คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 : Punch (100%)
“ฝีมือดีขึ้นนะ” สเนปเปรยราวกับครุ่นคิดกับประตูที่เพิ่งปิดลง
“อย่างคาดไม่ถึงเชียวล่ะ” มักกอนากัลว่าพลางถอนหายใจขมวดคิ้วมองสัญญาณการประท้วงของเฮอร์ไมโอนี่ที่หนักข้อขึ้น เธอถูมืออย่างหนักใจก่อนจะพูดต่อ “เธอใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อฝึกฝน และบางทีศาสตราจารย์ซลักฮอร์นก็เข้ามาช่วยเธอด้วย”
“เข้าใจได้” เขาพยักหน้าแล้วมองไปทางเดรโก “บางที่นี่อาจจะทำให้เธอจัดการกับเขาได้”
“เธอสามารถทำได้” ศาสตราจารย์ใหญ่ช่วยยืนยันความคิดนั้น “เซเวอร์รัส ฉันเกรงว่าคงเป็นการง่ายกว่าถ้าหากจะอธิบายกับเธอตอนที่คุณไม่อยู่ที่นี่แล้ว อีกอย่างคาถาต้านการหายตัวเองก็ - ”
“ผมเองก็ใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว” เขาพยักหน้าและสาวเท้ายาวเข้ามาหาพ่อมดหนุ่มที่ฝังตัวอยู่กับที่นั่ง “จำที่เราคุยกันไว้ให้ดี เดรโก -”
“นี่ศาสตราจารย์จะทิ้งผมไว้จริง ๆ งั้นเหรอ ?” เขาเค้นเสียงถามรอดไรฟัน “กับคนพวกนี้ ? ขอบคุณม - ”
“อย่าลืมว่าตัวเธออยู่ในอันตราย” ศาสตราจารย์แนะด้วยเสียงเคร่ง “และมีเพียงคนเหล่านี้ที่ยินยอมสรรหาที่ซุกหัวนอน - ”
“โง่ยิ่งกว่าโง่แล้ว อย่างนั้น” เดรโกยักไหล่มองไปทางศาสตราจารย์มักกอนากัลด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ “อย่าหวังว่าจะรู้สึกขอบคุณ”
“ฉันไม่คาดหวังเรื่องนั้นจากเธออยู่แล้ว คุณมัลฟอย” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างแท้จริง “ความล้มเหลวของเธอที่มีต่อสิ่งดีงามทั้งหลายนั้นทำลายความเชื่อมั่นที่ฉันควรจะมีไปเสียหมดแล้ว”
ใบหน้าอวดดีที่มักจะตึงผยองอยู่เสมอสั่นสะท้านไปกับคำพูดของศาสตราจารย์ ไม่ใช่เพราะโกรธที่ยายแก่นี่พูดเพราะความจริงแล้วเขาแทบจะไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเธอจะคิดยังไง แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสะทกสะท้านคือความจริงที่เจ็บปวด คำว่าล้มเหลวสำหรับเขาแล้วมันสร้างแผลขนาดใหญ่ที่ไม่มีวันหายเอาไว้ให้กับเขา ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเขาแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่ามีอะไรบ้างที่เขาสามารถเรียกได้ว่าความสำเร็จ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือไม่มีเลยแม้แต่สิ่งเดียว โดยเฉพาะความหายนะครั้งล่าสุดที่ร้ายแรงเสียจนเกือบจะพาเขาไปสู่ความตายหรือไม่ก็จมปลักเป็นไอ้ระยำและใช้ชีวิตเวร ๆ ไปตลอดกาล
เหอะ ความล้มเหลว
“อยากให้ผมแกล้งทำเป็นเสียใจไหม” ใบหน้าหยันหันกลับไปยังสเนป “อ้าว นี่ยังอยู่อีกรึไง ผมนึกว่าศาสตราจารย์เผ่นแน่บไปแล้วเสียอีก”
ฝ่ามือหนัก ๆ ฟาดซ้ำลงมาที่ผมสีบลอนด์อีกครั้ง “รู้จักสงบปากสงบคำเสียบ้าง เดรโก” เสียงชายชราตะคอกด่าด้วยความเหลืออด “ขออภัยด้วย มิเนอร์วา”
“ช่างมันเสียเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้ฉันจัดการ ฉันให้สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อความปลอดภัยของเขา เอาล่ะ… คุณควรจะต้องออกเดินทางแล้ว มีเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะเช้า”
“ใช่” เขาพึมพำและพยักหน้า “ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถติดต่อกลับมาได้อีกไหม”
“คุณรู้ดีว่าจะมองหาเราได้จากที่ไหนถ้าหากว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ” น้ำเสียงของเธออ่อนลงและเจือแววสลด “ขอให้คุณโชคดีนะ เซเวอร์รัส”
เสียงการหายตัวของสเนปดังขึ้นพร้อมกับที่เดรโกพ่นลมหายใจสะอิดสะเอียน เขารู้สึกว่าฟันกรามของเขาขบกันแน่นมันกำลังต่อสู้กับก้อนความหวาดวิตกที่ปะทุคลั่งอยู่ในภายอก สเนปอาจจะเป็นพวกทรยศต่อเลือดก็จริงแต่อย่างน้อยเขาก็เคยทำปฏิญาณไม่คืนคำว่าจะปกป้องเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นดังนั้นแม้แต่ในความฝันคนทรยศนี่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องดูแลเขา ผิดกับตอนนี้ที่ไม่เหลือหลักประกันอะไรให้เขาอีกแล้ว
บอกตามตรงแค่สถานการณ์ตอนนี้ก็ย่ำแย่เหลือเกิน เสียงของเกรนเจอร์ดังเข้ามาในหู เขามองศาสตราจารย์มักกอนากัลด้วยสายตาอ่อนล้าแทบจะปิด
“นี่คงสนุกตายล่ะ” เขายกมือขึ้นกอดอกแล้วบ่นแห้ง ๆ
“หวังว่าเธอคงจะรู้ว่าไม่ควรพูดอะไรให้เรื่องมันยากขึ้นกว่าเดิม” แม่มดชราชี้นิ้วสั่ง “และแน่นอนว่าจะต้องไม่มีถ้อยคำหยาบคายด้วย”
“หมายถึง ‘เลือดสีโคลน’ น่ะเหรอ” เขาถามโดยพยายามจะพูดคำที่ว่าออกมาให้ได้ “ศาสตราจารย์ดูจะมั่นใจกับคำสั่งของตัวเองเสียเหลือเกินนะ -”
“ฉันเตือนแล้วนะ คุณมัลฟอย” เธอขู่ “เธอจะต้องไม่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปอีกแค่เพียงเพราะอยากทำอะไรตามใจตัวเอง”
“จะทำอะไรก็ทำเถอะ” เขาครวญขณะยกมือขึ้นนวดตา เสียงครืดคราดที่เลือดสีโคลนพยายามเรียกร้องความสนใจทำให้เขารู้สึกปวดหนึบที่ขมับและรู้สึกเพลียจนอยากจะพักสายตาแล้ว “จะตีสามแล้ว ผมควรจะได้รับการพักผ่อน”
“และเธอจะต้องนอนบนเตียงใช่ไหม” เสียงยานคางของศาสตราจารย์มักกอนากัลดังต่อพร้อมกับแววตาภายใต้เลนส์ใสหลุบมองเขาอย่างดูแคลน “ซึ่งเกรงว่าเธอจะยังไม่มีเตียงนะ คุณมัลฟอย”
“คุณหมายถึงอะไร ?”
