NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 17 : Star [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 65


    เฮอร์ไมโอนี่ซุกหน้าลงกับหมอนแล้วปล่อยเสียงในลำคออย่างเกียจคร้านออกมาเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกพยายามดึงเธอให้ตื่นจากฝันอันแสนสุข คืนที่ผ่านมาเดรโกก็ยังคงแสนวิเศษ เขาใจเย็นกับเธอเหมือนกับครั้งแรกหากแต่ก็ยังมีความดื้อรั้นอย่างมัลฟอยเผยออกมาอยู่บ้าง แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับความเย้ายวนที่เขามอบให้ ความกังวลยังคงเจืออยู่ในใจของเธอแต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจอย่างที่เคยเป็นมา

    เกี่ยวขาไว้รอบเอวของฉัน

    กล้ามเนื้อที่ตึงไปทั่วร่างทำให้เธอนึกถึงริมฝีปากของเขาและเสียงกระซิบอ่อนหวานชิดลำคอที่ล่อลวงเธอไปสู่จุดที่แสนอันตรายหากแต่กลับปลอดภัยอย่างประหลาด เธอปล่อยให้เขาพาเธอชิดผนังและค่อย ๆ พาความอบอุ่นเข้าสู่ภายใน เสียงของเขาดังสลับกับเสียงน้ำไหลและกลิ่นกุหลาบที่ไหลอาบไปทั่วร่างของพวกเขา เสียงครางแผ่วเบาดังกระเส่าไปพร้อมกันเหมือนกับคืนวันศุกร์ก่อนเขาจะค่อย ๆ พาเธอกลับมาที่ห้อง เขาเฝ้ารอให้เธอพร้อมแล้วจึงเริ่มสอดประสานบรรเลงท่วงทำนองของเขาอีกครั้ง

    เกรนเจอร์...

    ร่างกายที่อิ่มเอิบไปด้วยความรู้สึกมากมายทำให้เธอคอยเฝ้ามองเขาที่ยังคงไล่ตามความปรารถนาที่จะปลดปล่อยออกมาอย่างหลงไหล ใบหน้าของเขาอ่อนลงกว่าครั้งไหนและบางครั้งเธอก็สังเกตได้ว่ามันดูไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ อย่างที่เคยมีมาเสมอ ริมฝีปากเล็กไล่จุมพิตทั้งลำคอตลอดจนสันกรามขณะที่เฝ้าสำรวจเขาอย่างใกล้ชิด ความอบอุ่นระหว่างพวกทำให้เธอได้เห็นเขาที่ดูเป็นอิสระและงดงามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอตอบรับจูบของเขานิ่งนานและลึกล้ำเมื่อเขาได้ปลดปล่อยสิ่งที่สะกดกลั้นเอาไว้ออกมา ทั้งเหงื่อและหยดน้ำบนร่างกายยังคงซึมชื้นบนผืนผ้าปูที่นอนแม้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งข้างกายจะว่างเปล่า

    เขาจากไปแล้ว แต่นั่นก็...ไม่เป็นไร

    แค่เพียงเขากลับมาหาเธอเมื่อคืนนี้นั่นก็เพียงพอแล้ว เขายังคงต้องใช้เวลาเพื่อต่อสู้กับทิฐิที่มากมายภายในใจซึ่งเธอก็ฉลาดพอที่จะปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาเพื่อปรับตัวเข้าหา...สถานการณ์แปลก ๆ ของพวกเขาอย่างที่เธอกำลังทำ และความจริงอย่างหนึ่งที่เด่นชัดขึ้นในทุก ๆ ครั้ง แม้ว่าเธอจะยังไม่แน่ใจว่าสามารถคาดหวังในตัวเขาได้หรือไม่ ก็คือเธอรู้ตัวว่าเธอกำลังชอบเขามากขึ้น และนั่นเองก็เป็นเพราะคำพูดของลูน่าที่ทำให้เธอยอมรับมันได้ในที่สุด

    บางทีสงครามก็นำเรื่องดีมาให้ มันสอนให้ผู้คนรู้จักยึดมั่นในสิ่งที่รู้สึกว่าถูกต้อง ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงก็ตาม

    โชคชะตาคงกำลังเล่นตลกกับเธอ แต่แม้จะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังคงปล่อยให้มันเป็นไป เมอร์ลินรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนกับการพยายามไม่คิดมากกับความสัมพันธ์ประหลาดนี้ แต่เมื่อเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับสลิธีรินคนนี้มากขึ้นเธอก็พบว่าการพยายามจะด่วนตัดสินใจหรือรีบหาข้อสรุปนั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่สุดในตอนนี้

