คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 : Score [100%]
เปลือกตาบางขยับเปิดขึ้นอีกครั้งเมื่อเขารู้สึกตัวตื่น
เขาฝันถึงเรื่องราวบนหอคอยดาราศาสตร์อีกแล้ว
ทุกสัมผัสยังคงชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งภาพและเสียง แม้กระทั่งกลิ่นก็ล้วนประดังเข้ามาหลอกหลอนเขาอย่างไม่ปรานี เห็นได้ชัดว่าจิตใต้สำนึกของเขาเองก็ยังคงถูกผลพวงของความทรงจำรบกวนเสียจนไม่สามารถป้องกันเขาให้พ้นจากภาพหลอนพวกนั้นได้
เพราะในยามหลับมันก็ยังคงฉายภาพวนเวียนซ้ำอยู่แบบนั้นอย่างไม่รู้จบ
ฝันร้ายนี่กำลังทรมาณเขา – มันไม่ยอมปล่อยเขาไปแม้แต่คืนเดียว
เหมือนไม่ต้องการให้เขาลบลืม
ผิดพลาด
ล้มเหลว
พังพินาศ
เขาครางเบา ๆ ในลำคออย่างรำคาญเมื่อแสงแดดกำลังทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับต่อได้
ใบหน้าซีดเผือดซุกเข้ากับหมอนที่นุ่มยวบ ด้วยหวังว่ามันจะช่วยเป็นปราการป้องกันเขาจากแสงสีส้มอ่อนนั้น
แสงอาทิตย์ของฤดูใบไม้ร่วงกำลังส่องกระทบใบหน้าของเขาและเขาไม่ชอบมันเอาเสียเลย –
มันร้อนและสว่างจนแสบตา น่าสมเพชที่ดูเหมือนว่ามันกำลังพยายามจะหลอกพวกปัญญาอ่อนให้เชื่อว่าข้างนอกนั่นยังคงอบอุ่นอยู่
ทั้งที่จริง ๆ
แล้วทั่วทั้งบริเวณกำลังจะแข็งเป็นน้ำแข็งเพราะฤดูหนาวที่ใกล้มาถึงเต็มที
และแน่นอนว่าเขารู้สึกได้ถึงมัน – สายลมเย็นเฉียบเริ่มพัดผ่านผิวกายของเขาอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาตัดสินใจสะบัดผ้าห่มออกจากร่าง
แล้วจรดปลายเท้าลงบนพื้นกระดานเย็นชืด
ร่างสูงขยับเสื้อคลุมให้เข้าที่เพื่อป้องกันเข้าจากอาการหนาวสั่นก่อนจะจัดเสื้อกั๊กและกางเกงบ็อกเซอร์ให้เข้าที่เข้าทาง
เมอร์ลินคงห้ามไม่ให้มักกอนากัลจัดเตรียมชุดนอนที่สามารถปกป้องเขาจากภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ
เขาขยับริมฝีปากเหยียดอย่างไม่พอใจขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างหวังว่าจะได้เห็นวิวที่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง
แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นหลังคากระเบื้องและท้องฟ้าที่เรืองสีทองแสบตาเพราะแสงอาทิตย์
ถามจริงอะไรคือจุดประสงค์ในการทำหน้าต่างทั้ง ๆ
ที่มองออกไปก็ไม่เห็นจะมีวิวอะไรให้มอง ? พวกกริฟฟินดอร์หน้าโง่เอ้ย
หลังจากสบถด่ากริฟฟินดอร์ในใจไปแล้วเขาก็ระลึกได้ว่ารอบกายของเขากำลังรายล้อมเอาไว้ด้วยความเงียบ
เสียงความเงียบดังอั้นอึ้งอยู่ภายในหูของเขาสลับกับเสียงนกที่ดังมาจากที่ไกล ๆ
เดรโกขมวดคิ้วต่อเข้าหากันอย่างสับสน มีอะไรบางอย่างเริ่มบอกเขาเป็นนัยว่าจริง ๆ
เขาเคยตื่นขึ้นมาแบบนี้ครั้งหนึ่งแล้ว
ใช่แหละ เขาเคยตื่นขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ทุกประสาทสัมผัสกำลังช่วยกันกระซิบบอกเขาว่าความจริงคืออะไร ในที่สุดเขาก็นึกออก ยายเลือดสีโคลนปลุกเขาให้ตื่นไปแล้วด้วยเสียงอาบน้ำและเสียงฝีเท้าเซ่อซ่าของเธอ
จำได้ว่าเขานอนสบถถ้อยคำหยาบคายยาวเป็นหางว่าวขณะที่เงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวงุ่มง่ามที่ดังมาจากห้องน้ำ
เขายังคงห่างไกลจากความคิดชั่วช้าแต่กลับเต็มไปด้วยเจตนามุ่งร้าย ทว่าก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำอะไร
เสียงประตูปิดล็อคกลับดังขึ้นพร้อมเสียงเหล่านั้นเงียบหายไป
เธอออกไปแล้ว ขอบใจนะเวรเอ้ย
จากนั้นความอบอุ่นของผ้าห่มก็เริ่มกล่อมให้เข้ากลับสู่ห้วงนิทราที่มีฝันร้ายกำลังรออยู่
ทุเรศสิ้นดี
เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องมาเงียบ ๆ
เพื่อหาอะไรทำไม่ก็หาอะไรกิน
เดรโกหยิบแก้วใสทรงลูกแพร์มาเทนมใส่ลงไปก่อนหยิบเอาซีเรียลที่เกรนเจอร์น่าจะเหลือเอาไว้ให้มากิน
พลางคิดไปว่าความจริงเขาควรจะเรียนรู้วิธีการทำอาหารโดยไม่ใช้ไม้กายสิทธิ์เสียบ้างถ้าหากว่าอยากจะกินอะไรร้อน
ๆ เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องประทังชีวิตด้วยนมและซีเรียสโง่เง่านี่ตลอดไป
ซึ่งก็คงจะต้องขอให้เกรนเจอร์ช่วยสอนอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาเทอาหารเช้าสิ้นคิดใส่ถ้วยอีกรอบขณะที่ดวงตาจับจ้องไปที่นาฬิกาที่ทำให้ท้องของเขาปั่นป่วนจนต้องผ่อนลมหายใจออกมา
นี่ไม่ใช่ตอนเช้าและนี่ไม่ใช่อาหารเช้า นาฬิกาบอกเวลาเกือบจะบ่ายสามโมงเย็นแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาได้สูญเสียระบบการนอนไปอย่างเป็นทางการ – ไม่ได้ต่างจากที่เสียไม้กายสิทธิ์ไปเลย
แน่นอนความภูมิใจในตัวเองทั้งหมดก็เช่นกัน
เดรโกย้ายสายตาไปยังประตูทางเข้าหลักก่อนจะพบว่านี่ช่างเป็นการกระทำที่ไร้แก่นสารเสียเหลือเกิน
ฝ่ามือเรียวจัดแจงเก็บถ้วยซีเรียลและตัดสินใจว่าจะลองทำอะไรบางอย่าง
จากนั้นวินาทีต่อมานิ้วมือของเขาก็ถากเข้ากับด้ามจับร้อน ๆ
ที่ทำเอาเส้นเลือดของเขาเต้นตุบเหมือนมีเปลวไฟเดือดอยู่ภายใน
“เชี่ย” เขาสบถด่า จ้องเขม็งไปที่นิ้วมือที่ขึ้นสีแดงและพองเพราะความร้อน
คนไม่เคยทำอาหารหอบหายใจอย่างหัวเสียก่อนจะตรงไปยังซิงก์ล้างจาน
เปิดน้ำแล้วปล่อยให้สายน้ำเย็นช่วยทุเลาความเจ็บปวดที่ผิวหนัง
และในขณะนั้นเองเขาก็เหลือบไปเห็นพื้นกระเบื้องที่อยู่แทบเท้า
ฉับพลันในหัวก็เริ่มนับเลขอีกครั้ง...
เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง... จะต้องทำตัวให้ไม่ว่างจะได้ไม่ฟุ้งซ่านทำอะไรโง่
ๆ อีก
--------------------------------------------
“เธอดูซึม ๆ นะ” เนวิลล์ขมวดคิ้วถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า เฮอร์ไมโอนี่ ?”
คำถามนั้นทำให้ริมฝีปากของเธอรีบปั้นยิ้มที่ดูเกินจริงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ไม่เป็นไรนี่” เธอยืนยันกับเขาด้วยน้ำเสียงคงที่ขณะทื่มือก็ยังคงพลิกหน้าหนังสือต่อ “แค่มีการบ้านเรียงความวิชาตัวเลขมหัศจรรย์เลยต้องใช้ความคิดนิดหน่อยน่ะ”
อันที่จริงก็ไม่ได้เรียกว่าโกหกเสียทีเดียวเพราะเธอมีการบ้านเรียงความจริง ๆ แต่แค่เธอทำเสร็จไปตั้งแต่เมื่อสี่วันก่อนแล้วเท่านั้นเอง เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าตอนที่เธอลงไปกินข้าวเย็นในห้องโถงใหญ่กับเพื่อน ๆ ระหว่างเธอและพวกเขาก็คงจะเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด แล้วจากนั้นพวกนั้นจะพยายามสรรหาอะไรก็ตามมาเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ ให้ตาย ใครมันพูดว่าเธอตั้งใจเรียนจนเกินเหตุนะ ?
ทันทีที่เธอไปถึงห้องโถงใหญ่เชมัส ดีน จินนี่และลูน่าดูจะประหลาดใจมากที่เห็นการปรากฏตัวของเธอก่อนจะพยายามช่วยให้เธอเข้าร่วมวงสนทนาได้อย่างไม่เก้กัง เพื่อนเธอก็ยังคงแสนดีเสมอเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจแม้ว่าความจริงแล้ว เธอจะสังเกตเห็นว่าบทสนทนาระหว่างกริฟฟินดอร์และเรเวนคลอนั้นกำลังดำเนินไปอย่างอึดอัดอยู่ก็ตาม ทุกคนพยายามข้ามเรื่องสงครามและโวลเดอมอร์ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีแต่กลับรู้สึกรำคาญนิดหน่อย แต่อย่างไรก็ดีเธอก็ยังคงต้องการพวกเขา – คนที่เข้าใจเธอและสามารถเรียกว่าเพื่อนได้อย่างสนิทใจ มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาจะที่พยายามเลี่ยงหัวข้อเหล่านั้นในเวลานี้
ดังนั้นเธอจึงร่วมพูดคุยคำสองคำร่วมไปกับการพยักหน้าตามโอกาส
“ความจริงไม่มีใครสนใจจะเขียนเรียงความนั่นจริง ๆ หรอก” เนวิลล์พึมพำขึ้นมาขณะที่ทุกคนยังคงคุยเรื่องควิดดิชและไม่ยอมหยุดฟังเขา “ฉันคิดว่าหลายคนคงจะมองว่ามันไม่สำคัญแล้วในเวลานี้ แต่ฉันเข้าใจเธอนะ ฉันเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่”
เฮอร์ไมโอนี่เอ็นดูเนวิลล์จริง ๆ แม้จะดูเซ่อซ่าไปหน่อยแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจอย่างแท้จริง เขาเป็นคนน่ารักเสียจนบางครั้งเธอก็เจ็บในหัวใจและเพราะมีเขานั่นแหละเธอจึงยอมออกมาเจอคนอื่น ๆ
“มันช่วยให้คิดเรื่องอื่นน้อยลงน่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนพลางไหวไหล่
เนวิลล์พยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าใจก่อนที่เชมัสจะเอ่ยชื่อเขาขึ้นมาแล้วลากกลับเข้าไปร่วมวงสนทนา...ที่เอ่อ – โทษทีนะ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไร เธอแสร้งหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะรู้ตัวอีกทีเมื่อดวงตาเฉื่อยชาของตัวเองจับจ้องไปยังโต๊ะของสลิธีรินที่ว่างเปล่า
ใช่ ว่างเปล่า
