คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 14 : Crave [100%]
“ม่าย”
ท็องส์ส่ายหน้า “จดหมายที่พวกหนุ่ม ๆ ส่งให้รีมัสไม่ได้บอกอะไรมาก
แต่ก็ไม่ได้สำคัญนี่ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว”
“ก็จริงค่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่หนูแค่อยากช่วยอะไรได้บ้าง และบางทีถ้าหากพอจะได้รู้ว่าเขาทำลายล็อกเก็ตนั่นยังไง
-”
“เธอทำได้ดีแล้วน่า”
เธอให้กำลังใจ “ทุกอย่างกำลังไปได้สวย กระทรวงควบคุมสถานการณ์ได้รวมถึงฮอร์ครักซ์ชิ้นอื่นก็ถูกทำลายแล้ว
อย่าเข้าใจผิดล่ะ พวกเราสามารถทำมันได้ -”
“ได้ดีกว่านี้มากค่ะ”
เธอถอนหายใจพลางปัดลอนผมที่ระใบหน้าออก “หนูควรจะได้ไปกับพวกเขา -”
“ความสามารถของเธอเหมาะจะอยู่ช่วยมักกอนากัลที่ฮอกวอตส์ที่สุดแล้วน่า”
ท็องส์บอก “พวกหนุ่ม ๆ ที่อยู่ทางนั้นก็กำลังทำงานที่เหมาะสมกับพวกเขา
อีกทั้งภาคีก็เห็นตรงกันว่าเธอควรจะอยู่ในที่ที่เราสามารถตามหาเธอได้ -”
“เข้าใจค่ะ”
เธอนิ่วหน้าอย่างเหนื่อยใจขณะยกมือขึ้นนวดดวงตา “หนูแค่ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีประโยชน์กับที่นี่มากแค่ไหน
เหมือนทุกอย่างที่ทำได้ก็เพียงแค่จัดงานเลี้ยงเต้นรำและงานของประธานนักเรียนที่ตอนนี้ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ”
“อย่าโกรธมักกอนากัลที่ยังอยากจะทำเรื่องนั้นเลย”
คนฟังกล่าวแล้วยักไหล่ “งานเลี้ยงคริสต์มาสอาจจะดีกับเธอก็ได้ อย่างที่เคยบอกฉันว่างานนั่นมันสนุกแค่ไหนไง
แล้วคราวนี้มีพวกบัลแกเรียมาขอไปงานเต้นรำหรือยัง ?”
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงแก้มที่กำลังตึงไปด้วยรอยยิ้มของตัวเอง
“ไม่ค่ะ ไม่ใช่พวกบัลแกเรีย” เธอพึมพำ “แต่เป็นไมเคิลที่มาขอให้หนูไปกับเขา”
“ไมเคิลนั่นใครกัน
?”
“ไมเคิล
คอร์เนอร์” เธออธิบายพลางเดาะลิ้น “แต่หนูคิดว่าเขาแค่ขอไปเพราะเราเป็นประธานนักเรียนเหมือนกัน
ซึ่งก็หวังว่ามันจะเป็นเหตุผลนั้นจริง ๆ”
“ทำไมล่ะ
?” ท็องส์เลิกคิ้วถาม “นายนั่นเป็นพวกงี่เง่าเหรอ”
“เปล่าค่ะ
เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง” เฮอร์ไมโอนี่บอก “แต่หนู -”
“ชอบคนอื่นอยู่ว่างั้น”
เดรโกน่ะ...
เฮอร์ไมโอนี่รีบเงยหน้าขึ้นสบตาท็องส์ด้วยความตระหนกที่ล้นในอก
“อ - อะไรนะคะ ?” เธอพูดตะกุกตะกัก “หมายความว่ายังไงนะคะ”
“รอนไง”
แม่มดยิ้มพรายอย่างรู้ทัน “เราเห็นกันหมดที่งานแต่งงานนั่น
และเธอก็บอกเองว่าเธอชอบเขา”
“อ๋อ
รอน” เฮอร์ไมโอนี่หายใจโล่ง “ใช่ - ใช่ แน่นอนค่ะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า
เฮอร์ไมโอนี่ ?” ท็องส์ถามด้วยความห่วงใย
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอพึมพำอย่างไม่มั่นใจ “หนูแค่ไม่ค่อยคุ้นกับเตียงเท่านั้น ก็เลยนอนไม่หลับ”
จริง
ๆ ในทางเทคนิคก็คงเรียกว่าการโกหกไม่ได้ แน่นอนว่าเธอตื่นอยู่แทบจะทั้งคืน
เธอเอาแต่เฝ้ามองนาฬิกาบอกเวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า หวังเพียงว่าจะมีสักวินาทีที่เสียงแจ้งเตือนของมันจะดังขึ้น
มันค่อนข้าง...ประสาทเสียกับการต้องนอนลงบนเตียงที่รู้อยู่ในใจว่าไม่มีเขาอยู่ที่ห้องอีกฝั่ง
และนั่นทำให้ความคิดของเธอเอาแต่หมุนวนอยู่รอบเรื่องของเขาตั้งแต่อาทิตย์ตกยันย่ำรุ่ง
แม้ว่าจะมีท็องส์อยู่อีกด้านของประตูแต่เธอกลับรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
