไหม ?”

    “จะไปไหนก็ไป เกรนเจอร์”

    นั่นแปลว่าใช่ – แปดวันที่ผ่านมาการใช้ชีวิตอยู่กับเขาตลอดเวลาทำให้เธอสามารถสร้างทักษะการแปลภาษามัลฟอยได้แล้ว และแม้ว่ามันจะมีอะไรใหม่ ๆ ให้จำในทุกวัน แต่ไอ้คำว่า ไสหัวไปเกรนเจอร์ นั้นบอกได้เลยว่าส่วนใหญ่แล้วจะแปลว่า ใช่ แต่ฉันไม่ยอมรับ เข้าใจไหม

    “ทำไมไม่พูดอะไรซะบ้าง ?” เธอเอียงคอถามด้วยท่าทางที่เดรโกไม่ชอบเสียเลย “ฉันควรจะ – ”

    “ควรจะอะไรเกรนเจอร์” เขายิ้มแสยะอย่างดูหมิ่นแล้วย่างเท้าเข้ามาใกล้อีก “ควรจะทำหน้าสมเพชชั้นอย่างที่ทำอยู่น่ะเหรอ ? กองเอาไว้ตรงนั้นแหละ”

    “ฉันไม่ได้จะ – ”

    “ฉันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ” เขากระซิบเหี้ยมเกรียม “อย่ามา – ”

    “ไม่ได้” เธอขมุบขมิบปากและในน้ำเสียงมันมีความรู้สึกผิดแฝงอยู่ “นายต้องกิน – ”

    “ถ้าชั้นเน่าตายไปสักวันมันก็น่าจะสมใจเธอไม่ใช่หรือไง!” เดรโกเหยียดมุมปากคว่ำขณะที่ยืนค้ำอยู่เหนือร่างของเธอ มันใกล้เสียจนเธอได้กลิ่นของผลไม้ในลมหายใจของเขาและสัมผัสแผ่วเบาที่คลอเคลียข้างแก้ม “เธอจะมาสนใจห่า – ”

    “ฉันสนใจไง” เธอเปล่งเสียงสูงอย่างละลักละล่ำ “ฉันก็เป็นแบบนี้”

    “พวกกริฟฟินดอร์งี่เง่า” เขาคำรามงึมงำก่อนจะถอยออกจากเธอโดยเร็วแล้วทิ้งเอาไว้เพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความขยะแขยงก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังห้องของตัวเอง ปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่มองตามไปพร้อมกับสายลมเดือนตุลาคมที่พัดหวนรอบตัวเธอราวกับต้องการปลอบใจ

    --------

    แม้ว่าจะไม่ชอบห้องนี้มากนัก แต่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นี่ก็ช่วยกันเขาออกจากความจุกจิกของเธอได้ เดรโกฝังใบหน้าลงกับฝ่ามือที่ชุ่มเหงื่อหลังจากที่ปิดประตูลงแล้ว นี่แม่งเป็นจุดต่ำสุดใหม่แล้วนะ ไอ้การได้รับความเห็นใจจากเกรนเจอร์เนี่ย นอกจากนั้นวันนี้ก็ยังมีหลายเรื่องที่ไม่ปกติที่ทำให้กิจวัตรระหว่างเขาและเธอพังเละไม่เป็นท่า ตอนนี้เหมือนผนังรอบตัวเขาขยับแคบลงมาอีกแล้ว

    เขาไม่แม้แต่จะลุกขึ้นไปยังหัวเตียงที่มีชาร์ตคะแนนเขียนอยู่ เพราะเขาไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้คะแนนเป็นของใคร – ก็พวกเขาไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรกันเลยด้วยซ้ำ

    เดรโกนิ่งงันอยู่กับความรู้สึกปราชัยเป็นชั่วโมงหรืออาจจะถึงสี่ชั่วโมง เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวของเกรนเจอร์และหายใจเอากลิ่นของเธอเข้าปอดอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่นานเสียงประตูหลักก็ดังขึ้นดูเหมือนว่าเธอจะออกไปแล้ว ร่างสูงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนบนขาที่สั่นเทาก่อนจะตระหนักได้ว่าแข้งขาของเขากำลังอ่อนแรงเพียงใด เขาออกจากห้องไปยังพื้นที่ส่วนกลางอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลิ่นโดยรวมกลับเป็นไป

    กลิ่นเหมือนอาหาร – ที่รู้สึกอร่อยมาก

    ดวงตาของเขาเหลือบไปเห็นหม้อสตูว์ที่มีควันฉุย มันถูกวางอยู่บนเคาท์เตอร์ที่ดูเหมือนว่าเธอจะตั้งใจวางมันเอาไว้ให้เขาเห็นได้ถนัด อีโก้ที่ใหญ่โตของเขาพยายามอย่างหนักที่จะเพิกเฉยต่อเสียงดังครืดคราดภายในท้อง แต่เมอร์ลิน กลิ่นมันอร่อยมาก สิ่งล่อใจนี้แข็งแกร่งเกินกว่าที่อีโก้ของเขาจะเอาชนะมันได้

    เธอทำสูตว์เอาไว้ด้วยปริมาณที่มากพอสำหรับสามคนแต่เขากินมันจนหมดเพียงคนเดียวในเวลาอันรวดเร็ว – เพราะมันอร่อยเหมือนกลิ่นของมันเปี๊ยบ

    หลังจากกินอาหารของเธออย่างสิ้นสติแล้วเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาเขาก็เริ่มถกเถียงกับตัวเอง วันนี้มีอะไรมากมายที่เปลี่ยนไปจนทำให้ 7 วันที่ผ่านมากลายเป็นเรื่องเสียเวลา พวกเขาไม่ได้กรีดร้องใส่กันอย่างเสียสติเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน แถมยังมีอาหารนี่ –