“ถ้าคุณยังยืนยันที่จะทำตัวให้เราลำบากใจต่อไป” เธอพูดพร้อมกับย่างเท้าเข้าไปใกล้ตู้ที่กำลังกรีดร้องเพราะสิ่งมีชีวิตบ้าคลั่งด้านใน “ฉันคงจะต้องตัดสินใจเสียใหม่เรื่องเตียงนอน อ่างอาบน้ำ รวมถึง - ”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว” เขาชักสีหน้าบึ้งตึง “จะทำอะไรก็ทำ”
“และควรจะปรับปรุงเรื่องมารยาทเสียด้วย” เธอแนะ
เสียงของความสงบยาวนานผิดปกติทำให้ศาสตราจารย์ใหญ่ต้องเปิดประตูเพื่อดูว่าอีกฝั่งหนึ่งนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าก็ทำให้คิ้วโก่งของแม่มดชราขมวดมุ่น การประท้วงอย่างรุนแรงของเฮอร์ไมโอนี่สร้างความเสียหายให้กับชั้นวางหนังสือบางส่วนซึ่งหนังสือที่ระเนระนาดไปทั้งห้องเองก็สร้างแผลขีดข่วนให้กับแม่มดสาวไม่น้อยเช่นกัน ทันทีที่ดวงตาสีอัลมอนด์สังเกตเห็นการปรากฏตัวของมักกอนากัลป์เธอก็หยุดดิ้นประท้วงก่อนจะหอบหายใจตะกองเอาอากาศเข้าปอด ไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อไม้กายสิทธิ์ของแม่มดชราก็ตวัดชี้มาที่เธอเพื่อเสกให้เธอกลับไปยังห้องทำงาน เสียงถอนหายใจยังคงดังไม่ขาดสายเมื่อนักเรียนของเธอยังคงพยายามเรียกร้องอิสรภาพอย่างไม่ยอมลดละ
เดรโกเกือบจะเคี้ยวลิ้นตัวเองเพื่อยับยั้งคำพูดร้ายกาจมากมายที่เตรียมพร้อมจะดาหน้ากันออกมาเมื่อเห็นสภาพของเกรนเจอร์ เธอเหมือนโดนนรกสูบแล้วถุยทิ้งออกมาอย่างไรอย่างนั้น เส้นผมหงิกงอยุ่งเหยิงปรกหน้าไปหมดเหมือนกับใบไม้ร่วงมาปกคลุม นัยน์ตาของเธออิดโรยและมีสีแดงปรากฏให้เห็นประปรายอย่างกับคนที่ไม่ได้นอนมาร่วมเดือน ก็ดี เขาดีใจที่เห็นเธอทุกข์ทรมาณ – ดีใจที่เห็นใครสักคนเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ปล่อยหนู!” เธอกรีดเสียง ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตาอย่างขัดใจที่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากลอยนิ่ง ๆ เหนือผืนไม่กี่นิ้ว
“ฉันอยากให้คุณใจเย็นลงเสียก่อน คุณเกรนเจอร์ – ”
“หนูจะไม่ทำแบบนั้น!” เธอปฎิเสธเสียงสั่นเครือมันเจือเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว “นี่มันบ้าอะไร – ”
“ฉันให้สัญญาว่าจะอธิบายทุกอย่าง” ศาสตราจารย์ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่ก่อนอื่นเธอจะต้องใจเย็นเสียก่อน เฮอร์ไมโอนี่ ได้โปรดที่รัก”
สีหน้าท่าทางของศาสตราจารย์ทำให้เด็กสาวค่อย ๆ สูดลมหายใจยาว ๆ และกล้ำกลืนความกลัดกลุ้มที่ต้องการคำตอบในตอนนี้ลงคอไปเสียจนหมด โชคดีที่เธอยังไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมภายในห้อง
“ค่ะ” เธอพึมพำด้วยยังคงพยายามตั้งสติ “ค่ะ แต่ศาสตราจารย์ช่วยเอามันออกไปจากหนูด้วยได้ไหมคะ”
มักกอนากัลลังเลอยู่เพียงอึดใจเธอก็ปลดคาถาและปล่อยให้เฮอร์ไมโอนี่ได้ยืนบนพื้นด้วยขาของตัวเอง ฝ่ามือบางไล่ไปตามร่องรอยของเชือกที่ยังคงปรากฎเด่นชัดอยู่บนท่อนแขนพร้อมกับใช้ดวงตาพิเคราะห์หญิงชราตรงหน้าอย่างกับอีกฝ่ายเป็นคนที่ไม่รู้จัก เธอพยายามกลั้นก้อนสะอื้นแปร่งพร่าขณะที่พยายามก้าวถอยไปยังพื้นที่กลางห้องอย่างระมัดระวัง แต่กลับเข้าใกล้มัลฟอยมากขึ้นอย่างไม่ทันระวัง
“สเนปมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เธอถามออกมาหลังจากความเงียบนั้นกำลังจะทำให้เธอประสาทเสีย
“ก่อนจะที่ฉันจะบอกอะไรได้” มักกอนากัลเกริ่น “ขอให้เธอเข้าใจเสียก่อนว่าสิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้ไม่อาจเปิดเผยให้ใครรู้ได้ แม้แต่คุณพอตเตอร์และคุณวีสลีย์เองก็ตาม”
ริมฝีปากบางเม้มแน่นขณะที่เธอพยายามวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ภายในหัว คำพูดของศาสตราจารย์ฟังดูไม่น่าใช่เรื่องดีเพราะโดยปกติแล้วเธอมักจะบอกทุกอย่างกับแฮร์รี่และรอน กอปรกับพฤติกรรมผิดปกติของเธอเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ยิ่งสับสน ดวงตาสีน้ำตาลซีดของเธอกลอกไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้เธอสูญเสียสติและสมาธิไปชั่วขณะ เธอมองไปรอบ ๆ ก่อนสายตาจะสบเข้ากับเขา
เขา
สายตาเยือกเย็นของเขาทำให้บางสิ่งบางอย่างภายในจิตวิญญาณของเธอขาดผึง
เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนไหนที่เธอวิ่งเข้าใส่เขา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพร่าเลือนจนกระทั่งเธอเข้าใกล้เขามาพอเรี่ยวแรงทั้งหมดก็ถูกใช้ไปกับการปล่อยหมัดซัดเข้าที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง เธอได้ยินเสียงคำรามภายในลำคอของเขาขณะที่เธอเหวี่ยงมือกลับ เลือดสีแดงสดค่อย ๆ ไหลหยดลงมาที่คางของเขาและเช่นเดียวกับที่นิ้วมือของเธอแต่เลือดของเขาก็ยังไม่อาจทำให้เธอพอใจ เธออยากจะซัดหน้าเขาจนกว่าเขาจะสำนึก จนกว่าเธอจะลืมว่าเขาได้ทำอะไรลงไป
แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอย่างที่ใจคิดคาถาของศาสตราจารย์ก็ลากเธอกลับไปยังอีกฟากหนึ่งของห้องพร้อม ๆ กันกับที่เธอกรีดร้องออกมาอย่างขัดขืน
เธอพยายามต่อสู้กับคาถาอย่างไม่ยอมลดละแม้ว่าแขนขาจะต้องลุกเป็นไฟเธอก็ยินดี “เรื่องบ้าอะไร นี่มันบ้าอะไร – ”
“พอที!” แม่มดอีกคนแผดเสียง เธอยังคงควบคุมไม้กายสิทธิ์ให้ชี้ไปยังร่างที่บิดเร้าอย่างไม่ยอมแพ้ ใบหน้านั้นไม่หลงเหลือน้ำตาอยู่อีกแล้วมันมีเพียงความเดือดดาลที่พลุ้งพล่าน “เฮอร์ไมโอนี่ เธอจะต้องฟัง – ”
“ไอ้สารเลวไม่มีน้ำยา!” เธอกรีดเสียงด่าไม่สนใจสิ่งที่มักกอนากัลพยายามจะพูด ริมฝีปากของเธอบิดคว่ำขณะที่ดวงตาจับจ้องไปที่มัลฟอย นิ้วหัวแม่มือของเขาค่อย ๆ ปาดเอาหยดเลือดที่เกิดจากแรงโทสะที่ไม่อาจควบคุมของเธออกจากริมฝีปาก เขาจับจ้องไปที่ดวงตาของเธอและความเกลียดชังที่กำลังทำให้ดวงตาคู่นั้นมืดบอด ในสายตาของเธอเขาดูผอมกว่าที่จำได้พอสมควรทั้งยังดูโทรมแต่โดยรวมเขาก็ยังคงเป็นเดรโก มัลฟอยคนเดิมที่เธอรู้จัก ผมสีครีมอ่อนกับผิวซีดเซียวและดวงตาสีเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยสายฝน น่ารังเกียจ – ความเกลียดชังจุกที่คอจนเธอเกือบจะกรีดเสียงออกมา
“ควบคุมตัวเองหน่อย” ศาสตราจารย์พยายามหยุดเธออีกครั้ง เธอเดินเข้ามาตรงหน้าพยายามบดบังสิ่งที่เธอจับจ้องอยู่ “ฉันกำลังพยายามจะอธิบาย – ”
“ได้ยังไง ?” เธอขู่เหมือนงูทั้งที่น้ำตาระลอกใหม่เริ่มรื้นออกจากดวงตาที่แทบจะเผาไหม้ทุกอย่าง “พวกมันฆ่าดัมเบิลดอร์! แล้วเรื่องบ้าอะไรถึงทำให้คุณ – ”