และเอาแต่คิดว่าเดรโกจะผ่านค่ำคืนอันเงียบเหงาที่หอคอยไปได้ยังไง
หลังจากที่เขาพยายามจะหนีออกไปตอนที่เธอไปอยู่กับจินนี่ เธอก็เริ่มคาดหวัง...บางอย่าง
แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาก็คงอยู่ได้เพราะนาฬิกาของเธอก็ยังเงียบสนิท
ถึงมันจะคอยกวนใจเธออยู่เรื่อย ๆ ก็ตาม
หลังจากเรียนเสร็จแล้ว
วันนี้เธอว่าจะแวะกลับไปดูเดรโกสักหน่อยแต่พอภาพตอนที่เธอพยายามจะจูบเขามันฉายวาบกลับมา
เธอก็ได้แต่ปล่อยให้มันกลายเป็นเพียงความคิด เมื่อกินข้าวเที่ยวและเดินเล่นไปรอบฮอกส์มี้ด
- ที่สัญญาณของวันคริสต์มาสเริ่มเปล่งประกายไปทั่วแล้ว – เธอกับท็องส์ก็ได้มีโอกาสคุยกันเรื่องสงครามและเรื่องอื่น
ๆ อีกสองสามเรื่อง แต่เธอไม่ได้มีสมาธิกับมันเลย ใจเธอมันชอบลอยไปหาเดรโก
“รอนกับหนูไม่ได้คบกัน
คุณรู้ใช่ไหมคะ” เธอบอกท็องส์เพื่อแก้ต่าง “เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น”
มือปราบมารขมวดคิ้ว
“เธอไม่ได้ชอบเขาเหรอ เฮอร์ไมโอนี่ นี่ฉันคิดว่า -”
“หนูเคยคิดว่าเป็นแบบนั้นค่ะ”
หญิงสาวสารภาพ “แต่สุดท้ายหนูคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันมันดีแล้ว
หนู...ไม่ได้ชอบเขาในแบบที่ควรจะเป็น”
ท็องส์หัวเราะคิกแล้วลูบหลังแม่มดสาวอย่างเอ็นดู
“ก็ไม่มีใครบังคับให้เธอต้องชอบรอนสักหน่อยนี่ ถ้าไม่ชอบ ก็แค่ไม่ชอบ -”
“คุณกับรีมัสเคยถูก...วิพากษ์วิจารณ์เยอะไหมคะตอนที่คบกัน”
เธอตั้งคำถามอย่างระวัง “เพราะว่าพวกคุณอายุต่างกัน”
“หลายคนก็ด่วนตัดสินกันไปต่าง
ๆ นานา” ท็องส์พูดพลางหยุดคิด “รีมัสรู้สึกกวนใจมากกว่าฉัน แต่ก็ใช่ คำพูดจากพวกวัน
ๆ ไม่มีอะไรทำก็ค่อนข้างกวนใจเราทั้งคู่นั่นแหละ”
“แล้วคุณเกิดคำถามกับความรู้สึกของตัวเองบ้างไหมคะ”
ท็องส์ถอนหายใจแล้วเคาะเข่าขณะที่ใช้ความคิด
“ฉันรู้ว่าคนพวกนั้นไม่มีทางมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ” เธอยอมรับหลังจากนั้น “เรื่องนี้มันคงง่ายขึ้นถ้าหากฉันคบกับคนที่อยู่ไล่เลี่ยกัน
แต่ในความเป็นจริงเราเลือกไม่ได้หรอก เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว”
เฮอร์ไมโอนี่เอียงคอแล้วส่งยิ้ม
“แล้วมันคุ้มค่าไหมคะ” เธอถาม “ทั้งเรื่องความไม่เหมาะสมและ -”
“แน่ซะยิ่งกว่าแน่เลยล่ะ”
เธอพูดเสียงดัง “ดูสิ ในขณะที่เราอยู่ท่ามกลางสงครามแถมยังมีลูกน้อยกำลังเติบโตในท้องฉัน
ขี้ปากของพวกช่างจ้อน่ะเป็นเรื่องที่ควรกังวลเป็นอย่างสุดท้ายเลยไม่ใช่เหรอ
อีกอย่าง ถ้าฉันปล่อยให้เรื่องพวกนั้นมาทำให้ฉันต้องเลิกรู้สึกกับรีมัส
ฉันคงรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต”
สาวผมแดงเผลอกัดปากแล้วส่งเสียงเออออที่เต็มไปด้วยความคิด
“เพราะเราไม่รู้ว่าโลกนี้จะจบสิ้นวันนี้หรือพรุ่งนี้
การใช้เวลาทำอะไรที่อยากทำคงเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว”
“นั่นก็มองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย”
ท็องส์ขยิบตา “แต่ก็ถูก ชีวิตเรามันสั้นจะตาย ว่าแต่ทำไมล่ะ เธอไปชอบใครเข้า เจ้าเด็กแผลเป็นนั่นไม่อนุญาตหรือไง
เฮอร์ไมโอนี่”
เธอบิดปาก
“ก็ประมาณนั้นค่ะ”
“ฉันรู้จักเขาไหม
?”
หลานคุณนั่นแหละค่ะ
“ไม่ค่ะ”
เธอส่ายหน้า “เขาก็แค่...เด็กปีเดียวกัน แต่แฮร์รี่กับรอนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” อันนี้ไม่ได้โกหกนะ
“เดี๋ยวพวกนั่นก็เข้าใจน่า”
ท็องส์ส่งกำลังใจพลางโบกมือ “แล้วเขาเป็นคนยังไง ?”