    นี่เธอกำลังปั่นหัวเขาอยู่หรือเปล่านะ

    แล้วให้ตาย! มันไม่เหลืออะไรให้เขานับแล้ว นี่สมองของเขากำลังคิดฟุ้งซ่านอีกแล้ว เขาต้องหาอะไรนับ ชิบหาย ชิบหาย ชิบหาย

    เขาจะต้องเบี่ยงเบนความคิดตัวเองไม่งั้นจะต้องจมดิ่งลงไปอีก ดวงตาสีเทาเหมือนเมฆฝนมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบกับหนังสือของเธอและพบว่ามันคือตัวเลือกเดียวในตอนนี้ นรกชิบหาย นี่เขาต้องเอาชีวิตรอดด้วยอาหารที่ยายเลือดสีโคลนนั่นทำ แถมตอนนี้ยังต้องมาบำบัดความประสาทของตัวเองด้วยการอ่านหนังสือของเธออีกงั้นเหรอ ?

    เดรโกหักใจอย่างมากขณะที่เลือกหนังสือง่าย ๆ เกี่ยวกับน้ำยาวิเศษออกมา แล้วเริ่มไล่สายตาไปตามตัวหนังสือในนั้นอย่างเสียไม่ได้

    -- - - -

    “ดีมากคุณเกรนเจอร์” มักกอนากัลป์เอ่ยขณะที่ร่ายคาถาอีกบทใส่แม่มดสาว “กันเอาไว้อย่างนั้น... ดีมาก”

    เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากมนอย่างต่อเนื่องและเริ่มรู้สึกชื้นที่แผ่นหลัง กล้ามเนื้อแขนเริ่มปวดหนึบจากการใช้คาถาป้องกันเป็นเวลานาน นี่นับว่าเป็นการเสกคาถาป้องกันที่นานที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมาและตอนนี้มันก็เริ่มจะไม่มั่นคงแล้ว

    อีกนิดเดียว... เฮอร์ไมโอนี่ไม่ค่อยพอใจนักที่ตัวเองมีความอดทนไม่มากพอที่จะทำให้คาถาบทนี้สมบูรณ์เสมอต้นเสมอปลาย

    ศาสตราจารย์ใหญ่คนปัจจุบันเริ่มเสกคาถาอีกรอบแต่รอบนี้มันกลับแหวกทะลุเกราะกำบังเข้ามาได้ พลังของมันเผาไหม้แขนข้างหนึ่งของเธอจนร่างเล็กทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยสีหน้าผิดหวัง เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาเพียงครู่เดียวสูดลมหายใจตั้งสติและกลับขึ้นมายืนได้อีกครั้ง “อีกครั้งค่ะ” เสียงเล็กหอบเล็กน้อยขณะที่เริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง

    “วันนี้พอเท่านี้เถอะ” มิเนอร์วาลดไม้กายสิทธิ์ลงเมื่อเห็นความอ่อนล้าของลูกศิษย์ “มันดึกแล้ว – ”

    “พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ค่ะ ศาสตราจารย์” เธอแย้ง “อีกครั้งนะคะ – ”

    “เธอต้องเรียนรู้ที่แพ้บ้างนะ คุณเกรนเจอร์” หญิงชราเอ่ย “แต่เอาเถอะ ฉันมีคำหนึ่งที่อยากจะถาม”

    “เกี่ยวกับอะไรคะ”

    “คุณมัลฟอย” เธอตอบ “ฉันคิดว่าคุณคงมีหลายเรื่องที่อยากจะพูดเกี่ยวกับเขาแต่ไม่เคยได้ยินเธอพูดสักครั้ง ทุกอย่างโอเคใช่ไหม ? ทีแรกฉันคิดว่าจะถูกรบเร้าให้ย้ายเขาออกไปเสียอีก”

    “หนูคิดว่าหนูจัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้ค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่อธิบายขณะที่ยักไหล่อย่างอ่อนล้า “ตลอด 6 ปีที่ต้องรับมือกับปากเสีย ๆ ของเขาคงเป็นการเตรียมตัวสำหรับเรื่องมั้งคะ”

    “คุณไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ” ศาสตราจารย์ส่งยิ้มให้อย่างชื่นชม “พฤติกรรมของเขาเป็นยังไงบ้าง ?”

    เฮอร์ไมโอนี่ผ่อนลมหายใจอย่างรำคาญเมื่อนึกถึงหน้าเขา “หนูคิดว่าก็ค่อนข้างควบคุมได้ค่ะ” เธอบอก “แต่ก็บอกไม่ได้ทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าระหว่างที่หนูไปเรียนกับมาฝึกซ้อมกับศาสตราจารย์เขาเป็นยังไงบ้าง ตอนเจอหน้ากันเราเถียงกันบ่อยแต่ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เขาทำมาตลอดดังนั้นมันก็เลยไม่ยากที่จะรับมือค่ะ”

    คนฟังนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรงใช่ไหม ?”