    เธอเหลือบมองนาฬิกาเมื่อพบว่ายังคงปล่อยให้ตัวเองนอนยู่บนเตียงนานเกินไป ตอนนี้เธอสายเสียแล้ว ร่างเล็กพยายามรีบเร่งกิจวัตรประจำวันของเธอก่อนจะรีบออกไปพบมักกอนากัล ชั้นเรียนของทุกวิชาจบลงแล้วและวันนี้ศาสตราจารย์จะเริ่มส่งนักเรียนกลับบ้านเพื่อไปใช้เวลาช่วงวันหยุดคริสต์มาสอย่างปลอดภัย ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่และเหล่าพรีเฟ็คก็ตกลงว่าจะช่วยกัน และโชคร้ายที่ไมเคิลเองก็จะเข้ามาร่วมด้วย เธอเองยังไม่พร้อมที่จะพบหน้าเขาหลังจากที่ทิ้งเขาไว้กลางงานเต้นรำโดยไม่มีคำอธิบายใด ๆ

    เฮอร์ไมโอนี่อ้างกับพวกจินนี่ว่าเธอมีอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันและพาตัวเองไปอยู่ที่หอคอยกริฟฟินดอร์ตลอดคืนวันเสาร์ เธอหวังอยู่ลึก ๆ ว่าข้ออ้างนั้นจะใช้กับไมเคิลได้เช่นกัน

    ร่างเล็กพาตัวเองเดินไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นเคยพลางใช้สายตาสำรวจร่างกายของเธอผ่านกระจกที่เยือกแข็งจนขึ้นเงา เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีร่องรอยใด ๆ ของเดรโกถูกทิ้งเอาไว้ให้สายตาอื่นจับได้แล้วจึงรีบตรงไปยังห้องทำงานของมักกอนากัล

    ความผิดแล่นพล่านไปทั่วร่างจนใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อเธอเริ่มได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังก้องไปตามทางเดิน มักกอนากัล ไมเคิล เนวิลล์ จินนี่ และฟรีเฟ็คคนอื่น ๆ อยู่ที่นั่น ยิ่งใกล้ความผิดบาปของรอยจูบที่เดรโกทิ้งเอาไว้บนริมฝีปากก็ยิ่งทำให้เธอเจียนบ้า พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นริมฝีปากที่บวมเจ่อใช่ไหม ? หรือร่องรอยช้ำแดงจากรอยจูบจะถูกซ่อนเอาไว้หมดหรือยัง ? หรือพวกเขาจะพอได้กลิ่นที่แปลกไปจากเธอหรือไม่ ?

    เฮอร์ไมโอนี่พยายามสูดหายใจขณะที่ผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะต้องสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อดวงตาทั้งสิบสองคู่จับจ้องมาที่เธอ

    “ขอโทษที่สาย” เธอพึมพำพยายามเลี่ยงที่จะสบตากับไมเคิล “ฉันตื่นสายน่ะ”

    “ไม่เป็นไร เฮอร์ไมโอนี่” มักกอนากัลบอกก่อนจะผายมือให้เธอนั่งลง “เธอคงจะทราบดีแล้ว ฉันกำลังอธิบายแผนการที่จะพานักเรียนกลุ่มแรกออกไปช่วงบ่ายสามโมงวันนี้ เราได้รับความอนุเคราะห์จากมาดามมักซีมให้ใช้ม้าอะบราซันของเธอได้ พวกมันจะมาถึงราว ๆ บ่ายสองโมงและแฮกริกจะช่วยเราจัดการกับพวกมัน”

    “จะมีนักเรียนกี่คนเหรอครับ ?” เนวิลล์ถามขณะที่ยังคงจดรายละเอียดลงบนแผ่นกระดาษ “ผมจะได้แน่ใจว่าจะพาพวกเขากลับถึงบ้านครบทุกคน”

    “ยี่สิบสอง รวมคุณด้วย คุณลองบอตทอม” เธอตอบ “หลังจากส่งพวกเขาทุกคนแล้ว พวกม้าจึงจะพาเธอกลับบ้านแล้วจึงกลับไปยังโบบาตงซ์ ดังนั้นพวกคุณทุกคนจึงจำเป็นต้องตรวจสอบรายชื่อนักเรียนให้แน่ใจว่าครบถ้วนดี”

    “แล้วใครจะเป็นคนพานักเรียนกลุ่มวันพุธกลับบ้านคะ” จินนี่ถาม

    “ฉัน” ลี จอร์แดนยกมือ “โดยใช้รถเมล์อัศวินราตรีใช่ไหมครับ”

    “คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ” ศาสตราจารย์พยักหน้า “ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ฉันจะส่งให้ทีหลัง”

    “แล้วมีกี่คนที่ไม่ได้กลับคะ ศาสตราจารย์” เฮอร์ไมโอนี่ถามโดยพยายามที่จะไม่สบตากับไมเคิล

    “ไม่มากนัก” ศาสตราจารย์กล่าว “ทั้งหมดน่าจะราว ๆ หกคน”