เฮอร์ไมโอนี่หยุดคิดเพื่อเรียบเรียงคำพูด
ท็องส์เป็นคนที่ไว้ใจได้และมักจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้เธอคายความลับออกมาได้เสมอ
แต่ตอนนี้เธอต้องระวังว่าจะพูดออกไปได้แค่ไหน
“ก็นิสัยไม่ดีค่ะ”
เธอเกริ่นอย่างตรงไปตรงมา สังเกตเห็นว่าดวงตาของท็องส์กำลังฉายแววขบขัน “นิสัยเสียแก้ไม่ได้
เข้าใจยาก แถมยังไม่ค่อยฟังหนูพูด -”
“นั่นก็ดูปกติสำหรับพวกผู้ชายนะ
-”
“เขาเป็นคนหยาบคาย”
เฮอร์ไมโอนี่ยังคงพูดต่อ “จองหอง ใจร้ายแล้วก็ยังเย็นชา -”
“ก็ยังปกตินะ
-”
“บางครั้งก็ชอบทำให้หนูโมโหจนแทบอยากจะสาปเขาให้ลอยไปอีกทวีปเลย!”
ท็องส์เริ่มหัวเราะออกมาแล้วเริ่มสำรวจใบหน้าแม่มดสาวด้วยรอยยิ้มขบขัน
“แต่ว่า ?”
เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายแล้วเริ่มรู้สึกว่าขอบตากำลังร้อนขึ้น
“แต่ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนดีค่ะ” เธอกระซิบหงอย “ดูแย่ไปหมดแถมยังร้ายกาจ แต่มันมีบางอย่างที่บอกกับหนูว่าลึก
ๆ แล้วเขาเป็นคนดี ซึ่งหนูก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร”
การเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังมันทำให้รู้สึกแปลกและดีไปพร้อมกัน
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด
เธอพยายามไม่ลงรายละเอียดเลวร้ายของเพื่อนร่วมห้องจากสลิธีรินของเธอ
คนที่เป็นเสมือนพี่สาวมองเธออย่างเข้าอกเข้าใจขณะที่ยกมือขึ้นทัดผม
เธอดูจะพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน
แต่ถ้าหากคุณรู้ว่า...
“แล้วรู้ไหมว่าเขาคิดยังไงกับเธอ”
เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้าแล้วก้มหน้า
“เขาบอกว่าเขาเกลียดหนู -”
“แล้วเคยจูบกันไหม”
ท็องส์ซักอย่างตรงไปตรงมา
นาทีนั้นแก้มคนฟังก็ร้อนผ่าว
“ก็ครั้งสองครั้งค่ะ” เธอพูดอ้อมแอ้ม “แต่ว่ามันเป็นเพราะ...เราหุนหันพลันแล่นกันไปหน่อยและมันก็ไม่ได้ลึกซึ้งนัก
-”
“ใครเป็นคนจูบใครล่ะ”
“ก็”
เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก “หนู...หนูเป็นคนเริ่ม แต่เขาก็จูบหนูอีกสองครั้งหลังจากนั้น”
รอยยิ้มขี้เล่นเหยียดขึ้นบนใบหน้าของท็องส์อีกครั้ง
“ฟังดูมีหวังอยู่นะ”
“ไม่เลยค่ะ”
เธอตอบพลางย่นจมูกด้วยความผิดหวังที่ชัดเจนภายในใจ “มันเข้าใจยากกว่านั้น ครั้งสุดท้ายที่หนูพยายามจูบเขา
เขาผลักหนูออก และหนูก็ไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วหนูชอบเขาไหม มัน...เป็นความรู้สึกบางอย่างที่...”
เสียงของเธอขาดหาย
ท็องส์พยักหน้าให้เธอพูดต่อ “พูดต่อเถอะ” เธอบอก “เธอบอกฉันได้ทุกเรื่องนะ”
“มันเป็นบางอย่างที่ทำให้หนู...เจ็บ”
เธอพูดจนจบด้วยเสียงสั่นเครือ “เขามี...มีกำแพงที่หนูคิดว่าคงไม่อาจจะข้ามผ่านไปหาเขาได้
หนูพยายามแต่ทุกครั้งที่หนูคิดว่าหนูขยับเข้าไปอีกก้าวแล้ว
เขาก็ทำลายความเชื่อนั้นลง หนูไม่รู้แล้วว่าจะยังมีแรงที่จะไปต่ออีกไหม -”
“เฮอร์ไมโอนี่
-”
“หนูยังคงมองเห็นสิ่งดี
ๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา” เธอพยายามพูดต่อแม้ว่าน้ำตาจะค่อย ๆ เอ่อท้นที่ขอบตา “และหนูคิดว่านั่น...นั่นคือที่สิ่งทำให้หนูรู้สึกดีกับเขา
แต่หนู -”
“เฮอร์ไมโอนี่”
ท็องส์พูดแทรกอีกครั้ง “ไม่เป็นไรนะ ฟังดูเหมือนเขาอาจจะกำลังสับสน เดี๋ยวเขาก็จะเริ่มเข้าใจมันเอง”
“แต่ถ้าหากว่า
-”
“แค่ทำในสิ่งที่อยากทำน่า
ที่รัก” เธอแนะนำเสียงเนิบ
และนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่นึกถึงคำพูดคล้ายกันที่เขาเพิ่งบอกกับเดรโก “จิบชาก่อนเข้านอนกันหน่อยไหม
?”