ในจำนวนนักเรียนบ้า ๆ บอ ๆ สองร้อยห้าสิบกว่าคนที่เอาตัวเองกลับเข้ามายังฮอกวอตส์มีเพียง 32 คนเท่านั้นที่สวมเนคไทสีเขียว แถมทั้งหมดยังเป็นนักเรียนชั้นปี 4 ไม่ก็เด็กกว่านั้น พวกนั้นกินข้าวเย็นอยู่ที่โต๊ะและพูดคุยกันด้วยเสียงเบากว่าบ้านอื่น ๆ ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า พวกนั้นดูพยายามจะไม่ทำตามขนบบ้านและหลีกเลี่ยงสัญลักษณ์งูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และถ้าจำไม่ผิดพวกนั้นไม่ได้นอนที่คุกใต้ดินรวมถึงนำเตียงสำรองออกมาวางระเกะระกะไปทั่วหอนอนอื่น ๆ
ช่างน่าเศร้า
พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อไม่ให้ถูกเหมารวมไปกับเรื่องแย่ ๆ ซึ่งการที่ต้องเอาตัวเข้ามาอยู่ที่ฮอกวอตส์นี่ก็เพื่อแสดงจุดยืนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยกับโวลเดอร์มอร์ เหมือนที่ใครพยายามจะยัดเยียดข้อหานี้ให้พวกเขาแค่เพราะเป็นสลิธีริน พวกเขาก็เป็นเหมือนเราทุกคนที่ต้องการความปลอดภัยและภาวนาให้เรื่องราวเหล่านี้จบลงเสียที
เห็นแบบนี้แล้วเธอก็ยิ่งเกลียดมัลฟอยเข้าไปอีก เขามันคนสับปลับแถมยังพยายามจะทำตัวให้เลวร้ายตามอย่างสิ่งที่ซัลลาซาร์ทิ้งเอาไว้ให้ เธอถอนหายใจอย่างนึกสมเพชก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่บริเวณที่เธอเห็นเขานั่งอยู่เป็นครั้งสุดท้าย
จำได้ว่าตอนนั้นปีหกนั่นเขาดูมากและเธอก็ไร้เดียงสาเสียจนไม่ได้เอะใจว่าเรื่องชั่วร้ายบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น ยังจำได้อยู่เลยว่าเธอพูดอะไรกับแฮร์รี่ เธอเกือบจะเป็นห่วงเขาด้วยซ้ำ ให้ตายเธอดวงตาของเธอมันมืดบอดถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน ?
“เฮอร์ไมโอนี่” เสียงเล็ก ๆ ดึงเธอให้กลับมายังปัจจุบันก่อนจะหันไปมองต้นเสียง “เธอยังโอเคอยู่ไหม ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะไปไกลนะ”
เฮอร์ไมโอนี่พยายามสู้กับตัวเองอย่างหนักไม่ให้มองค้อนลูน่าที่เหมือนจะเหน็บแนมเธออยู่กลาย ๆ “ฉันไม่เป็นไร ลูน่า” เธอถอนหายใจแล้วชำเลืองมองหนังสือของตัวเอง “แค่เรื่องนี้มันซับซ้อนนิดหน่อยและคิดว่าฉันควรจะต้องไปห้องสมุดแล้วล่ะ”
“ตอนนี้น่ะเหรอ ?” จินนี่ขมวดคิ้วและมองด้วยสายตาที่เฮอร์ไมโอนี่เข้าใจได้ว่ามันคือความห่วงใย “เธอยังไม่ได้แตะอาหารเลยสักนิดนะ”
เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเหลือบมองจานอาหารที่แทบจะไม่มีส่วนที่แหว่งเลย เธอปล่อยเนื้ออบนอนนิ่งอยู่ในจานจนซันเดย์โรสต์ที่เป็นของโปรดใครหลาย ๆ คนกลายเป็นเพียงอาหารชืดแฉะไม่น่ากิน “ฉันไม่ค่อยหิวเท่าไหร่” เธอยักไหล่แล้วผลักจานออกไปด้านข้าง “เมื่อเช้ากินไปเสียเยอะน่ะ”
คนฟังดูลังเลที่จะปักใจเชื่อซึ่งเธอไม่ได้โทษพวกเขาหรอก เธอรู้ว่าตัวเองผอมลงแค่ไหนตั้งแต่แฮร์รี่กับรอนไม่อยู่ แต่นั่นไม่ใช่เพราะเธอปล่อยให้ตัวเองหิวหรือกินน้อยลงมาก ๆ อะไรนั่น เธอกินอยู่บ้างแม้จะผิดเวลาไปหน่อยก็ตาม ความจริงที่เธอเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะอาการนอนไม่หลับ บางทีเธอควรจะรับน้ำยาหลับไม่ฝันมาจากซลักฮอร์น
“อยากให้ไปห้องสมุดเป็นเพื่อนไหม ?” เนวิลล์เสนอด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง “ฉันว่าฉันควรจะเริ่มเขียนเรียงความวิชาสมุนไพรศาสตร์ได้แล้ว”
“ไม่เป็นไร” เธอส่ายหน้าขณะยืนขึ้น “ฉันจำได้ว่าเธอไม่ชอบห้องสมุดสักเท่าไหร่แถมยังกินข้าวไม่เสร็จเลย”
“งั้นเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง” เขาต่อรองขณะที่ใช้ส้อมจิ้มกะหล่ำดาวอีกลูก “การได้เจอเธอเป็นเรื่องดีนะ เฮอร์ไมโอนี่”
“ใช่ มันเป็นแบบนั้น” จินนี่พยักหน้าพร้อมกับเสียงสำทับของดีนและเชมัส “พรุ่งนี้เธอจะมาเจอพวกเราอีกไหม ?”
