คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Chapter 17 : Star [100%]
เฮอร์ไมโอนี่ซุกหน้าลงกับหมอนแล้วปล่อยเสียงในลำคออย่างเกียจคร้านออกมาเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกพยายามดึงเธอให้ตื่นจากฝันอันแสนสุข
คืนที่ผ่านมาเดรโกก็ยังคงแสนวิเศษ เขาใจเย็นกับเธอเหมือนกับครั้งแรกหากแต่ก็ยังมีความดื้อรั้นอย่างมัลฟอยเผยออกมาอยู่บ้าง
แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับความเย้ายวนที่เขามอบให้
ความกังวลยังคงเจืออยู่ในใจของเธอแต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกลำบากใจอย่างที่เคยเป็นมา
เกี่ยวขาไว้รอบเอวของฉัน
กล้ามเนื้อที่ตึงไปทั่วร่างทำให้เธอนึกถึงริมฝีปากของเขาและเสียงกระซิบอ่อนหวานชิดลำคอที่ล่อลวงเธอไปสู่จุดที่แสนอันตรายหากแต่กลับปลอดภัยอย่างประหลาด
เธอปล่อยให้เขาพาเธอชิดผนังและค่อย ๆ พาความอบอุ่นเข้าสู่ภายใน
เสียงของเขาดังสลับกับเสียงน้ำไหลและกลิ่นกุหลาบที่ไหลอาบไปทั่วร่างของพวกเขา
เสียงครางแผ่วเบาดังกระเส่าไปพร้อมกันเหมือนกับคืนวันศุกร์ก่อนเขาจะค่อย ๆ
พาเธอกลับมาที่ห้อง
เขาเฝ้ารอให้เธอพร้อมแล้วจึงเริ่มสอดประสานบรรเลงท่วงทำนองของเขาอีกครั้ง
เกรนเจอร์...
ร่างกายที่อิ่มเอิบไปด้วยความรู้สึกมากมายทำให้เธอคอยเฝ้ามองเขาที่ยังคงไล่ตามความปรารถนาที่จะปลดปล่อยออกมาอย่างหลงไหล
ใบหน้าของเขาอ่อนลงกว่าครั้งไหนและบางครั้งเธอก็สังเกตได้ว่ามันดูไร้ซึ่งความกังวลใด
ๆ อย่างที่เคยมีมาเสมอ ริมฝีปากเล็กไล่จุมพิตทั้งลำคอตลอดจนสันกรามขณะที่เฝ้าสำรวจเขาอย่างใกล้ชิด
ความอบอุ่นระหว่างพวกทำให้เธอได้เห็นเขาที่ดูเป็นอิสระและงดงามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เธอตอบรับจูบของเขานิ่งนานและลึกล้ำเมื่อเขาได้ปลดปล่อยสิ่งที่สะกดกลั้นเอาไว้ออกมา
ทั้งเหงื่อและหยดน้ำบนร่างกายยังคงซึมชื้นบนผืนผ้าปูที่นอนแม้ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งข้างกายจะว่างเปล่า
เขาจากไปแล้ว
แต่นั่นก็...ไม่เป็นไร
แค่เพียงเขากลับมาหาเธอเมื่อคืนนี้นั่นก็เพียงพอแล้ว
เขายังคงต้องใช้เวลาเพื่อต่อสู้กับทิฐิที่มากมายภายในใจซึ่งเธอก็ฉลาดพอที่จะปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาเพื่อปรับตัวเข้าหา...สถานการณ์แปลก
ๆ ของพวกเขาอย่างที่เธอกำลังทำ และความจริงอย่างหนึ่งที่เด่นชัดขึ้นในทุก ๆ ครั้ง
แม้ว่าเธอจะยังไม่แน่ใจว่าสามารถคาดหวังในตัวเขาได้หรือไม่ ก็คือเธอรู้ตัวว่าเธอกำลังชอบเขามากขึ้น
และนั่นเองก็เป็นเพราะคำพูดของลูน่าที่ทำให้เธอยอมรับมันได้ในที่สุด
บางทีสงครามก็นำเรื่องดีมาให้ มันสอนให้ผู้คนรู้จักยึดมั่นในสิ่งที่รู้สึกว่าถูกต้อง
ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงก็ตาม
โชคชะตาคงกำลังเล่นตลกกับเธอ
แต่แม้จะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังคงปล่อยให้มันเป็นไป เมอร์ลินรู้ดีว่ามันยากแค่ไหนกับการพยายามไม่คิดมากกับความสัมพันธ์ประหลาดนี้