“เปลี่ยนเป็นช็อคโกแลตร้อนได้ไหมคะ”
---
เดรโกนั่งอยู่บนพื้นกระดานอันเย็นเยียบเหม่อมองเศษซากลูกแก้วหิมะของเฮอร์ไมโอนี่อย่างเหม่อลอย
เขาไล่มือไปตามชิ้นส่วนแตกหักอย่างกระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะส่งเสียงผ่านไรฟันเมื่อหยดเลือดสีทับทิมหยดจากปลายนิ้ว
เขามองเลือดของตัวเองอย่างพิจารณาและความหนาวสะท้านก็แล่นผ่านสันหลัง
เมื่อเขานึกถึงเรื่องในห้องน้ำที่เลือดมันไหลออกมามากกว่านี้มาก
และไม่ใช่เพียงแค่เขา
แต่เกรนเจอร์เองก็เหมือนกัน
เขานึกโทษเหตุการณ์นั้นที่มันนำมาซึ่งเรื่องราวอีกมากมาย
และยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องมาติดอยู่กับความรู้สึกแปลก ๆ
กับการไม่มีเธออยู่ มันสะท้อนความจริงที่ว่าเกรนเจอร์เป็นคนแบบที่เขาชอบ
ทั้งความฉลาด ไหวพริบ ความแข็งแกร่ง และบางอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้
เธอเป็นคนที่...น่าสนใจคนหนึ่ง
ถ้าหากฉันเป็นเลือดบริสุทธิ์คนหนึ่งและนิสัยก็เป็นแบบนี้
นายจะยังปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นเช้านี้อยู่อีกไหม?
ตั้งแต่เธอไม่อยู่ภายในสมองของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยคำพูดของเธอ
ทุกประโยคที่ทำให้อคติที่เขามีมันสั่นสะเทือนไปทั้งกะโหลก แต่ถ้อยคำของครอบครัวก็ยังคงกระซิบผ่านสายลมกลับมาหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ
สิ่งที่เขาเคยยึดมั่นตอนนี้มันค่อย ๆ จางไปพร้อมกับหัวใจของเขาที่กำลังโลเล
เขาอยากจะโยนความผิดทั้งหมดนี้ให้เธอ
แต่เขาก็ต้องยอมรับความบางทีก่อนหน้านี้มันอาจจะมีรอยแยกบางอย่างในความเชื่อของเขาอยู่แล้ว
ถึงมันจะไม่ได้ทำให้เขาคล้อยตามคำพูดเธอได้ง่ายขึ้นแต่มันก็คงมีผลมากพอให้เขาเริ่มเก็บคำพูดของเธอมาคิดมากขึ้น
นายเป็นมนุษย์คนหนึ่งเดรโก
และนายมีสิทธิ์ที่จะทำผิดพลาด ซึ่งฉันเกลียดนายแค่เพราะเรื่องนั้นไม่ได้หรอก
เขาหลับตาแน่น
ความผิดพลาด...หอคอยดาราศาสตร์ เขาเริ่มสงสัยว่าถ้าหากเขามั่นใจว่าโวลเดอมอร์และสิ่งที่เขาเชื่อมันถูก
ภารกิจนั้นคงสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจ...
จะสลิธีริน กริฟฟินดอร์
เลือดบริสุทธิ์ เลือดสีโคลน สิ่งเหล่านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นใคร
ไม่สามารถบงการชีวิตเราได้หรอก
สำหรับเธอมันคงพูดง่าย
แต่พอเป็นเขาที่ต้องแบกรับความคาดหวังภายใต้นามสกุลที่น่าอับอายนี้
เธอคงจินตนาการไม่ออกว่ามันกดดันมากเพียงใด เขามั่นใจว่าพอตเตอร์คงได้เล่าเรื่องที่เขาประสาทเสียอยู่ในห้องน้ำเมื่อเทอมก่อน
แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกและคงไม่รู้ก็คือนั่นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของความวุ่นวายที่เขาต้องเจอ
ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาต้องเสกคาถาเงียบเสียงเพื่อให้ตัวเองได้กรีดร้องออกมา
เบลสกับแพนซี่เองก็เคยได้เห็นความอ่อนแอของเขาเพียงบางครั้งเท่านั้น
ไม่มีใครเคยเห็นความรู้สึกที่พังทลายของเขา กระทั่งก่อนการรับมอบหมายภารกิจ
บางครั้งเดรโกก็ได้แต่มองตัวเองที่สะท้อนจากในกระจกและเฝ้าสงสัยว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นมันหนักเกินไปสำหรับเขาหรือเปล่า
ทำไมต้องทำตัวแบบนี้ทั้ง ๆ
ที่ที่นี่ก็มีแค่ฉันกับนาย
นั่นเพราะถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้อีก เขาถูกพรากไปทั้งทรัพย์สิน เวทมนตร์ และสถานะทางสังคม
ถ้าหากเขายังจะละทิ้งสิ่งที่เขาพยายามสร้างมาตั้งแต่แรก
คราวนี้เขาคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
แต่บางคนมันเกินกว่าจะเปลี่ยนได้
เกรนเจอร์
และนั่นไม่ใช่นาย
“แม่งเอ้ย”
เขาโอดครวญแล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือ
นายบอกให้ฉันอยู่ด้วย
ฉันเอง...ก็อยากอยู่
เขาไม่เคยจูบใครแบบนั้นมาก่อน
มันเหมือนความกบฏได้ระเบิดออกแล้วปลดปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระ เขาเคยระวังที่จะจูบและคิดว่าเขาไม่ควรที่จะสัมผัสเธอเสียด้วยซ้ำ
แต่ในขณะนี้เขากลับอยากปัดทิ้งทุกเงื่อนไขที่เคยมี และเมื่อพิจารณาให้ดีอีกครั้ง
ในตอนนี้เขาอาจจะละทิ้งทุกเงื่อนไขนั้นเป็นที่เรียกร้อยแล้ว มันไม่มีใครมาคอยตำหนิในสิ่งที่เขาคิดเพื่อตัวเองอีกแล้ว
ซึ่งมันทำให้เขารู้สึก...