“มากเกินไปแล้ว!” ครานี้เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งขรึม “ฉันกำลังพยายามจะบอกเธอ – ”
“สิ่งที่คุณจะพูดไม่มี – ”
“เซเวอรัส สเนปเป็นสายให้กับภาคี” เธอพูดออกมาสั้น ๆ อย่างชัดเจนที่สุด เธอมีสติมากกว่านักเรียนตรงหน้าและเธอพอใจมากเมื่อปปฏิกริยาของเฮอร์ไมโอนี่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความตกใจซ้ำปากยังเปิดกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เขาอยู่ฝ่าย – ”
“นี่ – นี่มันเป็นไปไม่ได้” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลพูดแทรกโดยที่ยังไม่ยอมเชื่อในคำพูดของศาสตราจารย์ “ไม่ ไม่ ไม่มีทาง – ”
“นั่นคือเรื่องจริง – ”
“คุณโกหก!” เฮอร์ไมโอนี่โพล่งขัดขึ้นมาไม่ยอมให้เธอได้พูดจบ แก้มของนักเรียนสาวขึ้นสีแดงเพราะอารมณ์โกรธเกรี้ยวมันดูเหมือนลูกพีชสุกที่มีน้ำค้างยามเช้าพร่างพรม เธอสะบัดหน้ากลับไปยังมัลฟอยอีกครั้งสิ่งเห็นยิ่งทำให้เธอรู้สึกถึงความขมขื่นที่โคนลิ้น เธออยากจะอ้วก “พวกมันฆ่าเขา... พวก – พวกนั้นฆ่าดัมเบิลดอร์ – ”
“ไม่เป็นไรนะ เฮอร์ไมโอนี่” มักกอนากัลป์กลับมาพยายามใช้น้ำเสียงเย็น ๆ เข้าควบคุมเด็กสาวอีกครั้ง ดวงตาเฉียบคมมองข้ามไหล่เธอไปยังพ่อมดหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ที่นั่นและพยายามรักษาแผลที่ปาก “คุณมัลฟอย ฉันขอเวลาสักครู่เพื่อพูดคุยกับคุณเกรนเจอร์เพียงลำพัง”
“ดี ดีจริง ๆ ” เขาบ่นเสียงทุ้มอย่างพยายามไม่ขยับปากให้แผลเจ็บเล่น
“คุณมัลฟอย” เธอถอนหายใจก่อนจะรู้สึกว่าวันนี้มันเหนื่อยกับเธอแสนสาหัส “ฉันจำเป็นจะต้องหารือกับเธออย่างเปนส่วนตั – ”
“ทำไม ?” เขาสวนคำถามกลับไม่รอให้เธอพูดจบ “สเนปบอกผมแล้วว่าเขาเป็นสายให้พวกภาคี แล้วยังไง ผมรู้อยู่แล้ว – ”
“เธอไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด” ศาสตราจารย์กดเสียงต่ำ “และไม่มีสิทธิ์จะได้รู้ – ”
“ผมอยู่ตรงนี้ก็สบายดีแล้ว – ”
“อย่าทำให้ฉันต้องเป็นคนย้ายคุณออกไป” เธอเตือนและใช้มือข้างที่ว่างอยู่ชี้ไปที่ประตูซึ่งอยู่อีกฝั่งของห้องทำงาน “เดินไปทางนั้นจะเป็นห้องครัว คงจะพอมีอะไรให้ทานบ้าง อยู่ที่นั่นจนกว่าฉันจะเรียก”
ถ้อยคำสบถด่าตอกกลับชะงักอยู่ในปากไม่ได้พูดออกไปเมื่อกล้ามเนื้อในช่องท้องหดเกร็งส่งสัญญาณประท้วงว่าเขาไม่ได้หาอะไรใส่ท้องมากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แม้ว่าความใคร่รู้จะส่งเสียงเรียกร้องดังลั่นแต่เสียงของความหิวนั้นดังกว่า เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นจากที่นั่งมองทั้งสองคนด้วยใบหน้าซังกะตายก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวโดยไม่ลืมที่จะพึมพำทิ้งคำพูดหยาบคายนานาเอาไว้รายทาง
คล้อยหลังเด็กหนุ่มจากสลิธีริน มักกอนากัลป์หันกลับมาหาเฮฮร์ไมโอนี่ทันทีพร้อมกับสีหน้าเต็มไปด้วยความคิด “เธอจะตั้งใจฟังฉันอย่างมีสติไหมถ้าหากได้รับการปลดคาถา คุณเกรนเจอร์ ?”
“สเนปเป็นสายให้ภาคีจริง ๆ เหรอคะ” แทนคำตอบเฮอร์ไมโอนี่ตั้งสติและถามกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้น
“ฉันขอสาบานด้วยชีวิต” ศาสตราจารย์ตอบกลับอย่างชัดเจน “เธอจะฟังฉันใช่ไหม ?”