แต่เมื่อเธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับสลิธีรินคนนี้มากขึ้นเธอก็พบว่าการพยายามจะด่วนตัดสินใจหรือรีบหาข้อสรุปนั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ที่สุดในตอนนี้
เธอเหลือบมองนาฬิกาเมื่อพบว่ายังคงปล่อยให้ตัวเองนอนยู่บนเตียงนานเกินไป
ตอนนี้เธอสายเสียแล้ว ร่างเล็กพยายามรีบเร่งกิจวัตรประจำวันของเธอก่อนจะรีบออกไปพบมักกอนากัล
ชั้นเรียนของทุกวิชาจบลงแล้วและวันนี้ศาสตราจารย์จะเริ่มส่งนักเรียนกลับบ้านเพื่อไปใช้เวลาช่วงวันหยุดคริสต์มาสอย่างปลอดภัย
ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่และเหล่าพรีเฟ็คก็ตกลงว่าจะช่วยกัน
และโชคร้ายที่ไมเคิลเองก็จะเข้ามาร่วมด้วย
เธอเองยังไม่พร้อมที่จะพบหน้าเขาหลังจากที่ทิ้งเขาไว้กลางงานเต้นรำโดยไม่มีคำอธิบายใด
ๆ
เฮอร์ไมโอนี่อ้างกับพวกจินนี่ว่าเธอมีอาการอาหารเป็นพิษกะทันหันและพาตัวเองไปอยู่ที่หอคอยกริฟฟินดอร์ตลอดคืนวันเสาร์
เธอหวังอยู่ลึก ๆ ว่าข้ออ้างนั้นจะใช้กับไมเคิลได้เช่นกัน
ร่างเล็กพาตัวเองเดินไปตามระเบียงทางเดินที่คุ้นเคยพลางใช้สายตาสำรวจร่างกายของเธอผ่านกระจกที่เยือกแข็งจนขึ้นเงา
เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีร่องรอยใด ๆ ของเดรโกถูกทิ้งเอาไว้ให้สายตาอื่นจับได้แล้วจึงรีบตรงไปยังห้องทำงานของมักกอนากัล
ความผิดแล่นพล่านไปทั่วร่างจนใบหน้าร้อนผ่าวเมื่อเธอเริ่มได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังก้องไปตามทางเดิน
มักกอนากัล ไมเคิล เนวิลล์ จินนี่ และฟรีเฟ็คคนอื่น ๆ อยู่ที่นั่น
ยิ่งใกล้ความผิดบาปของรอยจูบที่เดรโกทิ้งเอาไว้บนริมฝีปากก็ยิ่งทำให้เธอเจียนบ้า
พวกเขาจะไม่สังเกตเห็นริมฝีปากที่บวมเจ่อใช่ไหม ? หรือร่องรอยช้ำแดงจากรอยจูบจะถูกซ่อนเอาไว้หมดหรือยัง
? หรือพวกเขาจะพอได้กลิ่นที่แปลกไปจากเธอหรือไม่ ?
เฮอร์ไมโอนี่พยายามสูดหายใจขณะที่ผลักประตูให้เปิดออก
ก่อนจะต้องสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อดวงตาทั้งสิบสองคู่จับจ้องมาที่เธอ
“ขอโทษที่สาย”
เธอพึมพำพยายามเลี่ยงที่จะสบตากับไมเคิล “ฉันตื่นสายน่ะ”
“ไม่เป็นไร
เฮอร์ไมโอนี่” มักกอนากัลบอกก่อนจะผายมือให้เธอนั่งลง “เธอคงจะทราบดีแล้ว
ฉันกำลังอธิบายแผนการที่จะพานักเรียนกลุ่มแรกออกไปช่วงบ่ายสามโมงวันนี้
เราได้รับความอนุเคราะห์จากมาดามมักซีมให้ใช้ม้าอะบราซันของเธอได้ พวกมันจะมาถึงราว
ๆ บ่ายสองโมงและแฮกริกจะช่วยเราจัดการกับพวกมัน”
“จะมีนักเรียนกี่คนเหรอครับ
?” เนวิลล์ถามขณะที่ยังคงจดรายละเอียดลงบนแผ่นกระดาษ “ผมจะได้แน่ใจว่าจะพาพวกเขากลับถึงบ้านครบทุกคน”
“ยี่สิบสอง
รวมคุณด้วย คุณลองบอตทอม” เธอตอบ “หลังจากส่งพวกเขาทุกคนแล้ว
พวกม้าจึงจะพาเธอกลับบ้านแล้วจึงกลับไปยังโบบาตงซ์ ดังนั้นพวกคุณทุกคนจึงจำเป็นต้องตรวจสอบรายชื่อนักเรียนให้แน่ใจว่าครบถ้วนดี”
“แล้วใครจะเป็นคนพานักเรียนกลุ่มวันพุธกลับบ้านคะ”
จินนี่ถาม
“ฉัน”
ลี จอร์แดนยกมือ “โดยใช้รถเมล์อัศวินราตรีใช่ไหมครับ”
“คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ”
ศาสตราจารย์พยักหน้า “ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ฉันจะส่งให้ทีหลัง”