    “เขาพยายามจะเข้าถึงตัวอยู่สองสามครั้ง” เธอทวนความทรงจำด้วยหน้านิ่ว “แต่ไม้กายสิทธิ์ทำให้เรื่องนี้จบง่าย”

    “ดีแล้ว” ศาสตราจารย์พยักหน้าก่อนจะยื่นมือออกมาตรงหน้า “ขอไม้กายสิทธิ์ให้ฉันหน่อยคุณเกรนเจอร์ มีคาถาบางบทที่อาจจะช่วยได้ เป็นคาถาป้องกันมักเกิ้ลมันจะเผามือใครก็ตามที่พยายามจะแตะต้องมัน”

    “แต่มัลฟอยไม่ใช่มักเกิ้ลนี่คะ”

    “เห็นจะเป็นอย่างนั้น” ศาสตราจารย์ขมวดคิ้วพยักหน้าแล้วเริ่มร่ายคาถา เฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าไม้กายสิทธิ์ของเธอเรื่องแสงสีเขียวแวบหนึ่งก่อนจะหายไป “แต่เขาไม่มีไม้กายสิทธิ์คาถานี้ก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน ฉันจะร่ายคาถาให้ใหม่ทุกเก้าถึงสิบวันแล้วกัน”

    “ขอบคุณค่ะ” เธอพึมพำขณะที่รับไม้กายสิทธิ์คืน

    “แล้วพฤติกรรมอื่น ๆ เป็นยังไงบ้าง เขาคงไม่ได้ทำอะไรแปลก ๆ ใช่ไหม”

    เฮฮร์ไมโอนี่นิ่งคิด “หนู – หนูไม่แน่ใจ อย่างที่บอกว่าหนู – ”

    “ฉันอยากให้คุณสนใจเขามากขึ้นอีกหน่อยหลังจากนี้นะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงเรียบอย่างที่ปกติชอบทำ

    คำพูดง่าย ๆ ของศาสตราจารย์ทำให้เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีดและรู้สึกสับสน เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจะต้องรับภารกิจอะไรแบบนี้เพิ่มอีก จากเดิมก็แย่อยู่แล้ว “ทำไมหนู – ”

    “เขาถูกจองจำอยู่ภายในกระท่อมนั่นอย่างน้อยก็ 5 เดือน” มิเนอร์วาค่อย ๆ อธิบาย “และตอนนี้ยังต้องถูกกักเอาไว้ในห้องแคบ ๆ อีก การถูกจำกัดพื้นที่มักจะมีผลโดยตรงทางจิตใจคุณเกรนเจอร์ ฉันคิดว่าเขาคงกำลังมีปัญหาเรื่องนี้ – ”

    “อย่างนั้นมันก็เป็นปัญหาของเขา – ”

    “ฉันคิดว่าคุณคงไม่อยากจะรับมือกับมัลฟอยมัลฟอยหรอก” ศาสตราจารย์ผายมือและเดินนำไปยังประตูแทนการตัดบท “และนั่นอาจจะทำให้คุณได้รู้ว่าทำไมเราจึงเชื่อว่าเขาถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ทำเรื่องนั้น”

    แม่มดสาวขบริมฝีปากอย่างใช้ความคิด เธอรู้ดีว่าการฆ่าดัมเบิลดอร์นั้นมันไม่ใช่ความคิดของมัลฟอยเสียทีเดียวแต่แรก ซ้ำยังเป็นข่มขู่ให้เขาทำโดยมีความตายเป็นประกันหากเขาทำพลาด แฮร์รี่เคยบอกเธออย่างไม่เต็มใจนักเมื่อตอนที่เธอพามว่าเขาไปได้ยินอะไรมาในคืนนี้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอลดความเกลียดชังที่มีต่อสลิธีรินนั่นเลย เพราะอาลัยที่มีต่ออัลบัสและการเตรียมความพร้อมสำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้เธอไม่เหลือเวลาที่จะมาเข้าใจอะไร – ไม่เหลือเวลาที่จะพยายามเข้าใจเขาแม้แต่น้อย

    แต่ตอนนี้เธอพอจะตระหนักได้แล้วว่าแม้ในวันที่เขาต้องทำงานอยู่ภายใต้ความเดือดดาลของโวลเดอมอร์เขาก็ยังคงไม่สามารถที่จะสังหารดัมเบิลดอร์ลงได้ ความผิดพลาดของเขาทำให้เธอได้ฉุกคิดและยังคงวนเวียนอยู่กับประเด็นที่ว่าเขาไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรหรือไม่ว่าชีวิตของเขาจะกำลังแขวนอยู่บนเส้นได้แค่ไหนก็ตาม

    ความคิดจมดิ่งคือสิ่งหนึ่งที่เธอไม่พร้อมจะเผชิญในตอนนี้ ร่างเล็กสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนจะเดินตามมักกอนากัลที่พาเธอออกมายังโถงทางเดิน ขณะนั้นเองเธอก็รู้สึกได้ว่าความดื้อรั้นที่มีอยู่มากมายภายในตัวเธอเริ่มอ่อนลง

    ไม่ได้ นี่มันผิดประเด็นกันไปใหญ่แล้ว เธอไม่ควรจะมารู้สึกอาทรต่อเขาแค่เพียงเพราะเขาไม่ใช่ฆาตกร แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าใครแต่มันก็ไม่ได้ลดทอนความร้ายกาจในเรื่องอื่นลง เขาก็ยังคงเป็นคนพาลที่อาฆาตมาดร้ายและพื้นฐานก็ยังเป็นคนชั่วช้ามาก ๆ อยู่ดี

    แต่ก็นะ...