    เฮอร์ไมโอนี่พยายามซ่อนใบหน้านิ่วของเธอให้พ้นจากเพื่อน ๆ ที่ยังคงทยอยถามคำถามต่อไปพลางตระหนักได้ว่านี่คงเป็นคริสต์มาสที่เงียบเหงาที่สุดสำหรับเธอ แม้ว่าจะเป็นความผิดของเธอเองที่ยืนยันจะอยู่ที่โรงเรียนต่อ และจินนี่เองก็ไม่ชอบใจนัก แต่การกลับไปบ้านโพรงกระต่ายโดยไม่มีแฮร์รี่กับรอนก็ไม่ง่ายนักสำหรับเธอ อีกทั้งเดรโกก็ยังคงอยู่ที่หอ มันเป็นความรับผิดชอบที่เธอจะต้องคอยอยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ถูกใครพบเข้า แถมมักกอนากัลเองก็คงจะมีอีกหลายเรื่องให้เธอช่วยระหว่างอยู่ที่นี่ แม้ว่ามันจะน่าเศร้าไปสักหน่อยที่เธอต้องปล่อยให้คริสต์มาสผ่านพ้นไปเหมือนกับวันอื่น ๆ ในปีนี้ แต่เธอก็ได้เลือกแล้ว

    เรื่องราวนอกกำแพงปราสาทมันมากเกินกว่าที่ใครจะรับมือได้ดีในตอนนี้ เมฆหมอกของมันครอบคลุมบรรยากาศรื่นเริงเอาไว้จนหมด และไม่เพียงแต่เรื่องนั้นเท่านั้น การอยู่โดยไม่มีเพื่อนและครอบครัวที่คุ้นเคยก็สร้างความว่างเปล่ามากมายขึ้นภายในใจของเธอ และยิ่งต้องอยู่กับเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวอย่างนายสลิธีรินจอมเย็นชานั้นก็ไม่ได้ช่วยให้วันเวลาดูดีขึ้นสำหรับเธอ เพราะสำหรับเรื่องของเขามันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด

    “เอาล่ะ” เสียงของศาสตราจารย์นำเธออกจากห้วงความคิดอันน่าเศร้า “ถ้าหากเธอทั้งหมดจะสามารถเตรียมนักเรียนให้พร้อมก่อนบ่ายสองได้ สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องพูดคุยเพียงเท่านี้ มีคำถามอีกไหม ?” เสียงตอบรับมีเพียงเสียงเก็บของเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น ไว้เราไปพบกัน และถ้าหากเจอนักเรียนอยู่ข้างนอกก็ช่วยบอกให้เขาระวังหิมะด้วย ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ช่วยอยู่ก่อนนะ”

    “ค่ะ” เธอพยักหน้ารับอย่างกังวลแล้วส่งยิ้มให้เพื่อน ๆ ขณะที่พวกเขาทยอยออกไป “ทุกอย่างโอเคใช่ไหมคะ”

    “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง” ศาสตราจารย์บอกแล้วกระซิบคาถาเงียบเสียง “แค่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณมัลฟอยน่ะ”

    เฮอร์ไมโอนี่พยายามที่จะไม่ให้แก้มขึ้นสี “ปกติดีค่ะ” เธอควบคุมเสียงให้เป็นปกติ “หนูคิดว่า...เขาคงจะปรับตัวได้แล้ว”

    “เขาเย็นลงแล้วใช่ไหม ?” มักกอนากัลพูดต่อ “เขายังร้ายกาจอยู่ไหม”

    “ไม่ค่ะ...เขาไม่ได้ทำตัวร้ายกาจใส่หนูแล้ว” เธอพึมพำ “เขา...เขาดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว”

    “ดีแล้ว” เธอพยักหน้า “ต้องขอบคุณอีกครั้งที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ช่วงคริสต์มาส ส่วนคุณเลิฟกู้ดยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจยังไง ดังนั้นฉันเข้าใจดีว่าเธอจะรู้สึกยังไงเมื่อไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วย และที่นี่เองก็ไม่ใช่บ้าน -”

    “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอไหวไหล่ “มันก็แค่วันหนึ่ง และฮอกวอตส์ก็เป็นเหมือนบ้านในบ้างครั้ง ถึงมันจะแย่หน่อยที่ตอนนี้แฮร์รี่กับรอนไม่อยู่”

    “ใช่ และรวมถึงการต้องอยู่ร่วมกับคนที่เธอไม่อยากอยู่” ศาสตราจารย์พูดพลางใช้ความคิด “ดังนั้นอยากให้ทราบว่าเรายินดีที่จะให้เธอมาร่วมกับฉันและศาสตราจารย์ท่านอื่น ๆ ในวัน -”

    “ขอบคุณค่ะ ศาสตราจารย์” เธอพูดแทรกเสียงแผ่ว “แต่หนูคิดว่าหนูควรจะอยู่ที่หอเพื่อให้ไม่มีอะไรผิดพลาด”