“แล้วมีกี่คนที่ไม่ได้กลับคะ
ศาสตราจารย์” เฮอร์ไมโอนี่ถามโดยพยายามที่จะไม่สบตากับไมเคิล
“ไม่มากนัก”
ศาสตราจารย์กล่าว “ทั้งหมดน่าจะราว ๆ หกคน”
เฮอร์ไมโอนี่พยายามซ่อนใบหน้านิ่วของเธอให้พ้นจากเพื่อน
ๆ ที่ยังคงทยอยถามคำถามต่อไปพลางตระหนักได้ว่านี่คงเป็นคริสต์มาสที่เงียบเหงาที่สุดสำหรับเธอ
แม้ว่าจะเป็นความผิดของเธอเองที่ยืนยันจะอยู่ที่โรงเรียนต่อ และจินนี่เองก็ไม่ชอบใจนัก
แต่การกลับไปบ้านโพรงกระต่ายโดยไม่มีแฮร์รี่กับรอนก็ไม่ง่ายนักสำหรับเธอ
อีกทั้งเดรโกก็ยังคงอยู่ที่หอ มันเป็นความรับผิดชอบที่เธอจะต้องคอยอยู่เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ถูกใครพบเข้า
แถมมักกอนากัลเองก็คงจะมีอีกหลายเรื่องให้เธอช่วยระหว่างอยู่ที่นี่
แม้ว่ามันจะน่าเศร้าไปสักหน่อยที่เธอต้องปล่อยให้คริสต์มาสผ่านพ้นไปเหมือนกับวันอื่น
ๆ ในปีนี้ แต่เธอก็ได้เลือกแล้ว
เรื่องราวนอกกำแพงปราสาทมันมากเกินกว่าที่ใครจะรับมือได้ดีในตอนนี้
เมฆหมอกของมันครอบคลุมบรรยากาศรื่นเริงเอาไว้จนหมด
และไม่เพียงแต่เรื่องนั้นเท่านั้น
การอยู่โดยไม่มีเพื่อนและครอบครัวที่คุ้นเคยก็สร้างความว่างเปล่ามากมายขึ้นภายในใจของเธอ
และยิ่งต้องอยู่กับเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวอย่างนายสลิธีรินจอมเย็นชานั้นก็ไม่ได้ช่วยให้วันเวลาดูดีขึ้นสำหรับเธอ
เพราะสำหรับเรื่องของเขามันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
“เอาล่ะ”
เสียงของศาสตราจารย์นำเธออกจากห้วงความคิดอันน่าเศร้า “ถ้าหากเธอทั้งหมดจะสามารถเตรียมนักเรียนให้พร้อมก่อนบ่ายสองได้
สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องพูดคุยเพียงเท่านี้ มีคำถามอีกไหม ?”
เสียงตอบรับมีเพียงเสียงเก็บของเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้น ไว้เราไปพบกัน
และถ้าหากเจอนักเรียนอยู่ข้างนอกก็ช่วยบอกให้เขาระวังหิมะด้วย
ส่วนเฮอร์ไมโอนี่ช่วยอยู่ก่อนนะ”
“ค่ะ”
เธอพยักหน้ารับอย่างกังวลแล้วส่งยิ้มให้เพื่อน ๆ ขณะที่พวกเขาทยอยออกไป “ทุกอย่างโอเคใช่ไหมคะ”
“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
ศาสตราจารย์บอกแล้วกระซิบคาถาเงียบเสียง “แค่อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณมัลฟอยน่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่พยายามที่จะไม่ให้แก้มขึ้นสี
“ปกติดีค่ะ” เธอควบคุมเสียงให้เป็นปกติ “หนูคิดว่า...เขาคงจะปรับตัวได้แล้ว”
“เขาเย็นลงแล้วใช่ไหม
?” มักกอนากัลพูดต่อ “เขายังร้ายกาจอยู่ไหม”
“ไม่ค่ะ...เขาไม่ได้ทำตัวร้ายกาจใส่หนูแล้ว”
เธอพึมพำ “เขา...เขาดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว”
“ดีแล้ว”
เธอพยักหน้า “ต้องขอบคุณอีกครั้งที่ตัดสินใจอยู่ที่นี่ช่วงคริสต์มาส
ส่วนคุณเลิฟกู้ดยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจยังไง ดังนั้นฉันเข้าใจดีว่าเธอจะรู้สึกยังไงเมื่อไม่มีเพื่อนอยู่ที่นี่ด้วย
และที่นี่เองก็ไม่ใช่บ้าน -”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอไหวไหล่ “มันก็แค่วันหนึ่ง และฮอกวอตส์ก็เป็นเหมือนบ้านในบ้างครั้ง