    ถึงกระนั้นมันก็ยังคงมีบางอย่างประหลาด ๆ เกิดขึ้นในหัวอยู่ดี บางอย่างที่ดูเหมือนกำลังจะเป็นปัญหา และเธอก็รู้สึกแปลกใจในตัวเองที่อุตส่าห์ทำอาหารทิ้งเอาไว้ให้เขา เอาเข้าจริงเธอคิดไม่ออกเลยว่าไอ้ความใจดีมีเมตตาต่อเขานี่มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง

    “ศาสตราจารย์คะ” เธอถามอึก ๆ อัก ๆ ขณะที่พวกเขากำลังเดินผ่านระเบียงทางเดิน “ทำไมถึงคิดว่าเขาไม่ได้ทำล่ะคะ”

    เฮอร์ไมโอนี่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นศาสตราจารย์ลังเลใจมาก่อนหรือไม่ แต่ครั้งนี้เธอแน่ใจได้ว่าศาสตราจารย์เองก็มีความไม่แน่ใจปนอยู่ “อาจจะมีเพียงคุณมัลฟอยที่รู้ดี” เธอพูดออกมาในที่สุดเมื่อพวกเขาเดินมาหยุดที่ประตู “บางทีเหตุผลพวกนั้นก็อาจจะไม่ได้สำคัญอะไร”

    “หมายความว่ายังไงคะ”

    “เพราะบางทีสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดก็คือการที่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ทำ” ศาสตราจารย์เสนอแนวคิด สำเนียงการพูดของเธอฟังดูจริงจังและเปี่ยมด้วยปัญญาอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่ชื่นชมมาเสมอ “ฉันจึงอยากแนะนำให้คุณสนใจเพียงแค่สิ่งที่เขาทำหลังจากนี้”

    ริมฝีปากถูกขบแรงขึ้นเมื่อมีความคิดหลากหลายวิ่งชนกันอยู่ในหัว “ค่ะ” เธอตอบ “หนูจะทำเท่าที่ทำได้”

    “อย่างนั้นล่ะ” มิเนอร์วาพยักหน้า “อยากให้ฉันเกินไปส่งไหม ?”

    “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอปฏิเสธก่อนจะก้าวออกห่างศาสตราจารย์แล้วบอกลา

    ระหว่างทางกลับไปยังหอนอนเธอใช้เวลาทั้งหมดไปกับการใคร่ครวญถึงการจับตามองมัลฟอย เธอจะทำได้ยังไงถ้าหากว่าตอนนั้นเธออยากจะขังเขาไว้ในห้องแบบที่ไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอีก...อะไรแบบนั้น...แล้วก็เริ่มถามตัวเองว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับดัมเบิลดอร์นั้นส่งผลให้เธอเกลียดเขาขนาดนี้ใช่หรือไม่ แล้วมันสมเหตุสมผลแล้วหรือยัง ซึ่งท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้คำตอบและคงต้องเก็บไปคิดอีกสักพักกว่าจะตกผลึกความคิดได้

    เฮอร์ไมโอนี่แอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่ามัลฟอยคงจะรอเธออยู่ที่ห้องนั่งเล่นแล้วเตรียมปาหม้อสตูว์ใส่เธอโทษฐานที่ไปเป็นตัวสาระแนในชีวิตเขา เธอคิดว่าเขาคงจะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกสายเลือดอะไรแบบนั้นแต่เอาจริง ๆ ทุกคนต้องกิน – เราทุกคนต้องกิน

    ถ้าหากเธอจะต้องเจ็บปวดเพราะโดนด่าเรื่องทำสตูว์ให้กินก็เอาเถอะ ถือเสียว่าเป็นผลพวงจากความไร้เดียงสาของเธอเองก็แล้วกัน

    ร่างบางสูดหายใจตั้งสติเตรียมพร้อมก่อนจะเปิดประตูห้อง แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า

    เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น

    แถมสตูว์ก็เกลี้ยงหม้อ

    นี่เขากินเข้าไปแล้วจริง ๆ เหรอ ?

    วินาทีหลังจากนั้นรอยยิ้มที่ไม่ได้ตั้งใจก็ถูกระบายขึ้นอีกครั้งบนริมฝีปากของเธอ มัลฟอยสร้างรอยยิ้มที่สองให้กับเธอโดยไม่รู้ตัวอีกแล้วและคราวนี้มันมาพร้อมความรู้สึกบางอย่างที่พองฟูขึ้นภายในหัวใจ ความจริงความจงเกลียดจงชังที่เธอมีต่อเขาก็อาจจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

    แต่ก็นั่นแหละบางทีเขาก็อาจจะแค่หิวมาก เธอไม่ควรจะมองคนในแง่ดีง่ายเกินไป

    ---

    อะไรวะเนี่ย

    เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพร้อมความแห้งกรังของใบหน้าซึ่งเขาไม่แน่ใจจริง ๆ ว่ามันคือเหงื่อหรือน้ำตา

    ฝันร้ายเล่นงานเขาอีกแล้ว

    ช่วงสุดสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาหารร้อน ๆ จากเลือดสีโคลนอีกหม้อและการเดินทางที่น่าเบื่อไปกับหนังสือสองเล่มของเธอ ยังคงเหลืออีกเก้าสิบเก้าโอกาสสำหรับเขาที่จะได้พบหนังสือดี ๆ สักเล่มในช่วงเวลาเลวร้ายแบบนี้ เดรโกนอนนิ่งอยู่บนเตียงครู่เดียวก็ตัดสินใจลุกจากเตียงเพื่อจะไปหาอะไรกิน ความจริงเขาเริ่มละอีโก้ลงได้บ้างหลังจากพยายามคิดว่าถ้าหากเขาไม่เจอกับเกรนเจอร์โดยบังเอิญ เขาก็จะไม่รู้สึกว่าอาหารพวกนั้นคือสิ่งที่เธอเตรียมเอาไว้ให้