    “แน่ใจใช่ไหมว่าจะอยู่กับคุณมัลฟอยตามลำพัง” ศาสตราจารย์เลิกคิ้วถาม

    “หนูแค่อยากทำให้มันเป็นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมาค่ะ” เธอตอบพยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อีกอย่างมันก็...ไม่ถูกต้องนักถ้าจะปล่อยเขาเอาไว้ตามลำพังในวันคริสต์มาส เขาเองก็รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่แล้ว”

    มิเนอร์วาครุ่นคิด “เธอดู...อ่อนโยนกับเขามากนะ”

    “หนู - หนูแค่...” เธออึกอักรู้สึกว่าเธอกำลังพูดมากเกินไป “หนูแค่เข้าใจเขาค่ะ และการทิ้งเขาไปก็คงไม่ได้ส่งผลต่อต่อ...นิสัยของเขา”

    “คิดว่าไม่” ศาสตราจารย์เห็นด้วย “แต่ถ้าหากเปลี่ยนใจก็ได้เสมอนะ”

    “ขอบคุณค่ะ” เธอตอบแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “แล้วพบกันค่ะศาสตราจารย์”

    เธอปลีกตัวออกมาพร้อมรอยยิ้มให้ศาสตราจารย์ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานออกมาพร้อมความรู้สึกผิดที่พูดถึงเดรโกต่อหน้ามักกอนากัล เธอเลี้ยวตรงทางเดินแล้วถอนหายใจก่อนสัมผัสของใครบางคนจะจู่โจมเข้าที่ท่อนแขน

    “ไมเคิล” เธอหายใจแรงพร้อมดวงตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความกังวล “นายทำให้ฉันตกใจ”

    “โทษที” เขาพูดอย่างกระอักกระอ่วน “เราพอจะมีเวลาคุยเรื่องวันนั้นไหม ? เรื่องงานเต้นรำน่ะ”

    “อ๋อ” เธอพยักหน้าเสียไม่ได้ “ได้ แน่นอน คือฉัน -”

    “ไปคุยกันที่หอเธอได้ไหม”

    “ฉันยังอยากอยู่ข้างนอกนี่ก่อน” เธอรีบพูด “เราเดินไปคุยกันไปได้ไหม ? ยังไม่อยากกลับห้องตอนนี้น่ะ”

    “อ๋อ ได้” เขาพยักหน้าและเดินไปตามโถงทางเดินที่ว่างเปล่าช้า ๆ “คือ -”

    “ฉันต้องขอโทษจริง ๆ นะ” เธอโพล่งขึ้นแล้วยกมือขึ้นทัดผม “ที่ทิ้งนายไว้แบบนั้น ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย -”

    “ไม่เป็นไร เฮอร์ไมโอนี่” เขานิ่วหน้า “ไม่ต้องโกหกหรอก ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงเขาและ -”

    “เขา ?” เธอย้ำคำ “ฉัน -”

    “รอนน่ะ” เขาชี้แจงด้วยใบหน้ารู้ทัน “โทษที ฉันไม่รู้ว่าเธอสองคนเอ่อ... แต่จินนี่บอกฉันแล้วล่ะ”

    “อ๋อ อย่างนั้นเอง” เธอพูดอย่างอึดอัดพร้อมความรู้สึกผิดที่อืดขึ้นภายในท้อง “ใช่...ฉัน -”

    “ฉันไม่อยากให้เรารู้สึกอึดอัดต่อกัน” เขาขัดแล้วหันหลังให้ “ฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และฉันก็ไม่อยาก -”

    “เป็นเพื่อนกันดีแล้ว” เธอพูดอย่างจริงใจ “และขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกนายเรื่องฉันกับ...รอน มันค่อนข้างซับซ้อนเพราะเขาไม่อยู่ และสงครามก็ค่อนข้างตึงเครียด”

    “ไม่เป็นไร” ไมเคิลพยักหน้า “ให้ฉันเดินไปส่งไหม ?”

    “ฉันคิดว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อย” เธอกล่าว “มีเรื่องต้องทำน่ะ แต่ก็ขอบคุณนะ เอาไว้ไปเจอกันตอนพานักเรียนกลับบ้าน”

    ---

    เดรโกเฝ้ามองเกล็ดหิมะที่ปกคลุมอยู่ภายนอกหน้าต่าง

    เขาไม่เคยชื่นชอบมันเลย แต่หลังจากที่ใช้เวลาหลายสัปดาห์อยู่ภาพทิวทัศน์เดิม ๆ เขาก็ยอมรับว่าโลกภายนอกที่กำลังถูกแต่งแต้มไปด้วยสีขาวนั้นก็เป็นภาพที่น่ามองอย่างประหลาด ตลอดเวลาที่ต้องอยู่ในห้องนี้ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าบรรยากาศภายนอกเป็นยังไง จนรู้ตัวอีกทีเขาก็เริ่มคิดถึงมัน