ถึงมันจะแย่หน่อยที่ตอนนี้แฮร์รี่กับรอนไม่อยู่”
“ใช่
และรวมถึงการต้องอยู่ร่วมกับคนที่เธอไม่อยากอยู่” ศาสตราจารย์พูดพลางใช้ความคิด “ดังนั้นอยากให้ทราบว่าเรายินดีที่จะให้เธอมาร่วมกับฉันและศาสตราจารย์ท่านอื่น
ๆ ในวัน -”
“ขอบคุณค่ะ
ศาสตราจารย์” เธอพูดแทรกเสียงแผ่ว “แต่หนูคิดว่าหนูควรจะอยู่ที่หอเพื่อให้ไม่มีอะไรผิดพลาด”
“แน่ใจใช่ไหมว่าจะอยู่กับคุณมัลฟอยตามลำพัง”
ศาสตราจารย์เลิกคิ้วถาม
“หนูแค่อยากทำให้มันเป็นเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมาค่ะ”
เธอตอบพยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อีกอย่างมันก็...ไม่ถูกต้องนักถ้าจะปล่อยเขาเอาไว้ตามลำพังในวันคริสต์มาส
เขาเองก็รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่แล้ว”
มิเนอร์วาครุ่นคิด
“เธอดู...อ่อนโยนกับเขามากนะ”
“หนู
- หนูแค่...” เธออึกอักรู้สึกว่าเธอกำลังพูดมากเกินไป “หนูแค่เข้าใจเขาค่ะ และการทิ้งเขาไปก็คงไม่ได้ส่งผลต่อต่อ...นิสัยของเขา”
“คิดว่าไม่”
ศาสตราจารย์เห็นด้วย “แต่ถ้าหากเปลี่ยนใจก็ได้เสมอนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
เธอตอบแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “แล้วพบกันค่ะศาสตราจารย์”
เธอปลีกตัวออกมาพร้อมรอยยิ้มให้ศาสตราจารย์
ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานออกมาพร้อมความรู้สึกผิดที่พูดถึงเดรโกต่อหน้ามักกอนากัล
เธอเลี้ยวตรงทางเดินแล้วถอนหายใจก่อนสัมผัสของใครบางคนจะจู่โจมเข้าที่ท่อนแขน
“ไมเคิล”
เธอหายใจแรงพร้อมดวงตาสีน้ำตาลที่เต็มไปด้วยความกังวล “นายทำให้ฉันตกใจ”
“โทษที”
เขาพูดอย่างกระอักกระอ่วน “เราพอจะมีเวลาคุยเรื่องวันนั้นไหม ? เรื่องงานเต้นรำน่ะ”
“อ๋อ”
เธอพยักหน้าเสียไม่ได้ “ได้ แน่นอน คือฉัน -”
“ไปคุยกันที่หอเธอได้ไหม”
“ฉันยังอยากอยู่ข้างนอกนี่ก่อน”
เธอรีบพูด “เราเดินไปคุยกันไปได้ไหม ? ยังไม่อยากกลับห้องตอนนี้น่ะ”
“อ๋อ
ได้” เขาพยักหน้าและเดินไปตามโถงทางเดินที่ว่างเปล่าช้า ๆ “คือ -”
“ฉันต้องขอโทษจริง
ๆ นะ” เธอโพล่งขึ้นแล้วยกมือขึ้นทัดผม “ที่ทิ้งนายไว้แบบนั้น ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย
-”
“ไม่เป็นไร
เฮอร์ไมโอนี่” เขานิ่วหน้า “ไม่ต้องโกหกหรอก ฉันรู้ว่าเธอคิดถึงเขาและ -”
“เขา
?” เธอย้ำคำ “ฉัน -”
“รอนน่ะ”
เขาชี้แจงด้วยใบหน้ารู้ทัน “โทษที ฉันไม่รู้ว่าเธอสองคนเอ่อ...
แต่จินนี่บอกฉันแล้วล่ะ”
“อ๋อ
อย่างนั้นเอง” เธอพูดอย่างอึดอัดพร้อมความรู้สึกผิดที่อืดขึ้นภายในท้อง “ใช่...ฉัน
-”
“ฉันไม่อยากให้เรารู้สึกอึดอัดต่อกัน”
เขาขัดแล้วหันหลังให้ “ฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่ง และฉันก็ไม่อยาก -”
“เป็นเพื่อนกันดีแล้ว”
เธอพูดอย่างจริงใจ “และขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกนายเรื่องฉันกับ...รอน
มันค่อนข้างซับซ้อนเพราะเขาไม่อยู่ และสงครามก็ค่อนข้างตึงเครียด”
“ไม่เป็นไร”
ไมเคิลพยักหน้า “ให้ฉันเดินไปส่งไหม ?”