    เอาเข้าจริงเขาก็ไม่สามารถทำใจยอมรับความเมตตาอะไรจากเธอได้จริง ๆ พูดกันตามตรงเขาอยากจะเอาหัวโขกผนังให้ตายวันละรอบเมื่อคิดว่าจะต้องกินอาหารที่เธอทำ หรือบางทีก็อยากจะอ้วกออกมาแต่กลัวว่าจะขาดน้ำตายไปจริง ๆ เพราะแค่ทุกวันนี้ต้องตื่นมาพร้อมกับเหงื่อเต็มตัวก็ทำให้เขาสูญเสียน้ำในร่างกายมากพอแล้ว

    เขาไม่รู้ว่าอะไรมันแย่กว่ากัน ระหว่างการที่เธอพยายามทำอาหารพวกนั้นอย่างปราณีตกับการที่เธอพยายามหาทางทำให้อาหารร้อนอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอให้เขาออกไปกิน (เขาคิดว่าเธอคงใช้คาถาเกี่ยวกับความร้อนสักคาถา) ไม่รู้ทำไมถึงไม่ปล่อยให้มันเย็นชืดไป เธอจะมาเสียเวลาคิดหาวิธีที่จะทำให้อาหารมันอร่อยเพื่อเขาไปทำไม น่าตลกชะมัด

    เสียงน้ำจากห้องน้ำดังออกมาทำให้เขารู้ได้ว่าเธอยังไม่ได้ออกไปเรียนทั้งที่วันนี้เป็นวันจันทร์ และเขาเองก็ตื่นเร็วเกินไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกรำคาญเสียงจ้อกแจ้กของสายน้ำน้อยลงแม้ว่ามันจะทำให้เขารู้สึกชื้นแฉะเหมือนอยู่ในความฝันที่เปียกชื้น แต่ก็ยังดีกว่าต้องหวนกลับไปอยู่ในฝันร้ายอย่างที่ผ่านมา ทุกวันนี้มันทวีความรุนแรงมากขึ้นและเริ่มสร้างผลกระทบทางกายภาพให้กับเขา – มันเจ็บปวดและกระตุ้นชีพจรของเขาเสียจนอุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงเป็นชั่วโมง ทั้งยังไม่สามารถหยุดยั้งอาการสั่นจากภายในได้ด้วย

    มันกำลังจะทำลายเขา

    วินาทีต่อจากนั้นระหว่างที่เขากำลังต่อสู้กับอาหารปวดหนึบในหัว เสียงครางอย่างสบายใจของเธอดังเข้ามาภายในห้องและนั่นเองเขาสาบานได้เลยว่าเพียงเท่านั้นอาการปวดหัวก็ทุเลาลงอย่างประหลาด เดรโกหันมองผนังที่กั้นระหว่างห้องเอาไว้ก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากและเงี่ยหูฟังต่อเพื่อให้แน่ใจว่ามันมีผลต่ออาการของเขาจริง ๆ

    เพียงไม่นานเสียงของคนที่กำลังมีความสุขกับการอาบน้ำก็ดังมาอีกระลอก

    และก็ใช่จริง ๆ เสียงของเธอเหมือนอะไรบางอย่างที่เขามาบดบังความคิดบางอย่างที่สมองพยายามยัดเยียดให้กับเขาและนั่นทำให้กะโหลกที่เต้นตุบ ๆ เริ่มชะลอจังหวะลง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรและเขาเองไม่กล้าแม้แต่จะหาคำตอบให้กับคำถามนี้

    เขาสลัดความคิดสงสัยนั้นแล้วลุกขึ้นจากเตียง ลากผ้าห่มออกมาห่อเอาไว้เพื่อต่อสู้กับอากาศเย็นของฤดูใบไม้ร่วงยามเช้า เดรโกห่อตัวเองเอาไว้ด้วยผ้าผืนหนาแล้วทรุดตัวลงนั่งพิงกับผนังด้านนั้น – ด้านที่กั้นระหว่างเขาและเธอเอาไว้ พนันได้เลยว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่นึกย้อนกลับมาเขาคงจะเกลียดตัวเองพิลึก แต่หลุมศพเมอร์ลินเป็นพยาน ครั้งนี้เขาตั้งใจทำมันด้วยสติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนเพียงเพราะต้องการจะหยุดยั้งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นหลังฝันร้ายเท่านั้น

    เดรโกครางออกมาอย่างไร้ทางออกก่อนจะเอียงซบหูกับผนังห้อง ปล่อยให้เสียงของสายน้ำและเสียงในลำคอของเธอไหลผ่านเข้ามา ความรื่นรมย์นี้ปลุกกระตุ้นให้เขาสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์เหมือนกับต้นไม้ที่เพิ่งได้รับน้ำ นี่คงเป็นครั้งแรกตั้งแต่คืนนั้นบนหอคอยดาราศาสตร์ที่เขาได้รู้สึกถึงความผ่อนคลายที่แท้จริง

    เสียงน้ำและเสียงของเธอกำลังขับกล่อมให้เขาพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา น่าแปลกที่แม้เขาจะรู้สึกว่าเสียงเหล่านี้กำลังกลายเป็นสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมหูและจิตใจของเขาแต่เดรโกก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านมัน

    -------------

    เดรโกตื่นขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะคะเนเวลาด้วยการสังเกตแสงอาทิตย์ที่ทอผ่านเมฆที่นอกหน้าต่าง คำนวณคร่าว ๆ ก็คงจะเป็นช่วงบ่ายแล้วเขาจึงลุกขึ้นเปลี่ยนเป็นสวมชุดลำลองที่รู้สึกได้ว่าควรจะได้รับการซักให้สะอาดสักที ซึ่งเยี่ยมมากที่การซักผ้าก็เป็นอีกอย่างที่เขาทำไม่เป็นและในตอนนี้ก็คงนึกถึงใครไปไม่ได้นอกจากเธอ