เธอพยักหน้าด้วยความสับสนและอาการสะอื้นไห้อย่างน่าเวทนาทันทีที่ตอบตกลงแขนขาก็เริ่มกลับมาอยู่ในความควบคุมของตัวเองอีกครั้ง เธอพยายามลบร่องรอยของความอ่อนแอให้หมดไปขณะที่เงยหน้าขึ้นมองศาสตราจารย์ด้วยดวงตาที่ทั้งกราดเกรี้ยวและสิ้นหวัง
“สเนป” เธอพึมพำอย่างลังเล “จะเป็นคนของภาคีได้ยังไง เขาฆ่า – ”
“อัลบัสทิ้งความทรงจำหนึ่งเอาไว้ก่อนเขาจะจากไป” ศาสตราจารย์เกริ่นโดยพยายามจะข้ามคำพูดซ้ำซากของเฮออร์ไมโอนี่ไป น้ำเสียงของเธอสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความสะเทือนใจ “มันคือความทรงจำตอนที่เขากับเซเวอร์รัสพยายามหารือกัน – ”
“แต่ – ”
“อัลบัสรู้ว่าเดรโก มัลฟอยได้รับภารกิจอะไร” เธอว่าต่อ “และเขาบอกให้เซเวอร์รัสจบมัน...ภารกิจนั่นเพื่อให้คุณมัลฟอยไม่ได้ลงมือ เขาต้องการช่วย – ”
“เขาไม่ได้มีค่าพอให้ช่วยอะไรทั้งนั้น” เธอขมวดคิ้วเถียงขณะที่ตวัดสายตาไปยังประตูห้องครัว “เขามัน – ”
“เธอจะต้องเข้าใจว่าคุณมัลฟอยเองก็ถูกบังคับสำหรับภารกิจนี้ เฮอร์ไมโอนี่” ศาสตราจารย์เสนอความคิดอีกด้าน แต่เธอรู้ดีว่ามันยากเกินไปสำหรับการปกป้องคนคนหนึ่งที่ทำให้หลายชีวิตต้องตกอยู่ในอันตรายตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบเจ็ดปีดี “อัลบัสรู้ว่าเซเวอร์รัสจะทำปฏิญาณไม่คืนคำเพื่อปกป้องเดรโกดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงขอให้เซเวอร์รัส – ”
“แล้วมัลฟอยรู้เรื่องนี้ไหมคะ ?” เธอตั้งข้อสงสัยและการพูดชื่อเขาออกมามันทำให้เธออยากอ้วก
“ไม่คิดว่าอย่างนั้นนะ” ศาสตราจารย์ส่ายหน้า “เขารู้เพียงแต่ว่าเซเวอร์รัสเป็นคนของภาคีและเธอเป็นคนที่สี่ที่รู้เรื่องนี้ดังนั้นหมายความว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก ฉันตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น – ”
“แล้วทำไมสเนปถึงอยู่ปรากฎตัวที่นี่ล่ะคะ ? ในเมื่อการกลับมามันอันตรายมากแน่”
คำถามนั้นทำเอาคนฟังถอนหายใจ “เขากลับมาเพื่อขอให้ฉันปกป้องคุณมัลฟอยนับจากวันนี้ – ”
“อะไรนะคะ ?” เฮอร์ไมโอนี่โวย หน้าผากของเธอย่นขึ้นอย่างรังเกียจ “เรื่องบ้าอะไรทำไมเราถึงต้องทำด้วย ?”
“เพราะถ้าหากเราไม่ทำ” เธอตอบอย่างระมัดระวังและเพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนของเธอจะเข้าใจความหมายในทุกคำที่เธอจะพูดอย่างถ่องแท้ “โวลเดอมอร์จะตามล่าและฆ่าคุณมัลฟอย – ”
“นั่นไม่เรียกว่าการสูญ – ”
“จากนั้นเซเวอร์รัสเองก็จะถูกสังหารเช่นกัน” เธอยังคงพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจวาจารุนแรงจากปากของเด็กสาว “และเช่นกัน ถ้าหากคุณมัลฟอยคลาดสายตาจากเราไป ความลับของเซเวอร์รัสอาจถูกเปิดเผยและมีจุดจบที่ความตาย”
ความเชื่อของเฮอร์ไมโอนี่ไหวเอน
สเนปคือสายของภาคี เขาคือพวกเรา...
“และเหนือสิ่งอื่นใด” มักกอนากัลดึงความคิดของเธอกลับสู่ปัจจุบันอันเลวร้าย “ถ้าหากเราไม่ปกป้องเขาจากเรื่องเหล่านี้ การเสียสละของอัลบัสจะสูญเปล่า”
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวของโกลเด้นทรีโอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ไม่มีอะไรเข้าใจได้และดูเหมือนทุกอย่างที่ศาสตราจารย์พูดก็ยังไม่เข้าหัวเธอเลยสักกระผีก สาบานต่อหน้าหลุมศพเมอร์ลินเลยก็ได้ว่าไม่มีวินาทีไหนในค่ำคืนนี้ที่ไม่ดูดกลืนพลังชีวิตของเธอ มันมีเรื่องราวมากเกินกว่าจะรับมือไหวและมากเกินไปที่จะเข้าใจได้ ทั้งสเนป สายลับ ไหนจะเรื่องที่ดัมเบิลดอร์รู้ทุกอย่างอยู่แล้วอีก... แต่แล้วเรื่องหนึ่งที่น่าหนักใจยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้นในสมอง
“ศาสตราจารย์เรียกหนูมาที่นี่ทำไม ?”
“เพราะเขาจะต้องอยู่กับเธอ” คำพูดชัดถ้อยชัดคำของมักกอนากัลเหมือนฟ้าผ่าที่กลางหัวคนฟัง “เธอเป็นนักเรียนที่เชื่อถือได้มากที่สุดและยังมีความสามารถ – ”
“นี่... นี่ศาสตราจารย์ทำแบบนี้ได้ยังไง ?” เธอครวญออกมาพร้อมใบหน้าที่ยับยู่ไปด้วยความเครียด “หนูเกลียดเขา เขามันชั่วช้าที่สุด – ”
“ฉันรู้ว่านี่อาจจะเป็นการขอที่มากไป” แม่มดชราพูดด้วยน้ำเสียงอาทร “แต่ไม่มีใครที่เราจะเชื่อมั่นได้อีกแล้ว และเธอก็มีห้องเหลือ – ”
“เราคงฆ่ากันตา – ”
“ไม่จ้ะ เธอจะไม่ทำแบบนั้นหรอก” เธอค้านขณะที่ก้าวเท้าเข้ามาหาและวางมือลงบนบ่าเพื่อประโลม “ฉันจะเก็บไม้กายสิทธิ์ของเขาเอาไว้และจะคุ้มกันหอของเธอเอาไว้ดังนั้นเขาจะไม่สามารถไปไหนได้ ส่วนรหัสผ่านห้องนอน – ”
“มันควรจะเป็นคนอื่น” เฮอร์ไมโอนี่วิงวอน “ใครก็ได้ ศาสตราจารย์คนอื่น – ”
“เธอเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อว่าจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้” เสียงถอนหายใจหนัก ๆ ของศาสตราจารย์บ่งบอกความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง “ศาสตราจารย์คนอื่น ๆ มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่างกันซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องนี้ – ”
“นานแค่ไหนคะ ?”