“ฉันคิดว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อย”
เธอกล่าว “มีเรื่องต้องทำน่ะ แต่ก็ขอบคุณนะ เอาไว้ไปเจอกันตอนพานักเรียนกลับบ้าน”
---
เดรโกเฝ้ามองเกล็ดหิมะที่ปกคลุมอยู่ภายนอกหน้าต่าง
เขาไม่เคยชื่นชอบมันเลย
แต่หลังจากที่ใช้เวลาหลายสัปดาห์อยู่ภาพทิวทัศน์เดิม ๆ
เขาก็ยอมรับว่าโลกภายนอกที่กำลังถูกแต่งแต้มไปด้วยสีขาวนั้นก็เป็นภาพที่น่ามองอย่างประหลาด
ตลอดเวลาที่ต้องอยู่ในห้องนี้ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าบรรยากาศภายนอกเป็นยังไง จนรู้ตัวอีกทีเขาก็เริ่มคิดถึงมัน
เขาได้ยินว่าเกรนเจอร์ออกจากห้องไปหลายชั่วโมงแล้ว
แต่กลับยังรู้สึกเหมือนเธอไม่ได้จากไปไหน
ด้วยกลิ่นของเธอที่ยังคงอวลอยู่ภายในอากาศและรสสัมผัสของเธอที่ยังคงทำให้เขาเคลิบเคลิ้มที่ปลายลิ้น
เขาพยายามคิดให้ออกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความน่ารำคาญของเธอแปรเปลี่ยนเป็นความสบายใจ
ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะนอนกับเธอแค่ครั้งเดียวในคืนนั้น
แต่ในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ให้กับความจริงที่ว่าเขายังคงต้องการทำมันอีกครั้งและอีกครั้ง
จนกว่าความรู้สึกกระหายจะหมดไปจากตัวเขา
ถ้าหากมันจะหมดไปน่ะนะ
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ทำให้ตัวเองตื่นก่อนเธอได้
เพราะพวกผู้ชายรู้ดีว่าการยังคงนอนอยู่ข้างเธอนั้นมันมีอะไรมากกว่าการสัมผัสทางกาย
และถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะต้องสาปครูซิโอใส่ตัวเองแน่
มันควรจะเป็นแค่เพียงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน...
จริง
ๆ เขายังคงเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุใดเขายังคงมีใจใฝ่ในตัวเกรนเจอร์ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยิ่งคิดยิ่งไม่ได้คำตอบ
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบได้ก็คงมีเพียงความปั่นป่วนในท้องเท่านั้น
เขารู้ดีว่าถ้าหากเขายังคงเลือกเดินทางนี้ มันจะทำให้เขานึกเสียใจในท้ายที่สุดแต่เขาก็เลือกที่จะเชื่อในคำแนะนำของเกรนเจอร์ว่าให้ทำในสิ่งที่อยากทำอยู่ดี
ที่นี่ไม่มีใครหรืออะไรมาตัดสินเขา
ไม่มีใครตำหนิพฤติกรรมบ้าบอและแสนอันตรายของเขาได้
อีกทั้งเธอก็ยังเป็นเพียงสิ่งเดียวในความโดดเดี่ยวนี้ที่ทำให้เขายังรู้สึกถึงสัญชาตญาณและชีพจรที่ยังคงดีดพล่าน
ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะปฏิเสธสัมผัสของเธอ
และถ้าหากเรื่องเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องบ้าคลั่ง
งั้นคำพูดที่ใครเขาพูดกันอย่าง ‘ความสุขอันบ้าคลั่ง’ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
---
หลังจากใช้เวลาเนิ่นนานท่ามกลางกองหนังสือเพื่อตามหาฮอร์ครักซ์
เฮอร์ไมโอนี่ก็ได้บอกลาเนวิลล์และคนอื่น ๆ ก่อนที่พวกเขาจะออกจากปราสาทไปเพื่อกลับไปหาครอบครัว
พวกเขาออกเดินทางช้ากว่าเวลานัดหมายเล็กน้อยเมื่อมีนักเรียนปีห้าบางคนเผลอหลับและไม่ได้มาที่จุดนัดพบตามกำหนด
แต่ในที่สุดเมื่อผืนฟ้าฤดูหนาวค่อย ๆ ถูกย้อมทาด้วยสีของเวลาย่ำค่ำ
ขบวนรถม้าอะบราซันก็โผบินขึ้นสู่ฝากฟ้าเพื่อพานักเรียนกลับไปยังบ้านของพวกเขา
เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาอีกสองสามชั่วโมงเพื่อเดินเล่นไปรอบ
ๆ ผืนหญ้าที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยหิมะชั้นหนา จิตใจที่หนักอึ้งถูกผ่อนลงขณะที่ฝ่าเท้าย่างเหยียบลงบนหิมะจนส่งเสียงดังสวบสาบ
ปุยหิมะนุ่มนิ่มราวเกล็ดน้ำตาลทำให้เธอเพิกเฉยต่อความหนาวเย็นที่กัดกินฝ่ามือขณะที่สัมผัสมัน
เธอเสกคาถาเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองก่อนจะนั่งลงที่โคนต้นไม้เพื่อเฝ้ามองท้องฟ้าฤดูหนาวที่ใสโปร่งกว่าฤดูกาลไหน
ๆ เธอรักผืนฟ้าในยามนี้ เมื่อราตรีกาลมาถึงและเมฆหมอกได้ลาลับ ทั่วทั้งแผ่นฟ้าก็ถูกฉาบทาไปด้วยสีน้ำเงินเข้มที่ตกแต่งด้วยเกล็ดดวงดาวสีขาวระยับตา
กลุ่มดาวพิณที่มีดาวเวกาเจิดจรัสปรากฏอยู่ในการมองเห็นของเธอขณะที่เธอเริ่มเล่นเกมต่อจุดภายในใจ
แม้ดาวตาจะกำลังไล่ตามการเรียงร้อยของเหล่าดวงดาวแต่ภายในดวงตาของเธอกลับมีเพียงเดรโก
ดวงดาวกระพริบเตือนเธอด้วยความงดงามอันซับซ้อนว่าตอนนี้คงค่ำเกินกว่าจะอยู่คนเดียวข้างนอกเช่นนี้แล้ว
เมื่อกลับเข้าสู่กำแพงปราสาทเธอก็รีบตรงกลับไปที่ห้องทันที
แม้ว่าหัวใจจะยังคงเลื่อนลอยไปกับความคิดวนเวียนเรื่องมนตร์วิเศษของเขาที่สะกดเธอเอาไว้ตลอดสองคืนที่ผ่านมา
เธอเดินผ่านห้องครัวของฮอกวตอส์ไปโดยไม่ได้ใส่ใจนักแต่เดียวแรงดึงที่ชุดคลุมก็ทำให้เธอผงะ
“อะไรเนี่ย!” เธอกรีดเสียง พลางกุมอกไว้แล้วหันมองเอลฟ์ประจำบ้านด้วยความงุนงง
“โทษทีด๊อบบี้ เธอทำให้ฉันตกใจ”
“ด๊อบบี้ขอโทษคุณ”
เขาขอโทษอย่างจริงจัง “ด๊อบบี้กำลังตามหาคุณอยู่! ด๊อบบี้มีของขวัญจะให้!”