    เขามองสีแดงทองรอบคอของเขาซ้ำไปซ้ำมาก่อนจะรู้สึกว่าเขามองมันบ่อยขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แน่นอนว่าเขาไม่ได้หมายถึงความสนใจในแง่ของแฟชั่น – ให้ตายเถอะ อย่าคิดว่าเขาจะอยากใส่สีแดงทองอะไรนี่เลย

    เดรโกพาตัวเองออกมาจากห้องแล้วมองหาชามแคสเซอโรลที่น่าจะรอเขาอยู่ใกล้กับเตาอบเหมือนเดิม เขามองอาหารที่ถูกเตรียมไว้ก่อนจะเลื่อนเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบส้อม เขารู้สึกว่าในขณะนั้นเองอีโก้ของเขากำลังค่อย ๆ สลายไป เดรโกกวาดตามองหาส้อมแต่กลับไม่พบมันเขาคงเปิดผิดลิ้นชัก เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นในสายตามีเพียงขวดน้ำยาขนาดเล็กที่มีของเหลวสีใสบรรจุอยู่ภายใน เขาเริ่มนับมันอย่างรวดเร็วก่อนจะสรุปได้ว่ามีของเหลวสีใสในขวดน้ำยาแบบปกติ 3 ขวดและอีก 1 ขวดเป็นหลอดแก้วที่มีเข็มเล็ก ๆ อยู่ที่ก้นหลอด

    นี่คือ ?

    ดวงตาของเขากวาดมองพลางวิเคราะห์สิ่งเหล่านั้นครู่หนึ่งแล้วคิดเอาเองว่าคงเป็นของประหลาดของพวกมักเกิ้ลอะไรเทือกนั้น

    ความสนใจของเขากลับไปที่นาฬิกาอีกครั้งและมันทำให้เขาต้องคำรามออกมาเบา ๆ เขาเดาเวลาผิดถนัด และยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรต่อเสียงประตูก็ดังขึ้นเพราะกับเกรนเจอร์ที่พยายามจะเดินโซเซเข้ามาภายในห้อง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีปัญหากับกระเป๋านิดหน่อย

    เธอดูแปลกไป...

    ใช่ เธอแปลกไปจริง ๆ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่ามีอะไรผิดปกติ

    ด้วยความที่เธอเป็นมนุษย์คนเดียวที่เขาได้เจอตลอดสิบวัน ดังนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้ถ้าหากว่าเขาจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย แม้ว่าจะรู้ไม่มากแต่ยังไงเขาก็แน่ใจว่าเธอกำลังมีบางสิ่งที่ผิดไปจากปกติ เธอไม่ได้สนใจเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้เสียด้วยซ้ำ เดรโกจึงสบโอกาสใช้สายตาสำรวจใบหน้าเธอเพื่อหาความผิดปกติ

    ริมฝีปากยังคงเป็นสีเหมือนกลีบดอกไม้เหมือนเดิม

    ดวงตายังคงแวววับเหมือนน้ำตาลไซรัปไม่เปลี่ยน

    ผิวเกลี้ยงเกลาที่ดูสุขภาพดีเหมือนดูดซับแสงอาทิตย์เอาไว้ก็ไม่ได้หมองลงแม้แต่น้อย

    รอยกระเล็ก ๆ ที่สันจมูกก็ยังเหมือนเดิม

    และแน่นอนว่าผมที่เหมือนรังนกฮูกนั่นก็ดูปกติดี

    เขามองเธอที่พยายามตบตีกับกระเป๋าก่อนปิดประตูลงในที่สุด เพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเขาก็หาเหตุผลได้แล้วว่าอะไรที่ดูเปลี่ยนไป – ความจริงคือเขาแค่ไม่ได้เห็นหน้าเธอมาสองวันเท่านั้นเอง เขาขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียวหวังว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ไม่เลย โดยเฉพาะกับสมองของเขา ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งรู้สึกเหมือนสมองจะยิ่งพยายามหลอนเขาซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนั้น

    เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองมาที่เขา และในขณะนั้นเองเดรโกก็พบว่าเขากำลังถูกตรึงเอาไว้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

    แต่เพียงหกอึดใจเท่านั้นเธอก็คลายใบหน้าลงเหลือเพียงร่องรอยของความเหนื่อยล้าก่อนจะละความสนใจจากเขาแล้วแล้วพยายามจะเดินเลี่ยงเขาเข้ามาภายในห้อง

    “วันนี้ไม่มีอารมณ์ทะเลาะด้วยนะ มัลฟอย” เธอพึมพำขณะที่ฝังตัวลงกับเก้าอี้นวมอย่างหมดอาลัย “ดังนั้นถ้านาย – ”

    “ลืมมันซะเถอะ เกรนเจอร์” เขาขัดคอ เสียงของเขาแปร่งพร่านิดหน่อยหลังจากไม่ได้พูดมาร่วมสองวัน “ฉันมีอะไรที่น่าทำมากกว่าจะมาเสียเวลาอยู่กับเธอ”

    เฮอร์ไมโอนี่แค่นหัวเราะ “อ้อเหรอ ?” เธอทำเสียงหยัน “คิดว่าจะทำอะไรล่ะ ? มุดหัวซ่อนอยู่ในห้อง – ”

    “ซ่อนเธอน่ะเหรอ ?” เดรโกพ่นลมหายใจอย่างไร้อารมณ์ร่วม เขาลืมอาหารที่ตั้งใจจะกินไปชั่วขณะ “อย่าทำให้ขำไปหน่อยเลยเกรนเจอร์ ฉันแค่อยากอยู่ในห้องเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้า – ”