“ตราบเท่าที่จำเป็น” เธอตอบคลุมเครือด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ฉันเสียใจจริง ๆ คุณเกรนเจอร์ ถ้าหากมันแย่เกินไปฉันคงจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจัดการมัน แต่ใด ๆ ก็ตามฉันเชื่ออย่างสัตย์จริงว่าเธอทำได้”
เธออยากจะท้วง อยากจะบอกมักกอนากัลป์ว่าปล่อยคนอย่างมัลฟอยนั่นเน่าตายคาหลุมที่เขาขุดเอาไว้เถอะ เธออยากจะบอกว่าบางทีเขาอาจจะพยายามก่อเหตุฆาตกรรมเธอระหว่างที่เธอกำลังหลับก็ได้ หรือไม่แต่ละวันคงไม่อาจหลับตาลงได้จนกว่าจะได้สาปไอ้งี่เง่านั่นหยุดทำตัวเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตของเธอ แต่เมื่อภาพดัมเบิลดอร์ฉายซ้ำเข้ามาสมองของเธอก็เต้นตุบ ๆ
ถ้าหากว่าเราไม่ปกป้องเดรโก มัลฟอยจากเรื่องทั้งหมด การเสียสละของอัลบัสก็จะสูญเปล่า...
“ตกลง” เธอพึมพำออกมาในที่สุดเมื่อทุกอย่างบีบคั้นไม่ให้เธอเลือกทางอื่น “ได้ หนู – หนูจะลองดู”
สีหน้าของศาสตราจารย์ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัดในทันที “ขอบใจนะ” เธอส่งยิ้มให้กับเด็กสาวขณะที่ยื่นไม้กายสิทธิ์คืนให้
“ฉันรู้ดีว่าสิ่งนี้คงจะยากกับเธอเหลือเกิน แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อฉันได้ให้สัญญาฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันง่ายกับเธอที่สุด”
เฮอร์ไมโอนี่ปล่อยเสียงลมหายใจหนัก ๆ ออกมาอย่างหงอยเศร้า “หนูเหนื่อยค่ะ” เธอบ่นเสียงแผ่ว ร่างกายและจิตใจของเธอในวันนี้ทำงานหนักเหลือเกินและมันต้องการการนอนหลับ
“ฉันคิดว่าเราทั้งหมดควรจะได้พักกันเสียที” ศาสตราจารย์กล่าวอย่างเห็นด้วย “ฉันจะพาเธอทั้งคู่กลับไปยังหอพักและเสกคาถาคุ้มกัน”
“ค่ะ” เธอไหวไหล่ เธอเหนื่อยเกินกว่าจะเถียงอีก “รีบจบเรื่องนี้กันเถอะ”
มักกอนากัลบีบไหล่เด็กสาวเพื่อปลอบประโลมอีกครั้งก่อนจะตรงเข้าไปในห้องครัว “มาเถอะคุณมัลฟอย” เธอส่งเสียงเรียกและคุมตัวเขาไว้อย่างใกล้ชิดขณะที่กลับเข้ามาในห้องทำงาน ท่าทางยโสของเขาไม่เคยจางไปแม้ว่ารูปลักษณ์ตอนนี้จะแย่มากก็ตาม ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่เธอด้วยความรุนแรงที่แทบจะทะลุดวงตาออกมาพร้อมทิฐิของเขา
“สงบสติอารมณ์ได้แล้วสินะยายบ้า” เขากระแนะกระแหนขณะที่ตั้งใจรักษาระยะห่างเหมือนเธอเป็นตัวประหลาด
ความรู้สึกอยากจะกรี๊ดจนกว่าหูของเขาจะแตกเอ่อท้นมาในความรู้สึกทันที แม้ว่าจะเดือดมากแต่เธอก็เลือกที่จะปัดมันทิ้งไปเพราะสมองอันชาญฉลาดของเธอกำลังประมวลอะไรบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว เธอนึกถึงได้ในทันทีว่าอันที่จริงเธอได้เปรียบเขาแทบจะในทุกทางอย่างน้อยเธอก็มีไม้กายสิทธิ์ เธอจะต้องเป็นคนคุมเกม
“ที่คางของนายยังมีเลือดอยู่นะ เผื่อลืม” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงฉะฉานชัดเจน
ทันทีที่ได้ยินคำนั้นเขาก็พยายามซ่อนความฉุนเฉียวด้วยการค่อย ๆ ยกหลังมือขึ้นเช็ดที่คางอีกครั้งพร้อมเสียงพ่นลมหายใจโดยที่ไม่ละสายตาไปจากเธอแม้แต่น้อยจนกระทั่งเผลอสังเกตเห็นว่าความจริงแล้วนัยน์ตาคู่นั้นเปล่งประกรายทอง ๆ ต่างหากช่างน่าสะอิดสะเอียนในความเป็นกริฟฟินดอร์เสียจริง ดูแล้วยายเลือดสีโคลนนี่คงจะคิดว่าตัวเองกำลังจะเล่นเกมรุกได้ล่ะมั้ง ? เขาเหยียดยิ้มหยันเล็กน้อยเมื่อคิดดังนั้น ก็ได้เขาจะปล่อยให้เธอเชื่อแบบนั้นต่อไป อย่างน้อยก็น่าจะมีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำระหว่างที่ถูกกักเอาไว้ในห้อง
“ไม่ดีใจที่เห็นฉันหรือไง เกรนเจอร์” เขายั่ว “เธอดูไม่ค่อยสบายนะ – ”
“ส่วนนายก็ดูน่าทุเรศ” เธอโต้กลับพร้อมลากสายตาที่เต็มไปด้วยพายุโทสะไปตามเสื้อคลุมที่ขาดวิ่นของเขา “ฉันขอเตือนนะมัลฟอย อย่าทำให้ฉันรำคาญ – ”
“แล้วจะทำไม” เขาคำรามในลำคอขณะที่เคลื่อนใบหน้าเขามาใกล้ เธอเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่ากลิ่นลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดที่เธอสร้างมันขึ้นมาจากหมัดของเธเอง