ไม่ล่ะ
“จะพยายามนะ” เธอสูดลมหายใจก่อนจะส่งยิ้มให้บาง ๆ “ดีใจที่ได้เจอพวกเธอเหมือนกัน”
เฮอร์ไมโอนี่เก็บข้าวของมาถือเอาไว้แล้วโบกมือลา เสียงพึมพำดังขึ้นขณะที่เธอเดินออกมา พวกเขาคงพูดถึงสารรูปที่ดูไม่ได้ของเธอ ไม่ก็รอยคล้ำใต้ตาที่ดูบวมช้ำ ไม่ก็ผิวที่ซีดจนแทบจะไม่เห็นสีเลือดแล้ว แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามมันไม่ใช่การแทงข้างหลัง – คงงั้น แค่เชื่อ – เชื่อว่ามันเป็นแค่ความกังวล
ความจริงเธอคงจะรู้สึกผิดถ้าหากร่างกายของเธอจะยังสามารถรองรับความรู้สึกแย่ ๆ ได้อีก
แต่มันทำไม่ได้แล้ว เพราะแค่คิดถึงเรื่องมัลฟอยความรู้สึกของเธอก็ปริ่มล้นไปด้วยความคิดลบมากมายและยังพ่วงมาด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวังเพราะห้องที่เคยส่วนตัวไม่ส่วนตัวอีกต่อไป
แต่ก็ยังคงมีความหวังอยู่นิดหน่อย ความหวังเป็นสิ่งเดียวที่ยังพอจะสร้างความคิดแง่บวกให้เธอได้บ้างและไม่ทำให้หัวใจของเธอแหลกสลายไปก่อน แม้ว่าหลายครั้งเธอจะยึดติดอยู่กับความสิ้นหวังและสบถด่าออกมาเหมือนคนบ้า แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ทำให้ทุก ๆ คืนเธอตั้งใจค้นคว้าเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์และพยายามจะฝึกฝนกับภาคีต่อไป
ใช่ มันเป็นแบบนั้น ถึงบางครั้งจะผิดแผนไปบ้างก็เถอะ...
ดูเหมือนครั้งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะห้องสมุดดูมีชีวิตชีวาขึ้นผิดจากทุกที มีปีสามบางกลุ่มกำลังรวมตัวกันหารือเกี่ยวกับวิชาปรุงยา ส่วนอีกโต๊ะมีปีสี่อีกกลุ่มหนึ่ง มาดามพินซ์เองก็กลับมาประจำที่ของเธอเหมือนกัน ดวงตาของเธอไล่ผ่านหน้าหนังสือสลับกับมองไปยังเด็กนักเรียนในห้องสมุด เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าทักทายบรรณารักษ์ด้วยท่าทางเฉื่อยชาซึ่งไม่ได้รับการตอบรับใด เธอจึงหันมองไปรอบห้องด้วยสายตาลังเล
แล้วก็พบว่าที่หลังชั้นหนังสือยังมีนักเรียนอีกกลุ่มอยู่ด้วยดูเหมือนว่าตอนนี้ห้องสมุดจะพลุกพล่านเกินไปสำหรับเธอ เธออยากได้ความสงบมากกว่านี้ ดังนั้นจึงตรงไปยังเขตหวงห้าม ดึงหนังสืออกมาสองสามแล้วบอกกับตัวเองว่าเธอไม่ควรจะอยู่ที่นี่ถ้าหากอยากอ่านหนังสืออย่างสงบ ร่างบางเก็บหนังสือลงในกระเป๋าขณะที่ใคร่ครวญกับตัวเองว่าควรจะออกไปข้างนอกดีไหม เพราะอากาศที่ไม่เอื้อต่อการอ่านหนังสือทำให้เธอลังเลอยู่นาน
จริง ๆ เธอแค่อยากจะกลับไปที่ห้องแล้วซุกตัวอยู่บนเก้าอี้นวมพร้อมชอคโกแลตร้อนสักแก้วสำหรับปลุกให้เธอจดจ่ออยู่กับหนังสือได้นาน ๆ
แต่หมอนั่นยังอยู่ที่ห้อง
คิ้วเรียวยู่เข้าหากันพร้อมใบหน้ามุ่งมั่น ได้ เธอจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ถูกเนรเทศออกจากห้องนอนตัวเองแค่เพราะที่นั่นมีไอ้บ้าอย่างเขาสิงสู่อยู่ พอสักที ทำไมเธอจะต้องมาเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ในชีวิตเพราะมัลฟอยด้วย ? ถ้าเกิดไอ้หมอนั่นมีปัญหามากนักเธอก็แค่ขังเขาไว้ในห้องนอนจนกว่าเขาจะหายบ้าเท่านั้นเอง เธอตัดสินใจแล้วร่ายคาถาปกปิดหนังสือแล้วออกจากห้องสมุดเพราะลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับเธอว่าไม่ควรจะให้เขารู้ว่าเธอกำลังสนใจอะไรอยู่ เพราะถ้าหากเขาหาทางหนีออกไปได้ เขาจะต้องกลับไปหาโวลเดอร์มอร์และข้อมูลที่เขามีจะเป็นปัญหากับแผนของแฮร์รี่และรอน
เธอก้าวฉับ ๆ กลับไปยังหอนอนด้วยความอาจหาญและเด็ดเดี่ยว
อะดรีนาลีนกำลังแล่นไปทั่วทั้งร่างพร้อมสำหรับการปะทะถ้าหากจำเป็น ริมฝีปากเล็กพึมพำรหัสผ่านก่อนจะแทรกตัวผ่านบานประตูเข้ามาภายในห้องซึ่งสายตาก็กวาดมองไปเจอเขาพอดี
ไม่ว่าเธอจะคาดเอาไว้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่แต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่แบบนั้น
ร่างสูงนั่งอยู่บนเคาท์เตอร์ซึ่งเป็นเสมือนเส้นกั้นแยกห้องครัวและห้องนั่งเล่นออกจากกัน
เขานั่งอยู่ในท่าทางสบาย ๆ มือข้างหนึ่งยันรับน้ำหนักอยู่ด้านข้างส่วนอีกข้างนิ้วทั้งห้ากำลังเคาะลงกับพื้นโต๊ะสีมะฮอกกานีเป็นจังหวะ
ไหล่แกร่งชันเกร็งขึ้นตามหลักกายวิภาค ส่วนดวงตาเหม่อมองไปเบื้องหน้าเขาไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นเธอเสียด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะตอนปิดประตูหรือตอนที่เธอก้าวเข้ามาในห้องแล้วก็ตาม
เฮอร์ไมโอนี่ยืดคอและลำตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นใบหน้าของเขาก่อนจะตระหนักได้ว่าเขาก็ยังคงทำหน้าบึ้งตึงอยู่เหมือนเคยแม้ว่าท่าทางจะดูผ่อนคลายมากก็ตาม
เธอแอบสงสัยนิดหน่อยว่าสีหน้าแบบนั้นคือสีหน้าถาวรของเขาแล้วหรือเปล่า แต่แล้วเธอก็ระลึกได้ว่าตัวเธอเองก็ไม่ได้ขยับยิ้มมาหลายสัปดาห์แล้ว
เมื่อลองมองดี ๆ ก็รู้สึกว่าหน้าตาคร่ำเครียดของเขาไม่ได้เกิดจากความโกรธแต่เหมือนว่าเขาน่าจะกำลังจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่าง
เฮอร์ไมโอนี่พยายามเพ่งมองใกล้ ๆ อีกครั้งเหมือนอย่างกับเขาเป็นนกหายากที่อันตราย
เธอค่อย ๆ มองตามสายตาอันแรงกล้าของเขาและไม่พบอะไรนอกจากผนังที่มีกระเบื้องสีขาวเรียงรายอยู่
ริมฝีปากบางขยับออกจากกันเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ
ทำบ้า ...