“ของขวัญเหรอ
?” เธอขมวดคิ้วถาม “เธอไม่จำเป็นต้องให้อะไรฉันเลย ด๊อบบี้”
“มันคือต้นคริสต์มาส”
สิ่งมีชีวิตตัวเล็กอธิบายแล้วล้วงมือเข้าไปในประเป๋าแล้วดึงต้นอ่อนจิ๋วออกมา “ด๊อบบี้เก็บมันเอาไว้ให้คุณ! มันสวยมาก! คุณต้องใช้คาถาฟินิเต้แล้วมันจะโตขึ้นเป็นต้นไม้ที่ด๊อบบี้ตั้งใจเลือกให้!”
เธอส่งยิ้มอ่อน
“แสนดีมาก ด๊อบบี้” เธอบอก “แต่ฉันไม่คิดว่าปีนี้ฉันจะได้ใช้มัน
บางทีศาสตราจารย์บางท่านอาจจะ -”
“คุณต้องมีต้นไม้!” เขาแย้งอย่างกระตือรือร้น แล้วส่งต้นไม้เข้ามือของเธอ
“คุณต้องมีต้องมีสำหรับคริสต์มาส!”
เฮอร์ไมโอนี่รับของขวัญนั้นด้วยคิดว่าการโต้เถียงต่อไปไม่ได้ประโยชน์อะไรแถมยังไม่ใช่เรื่องดีนัก
“ขอบคุณนะ ด๊อบบี้” เธอพยักหน้าแล้วลูบหลังเพื่อนตัวจิ๋ว “ขอบคุณที่เอาใจใส่ฉันนะ”
“ด๊อบบี้ยินดีเสมอ”
เขาตอบรับเสียงดัง “ด๊อบบี้ต้องไปแล้ว ต้องไปช่วยวิงกี้ทำความสะอาด!”
เมื่อเสียงดีดนิ้วดังขึ้นเขาก็ค่อย
ๆ หายไป เฮอร์ไมโอนี่เหลือบมองต้นอ่อนในมือครู่หนึ่งก่อนจะเดินต่อ
ทีแรกเธอกะว่าจะปล่อยมันไว้แบบนั้นแต่นั่นคงจะใจร้ายกับด๊อบบี้ที่ตั้งใจนำมันมาให้เธอเกินไป
เมื่อเธอเปิดประตูห้องออกดวงตาก็เผลอมองไปที่ประตูห้องของเดรโกโดยอัตโนมัติ
มันสร้างความรู้สึกราวกับมีผงพิกซี่นับล้านกำลังโปรยปรายอยู่ภายในท้องของเธอเหมือนกับที่มันเริ่มเป็นมาตลอดในช่วงที่ผ่านมา
เธอปัดความกังวลให้พ้นไปแล้วเดินไปยังมุมมืดมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น
วางต้นอ่อนลงแล้วคว้าไม้กายสิทธิ์ออกมา
เธอพึมพำคาถาแล้วเฝ้ามองลำต้นของมันค่อย
ๆ งอกโตขึ้นอย่างแข็งแรง ต้นสนดักลาสแผ่นใบเขียวของมันออกและในที่สุดมันก็สูงกว่าหกฟุต
รูปร่างและสีสันของมันสวยงามสมดังความตั้งใจของด๊อบบี้อีกทั้งกลิ่นของมันก็ยังทำให้หัวใจของเธอแช่มชื่นขึ้นอย่างน่าประหลาด
เฮอร์ไมโอนี่โบกไม้กายสิทธิ์นิดหน่อยเพื่อเสกของตกแต่งไปรอบต้นแต่มันก็ทำให้เธอลังเล
เธอลดไม้กายสิทธิ์ลงแล้วเดินกลับไปที่ห้อง
คุกเข่าลงเปิดหีบที่วางอยู่ข้างเตียงก่อนจะรื้อพบของตกแต่งต้นไม้สีแดงและทองซ่อนอยู่ภายในถุง
มันเป็นของที่แม่ของเธอให้เอาไว้ก่อนที่เธอจะกลับมาฮอกวอตส์
ริมฝีปากของเธอเม้มสนิทพร้อมใบหน้าโศกเมื่อพบว่าตัวเองคิดถึงครอบครัวมากเพียงใด
เธอถือถุงใบเล็กที่เสกคาถาขยายพื้นที่ไว้ในมือแล้วเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น จากนั้นจึงเริ่มประดับลูกแก้วและพันดิ้นสีสวยไว้รอบลำต้นที่แข็งแกร่งของต้นไม้
และนั่นคือจังหวะเดียวกับเดรโกออกมาเจอเธอ
เขามองเห็นดวงตาสีน้ำตาลทองที่ดูเลื่อนลอยและสิ้นหวังขณะที่เธอกำลังหมุนของประดับรูปเกล็ดหิมะในมือ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วและก้าวเข้ามาเธอด้วยความสงสัย
แล้วหยุดลงเบื้องหลังเธอไม่ไกลนักก่อนจะแค่นเสียงหยันเมื่อเธอไม่ได้รู้เลยว่าเขากำลังอยู่ตรงนั้น
“ทำไมไม่ใช้คาถา