    “แล้วนายทำอะไรในห้องนั่นล่ะ มัลฟอย ?” เธอแสร้งอยากรู้ “ฉันเห็นว่าหนังสือของฉันหายไปลองเล่มนะ”

    ชิบหาย

    เขาไม่อยากให้เธอรู้ว่าเขาแอบเอาหนังสือของเธอไปอ่าน ไม่อยากให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถือไพ่เหนือกว่าและจะทุบทำลายอัตตาของเขาอย่างไรก็ได้

    “แล้วมีปัญหากับการอ่านของฉันหรือไง เกรนเจอร์ ?” เขาท้าทายเธอด้วยการทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว เพราะคิดดูแล้วปฏิเสธไปก็คงไม่ช่วยอะไรในเมื่อผู้ต้องสงสัยมีมีแค่เขาคนเดียว

    ประโยคนั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่หยุดทบทวนครู่หนึ่ง ความจริงเธอก็ไม่ได้สนใจถ้าหาเขาจะเอาหนังสือของเธอไปอ่าน ตราบใดที่เธอยังไม่ต้องใช้มันเขาจะเอาไปอ่านก็ไม่เห็นเป็นไร ในใจของเธอยังคงลังเลว่าจะเป็นคนใจแคบแล้วชวนทะเลาะเหมือนทุกทีดีไหมแต่สุดท้ายเธอก็จบลงกับคำถามที่ว่า ทำแล้วได้อะไร ?

    “ก็ไม่ จะอ่านก็อ่าน” เธอบ่นออกมาเบา ๆ ในท้ายที่สุดโดยไม่ทันได้สังเกตความประหลาดใจที่ฉายขึ้นแวบหนึ่งบนใบหน้าซีดเซียวนั้น “แต่อยากให้นายบอกก่อน”

    เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร บอกตรง ๆ ว่าการขอ ขอร้อง หรืออะไรตามเป็นเรื่องที่แค่คิดก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว มันไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติหน้า เรื่องอะไรทำไมเขาจะต้องทำเรื่องงี่เงาพรรค์นั้นด้วย ถ้าเธออยากจะทำอาหารหรืออะไรก็แล้วแต่ให้เขานั่นก็เป็นความต้องการของเธอเอง เขาไม่มีทางจะร้องขอ แน่นอนว่าทั้งอัตตาและชาติกำเนิดก็ไม่มีทางยอมให้เขาร้องขออะไรจากเธอแน่

    “เธออาจจะฝึกไอ้หัวแดงกับเด็กกำพร้าอมตะให้เชื่องได้” เขาขู่เสียงเหี้ยม โดยไม่มีใครทันสังเกตว่าเสียงของเขาอ่อนลงกว่าที่เคย “แต่ฉันขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่าฉันจะไม่มีวันร้องขออะไรจากเธอ”

    เฮอร์ไมโอนี่นิ่งฟังก่อนจะถอนหายใจ “อือ เอาเถอะ” เธอว่า “รู้อยู่แล้วแหละว่าจะเป็นแบบนี้ – อาหารเป็นยังไงบ้าง ?”

    เขาไม่ได้คะเนเอาไว้ว่าเธอจะพูดเรื่องนี้ คิ้วหนาเลิกสูงขึ้นนิดหน่อย “อะไรนะ”

    “อาหารที่ฉันทำ” เธอทวนคำ แม้ว่าจะรู้สึกกระดากอายอยู่บ้างแต่เธอก็ซ่อนมันเอาไว้ได้เป็นอย่างดี “อร่อยไหม ?”

    เสียงงึมงำในลำคอดังขึ้นตอบคำถาม นึกไม่ถึงว่าลึก ๆ เขาจะอยากตอบคำถามนี้ขึ้นมา “มันก็...อร่อยใช้ได้” เขาพูดรัวเร็วแล้วก็รู้สึกผิดกับตัวเองขึ้นมาในทันที ยิ่งเห็นว่ารอยยิ้มเล็กกำลังขโมยพื้นที่บนริมฝีปากของเธอด้วยแล้ว เขายิ่งรู้สึกอยากทึ้งหัวตัวเอง แต่พูดก็พูดเถอะนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกขังอยู่ที่นี่ที่เขาได้เห็นความสบายใจบนใบหน้าเธอ – อือ ก็เหมาะกับเธอมากกว่าการขมวดคิ้วนิ่วหน้าเครียดตลอดเวลา

    “ดีแล้ว” เธอพยักหน้า

    “เกรนเจอร์” เขาเอ่ยขึ้นด้วยความระมัดระวังแล้วชายตาไปยังอุปกรณ์มักเกิ้ลที่เขาเพิ่งจะค้นเจอเมื่อสักครู่ “ทำไมของพวกนี้ถึงมาอยู่ในลิ้นชักครัว ?”