“นายทำบ้าอะไรของนายเนี่ย ?”
เธอถามเสียงแข็งขณะที่เขาสะดุ้งอย่างตกใจก่อนจะตวัดสายตากลับมามองเธอ อ่า
ความโกรธมาแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไปกวนเขาในขณะที่กำลังทำอะไรสักอย่างจนคนขี้โมโหเกิดกระฟัดกระเฟียดขึ้นมาจริง
ๆ
ดวงตาสีอำพันของเธอไล่มองแผ่นกระเบื้องอีกครั้งเผื่อว่าเธอจะไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งที่เขาสนใจ
แต่มันก็ไม่มีอะไรนอกจากกระเบื้องที่แตกลายงา
“เป็นบ้าอะไรของเธอ เกรนเจอร์!” เขาคำรามขณะกระโดดลงจากเคาท์เตอร์เร็วอย่างกับปรอท
“ฉันลืมหมดแล้วว่านับไปถึงไหน ยายโง่ – ”
“นับอะไรนะ ?” เธอทวนคำ
ฝ่ามือเอื้อมจับไม้กายสิทธิ์ตามสัญชาตญาณแต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เข้าใกล้ขีดความเป็นภัยอย่างที่เธอคาดเอาไว้
เขาสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อถอยออกจากเธอราวสิบห้าฟุตแล้วมองเธออย่างหมดความอดทน – เอาเข้าจริงนั่นก็ยังดูใกล้เกินไปสำหรับเขาอยู่ดี
“นี่นายทำ – ”
“แล้วเธอมาทำห่าอะไรตรงนี้ ?” เขาตะคอกทันควัน
“ก็ฉันอยู่ที่นี่” เธอขู่ก่อนจะเดินไปยังโซฟาและเหวี่ยงกระเป๋าหนัก
ๆ ลงไป “และฉันมีงานต้องทำ ขอฉันอยู่คนเดียว – ”
“แล้วโทษนะ เธอคิดว่าจะให้ฉันไปอยู่ไหนงั้นเหรอ ?”
เขาโต้กลับแล้วยกแขนขึ้นกอดอกแล้วใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งนวดไหล่เหมือนพร้อมจะมีเรื่อง
แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นการเคลื่อนไหวของมัดกล้ามที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อโปโลสีเทานั่นแทน
“ฉันไม่รู้ ไม่ได้สนใจด้วย”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกอย่างที่พูดจริง ๆ “ไปอยู่ในห้องสิ – ”
“ทำไมต้องทำ ?”
เดรโกกดเสียงต่ำมองหน้าเธออย่างประเมิน “เธอจะไปไหนมาไหนก็ได้ ไม่เหมือนฉันนี่
เพราะงั้นเธอควรจะออกไปอยู่ที่อื่นแทน – ”
“นี่มันห้องฉันนะ มัลฟอย!” เธอแหวเสียงแหลมพลางกำหมัดแน่นอย่างหมดความอดทน
“นายมาอยู่นี่ก็เพราะภาคีสงสาร อย่าลืมสิ!”
เดรโกขบกรามแน่น “ฉันต้องมาติดอยู่ที่นี่ก็เพราะว่าคนปัญญาอ่อนอย่างพวกเธอที่มันแส่ไม่เข้าเรื่อง”
เขาตะโกน “เอาแต่ยื่นจมูกเข้ามายุ่งเรื่องชาวบ้านและคิดไปเองว่ากำลังจะช่วย – ”
“เรากำลังช่วยนาย!”
“เหรอ
งั้นจะบอกอะไรให้นะว่าฉันไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือห่าเหวอะไรจากเธอ!” เสียงเดรโกดังแหลมกว่าที่เคยมันกังวานสะท้อนไปทั่วหอพักโบราณ
“ฉันไม่เคยร้องขอ – ”
“แต่นายก็ได้รับมันแล้ว” เธอพยายามแย้งอย่างใจเย็นแม้ว่าจะควบคุมความจองหองในน้ำเสียงไม่ค่อยได้ก็ตาม
“ดังนั้นช่วยหยุดคร่ำครวญเหมือนเด็กไม่รู้จักโตและ – ”
“ไสหัว - ”
“เอาสิ ฉันก็รอให้นายไสหัวออกไปอยู่นี่”
แม่มดสาวตอกกลับ “ฉันต้องการทำงาน – ”
“ทำไมไม่ไปทำในห้องตัวเองเสียล่ะ ?”
เขาถามอย่างหยาบคายก่อนจะก้าวยาว ๆ เข้ามาใกล้ “หรือถ้ายังไม่ดีพอก็ไสหัวออกไปอยู่ที่หอคอยกับเพื่อนสวะที่เหลือของเธอซะ
– ”
“ฉันไม่ควรจะต้อง – ”
“ทำไมพวกกริฟฟินดอร์จะต้องคอยทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยากทุกทีไป”
เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอเอาแต่วิ่งเข้าหาปัญหาเหมือนคนโง่แล้วจากนั้นก็งงว่าทำไมถึงมีคนพยายามจะฆ่า
– ”
“ฉันเข้าใจนะว่านายคงจะรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจ”
เธอค่อย ๆ พูดพลางเชิดคางขึ้น “เราแค่กล้าหาญมากพอที่จะยืนหยัดเพื่อ – ”
“อย่าทำเป็นอาทรฉันหน่อยเลย เกรนเจอร์”
ร่างสูงกลอกตา “ความกล้าหาญ โถ...