แค่ทำในสิ่งที่นายรู้สึกว่ามันถูกต้อง
รู้สึกอันตรายเกินไป
แต่ก็ดึงดูดใจอย่างไม่อาจต้านทาน
ความจริงที่น่าสมเพชกำลังตอกย้ำว่าเขาคิดถึงเธอ
ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่ทำให้เขาละความสนใจจากสิ่งอื่น
แต่เขาคิดถึงเธอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คิดถึงเสียง คิดถึงสำนวนการพูด
คิดถึงการเถียง...คิดถึงทุกอย่าง พรุ่งนี้เธอก็จะกลับมาแล้วแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าตอนไหน
แต่เขาคิดว่าอาจจะเป็นช่วงเช้าดังนั้นเขาจึงตัดสินใจนอนลงบนเตียงของเธออีกครั้ง ถึงมันจะเสี่ยงและคงสร้างความสั่นสะเทือนให้กับทิฐิของเขาได้อีก
แต่มันกลับรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว
---
ท็องส์ออกเดินทางช่วงแปดโมงเช้า
และเฮอร์ไมโอนี่ก็เตรียมตัวพร้อมที่จะกลับไปยังโรงเรียน ก่อนที่เหล่านักเรียนจะเริ่มตื่นจากวันหยุดอันแสนเกียจคร้าน
ความกังวลทำให้เธอเผลอขบริมฝีปากล่างจนเลือดซิบ
เธอจึงเลี่ยงเดินไปยังห้องน้ำพรีเฟ็คเพื่อรักษาแผลก่อน บางทีเธออาจจะแค่ถ่วงเวลา
เพราะที่หน้ากระจกเธอไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายืนมองเงาสะท้อนของตัวเอง
และเริ่มคิดหากลยุทธ์ที่จะรับมือการเผชิญหน้ากับเดร
หลังจากเธอได้ทำเรื่องน่าอับอายไปเมื่อสองวันก่อน
เมื่อพบว่าตัวเองใช้เวลาที่นี่นานเกินไปแล้ว
เธอจึงเดินตรงกลับไปยังหอนอนทันที
เธอใช้เวลาลังเลอยู่หน้าประตูครู่ใหญ่ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วกระซิบรหัสผ่าน
เมื่อเข้ามาด้านในก็มีเพียงความเงียบที่ต้อนรับเธอ แต่ในที่สุดสายลมก็พัดประตูปิดกระแทกจนเกิดเสียงดังขึ้นแทน
บ้าเอ้ย...
เธอยืนตัวแข็งทื่อเมื่อหูได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากอีกฝั่งของหอนอน
เสียงนั่นมันดังขึ้นผิดจากที่ควรจะเป็น มันเหมือนจะดังมาจากห้องของเธอ แค่เพียงอึดใจก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นประตูห้องของเธอก็เปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของสลิธีรินหนุ่ม
เห็นได้ชัดว่าเดรโกเพิ่งจะตื่นนอน ดูจากเส้นผมที่ยุ่งเหยิงและใส่เพียงเสื้อกั๊กกับกางเกงนอนตัวหลวม
แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นก็คือแววตาวาววับของเขา
เขายืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งจ้องมาที่เธอราวกับไม่เชื่อว่าเธอกำลังยืนอยู่ตรงนั้น
เฮอร์ไมโอนี่พาตัวเองออกจากภวังค์และโทสะก็เข้าแทนที่ แล้วจึงรีบจ้ำเท้าตรงไปหาเขา
“นายนอนในห้องฉันงั้นเหรอ
?”
“ใช่ไง”
เขาแค่นเสียงแล้วถอนเท้าให้มีระยะห่างระหว่างพวกเขา
“แล้วเข้าไปได้ยังไง
-”
เดรโกไม่ฟังเสียง
ฝ่ามือแกร่งประคองใบหน้าของเธอแล้วประทับจูบล้ำลึกบนริมฝีปากของเธอ
เขาทอดลมหายใจสั่นไหวสู่ปากของเธอ โดยไม่ได้สนใจว่าอีกคนจะตัวแข็งทื่อและไม่ตอบสนองอย่างไร
เขาเพียงทำต่อไปตามสัญชาตญาณ เพียงไม่นานเขาก็ถอนจูบหากแต่ยังคงกอดเธอเอาไว้แนบกาย
ปล่อยให้ลมหายใจแผ่วของเธอเป่ารดคาง เขากอดเธอเอาไว้นิ่งนานขณะที่กัดกรามและยังคงหลับตา
เขาเฝ้ารอการปฏิเสธของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว แต่เธอกลับเอียงใบหน้าเข้าหาเขาอีกครั้ง
ท่าทางของเธอดูกระดากอายแต่นั่นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว
ร่างสูงกว่าผลักเธอเข้าติดกับประตูแล้วเริ่มดูดกลืนสัมผัสของเธอ
การเคลื่อนไหวของเขาลึกล้ำ ดูดดื่มและเกือบจะดุร้าย เขาล่วงล้ำเข้าหาเธออย่างละโมบและไม่มีร่องรอยของการหยุดพัก
เฮอร์ไมโอนี่ไล่ตามจังหวะของเขาด้วยการสอดรับเรียวลิ้นของเขาเป็นอย่างดี ความประหม่าแล่นผ่านฝ่ามือสั่นระริกที่เริ่มจิกเกร็งเข้ากับแขนของเขา
ฝ่ามือนั้นค่อย ๆ เคลื่อนไปไปตามพวงแก้ม สอดประคองเรือนผมสีกาแฟ
หลอกล่อเสียงครางแผ่วเบาให้ดังออกจากริมฝีปากที่เขากำลังครอบครอง