    เขาได้ยินว่าเกรนเจอร์ออกจากห้องไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่กลับยังรู้สึกเหมือนเธอไม่ได้จากไปไหน ด้วยกลิ่นของเธอที่ยังคงอวลอยู่ภายในอากาศและรสสัมผัสของเธอที่ยังคงทำให้เขาเคลิบเคลิ้มที่ปลายลิ้น เขาพยายามคิดให้ออกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความน่ารำคาญของเธอแปรเปลี่ยนเป็นความสบายใจ

    ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะนอนกับเธอแค่ครั้งเดียวในคืนนั้น แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ให้กับความจริงที่ว่าเขายังคงต้องการทำมันอีกครั้งและอีกครั้ง จนกว่าความรู้สึกกระหายจะหมดไปจากตัวเขา

    ถ้าหากมันจะหมดไปน่ะนะ

    อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ทำให้ตัวเองตื่นก่อนเธอได้ เพราะพวกผู้ชายรู้ดีว่าการยังคงนอนอยู่ข้างเธอนั้นมันมีอะไรมากกว่าการสัมผัสทางกาย และถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะต้องสาปครูซิโอใส่ตัวเองแน่

    มันควรจะเป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน...

    จริง ๆ เขายังคงเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุใดเขายังคงมีใจใฝ่ในตัวเกรนเจอร์ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยิ่งคิดยิ่งไม่ได้คำตอบ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบได้ก็คงมีเพียงความปั่นป่วนในท้องเท่านั้น เขารู้ดีว่าถ้าหากเขายังคงเลือกเดินทางนี้ มันจะทำให้เขานึกเสียใจในท้ายที่สุดแต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อในคำแนะนำของเกรนเจอร์ว่าให้ทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ดี

    ที่นี่ไม่มีใครหรืออะไรมาตัดสินเขา ไม่มีใครตำหนิพฤติกรรมบ้าบอและแสนอันตรายของเขาได้ อีกทั้งเธอก็ยังเป็นเพียงสิ่งเดียวในความโดดเดี่ยวนี้ที่ทำให้เขายังรู้สึกถึงสัญชาตญาณและชีพจรที่ยังคงดีดพล่าน ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะปฏิเสธสัมผัสของเธอ

    และถ้าหากเรื่องเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องบ้าคลั่ง งั้นคำพูดที่ใครเขาพูดกันอย่าง ความสุขอันบ้าคลั่ง ก็น่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

    ---

    หลังจากใช้เวลาเนิ่นนานท่ามกลางกองหนังสือเพื่อตามหาฮอร์ครักซ์ เฮอร์ไมโอนี่ก็ได้บอกลาเนวิลล์และคนอื่น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะออกจากปราสาทไปเพื่อกลับไปหาครอบครัว พวกเขาออกเดินทางช้ากว่าเวลานัดหมายเล็กน้อยเมื่อมีนักเรียนปีห้าบางคนเผลอหลับและไม่ได้มาที่จุดนัดพบตามกำหนด แต่ในที่สุดเมื่อผืนฟ้าฤดูหนาวค่อย ๆ ถูกย้อมทาด้วยสีของเวลาย่ำค่ำ ขบวนรถม้าอะบราซันก็โผบินขึ้นสู่ฝากฟ้าเพื่อพานักเรียนกลับไปยังบ้านของพวกเขา

    เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาอีกสองสามชั่วโมงเพื่อเดินเล่นไปรอบ ๆ ผืนหญ้าที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหิมะชั้นหนา จิตใจที่หนักอึ้งถูกผ่อนลงขณะที่ฝ่าเท้าย่างเหยียบลงบนหิมะจนส่งเสียงดังสวบสาบ ปุยหิมะนุ่มนิ่มราวเกล็ดน้ำตาลทำให้เธอเพิกเฉยต่อความหนาวเย็นที่กัดกินฝ่ามือขณะที่สัมผัสมัน

    เธอเสกคาถาเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองก่อนจะนั่งลงที่โคนต้นไม้เพื่อเฝ้ามองท้องฟ้าฤดูหนาวที่ใสโปร่งกว่าฤดูกาลไหน ๆ เธอรักผืนฟ้าในยามนี้ เมื่อราตรีกาลมาถึงและเมฆหมอกได้ลาลับ ทั่วทั้งแผ่นฟ้าก็ถูกฉาบทาไปด้วยสีน้ำเงินเข้มที่ตกแต่งด้วยเกล็ดดวงดาวสีขาวระยับตา

    กลุ่มดาวพิณที่มีดาวเวกาเจิดจรัสปรากฏอยู่ในการมองเห็นของเธอขณะที่เธอเริ่มเล่นเกมต่อจุดภายในใจ แม้ดาวตาจะกำลังไล่ตามการเรียงร้อยของเหล่าดวงดาวแต่ภายในดวงตาของเธอกลับมีเพียงเดรโก ดวงดาวกระพริบเตือนเธอด้วยความงดงามอันซับซ้อนว่าตอนนี้คงค่ำเกินกว่าจะอยู่คนเดียวข้างนอกเช่นนี้แล้ว