“ไม่เข้าใจใช่ไหม ?” เธอกระซิบพร้อมกับหรี่ตาอย่างไม่พอใจ “นายไม่เหลืออะไรอีกแล้วแถมยังไม่มีค่าอะไรอีกด้วย ตอนนี้นายติดอยู่ที่นี่แถมยังต้องฝืนใจมาขอรับความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช”
บางอย่างลุกโพลงในตาของเขา บางอย่างที่อยู่ระหว่างความอับอายและคุมแค้น ท่าทางของเขาจุดไฟบางอย่างให้กับเธอเธอรู้สึกถึงความเหนือกว่า เธอเชิดหน้าอย่างอวดดีก่อนความกล้าจะถูกสูบฉีดไปทั่วร่าง
“หวังว่าจะไม่ตายไปก่อนล่ะ” เธอกระซิบเหี้ยมเกรียม “ฉันอยากให้นายถูกทำให้แหลกสลายให้สมสิ่งชั่วช้าที่ – ”
“ไสหัวไปให้พ้น เลือดสี – ”
“พอเสียที” มักกอนากัลขัด ขณะที่เขาเลิกคิ้วผวาเมื่อเห็นไม้กายสิทธิ์จ่อที่หน้า “ไปได้แล้วคุณมัลฟอย ดึกมาแล้ว”
เขาหรี่ตามองระหว่างยายแก่กับไม้กายสิทธิ์ ความจริงเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าในชีวิตจะต้องมาตั้งหน้าตั้งตาเดินไปยังหอพักของเกรนเจอร์ มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ในตอนนี้เขาถูกคุมตัวด้วยแม่มดสองคนที่มีอาวุธครบมือ พวกเธอจับจ้องมาที่เขาเหมือนหม้อใหญ่ที่ใกล้จะระเบิดทั้งปะทุตลอดเวลาและอันตราย เขากลอกตาอย่างรำคาญขณะที่เดินตามเกรนเจอร์ออกจากห้องไป ศาสตราจารย์ที่อยู่ด้านหลังชี้ไม้กายสิทธิ์ใส่หลังเขาตลอดเวลาอย่างกับเขาเป็นนักโทษ
พวกเขาเดินไปท่ามกลางความเงียบและสีหน้ากังวลของแม่มดทั้งสองที่กำลังระแวงระวังให้แน่ใจว่าที่โถงทางเดินนั้นจะปลอดภัยจากพวกวิญญาณเร่ร่อน พวกเขา แน่นอนว่าทั้งสามคนย่ำเท้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอไปบนทางเดินหินสร้างเสียงดังระคนไปกับเสียงฝนที่ตกไม่หยุดอยู่ภายนอก เดรโกมองที่ด้านหลังของเฮอร์ไมโอนี่ขณะที่ก้าวเดินไป ไม่มีอะไรมากไปกว่ากล้ามเนื้อไหล่ที่ดูตึงเกร็งและฝ่ามือที่กำไม้กายสิทธิ์แน่น แต่ถึงจะดูเครียดขนาดนั้นแต่เธอก็ไม่โบกมันใส่หน้าเขาเหมือนกับที่ศาสตราจารย์เบื้องหลังเขาพยายามใช้ไม้กายสิทธิ์กระทุ้งหลังเขาเพื่อกระตุ้นให้เขาเดินในทุกฝีก้าว
เฮอร์ไมโอนี่เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อตรงไปยังม่านหนา ๆ หนัก ๆ ก่อนจะเปิดมันออกและเผยให้เห็นภาพวาดสิงโตที่ดูทระนงซึ่งกำลังดื่มดำกับแสงอาทิตย์รำไร เขาไม่ทันได้ฟังรหัสที่เกรนเจอร์พึมพำบอกภาพก่อนจะรู้สึกว่าจริง ๆ เขาควรจะจำมันเอาไว้สิ
เธอหายเข้าไปด้านในก่อนที่เขาจะพรวดพราดตามเข้าไปอย่างไม่ถือมารยาทราวกับเป็นเจ้าของห้องเสียเอง เขาใช้สายตาขบฎมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ติดตามดูเขาอย่างใกล้ชิดเมื่อเขาถอดรองเท้าออกและตรงไปยังห้องอาบน้ำโดยเดินชนไหล่เธอไปด้วยความแรงที่เกินความจำเป็น เธอเกือบจะตะโกนไล่หลังเขาไปแล้วดีที่เขาปิดกระแทกประตูเสียก่อนจนเธอสะดุ้ง
“เฮงซวย!” เธอขู่ฟ่อในลำคอก่อนจะหันกลับไปหาศาสตราจารย์อย่างเหนื่อยล้า “ร่ายคาถาคุ้มกันใช้เวลานานไหมคะ หนูอยากจะนอนพักแล้ว”
“ไม่กี่นาทีเท่านั้น” ศาสตราจารย์รับคำก่อนจะบิดข้อมือและโบกไม้กายสิทธิ์ไปยังประตู
คาถาที่ออกจะซับซ้อนไปหน่อยในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเพลงกล่อมนอนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าหนังตานั้นหนักอย่างกับหิน หูของเธอได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำไหลซ่าควบคู่ไปกับเสียงพึมพำคาถาของศาสตราจารย์ เธอเหนื่อยเหลือเกินมันเป็นค่ำคืนที่อ่อนล้า สุขภาพจิตเธอถูกทำลายลงอย่างหนักและตอนนี้เธออยากจะเอนตัวลงนอนในห้องมืด ๆ แล้วเข้าสู่นิทราอันสงบสุขเสียที เว้นแต่ว่าจะเป็นฝันร้าย เธอถูกกระชากออกจากภวังค์ทันทีที่ศาสตราจารย์ปรากฎตัวตรงหน้าและพูดอะไรบางอย่างที่ฟังไม่ได้ยิน
“อะไรนะคะ ?”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ” เธอตอบอย่างเสียงเบาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก “ฉันจะต้องย้ำเตือนอีกครั้งนะคุณเกรนเจอร์ เรื่องนี้จะอยู่ระหว่างเราสองคนเท่านั้น”