เสียงแผ่วเบานั้นดังเพียงพอให้กล้ามเนื้อใต้หน้าท้องเริ่มรัดตึง
เขากดตัวเข้าหาเธอมากขึ้น
ให้ใกล้เธอมากที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เพื่อสัมผัสเธอให้ลึกที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถสัมผัสได้
ก้านนิ้วเรียวเลื่อนไล้ผ่านลำคอ สู่ลาดไหล่บาง เรื่อยไปจนถึงชายโครงเพื่อประคองให้เธออยู่ในตำแหน่งที่เขาต้องการ
เขาคำรามในลำคอเมื่อเธอใช้เล็บค่อย ๆ ไล้ไปตามเส้นผมของเขา ลูบเรื่อยไปจนถึงจุดอ่อนไหวที่สันหลัง
สัมผัสของเธออ้อยอิ่งหากแต่ทำให้เขาสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาแลกเปลี่ยนลมหายใจร้อนระหว่างกันและกันเนิ่นนานหากแต่เดรโกยังคงไม่ตัดสินใจจะหยุดมัน
เขายังคงต้องการเธอ เขากระหายในตัวเธอเหลือเกิน
เขาถอนปากออกแล้วเคลื่อนลงไปจนถึงลำคอ
รู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอเอนหลังและแอ่นตัวขึ้นพร้อมกับทอดลมหายใจอย่างพึงใจ ฝ่ามือกระชับต้นแขนของเธอแน่นขึ้นเมื่อพบว่าจุดที่ปลุกกระตุ้นเธอได้ดีที่สุดคือบริเวณใบหูที่เขาเพิ่งลากริมฝีปากผ่าน
เขาแทบจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังสูบฉีดเลือดของเธอผ่านสัมผัสจากปลายลิ้นของเขาเอง
“บอกให้ฉันหยุดสิ”
เขากระซิบผ่านผิวของเธอ แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแต่ไม่มีคำไหนหลุดออกมาเพื่อบอกให้พวกเขาแยกจากกัน
การสูญเสียความควบคุมให้กับแรงดึงดูดมหาศาลเป็นเรื่องใหม่เกินกว่าเธอจะสามารถจัดการมันได้
เธอรู้ดีว่าเขากำลังปลดเสื้อคลุมของเธอออก แต่เสียงกระซิบที่สมองสั่งให้เธอหยุดเขามันดังไกลเกินกว่าที่เธอจะได้ยิน
สิ่งที่เธอได้ยินมีเพียงเสียงเสื้อคลุมที่ร่วงลงสู่พื้นหอนอนก่อนที่เขาจะเคลื่อนริมฝีปากกลับมาครอบครองเธอไว้อีกครั้ง
ฝ่ามืออุ่นของเขากำลังเคลื่อนเข้าสู่ผิวใต้เสื้อของเธอ ในขณะที่ฝ่ามืออ่อนแรงข้างหนึ่งของเธอเลื่อนลงพักไว้กับหน้าอกของเขา
ส่วนอีกข้างยังคงลากวนระหว่างลำคอและไหปลาร้า
“บอกให้ฉันหยุด”
เขาพูดลอดไรฟัน แต่คราวนี้กลับเร่งร้อนและเริ่มประคองสันกรามเธอไว้อย่างถนัดมือ
มืออีกข้างเคลื่อนขึ้นไปสูงขึ้นจนกระทั่งในที่สุดนิ้วหัวแม่มือก็สัมผัสได้ถึงชิ้นผ้าปราการสุดท้ายที่ปกป้องเธอเอาไว้
เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ
เคลื่อนลงมาจนถึงหน้าท้องและทำให้เขายิ่งรู้สึกตึงแน่นมากขึ้นเมื่อเธอยังคงเคลื่อนลงเรื่อย
ๆ และนั่นเองที่ความจริงก็กลับมากระชากเขาอีกครั้ง
“บอกให้ฉันหยุด!” เขากรีดเสียงแล้วผละออกจากเธอสองสามก้าว
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าเป็นอีกครั้งที่แข้งขาของเธอไร้เรี่ยวแรงไปหมด
เพียงอึดใจเดียวทั้งร่างก็เซกลับไปซบที่ประตู
เธอช้อนตาขึ้นมองเดรโกแน่วแน่หากแต่เต็มไปด้วยความวิตก เขาดูแหลกสลายและเหนื่อยอ่อนราวกับได้ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับสัมผัสที่มีต่อเธอ
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วสบตาเธอ ดวงตาทั้งคู่มีเพียงความตกใจ
“ทำไมถึงไม่บอกให้ฉันหยุด”
เขาคำรามกร้าว “โง่หรือไงเกรนเจอร์ คิดว่ามันปกติหรือไง”
เธอตัวสั่น
“ฉันไม่ -”
“รู้ไหมว่าที่นี่มันปั่นหัวฉันได้ยังไง”
เขาถามเสียงเย็น “เธอทำอะไรกับฉันกันแน่”
“เดรโก
ได้โปรด -”
“ดูฉันสิ!” เขาตะคอก “ฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้! จนตรอกที่จะออกไปเอากับใครจนฉันต้องมาแตะต้องตัวเลือดสีโคลนที่ยังเวอร์จิ้น
-”
“นี่นายกล้าเรียกฉันว่าอย่างนั้นได้ยังไง!” เธอพูดอย่างโมโห
“คำไหนล่ะ”
เขาโต้กลับ “จะบอกว่ามีใครสักคนเคยผ่านเข้าไปในหว่างขาเธอหรือไง” เฮอร์ไมโอนี่กระดากใจจนไม่อาจพูดอะไรออกมา
ในขณะที่เดรโกรู้สึกถึงความรู้สึกหึงหวงที่กำลังกระหน่ำแทงเขาไม่หยุด “ให้เดานะ”
เขาเหยียดยิ้มเหี้ยม “วีสลีย์งั้นเหรอ ?”