เธอกับไอ้พวกงี่เง่านั่นข้ามเส้นไปเป็นพวกไร้สมองโง่ดักดานก็เพราะอะไรแบบนี้ล่ะ”
“กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าพวกไร้สมอง” เธอตะคอก
วาดมือออกจากไม้กายสิทธิ์และใช้นิ้วชี้หน้าเขา “ฉันไม่ – ”
“อ้อ” เขาพึมพำ “เธอก็คงจะพอมีเซลล์เหลืออยู่บ้างแหละ
แต่ไอ้กำพร้ากับไอ้ยาจกนั่นดูเหมือนว่าจะไม่ – ”
“อย่าเรียกพวกเขา – ”
“เอาจริง ๆ มีอีกหลายเรื่องให้พูดถึงกลุ่มเล็ก ๆ
น่าสมเพชของเธอนะ” เขาว่าต่อไม่ได้สนใจว่าเธอกำลังโกรธเพียงใด
แล้วก้าวเข้ามาใกล้อีก “แต่คงจะต้องเก็บเอาไว้พูดตอนนังเลือดสีโคลนพอจะมีสมองจริง
ๆ กับเขาบ้าง!”
เลือดมักเกิ้ลที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างเดือดพล่านจนในที่สุดสัญชาตญาณก็ไวกว่าการสั่งการของสมอง
แก้วน้ำใบที่ใกล้มือที่สุดถูกเหวี่ยงออกไปหมายให้ถูกโดนคนน่ารังเกียจเบื้องหน้า
เธอขว้างมันอย่างแรง แรงที่สุดเท่าที่เธอเคยขว้างอะไรในชีวิต แต่เขาหลบพ้น
ไอ้คนบ้า เธอมองมันแหลกเข้ากับกำแพงเบื้องหลังเขา เศษเซรามิกเนื้อดีจากจีนร่วงหล่นลงบนพื้นไม้ส่งเสียงดัง
ดวงตาสีทองซึ่งวาวเรืองไปด้วยโทสะตวัดมองก่อนจะไม่สามารถควบคุมร่างกายที่สั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธได้เมื่อสิ่งที่เห็นคือสีหน้าขบขันไร้สำนึกของเขา
“ฉันจะไม่พูดซ้ำนะ มัลฟอย” เธอกรีดเสียง
พายุที่ก่อตัวอยู่ภายในดูเหมือนอยากจะให้เธอสาปเขาเสียเดี๋ยวนี้ “กลับที่ห้องของนาย
ให้ฉันทำงานสงบ ๆ – ”
“ประสาทแดกแล้วเหรอ เกรนเจอร์ ?”
เขาจงใจวาดยิ้มกว้าง “เพราะอะไรล่ะ
เลือดสีโคลนหรือเพราะความจริงเกี่ยวกับไอ้สองตัวนั่น ?”
“อยากเรียกพวกเขาแบบ – ”
“ทำไมไม่ตามไปสร้างความรำคาญให้พวกนั้นบ้างล่ะ ?”
เขาถามอย่างคึกคะนอง
“หุบปากนะมัลฟอย!”
“ไม่ นี่แม่งเรื่องจริงจังนะ” เขาดึงดัน
รู้สึกสะใจเล็กน้อยเมื่อเห็นริมฝีปากของเธอเขม่น “ทำไมไม่ไปกวนพอตเตอร์กับวีสลีย์แทนที่จะเป็นฉันล่ะ
– ”
“เพราะว่าพวกเขาไม่อยู่ที่นี่ยังไงล่ะ!”
เฮอร์ไมโอนี่โพล่งออกมาอย่างเหลืออดทั้ง ๆ
ที่รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องฉลาดที่บอกเขาไปแบบนั้น
และทันใดนั้นเธอก็พบว่าริมฝีปากของเขาเหยียดหยันขึ้นอย่างชั่วช้า
เฮอร์ไมโอนี่นึกโมโหที่สองคนนั่นทิ้งเธออเอาไว้แบบนี้
จนต้องมารับมือกับเรื่องบ้าบอนี่ “พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
เธอว่าซ้ำด้วยน้ำเสียงสงบลง ภาวนาให้ตัวเองยังคงมีไหวพริบหลงเหลืออยู่บ้าง
“พวกมันไปไหน – ”
“อย่างกับฉันจะบอกนายอย่างนั้นแหละ”
เธอตอบเสียงหยัน “ออกไปได้แล้วมัลฟอย ก่อนที่ฉัน – ”
“ว้าว คลาสสิค”
เขาขำคิกคักก่อนจะไล้ลิ้นกับริมฝีปากเหมือนได้ลิ้มรสความโทสะของเธอ
ซึ่งเห็นได้ชัดว่ารสชาติดีทีเดียว “นี่ก็เป็นคำอธิบายที่ดีนะ”
เธอลู่คิ้วไม่วางใจ “นายพูดเรื่องอะไร ?”
“ทำไมทำหน้าบู้แบบนั้นตลอดเวลาเลยเล่า”
เขาพูดเสียงเรียบด้วยท่าทางเหมือนผู้ชนะ “ทำไมต้องทำหน้าเหมือนพร้อมจะกรีดข้อมือตัวเองอยู่ตลอด
– ”
“อย่ามาตลก – ”
“สามสหายแยกจากกันแล้วงั้นเหรอ” เดรโกพูดกลั้วหัวเราะแต่ดูเหมือนเป็นการพูดกับตัวเองเสียมากกว่า
“คงเจ็บน่าดูเนอะเกรนเจอร์
การที่ได้รู้ว่าเขาอยู่กันสองคนได้โดยไม่ต้องมีเธอแถมยังทิ้ง – ”
“อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อน”
“แต่ก็ไม่อยู่ที่นี่น่ะเหรอ ?”