“ทราบค่ะ”
เธอรับทราบมันจริง ๆ เพราะตลอดหกปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเธอจะสนิทสนมกันดีกับความลับทั้งหลายและทั้งหมดก็ยังคงเป็นความทรงจำที่ดังเตือนเธออยู่เสมอ แต่ใด ๆ ก็ตามเธอแน่ใจในทันทีว่าความลับครั้งนี้จะเป็นความลับที่จะหลอกหลอนเธอไปนานที่สุด และเหตุผลเดียวที่ทำให้เธอต้องพยายามอดทนให้มากขึ้นกว่าปกติก็เป็นเพราะเธอไม่สามารถบอกแฮร์รี่และรอนได้ ความลับทั้งหมดที่เธอได้รู้ถูกม้วนเก็บเข้าไปในหัวของเธอ
“ฉันยังต้องเตือนเธออีกไหมว่าให้ระวังไม้กายสิทธิ์เอาไว้ดี ๆ”
“หนูระวังอยู่เสมอค่ะ” สาวผมน้ำตาลถอนหายใจเมื่อหญิงชราตรงหน้ามีเพียงสีหน้าที่สะท้อนความกังวล
“ฉันรู้ว่ามันยาก” มักกอนากัลสารภาพ “แต่อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ เฮอร์ไมโอนี่”
เธอมองแผ่นหลังของศาสตราจารย์ค่อย ๆ หายไปกับความมืดก่อนความรู้สึกอึดอัดจะแล่นขึ้นมาจุกคออย่างน่าตลก เธอเหลือบมองประตูห้องน้ำพร้อมกับกัดเม้มริมฝีปากอย่างกังวล เรียวนิ้วแทรกทึ้งผ่านเส้นผมยุ่ง ๆ ก่อนที่เธอจะลากเท้าเดินไปยังห้องนอนในขณะที่ยังไม่ละสายตาหวาดระแวงจากประตูห้องน้ำระหว่างพึมพำรหัสผ่าน นากใหญ่ธรรมดา แล้วแทรกตัวผ่านประตูเข้าไปข้างใน
เธอไม่แม้แต่จะถอดเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนแต่กลับทรุดตัวลงนอนกับเตียงอย่างหมดสภาพก่อนจะห่อตัวเองเข้ากับผ้าห่มผืนหนาอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีดำสนิทแต่เหมันตร์ที่ใกล้เข้ามาก็ทำให้สีและบรรยากาศในตอนเช้าเปลี่ยนไป เสียงของนกที่ดังไกลออกไปทำให้เธอต้องหันมองที่นาฬิกาอีกครั้งก่อนจะพบว่านี่ก็ผ่านไปจนถึงตีสี่แล้ว
ขอบคุณเมอร์ลินที่วันนี้เป็นวันศุกร์และเช้าวันรุ่งขึ้นเธอไม่มีคาบเรียนแม้ว่าจริง ๆ เธอจะสงสัยว่าควรจะขอบคุณอะไรหรือใครไหมเมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้
เสียงหยดน้ำจากการอาบน้ำของมัลฟอยยังคงดังและชัดเจนในห้องของเธอ มันทำให้เธอต้องเผชิญกับความจริงที่ยากลำบากว่าตอนนี้เธอกำลังจะต้องมีรูมเมทคนใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญ ความคิดประสาทเสียเริ่มทำให้ความเครียดของเธอก่อตัวเพิ่มขึ้นจนปวดหัวและแม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าเพียงใดแต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะหลับตาลงได้อย่างใจนึก
ครึ่งชั่วโมงผ่านพ้นไปก่อนเสียงน้ำจะหยุดไหล เธอได้ยินเสียงมัลฟอยค่อย ๆ เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังห้องของเขา เธอครวญครางกับหมอนเมื่อเสียงนั้นดังเข้ามามันคงดังมาตามผื้นห้องน้ำและแทรกผ่านผนังบาง ๆ อย่างห้ามไม่ได้ เฮอร์ไมโอนี่คว้าไม้กายสิทธิ์แล้วร่ายคาถาเงียบเสียงใส่ห้องของเธอและหวังว่ามันคงจะมีผลถึงเช้า
-
เดรโกลากนิ้วผ่านเส้นผมที่เปียกหมาด ๆ และซับมันด้วยผ้าขนหนู ไม่รู้อธิบายยังไงว่ารู้สึกดีแค่ไหนที่ได้สัมผัสน้ำอีกครั้ง ได้กลับมาสะอาดอีกครั้ง ดวงตาสีอ่อนสอดส่องไปทั่วห้องนอนและพบว่ามันเป็นสีของกริฟฟินดอร์ทั้งนั้นมันเต็มไปด้วยสีทองและสีแดงซึ่งทำให้เขาต้องพยายามอดกลั้นไม่ให้ตัวเองสบถด่าออกมาอย่างขยะแขยง
เขาได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกล ๆ และคิดว่านั่นคงเป็นเสียงเกรนเจอร์ ว่าแต่เขาต้องได้ยินมันด้วยเหรอ ? เยี่ยมไปเลย
แต่เอาเถอะยังไงเตียงก็ยังดีอยู่
เดรโกสลัดผ้าขนหนูออกและตัดสินใจนอนหลับทั้งที่ยังเปลือยไม่อยากให้ผิวที่สะอาดแล้วของเขาต้องไปเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าโสโครกอีก ดวงตาของเขาหลุบมองตรามารที่ฝังอยู่บนผิวหนังขณะที่เขาใช้นิ้วลูบมันเบา ๆ ดำดิ่งไปกับความมืดชั่วขณะก่อนจะกลับมาเพราะการเชื้อเชิญของผ้าห่มและเปลี่ยนเป็นนอนมองเพดานนิ่ง ๆ
ด้านนอกท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อเขาสามารถหลับตาลงนอนได้อย่างที่ใจคิดเสียทีหลังจากกระหายอยากมาตลอดทั้งสัปดาห์
ความคิดเห็น