“นั่นมันไม่เกี่ยวกับนาย
-”
“ตอนนี้มันเกี่ยวแล้ว!”
“เพราะอะไร”
เธอถามกลับอย่างใจกล้าแล้วยืดไหล่ขึ้น “นายก็ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วนี่ ว่ามันเป็นแค่...ความผิดพลาดที่อยู่ดี
ๆ ก็พยายามจะมาเอาฉันน่ะ!”
เขาชะงักกับคำพูดหยาบคายของเธอแต่ยังคงพยายามรักษาใบหน้าที่บูดบึ้งเอาไว้
“แล้วเธอคาดหวังอะไรวะเกรนเจอร์ ไอ้ความยึดมั่นในเลือดสีโคลนของเธอมันจมหายไปไหนหมดแล้วล่ะ
?”
“ฉันรู้ว่ามันหายไปบ้างแล้ว”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “นายเองก็คงรู้เหมือนกัน -”
“ทำไม
ฉันจะต้องเปลี่ยนเพื่อเอาใจหรือไง -”
“มันไม่ใช่การเปลี่ยนตัวเอง!” เธอแย้งเสียงดัง เธอโกรธมาก โกรธเกินกว่าจะร้องไห้ออกมา
“มันคือการที่นายค้นพบตัวเอง!”
“อย่ามาเสียเวลาทำตัวกริฟฟินดอร์ใส่ฉันนักเลย
-”
“นายมีความสุขไหม
เดรโก” เธอถามอย่างตั้งความหวังขณะที่พยายามขยับตัวเข้าหาเขาอีกนิด “นายเคยได้ทำอะไรที่นายอยากทำจริง
ๆ ไหม นายได้ใช้ชีวิตอย่างที่นายอยากทำไหม นายเคยทำอะไรสักอย่างที่รู้สึกว่ามันถูกต้องสำหรับนายหรือยัง
?”
เขาชะงักกับคำถามของเธอ
ภายในสมองของเขากำลังไล่เรียงภาพความทรงจำมากมายเพื่อตามหาคำตอบให้คำถามของเธอ
แต่เพียงความทรงจำเดียวที่เขาพอจะหยิบยกมันขึ้นมาได้ก็มีเพียงคืนนั้น
ที่เธอหลับอยู่บนตักเขา และอาจจะรวมถึงตอนนี้ที่เขาเพิ่งจะดื่มด่ำรสสัมผัสของเธอ
ในขณะที่เมื่อคิดถึงก่อนหน้านี้...มันกลับเต็มไปด้วยความมืดมิด
มันมีเพียงความเกลียดชังที่มีต่อสายเลือดของเธอซึ่งทำให้เขาไม่อาจได้ทำตามสิ่งที่ใจปรารถนา
“มองตาฉัน”
เธอพูดเสียงอ่อนแล้วก้าวเข้ามานั่งลงข้าง ๆ เขา “มองตาฉัน
แล้วบอกมาว่านายยังคงเชื่อว่ามักเกิ้ลเป็นพวกต้อยต่ำ และฉันเองก็น่ารังเกียจ”
เขาเปิดปากออกหวังจะไล่เรียงถ้อยคำร้ายกาจมากมายออกมาหยามเกียรติเธอ
แต่ในที่สุดเขาก็ไม่อาจทำมันได้ลง ซัลลาซาร์รู้ดีว่าเขาอยากทำมันใจแทบขาด
แต่เธอดูสมบูรณ์แบบเกินไป – เกินกว่าที่เขาจะแสร้งว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงได้
ทั้งริมฝีปากที่เจ่อขึ้นเล็กน้อยและเส้นผมที่ยุ่งเหยิง
มันก็ยังไม่อาจทำให้เขารู้สึกอะไรกับเธอได้นอกจากความสมบูรณ์แบบ
ไม่
ไม่มีทาง
“ปล่อยฉันอยู่คนเดียวเถอะ”
เขาพึมพำขึ้นแทน หวังว่าเสียงของเขาจะฟังดูคุกคามหรืออะไรสักอย่างแม้ว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้นไหมก็ตาม
เธอเอียงตัวเข้ามาใกล้แล้ววางมือบนบ่าซึ่งทำให้เขารู้สึกร้อนวาบ “อย่าแตะต้องตัวฉัน”
เธอดึงมือกลับอย่างเก้กัง
“นาย - นาย...ชอบจูบฉันไหม เดรโก” เธอพูดติดขัด
ชอบสิ...