?” เขาถามตรง ๆ “จะเสียเวลาเสียพลังงานไปทำไม”
เขาได้ยินเธอถอนหายใจอย่างไม่สู้ดีนักก่อนจะแขวนเกล็ดหิมะลงบนกิ่งไม้
“ฉันอยากทำแบบนี้” เธอบอก “มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน”
“ด้วยสีแดงกับสีทองเนี่ยนะ
?” เขายังคงออกความเห็นด้วยเสียงหยัน “คาดเดาง่ายไปไหมเกรนเจอร์”
“มันไม่เกี่ยวกับกริฟฟินดอร์หรอก”
เธอตอบอย่างว่างเปล่า “ครอบครัวของฉันมักจะใช้สีเหล่านี้ตกแต่งต้นคริสต์มาส
และฉันก็คิดว่าต้นไม้สีเขียวมันตัดกันดีกับสีแดงและทอง”
จริง
ๆ เขาอยากเถียงกับเธอเพราะแบบนี้แต่เมื่อได้ฟังคำตอบบ่าของเขาก็หนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกจำยอมและตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อ
เขากลอกตากับความคิดอ่อนไหวของเธอก่อนจะพาตัวเองไปนั่งลงบนโซฟาแล้วเฝ้ามองเธอ
ซึ่งในขณะนั้นความรู้สึกอยากสัมผัสเธอก็กลับมาอีกครั้ง
“เหลืออีกกี่วันถึงจะถึงวันคริสต์มาส”
เขาถาม
“วันนี้วันที่
14” เธอพึมพำตอบ “อีก 11 วัน”
เดรโกกระแอม
“แล้วเธอจะอยู่ที่นี่เหรอ ?”
“ใช่”
เธอพยักหน้าแล้วตกแต่งต้นไม้ของเธอต่อ “เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด”
“ฉันคิดว่าเธอจะชอบคริสต์มาสมากกว่านี้ซะอีก
เกรนเจอร์” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอดกลั้น “แต่ดูเหมือน...จะไม่ใช่อย่างนั้น”
“ปีนี้ไม่มีอะไรให้น่ายินดีขนาดนั้น”
เธอถอนหายใจแล้วหันมามองเขา “แล้วนายอยากได้อะไรไหม”
เขาหรี่ตาแล้วมองเธออย่างเยือกเย็น
“อิสระจากไอ้ห้องเวรนี้มั้ง”
“นายก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้
-”
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”
เขาบ่นแล้วเท้าศอกกับต้นขา “แล้วถ้าเธอไม่ได้อะไรกับคริสต์มาสขนาดนั้น
ทำไมเราต้องมีไอ้ต้นนี่ด้วย”
“ได้มาเป็นของขวัญน่ะ”
เธอยักไหล่ “ถ้าหากนายเปลี่ยนใจก็บอกได้ วันเสาร์นี้ฉันจะไปฮ้อกส์มี้ด -”
“ฉันไม่ได้อยากได้อะไร”
เขายืนยันเสียงเรียบ “ถ้ายังจะต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
เธอพยักหน้าเข้าใจ
“เข้าใจได้”
ความเงียบอันเศร้าหมองรายล้อมพวกเขาเอาไว้
ขณะที่เธอล้วงหยิบของประดับชิ้นสุดท้ายออกจากถุง เธอไล่นิ้วมือไปตามดวงดาวสีทองที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม
“ปกติพ่อฉันจะเป็นเอามันไปขึ้นไปวางไว้ข้างบน”
เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ ไม่แน่ใจว่าดังพอให้เขาได้ยินไหม “เป็นเรื่องที่พวกผู้ชายที่บ้านจะทำกัน
เป็นธรรมเนียมน่ะ”
เธอเหลือบมองคนรักคนใหม่ของเธอที่กำลังมองมาด้วยแววตาคลุมเครือและริมฝีปากที่เหยียดตรง
ชั่ววินาทีนั้นเขาก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าราวกับรู้สึกโมโหตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเข้าอกเข้าใจ
“เรามีธรรมเนียมแบบเดียวกัน”
เขายอมรับอย่างไม่ชอบใจนัก
เฮอร์ไมโอนี่กลืนก้อนความกังวลแล้วยื่นดวงดาวในมือให้เขา