เขาจี้จุดพลางเดาะลิ้นยียวน “น่าสงสารนะแบบนี้ก็ไม่ได้เอากับวีสลีย์แล้วน่ะสิ”
แม้ว่ามันจะหยาบคายเกินไปแต่ก็จี้ใจดำเธออยู่ไม่น้อย
เฮอร์ไม่โอนี่พูดไม่ออกได้แต่สูดหายใจเข้าอย่างตกใจ รอน... รอนเป็นเพื่อนของเธอ
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เธอหวังเอาไว้มากกว่านั้นและยอมสังเวยให้เขาสร้างมลทินให้กับเธอก่อนที่เขาจะจากไปพร้อมกับแฮร์รี่
มันรู้สึกไม่ค่อยดีนักและเขาไม่ได้จัดการมันได้ดีสักเท่าไหร่และมันค่อนข้างเป็นความจริงที่เจ็บปวดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอคงไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง
แม้ว่าความรู้สึกบางอย่างจะยังคงมีอยู่ต่อเขาก็ตาม
“ฉันกับรอนจะเป็นยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องของนาย” เธอขมุบขมิบปากอย่างรำคาญก่อนจะรู้สึกได้ว่าเธอเงียบไปหลายวินาที
“หยุดทำตัวเป็น – ”
“หรือจริง ๆ
เธออาจจะชอบพอตเตอร์มากกว่า ?” เขาถามอย่างขยะแขยง “เมอร์ลิน เธอสามคนนี่มันทุเรศสิ้นดี”
เฮอร์ไมโอนี่นึกอยากจะปาแก้วอีกใบใส่เขา แต่ไม่
เธอจะไม่เอาทักษะเวทมนตร์มาเป็นข้อได้เปรียบ
เขาใกล้เข้ามามากขึ้นอีกแล้วจนเธอได้กลิ่นหอมของผลไม้และอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
ท่าทางของเขาดูสง่าแถมยังคล่องแคล่วไปหมดเหมือนกับเขาวางแผนทุกอย่างเอาไว้อย่างดีแล้วและเป้าหมายของแผนการนั่นก็คือการได้เห็นความอัปยศของเธอ
นิ้วมือเล็ก ๆ
กำรอบไม้กายสิทธิ์นึกอยากจะสาปเขาเสียเดี๋ยวนี้แต่เธอไม่อยากจะใช้เวทมนตร์จัดการกับเขาแล้ว
เธอไม่สามารถสาปเขาทุกครั้งที่ทะเลาะกันได้แม้ว่ามันจะดูเป็นเรื่องตลกที่คิดอย่างนั้นก็ตาม
แต่เธอเป็นคนฉลาด เธอจะต้องจัดการกับเขาได้สิ เธอทำได้แน่
เฮอร์ไมโอนี่ต้องการแผนใหม่ดังนั้นเธอจึงเท้ามือลงกับเอวพยายามจะสะท้อนความอวดดีให้เขาเห็น
ยุติธรรมดี เขารู้ว่าเขาจะจุดอารมณ์เดือดของเธอได้ยังไง
แต่เขาก็มีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน...
“คงยากหน่อยนะมัลฟอย” เธอพูดเสียงเรียบจนเขาต้องขมวดคิ้วมองอย่างตั้งคำถาม
“กับการเห็นคนที่ด้อยกว่าทำได้ดีกว่านาย – ”
“นี่เธอ – ”
“แฮร์รี่ก็เก่งควิดดิชกว่านาย”
เธอไล่เรียงอย่างภาคภูมิขณะที่ดึงไม้กายสิทธิ์ออกมาแตะไปตามนิ้ว “ฉันก็ได้เกรดดีกว่านาย”
“เธอกำลังจะบอกว่าฉันต้องอิจฉาหรือไงเกรนเจอร์ ?”
เขาถามเสียงแข็งแต่เสียงนั้นกลับดังอยู่เพียงในลำคอ “เพราะว่าฉัน – ”
“นี่ก็เป็นคำอธิบายที่ดีนะ” เธอยกเหตุผลง่าย ๆ
เหมือนกำลังถกเถียงเรื่องการบ้านกับเพื่อน
มือเรียวแตะไม้กายสิทธิ์ลงกับฝ่ามืออีกข้างเป็นจังหวะ
ไม่ได้ตั้งใจจะคุกคามแต่เตือนสติเขาว่าเธอมีเวทมนตร์อยู่ในมือ “ความเกลียดชังมันต้องมีต้นตอของมันเสมอ
ฉันหมายถึงอันที่จริงเราทั้งหมดก็ดูจะประสบความเร็จมาตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา –
”
“ก็ประสบความสำเร็จได้เหี้ยดีนะ – ”
“คือฉันจะพูดให้ฟังอีกรอบนะ” เธอยังคงไม่หยุด
ไม่สนใจ น้ำเสียงแดกดันของเขาแม้แต่น้อย “แล้วนายล่ะ
ดูเหมือนจะยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยใช่ไหม...ดังนั้นสนใจแต่ชีวิตตัวเองเถอะมัลฟอย”
“หุบปาก”
“อ้อ แล้วอะไรที่นายกำลังพยายามจะทำน่ะนะ”
เฮอร์ไมโอนี่เร้าอย่างไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้อีกเธอเห็นชัยชนะอยู่ตรงหน้าและเธอจะต้องคว้ามันมาให้ได้
“นายก็เหลวไม่เป็นท่าไปหมดเลย น่าสังเวช – ”
“หุบ – ”
“ฉันยังจำได้นะตอนปีสองน่ะ”
เธอไม่หยุดยังพูดต่อพลางลูบคางเหมือนพยายามนึก “ตอนที่ตกไม้กวาดแล้วแพ้ควิดดิชน่ะ
พ่อนายไปไหนล่ะ ?”
เดรโกคำรามในลำคอแล้วหมายจะคว้าแขนเธอเอาไว้แต่เธอไวกว่า
ไม้กายสิทธิ์ถูกชี้ตรงมาที่เขา “ฉันเตือนเธอแล้วว่าอย่าพูดถึงพ่อของฉัน – ”
“พนันได้เลยว่าเขาคงไม่ค่อยชอบใจที่รู้ว่าเกรดของนายไล่ตามเลือดสีโคลนไม่ทัน”
เธอพูดต่อและสังเกตได้ว่าเขาโกรธมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบตัวเธอกับเขา
“หยุดพูดถึงพ่อฉัน” เขาพูดซ้ำด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพบว่านั่นดูไม่ใช่การคุกคามอย่างที่เธอคาดเอาไว้
มันกลับดูคล้ายกับความเจ็บปวดลึก ๆ
“อย่างนั้นก็หยุดพูดถึงเพื่อนฉันสิ”
เธอพึมพำออกมาในที่สุด เขาขบกรามจนขึ้นเป็นสันระหว่างทำข้อตกลงที่ไม่มีเสียงระหว่างพวกเขา
เดรโกดูจะมีความเป็นคนขึ้นอีกนิดและเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกอยากจะต่อยเขาสักที “ทีนี้จะปล่อยให้ฉันอยู่สงบ
ๆ ได้หรือยัง หรือต้องให้ฉันขังเอาไว้ในห้อง ?”