     เมื่อกลับเข้าสู่กำแพงปราสาทเธอก็รีบตรงกลับไปที่ห้องทันที แม้ว่าหัวใจจะยังคงเลื่อนลอยไปกับความคิดวนเวียนเรื่องมนตร์วิเศษของเขาที่สะกดเธอเอาไว้ตลอดสองคืนที่ผ่านมา เธอเดินผ่านห้องครัวของฮอกวตอส์ไปโดยไม่ได้ใส่ใจนักแต่เดียวแรงดึงที่ชุดคลุมก็ทำให้เธอผงะ

    “อะไรเนี่ย!” เธอกรีดเสียง พลางกุมอกไว้แล้วหันมองเอลฟ์ประจำบ้านด้วยความงุนงง “โทษทีด๊อบบี้ เธอทำให้ฉันตกใจ”

    “ด๊อบบี้ขอโทษคุณ” เขาขอโทษอย่างจริงจัง “ด๊อบบี้กำลังตามหาคุณอยู่! ด๊อบบี้มีของขวัญจะให้!

    “ของขวัญเหรอ ?” เธอขมวดคิ้วถาม “เธอไม่จำเป็นต้องให้อะไรฉันเลย ด๊อบบี้”

    “มันคือต้นคริสต์มาส” สิ่งมีชีวิตตัวเล็กอธิบายแล้วล้วงมือเข้าไปในประเป๋าแล้วดึงต้นอ่อนจิ๋วออกมา “ด๊อบบี้เก็บมันเอาไว้ให้คุณ! มันสวยมาก! คุณต้องใช้คาถาฟินิเต้แล้วมันจะโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่ด๊อบบี้ตั้งใจเลือกให้!

    เธอส่งยิ้มอ่อน “แสนดีมาก ด๊อบบี้” เธอบอก “แต่ฉันไม่คิดว่าปีนี้ฉันจะได้ใช้มัน บางทีศาสตราจารย์บางท่านอาจจะ -”

    “คุณต้องมีต้นไม้!” เขาแย้งอย่างกระตือรือร้น แล้วส่งต้นไม้เข้ามือของเธอ “คุณต้องมีต้องมีสำหรับคริสต์มาส!

    เฮอร์ไมโอนี่รับของขวัญนั้นด้วยคิดว่าการโต้เถียงต่อไปไม่ได้ประโยชน์อะไรแถมยังไม่ใช่เรื่องดีนัก “ขอบคุณนะ ด๊อบบี้” เธอพยักหน้าแล้วลูบหลังเพื่อนตัวจิ๋ว “ขอบคุณที่เอาใจใส่ฉันนะ”

    “ด๊อบบี้ยินดีเสมอ” เขาตอบรับเสียงดัง “ด๊อบบี้ต้องไปแล้ว ต้องไปช่วยวิงกี้ทำความสะอาด!

    เมื่อเสียงดีดนิ้วดังขึ้นเขาก็ค่อย ๆ หายไป เฮอร์ไมโอนี่เหลือบมองต้นอ่อนในมือครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อ ทีแรกเธอกะว่าจะปล่อยมันไว้แบบนั้นแต่นั่นคงจะใจร้ายกับด๊อบบี้ที่ตั้งใจนำมันมาให้เธอเกินไป เมื่อเธอเปิดประตูห้องออกดวงตาก็เผลอมองไปที่ประตูห้องของเดรโกโดยอัตโนมัติ มันสร้างความรู้สึกราวกับมีผงพิกซี่นับล้านกำลังโปรยปรายอยู่ภายในท้องของเธอเหมือนกับที่มันเริ่มเป็นมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา เธอปัดความกังวลให้พ้นไปแล้วเดินไปยังมุมมืดมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น วางต้นอ่อนลงแล้วคว้าไม้กายสิทธิ์ออกมา

    เธอพึมพำคาถาแล้วเฝ้ามองลำต้นของมันค่อย ๆ งอกโตขึ้นอย่างแข็งแรง ต้นสนดักลาสแผ่นใบเขียวของมันออกและในที่สุดมันก็สูงกว่าหกฟุต รูปร่างและสีสันของมันสวยงามสมดังความตั้งใจของด๊อบบี้อีกทั้งกลิ่นของมันก็ยังทำให้หัวใจของเธอแช่มชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด

    เฮอร์ไมโอนี่โบกไม้กายสิทธิ์นิดหน่อยเพื่อเสกของตกแต่งไปรอบต้นแต่มันก็ทำให้เธอลังเล เธอลดไม้กายสิทธิ์ลงแล้วเดินกลับไปที่ห้อง คุกเข่าลงเปิดหีบที่วางอยู่ข้างเตียงก่อนจะรื้อพบของตกแต่งต้นไม้สีแดงและทองซ่อนอยู่ภายในถุง มันเป็นของที่แม่ของเธอให้เอาไว้ก่อนที่เธอจะกลับมาฮอกวอตส์ ริมฝีปากของเธอเม้มสนิทพร้อมใบหน้าโศกเมื่อพบว่าตัวเองคิดถึงครอบครัวมากเพียงใด เธอถือถุงใบเล็กที่เสกคาถาขยายพื้นที่ไว้ในมือแล้วเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น จากนั้นจึงเริ่มประดับลูกแก้วและพันดิ้นสีสวยไว้รอบลำต้นที่แข็งแกร่งของต้นไม้

    และนั่นคือจังหวะเดียวกับเดรโกออกมาเจอเธอ เขามองเห็นดวงตาสีน้ำตาลทองที่ดูเลื่อนลอยและสิ้นหวังขณะที่เธอกำลังหมุนของประดับรูปเกล็ดหิมะในมือ ชายหนุ่มขมวดคิ้วและก้าวเข้ามาเธอด้วยความสงสัย แล้วหยุดลงเบื้องหลังเธอไม่ไกลนักก่อนจะแค่นเสียงหยันเมื่อเธอไม่ได้รู้เลยว่าเขากำลังอยู่ตรงนั้น

    “ทำไมไม่ใช้คาถา ?” เขาถามตรง ๆ “จะเสียเวลาเสียพลังงานไปทำไม”

    เขาได้ยินเธอถอนหายใจอย่างไม่สู้ดีนักก่อนจะแขวนเกล็ดหิมะลงบนกิ่งไม้ “ฉันอยากทำแบบนี้” เธอบอก “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน”

    “ด้วยสีแดงกับสีทองเนี่ยนะ ?” เขายังคงออกความเห็นด้วยเสียงหยัน “คาดเดาง่ายไปไหมเกรนเจอร์”

    “มันไม่เกี่ยวกับกริฟฟินดอร์หรอก” เธอตอบอย่างว่างเปล่า “ครอบครัวของฉันมักจะใช้สีเหล่านี้ตกแต่งต้นคริสต์มาส และฉันก็คิดว่าต้นไม้สีเขียวมันตัดกันดีกับสีแดงและทอง”

    จริง ๆ เขาอยากเถียงกับเธอเพราะแบบนี้แต่เมื่อได้ฟังคำตอบบ่าของเขาก็หนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกจำยอมและตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ เขากลอกตากับความคิดอ่อนไหวของเธอก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงบนโซฟาแล้วเฝ้ามองเธอ ซึ่งในขณะนั้นความรู้สึกอยากสัมผัสเธอก็กลับมาอีกครั้ง

    “เหลืออีกกี่วันถึงจะถึงวันคริสต์มาส” เขาถาม

    “วันนี้วันที่ 14” เธอพึมพำตอบ “อีก 11 วัน”

    เดรโกกระแอม “แล้วเธอจะอยู่ที่นี่เหรอ ?”

    “ใช่” เธอพยักหน้าแล้วตกแต่งต้นไม้ของเธอต่อ “เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”

    “ฉันคิดว่าเธอจะชอบคริสต์มาสมากกว่านี้ซะอีก เกรนเจอร์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “แต่ดูเหมือน...จะไม่ใช่อย่างนั้น”

    “ปีนี้ไม่มีอะไรให้น่ายินดีขนาดนั้น” เธอถอนหายใจแล้วหันมามองเขา “แล้วนายอยากได้อะไรไหม”

    เขาหรี่ตาแล้วมองเธออย่างเยือกเย็น “อิสระจากไอ้ห้องเวรนี้มั้ง”

    “นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ -”

    “งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” เขาบ่นแล้วเท้าศอกกับต้นขา “แล้วถ้าเธอไม่ได้อะไรกับคริสต์มาสขนาดนั้น ทำไมเราต้องมีไอ้ต้นนี่ด้วย”

    “ได้มาเป็นของขวัญน่ะ” เธอยักไหล่ “ถ้าหากนายเปลี่ยนใจก็บอกได้ วันเสาร์นี้ฉันจะไปฮ้อกส์มี้ด -”

    “ฉันไม่ได้อยากได้อะไร” เขายืนยันเสียงเรียบ “ถ้ายังจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”

    เธอพยักหน้าเข้าใจ “เข้าใจได้”

    ความเงียบอันเศร้าหมองรายล้อมพวกเขาเอาไว้ ขณะที่เธอล้วงหยิบของประดับชิ้นสุดท้ายออกจากถุง เธอไล่นิ้วมือไปตามดวงดาวสีทองที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม

    “ปกติพ่อฉันจะเป็นเอามันไปขึ้นไปวางไว้ข้างบน” เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ ไม่แน่ใจว่าดังพอให้เขาได้ยินไหม “เป็นเรื่องที่พวกผู้ชายที่บ้านจะทำกัน เป็นธรรมเนียมน่ะ”