“งั้นนี่คงเป็นหน้าที่นายแล้ว” เธอบอก “เป็นเกียรติเอามันขึ้นไปวางให้หน่อยได้ไหม”
เดรโกดันมือเธออก
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านนะ เกรนเจอร์”
“แต่ก็ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เรามีในตอนนี้แล้ว”
เธอพูดเสียงซึม “อีกอย่าง ฉันก็ไม่ -”
“ฉันจะไม่เอามันขึ้นไปวาง”
เขายื่นคำขาด “ไม่ต้องใช้มันหรอก เกรนเจอร์”
เธอนิ่วหน้ายอมแพ้แล้ววางมันไว้ลงบนโต๊ะกาแฟด้านหน้า
ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดคำต่อมา “เดรโก ฉันมาคิดดูแล้ว -”
“อะไรอีก
-”
“เราควรจะ...”
เสียงของเธอขาดห้วงอย่างลังเล “เราควรจะคุยกันเรื่อง...ของเราไหม”
“ไม่”
เขาตอบรวดเร็ว “คุยไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา -”
“แต่ฉัน
-”
“ช่างมันเถอะ
เกรนเจอร์” เขาเค้นกราม “ไม่ใช่เธอหรอกเหรอที่บอกว่าให้ปล่อยมันเป็นไป”
ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อได้ยินดังนั้น
“ฉันอาจจะพูด -”
“เพราะงั้นก็เลิกคิดได้แล้ว”
เขาบ่นแล้วเสมองมองตัวเอง “ฉันตัดสินใจชัดเจนไปแล้วเมื่อคืน และฉันไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก”
เฮอร์ไมโอนี่ขบริมฝีปากล่างเมื่อตระหนักได้ว่าเป็นเธอเองที่อยากให้เขาอยู่ด้วยในคืนนี้
เพียงเพราะความขมขื่นในวันนี้กำลังเตือนเธอว่าความเดียวดายจะมากมายเพียงใดในคืนต่อ
ๆ ไป
เธอพยายามค้นหาความกล้าหาญของกริฟฟินดอร์ที่คอยจะเหี่ยวเฉาไปทุกครั้งที่เดรโกเป็นแบบนี้
“ฉันคิดว่าฉันควรไปนอนแล้ว”
เธอบอกเขาเสียงสั่น “นาย...นายอยากไปด้วยกันมั้ย”
เขาเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่” เขาตอบ และทำให้เธอต้องพยายามสะกดความเจ็บปวดในอกเอาไว้
“อื้อ”
เธอตอบรับหงอย ๆ แล้วเดินกลับไปยังห้องนอนด้วยความรู้สึกอับอายเหลือคนา “งั้นฝันดีนะ”
“เกรนเจอร์”
เขาเรียกก่อนที่เธอจะไปถึงประตู ดวงตาของเขาปิดแน่นขณะที่ฝ่ามือนวดที่สันจมูก ยอมรับว่าศักดิ์ศรีของเขาพังทลายลงอย่างน่าสงสัย
“อย่าล็อกประตู บางทีฉันอาจเปลี่ยนใจ”
ริมฝีปากบางสะกดรอยยิ้มเอาไว้แล้วปลีกตัวเข้าห้องไปทิ้งให้เดรโกเฝ้ามองต้นไม้ที่ตกแต่งไม่เสร็จของเธอ
เขาเฝ้ามองอย่างนั้นเนิ่นนาน
ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความขัดแย้งที่วิ่งสวนกันไปมาระหว่างที่เขาเหลือบมองดวงดาวบนโต๊ะ
เสียงคำรามดังแผ่วในลำคอก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะเอื้อมหยิบมันแล้วเดินตรงไปที่ต้นไม้
เขาวางมันลงด้านบนสุดเพื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่เกรนเจอร์เริ่มเอาไว้
เขาเดินถอยออกมาแล้วมองมันด้วยใบหน้าใคร่ครวญ
พลางคิดว่าบางทีสีเขียวกับสีแดงและทองก็ดูเข้ากันดีอย่างที่เธอว่าจริง ๆ
และด้วยความรู้สึกจำนนเป็นครั้งสุดท้าย สองเท้าของเขาก็หันกลับโดยไม่ได้มีจุดหมายเป็นห้องของตัวเอง
ความคิดเห็น