เขาคำรามในลำคอเพราะรำคาญความสมองช้าของเธอ
เขาก้าวถอยออกมาสองสามก้าวโดยที่ไม่ถอนดวงตาสีเหมือนเมฆฝนนั่นออกจากเธอ
“เมื่อไหร่ที่ฉันออกไปจากรูหนูโสโครกนี่ได้”
เขาเริ่มขมุมบขมิบปากขณะที่จับประตู “และได้ไม้กายสิทธิ์คืนเมื่อไหร่ฉันจะเอาคืนให้ถึงที่สุด
เกรนเจอร์”
“ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น”
เธอพยักหน้าอย่างไม่แยแสอะไรนัก
ดวงตาสีเทาขุ่นของเขาตวัดขึ้นลงอย่างฉุนเฉียวและเพียงไม่กี่วินาทีเขาก็หายไปทิ้งไว้เพียงเสียงปิดประตูดังสนั่น
เธอจ้องมองประตูที่ปิดสนิทนั่นพลางขบริมฝีปากล่างแล้วกระตุกยิ้มสาแก่ใจที่มุมปาก
เธอทำมันสำเร็จ
ในที่สุดเธอก็สามารถทำให้เขาหายไปโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์ได้เสียที
เฮอร์ไมโอนี่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมแล้วหัวเราะคิกคักอย่างสะใจอยู่ในลำคอ
เธอชนะ
แม้ว่าตอนแรกจะเสียศูนย์ไปหน่อยตอนที่เขาพูดถึงเพื่อนของเธอแต่ในท้ายที่สุดเธอก็ทำได้
เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการเสียที
และในขณะที่เธอไม่ทันจะรู้ตัว
เธอก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่ต้องพยายามเป็นครั้งแรกหลังจากโบกมือลาแฮร์รี่และรอน ซึ่งนั่นเป็นเวลากว่า
4 สัปดาห์แล้ว
--------------------------------
ยายบ้า...
เขาสบถด่ากลับผนังสีด้านอย่างหัวเสียเมื่อกลับมาอยู่ในห้องแคบ
ๆ อีกครั้ง ห้องบ้านี่ดูจะเล็กลงกว่าตอนแรกเสียอีก ความแคบทำให้เขารู้สึกไม่ดี
เหงื่อหลายเม็ดเริ่มผุดพรายขึ้นบนหน้าผากของเขา ใจหนึ่งเขาก็อยากจะกลับออกไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อโวยวายใส่เธออีกสักรอบ
แต่มันจะได้อะไรขึ้นมา ?
เธอใช้เวทมนตร์ได้แล้วเขาก็คงจบลงตรงที่โดนส่งกลับเข้ามาเหมือนเดิม
ซ้ำยังจะสร้างความเจ็บปวดให้กับวันของเขาซึ่งจะหดหู่ลงกว่าเดิมไปอีก
เขาซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือไล่นิ้วมือแทรกผ่านเส้นผมอย่างหงุดหงิด
เขาไม่เคยรู้สึกโดนหยามเหยียดมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิจสิบเจ็ดปีที่ผ่านมา
ชีวิตเขาไม่แย่ถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ต้องมาโดนควบคุมพฤติกรรมเหมือนเด็กโดยพวกสายพันธุ์โสโครกแบบนี้
เขาพยายามที่จะไม่ทำตัวเหมือนคนบ้าที่เอาแต่พึมพำไร้สาระกับตัวเองเมื่อพื้นที่รอบข้างแคบลง
มันอาจจะแย่กว่านี้ก็ได้ถ้าหากว่าเมื่อกี้เขามีเรื่องกับวีเซิล
คงจบลงด้วยการนองเลือด อย่างน้อยพอเป็นเกรนเจอร์ก็ยังดีที่ยังพอมีสมองอยู่บ้าง
เขาเดินไปที่เตียงทิ้งตัวลงบนผืนผ้าเท้าข้อศอกไว้กับหัวเข่าแล้วมองไปที่พื้นไม้กร่อน
ๆ ก่อนจะเหลือบมองที่โต๊ะข้างเตียงแล้วเลื่อนลิ้นชักออก
สอดส่องภายในแล้วก็พบแต่ปากกาขนนกที่ถูกทิ้งไว้และเนคไทกริฟฟินดอร์
บางทีเขาอาจจะสามารถใช้มันแขวนคอตัวเองได้ถ้าเกิดวันไหนเป็นบ้าขึ้นมา…
เดรโกหยิบปากกาขนนกขึ้นมาก่อนที่จิตใจจะฟุ้งซ่านไปมากกว่าเดิม
ไล่นิ้วไปตามเส้นขนอ่อนนุ่มของปากกาแล้วมองกลับไปยังลิ้นชักอีกครั้งเผื่อว่าจะยังมีกระดาษและหมึกอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่มี – เดรโกนอนลงบนเตียงแล้วจรดปลายปากกาลงบนหัวเตียงไม้มะฮอกกานี
เขาค่อย ๆ ขูดฝนเนื้อไม้สีเข้มให้กลายเป็นตัว ม.
และตัว ก. จากนั้นก็ขีดเส้นแบ่งแยกระหว่างตัวอักษรสองตัว
ม คือ มัลฟอย ก คือเกรนเจอร์
เขาอยากจะให้ ม หมายถึง มักเกิ้ลโสโครก
แต่เผอิญกว่านามสกุลของเขาดันขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเดียวกัน
เอาเถอะ
วันนี้เขายอมรับก็ได้ว่าเธอชนะแต่อย่างน้อยเมื่อวานก็เป็นเขาที่ชนะ
วันนี้เป็นแค่วันเก็บแต้มวันนหนึ่งเท่านั้นเองแล้วอีกอย่างเขายังได้อะไรใหม่ ๆ
มาตอบสนองนิสัยชอบนับของเขาด้วย เขาขีดเส้นสั้น ๆ
ลงใต้ชื่อเพื่อแทนคะแนนและสาบานกับตัวเองเบา ๆ
ว่าเธอจะไม่มีทางได้ขีดเพิ่มไปจากนี้แน่นอน
จากนั้นดวงตาของเขาก็ทอดมองไปที่พื้นและเริ่มนับ
ความคิดเห็น