    เธอเหลือบมองคนรักคนใหม่ของเธอที่กำลังมองมาด้วยแววตาคลุมเครือและริมฝีปากที่เหยียดตรง ชั่ววินาทีนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าราวกับรู้สึกโมโหตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเข้าอกเข้าใจ

    “เรามีธรรมเนียมแบบเดียวกัน” เขายอมรับอย่างไม่ชอบใจนัก

    เฮอร์ไมโอนี่กลืนก้อนความกังวลแล้วยื่นดวงดาวในมือให้เขา “งั้นนี่คงเป็นหน้าที่นายแล้ว” เธอบอก “เป็นเกียรติเอามันขึ้นไปวางให้หน่อยได้ไหม”

    เดรโกดันมือเธออก “ที่นี่ไม่ใช่บ้านนะ เกรนเจอร์”

    “แต่ก็ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เรามีในตอนนี้แล้ว” เธอพูดเสียงซึม “อีกอย่าง ฉันก็ไม่ -”

    “ฉันจะไม่เอามันขึ้นไปวาง” เขายื่นคำขาด “ไม่ต้องใช้มันหรอก เกรนเจอร์”

    เธอนิ่วหน้ายอมแพ้แล้ววางมันไว้ลงบนโต๊ะกาแฟด้านหน้า ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดคำต่อมา “เดรโก ฉันมาคิดดูแล้ว -”

    “อะไรอีก -”

    “เราควรจะ...” เสียงของเธอขาดห้วงอย่างลังเล “เราควรจะคุยกันเรื่อง...ของเราไหม”

    “ไม่” เขาตอบรวดเร็ว “คุยไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา -”

    “แต่ฉัน -”

    “ช่างมันเถอะ เกรนเจอร์” เขาเค้นกราม “ไม่ใช่เธอหรอกเหรอที่บอกว่าให้ปล่อยมันเป็นไป”

    ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น “ฉันอาจจะพูด -”

    “เพราะงั้นก็เลิกคิดได้แล้ว” เขาบ่นแล้วเสมองมองตัวเอง “ฉันตัดสินใจชัดเจนไปแล้วเมื่อคืน และฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก”

    เฮอร์ไมโอนี่ขบริมฝีปากล่างเมื่อตระหนักได้ว่าเป็นเธอเองที่อยากให้เขาอยู่ด้วยในคืนนี้ เพียงเพราะความขมขื่นในวันนี้กำลังเตือนเธอว่าความเดียวดายจะมากมายเพียงใดในคืนต่อ ๆ ไป เธอพยายามค้นหาความกล้าหาญของกริฟฟินดอร์ที่คอยจะเหี่ยวเฉาไปทุกครั้งที่เดรโกเป็นแบบนี้

    “ฉันคิดว่าฉันควรไปนอนแล้ว” เธอบอกเขาเสียงสั่น “นาย...นายอยากไปด้วยกันมั้ย”

    เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะส่ายหน้า “ไม่” เขาตอบ และทำให้เธอต้องพยายามสะกดความเจ็บปวดในอกเอาไว้

    “อื้อ” เธอตอบรับหงอย ๆ แล้วเดินกลับไปยังห้องนอนด้วยความรู้สึกอับอายเหลือคนา “งั้นฝันดีนะ”

    “เกรนเจอร์” เขาเรียกก่อนที่เธอจะไปถึงประตู ดวงตาของเขาปิดแน่นขณะที่ฝ่ามือนวดที่สันจมูก ยอมรับว่าศักดิ์ศรีของเขาพังทลายลงอย่างน่าสงสัย “อย่าล็อกประตู บางทีฉันอาจเปลี่ยนใจ”

    ริมฝีปากบางสะกดรอยยิ้มเอาไว้แล้วปลีกตัวเข้าห้องไปทิ้งให้เดรโกเฝ้ามองต้นไม้ที่ตกแต่งไม่เสร็จของเธอ เขาเฝ้ามองอย่างนั้นเนิ่นนาน ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่วิ่งสวนกันไปมาระหว่างที่เขาเหลือบมองดวงดาวบนโต๊ะ เสียงคำรามดังแผ่วในลำคอก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะเอื้อมหยิบมันแล้วเดินตรงไปที่ต้นไม้ เขาวางมันลงด้านบนสุดเพื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่เกรนเจอร์เริ่มเอาไว้

    เขาเดินถอยออกมาแล้วมองมันด้วยใบหน้าใคร่ครวญ พลางคิดว่าบางทีสีเขียวกับสีแดงและทองก็ดูเข้ากันดีอย่างที่เธอว่าจริง ๆ และด้วยความรู้สึกจำนนเป็นครั้งสุดท้าย สองเท้าของเขาก็หันกลับโดยไม่ได้มีจุดหมายเป็นห้องของตัวเอง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×