“เหมือนถามว่าฉันอยากทรยศครอบครัวฉันไหมเลยนะ”
เขาตะคอกกลับ “งั้นถามฉันใหม่ว่าฉันจะทำมันไหมถ้าหากไม่มาติดอยู่ในนรกเวรนี่ -”
“ฉันชอบจูบนายนะ”
เธอสารภาพด้วยเสียงแผ่วเบาและสั่นระรัว “แต่ฉัน...ฉันกำลังเหนื่อยที่จะคอยพยายามเกลี้ยกล่อมให้นายเห็นว่าฉันเป็นใครสักคนที่นายไม่จำเป็นต้องเกลียดแล้ว
-”
“เธอต้องการอะไรเกรนเจอร์”
เขาถาม
“ไม่มากกว่าสิ่งที่นายจะทำได้หรอก”
เธอบอกเขาอย่างอ่อนโยน “แต่ฉันอยากให้นายหยุดหลอกตัวเองและทำในสิ่งที่นายรู้สึกว่า
-”
“เธอจะไปรู้อะไร
เธอจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรมันถูกต้องสำหรับฉัน” เขาตั้งแง่ “คิดว่าจูบโง่ ๆ
ไม่กี่ครั้งจะทำให้ฉันเลิกคิดกับเธอและสายเลือดของเธอแบบนั้นได้งั้นเหรอ”
เธอผ่อนลมหายใจอย่างท้อใจ
“นายกับฉัน -”
“เธอกับฉันมันไม่มีอะไรทั้งนั้น!” เขาค้านเสียงแข็ง “ฉันบอกแล้วไง! ฉันคงมีความต้องการมากเสียจนฉัน -”
“ลดตัวมาแตะพวกเลือดสีโคลน”
เธอจบประโยคให้เขา “นายรู้ไหม ว่านายชะงักทุกครั้งที่พูด”
เขาชะงัก
“ไม่ ฉันไม่ได้ -”
“ใช่
มันเป็นแบบนั้นแหละ”
น้ำเสียงมั่นใจของเธอเริ่มกระตุ้นความร้อนภายในตัวเขาอีกครั้งและก่อนที่เขาจะสามารถหยุดมันได้
เขาก็พบว่าตัวเองกำลังพุ่งเข้าไปจูบเธออีกครั้ง แต่ความรู้สึกไม่น่าพิสมัยก่อนหน้านี้ยังคงแจ่มชัดจนเขาสามารถหยุดตัวเองเอาไว้ได้ทัน
เดรโกปล่อยเธอให้เป็นอิสระพร้อมกับครวญเสียงดัง
เขาพักหน้าผากไว้กับเธอแล้วผ่อนลมหายใจอย่างรุนแรงเมื่อต้องต่อสู้กับความอยากกระหายที่เขามี
นี่เขามาไกลเกินไปแล้ว
เฮอร์ไมโอนี่เฝ้ามองความกระวนกระวายของเขาแล้วรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ
แต่ก็ปล่อยให้ตัวเองใจเย็นและพยายามทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด
แต่เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะทำแบบนี้เพื่อเขาไปได้อีกนานแค่ไหน
เมื่อความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น เธอก็ตัดสินใจว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะให้เขา
ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยการละทิ้งศักดิ์ศรีของเธอเพื่อช่วยเหลือผู้เสพความตาย
แต่ขอเมอร์ลินช่วย เธอไม่อาจละทิ้งเขาได้
“เดรโก”
เธอกลั้นใจกระซิบ “มองฉันสิ” ดวงตาของเขาเหลือบขึ้นมองเธอขณะที่ฝ่ามือเล็กประคองใบหน้าของเขาเอาไว้
“มันไม่เป็นไร” เธอบอก “ฉันรู้ว่า -”
“เธอแม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง”
เขาครวญแล้วสะบัดออกจากเธออีกครั้ง “เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าที่นี่มันปั่นหัวฉันยังไงบ้าง!”
“เดรโก
-”
“ฉันจะพูดแค่นี้นะเกรนเจอร์
เรื่องแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก” เขาสัญญา
คำพูดของเขาเด็ดขาดเสียจนเธอเองก็เริ่มเชื่อ “พอแค่นี้ -”
“ได้เลย”
เธอตอบแล้วลุกขึ้นยืนหลังตรง เธอหมดความอดทนแล้ว “ฉันก็จะไม่ทำอะไรแบบนี้แล้ว! ฉันไม่ควรจะต้องมาถูกนายทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ด้วยซ้ำ! อยากทำอะไรก็ทำไปเลย เพราะฉันไม่สนใจแม่งแล้ว!”
“เออ
สักที!” เขาตวาด “ดีใจนะที่เธอเข้าใจอะไรสักที ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นเถอะเกรนเจอร์
ฉันแค่อยากจะหาที่ระบาย และเธอเป็นแค่ตัวเลือกเดียว -”
“ไปให้พ้นนะ!” เธอตะโกนใส่แล้วหยิบไม้กายสิทธิ์ออกจากกระเป๋า เธอรู้สึกว่าตอนนี้น้ำตาคงเตรียมพร้อมจะไหลออกมาแล้ว
แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาได้เห็นมัน “เดี๋ยวนี้!”
เขายังคงอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง
เขามองเธอสลับกับไม้กายสิทธิ์ด้วยดวงตาร้อนรนแล้วจึงเดินหายกลับไปในห้อง
แม่มดสาวตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ภายในอกหนักอึ้งพยายามจะสะกดกลั้นคลื่นน้ำตาที่พร้อมจะทะลักทลายออกมา
แต่ในที่สุดมันก็เกินความสามารถ
เธอร่ายคาถาเงียบเสียงก่อนจะลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วปลดปล่อยความเจ็บปวดทั้งหมดภายในจิตใจออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่พร่างพรู
เธอร้องไห้หนักเสียจนรู้สึกถึงความร้อนที่เผาไหม้ภายในปอดและมันกำลังทำให้เธอเจ็บปวดไปทั้งอก
มันไม่ควรจะทำให้เธอเจ็บได้ถึงขนาดนี้
เธอผ่านคำพูดร้ายกาจของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่าจูบนั่น...
มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่พาเธอโน้มน้าวตัวเองให้เปิดใจให้เขา
และเขาก็ทุบทำลายมันจนแหลกสิ้น เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบและตกเป็นเครื่องมือ
แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือเธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่บอกให้เขาหยุด
พอเถอะความดื้อรั้นแบบกริฟฟินดอร์
เธอพอแล้ว
ความคิดเห็น