    “ของอะไร ?” เธอถามขณะที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตรงไปหามัลฟอย พวกเขายืนใกล้กันจนเฮอร์ไมโอนี่ตระหนักได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ใกล้กันได้โดยที่ไม่มีใครกรี๊ดใส่หน้าใคร และมันทำให้เธออิหลักอิเหลื่อนิดหน่อยเมื่อเผลอขยับตัวไปโดนเขา

    ร่างเล็กขยับออกห่างเล็กน้อยแล้วดึงลิ้นชักที่ว่าออกมาโดยมีเดรโกกับหน้าตาขี้สงสัยชี้นิ้วให้เธอดูว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

    “อ๋อ อันนี้น่ะเหรอ ? มันคือยาแก้แพ้น่ะ”

    “ยาแก้แพ้ ?” เขาซ้ำคำก่อนจะก้าวถอยหลังนิดหน่อย – ใกล้เลือดสีโคลนเกินไปแล้ว

    “ฉันแพ้ผึ้งน่ะ” เธอค่อย ๆ อธิบายแล้วหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาให้ดู “ถ้าฉันถูกผึ้งต่อยฉันจำเป็นต้องฉีดมันเข้าไป ในนี้มีเนพิเอฟรีนซึ่งฉันจะต้องใส่เข็มแล้ว – ”

    “มันไม่มีคาถาหรืออะไรสักอย่างให้ใช้หรือไง ?” เขาถาม

    “ก็อาจจะมี” เธอไหวไหล่ “แต่ฉันทำแบบนี้มาตลอด”

    สายตาขี้สงสัยมองสลับระหว่างหน้าเธอเข็ม “น่าสะอิดสะเอียนมาก” เขาโพล่งออกมาในที่สุดแล้วเดินผ่านเธอไปหยิบแคสเซอโรลกับส้อมเพื่อจะมุ่งหน้ากลับเข้าห้องตัวเอง “พวกมักเกิ้ลงี่เง่า”

    เธอกลอกตาเมื่อได้ยินแว่ว ๆ ว่าเขาพูดอะไร มันเป็นความคิดอคติของพวกเลือดบริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่ก็ยังโชคดีที่เขาไม่ได้โวยวายแล้วทำให้พวกเขาต้องทะเลาะกันใหญ่โตอีก นับเป็นเรื่องน่าโล่งใจครั้งแรกนับตั้งแต่เขาย้ายเข้ามา บางทีต่อไปอาจจะดีขึ้นกว่านี้แค่พวกเขาต้องจูนกันให้ได้

    -

    เช้าวันถัดมาเดรโกสะดุ้งตื่นก่อนเวลาอีกแล้วและเขาก็ทำแบบเดิม เดินไปนั่งพิงผนังห้องและแนบหูฟังเสียง

    เขาไม่ได้พยายามจะต่อต้านเสียงพึมพำอันไพเราะนั้น และไม่ว่าจะเป็นเธอหรือใครก็ตามก็ไม่อาจรู้ได้ว่าการฟังเสียงร้องเพลงของเธอหรือการอาบน้ำของเธอนั้นช่างเป็นการปลอบประโลมที่เขาไม่อาจทัดทาน

    มันคือยาแก้พิษจากฝันร้ายและลดอาการปวดหัวตกค้างที่ได้ผลที่สุด กลิ่นของเธอที่ยังติดอยู่ที่จมูกนั่นก็ไม่ได้แย่นัก เขารู้สึกเหมือนเป็นการรักษาแบบเดียวกับการใช้สมุนไพร เธอเป็นเหมือนยาสมุนไพรชั้นดีที่นักสมุนไพรจะต้องพูดกันปากต่อปาก

    และเขาสาบานได้เลยว่าก่อนที่เขาจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง กำแพงที่กักกั้นหัวใจของเขามันเริ่มขยับออกไปอีกหน่อย แม้จะเพียงนิ้วสองนิ้วแต่ก็ทำให้เขาสบายใจกับห้องนี้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน

     tbc

    -

    คุณเดรโกเขากำลังต่อสู้กับอาการป่วยในจิตใจพอสมควรเลยค่ะ

    ก่อนหน้านี้เราจะเห็นได้ว่าเขาบ่นเรื่องกำแพงห้องอยู่เสมอว่ามันแคบลงเรื่อย ๆ 

    มันเหมือนเป็นการอธิบายความรู้สึกภายในใจของเขากับอาการป่วยที่กำลังแย่ลง

    เขากลัวว่าสักวันผนังห้องที่แคบลงเรื่อย ๆ นี้มันจะบดบี้เขาและเขาจะ breakdown เสียสติไป

    ดีใจที่ยัยน้องเป็นยาวิเศษช่วยรักษาให้เขาได้ แง อ่านไปเห็นใจคุณชายไป มันคงทรมาณมาก ๆ เลย


    ฝากติดตามด้วยนะคะ ครั้งนี้อัพช้ากว่าที่แจ้งไว้นิดหน่อยพอดีแอบไปปั่นฟิคสั้นมาค่ะ

    ตัดเข้าสู่ช่วงขายของ 55555555555

    พอดีว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้ (7พ.ย.) เราจะมีไปออกร้านที่งาน MuggleconTH ซึ่งจัดขึ้นที่บางซื่อจังชั่น ชั้น7 

    ตอนแรกว่าจะปั่น Rictusempra ให้จบ แต่ปรากฎว่าไม่ทัน แงแอ ก็เลยเขียนเป็นฟิคสั้นขนาด 30 หน้าA6 เอาไปวางที่บูธค่ะ 

    และด้วยความที่เป็นฟิคสั้นมาก เราเลยไม่ได้ตั้งราคาเอาไว้สามารถหยิบฟรีได้เลยหรือจะจ่ายตามกำลังศรัทธาก็ได้ค่ะ 55

    ใครได้มีโอกาสแวะไป MuggleconTH ลองไปหยิบเล่นได้ที่บูธ B02 โซนตรอกไดแอกอนนะคะ ♥

    ส่วนใครที่ไม่ได้งานถ้าหากสนใจสามารถส่งข้อความมาหาเราทาง twitter @omoniquee หรือ dek-d smsg ได้เลยนะคะ จะมีค่าส่ง 35 บาทค่ะ


    เจอกันตอนหน้า รักนะคะ

    /โมนิค



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×