NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 14 : Crave [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 65


    “ม่าย” ท็องส์ส่ายหน้า “จดหมายที่พวกหนุ่ม ๆ ส่งให้รีมัสไม่ได้บอกอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้สำคัญนี่ในเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว”

    “ก็จริงค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าเห็นด้วย “แต่หนูแค่อยากช่วยอะไรได้บ้าง และบางทีถ้าหากพอจะได้รู้ว่าเขาทำลายล็อกเก็ตนั่นยังไง -”

    “เธอทำได้ดีแล้วน่า” เธอให้กำลังใจ “ทุกอย่างกำลังไปได้สวย กระทรวงควบคุมสถานการณ์ได้รวมถึงฮอร์ครักซ์ชิ้นอื่นก็ถูกทำลายแล้ว อย่าเข้าใจผิดล่ะ พวกเราสามารถทำมันได้ -”

    “ได้ดีกว่านี้มากค่ะ” เธอถอนหายใจพลางปัดลอนผมที่ระใบหน้าออก “หนูควรจะได้ไปกับพวกเขา -”

    “ความสามารถของเธอเหมาะจะอยู่ช่วยมักกอนากัลที่ฮอกวอตส์ที่สุดแล้วน่า” ท็องส์บอก “พวกหนุ่ม ๆ ที่อยู่ทางนั้นก็กำลังทำงานที่เหมาะสมกับพวกเขา อีกทั้งภาคีก็เห็นตรงกันว่าเธอควรจะอยู่ในที่ที่เราสามารถตามหาเธอได้ -”

    “เข้าใจค่ะ” เธอนิ่วหน้าอย่างเหนื่อยใจขณะยกมือขึ้นนวดดวงตา “หนูแค่ไม่แน่ใจว่าตัวเองมีประโยชน์กับที่นี่มากแค่ไหน เหมือนทุกอย่างที่ทำได้ก็เพียงแค่จัดงานเลี้ยงเต้นรำและงานของประธานนักเรียนที่ตอนนี้ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ”

    “อย่าโกรธมักกอนากัลที่ยังอยากจะทำเรื่องนั้นเลย” คนฟังกล่าวแล้วยักไหล่ “งานเลี้ยงคริสต์มาสอาจจะดีกับเธอก็ได้ อย่างที่เคยบอกฉันว่างานนั่นมันสนุกแค่ไหนไง แล้วคราวนี้มีพวกบัลแกเรียมาขอไปงานเต้นรำหรือยัง ?”

    เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงแก้มที่กำลังตึงไปด้วยรอยยิ้มของตัวเอง “ไม่ค่ะ ไม่ใช่พวกบัลแกเรีย” เธอพึมพำ “แต่เป็นไมเคิลที่มาขอให้หนูไปกับเขา”

    “ไมเคิลนั่นใครกัน ?”

    “ไมเคิล คอร์เนอร์” เธออธิบายพลางเดาะลิ้น “แต่หนูคิดว่าเขาแค่ขอไปเพราะเราเป็นประธานนักเรียนเหมือนกัน ซึ่งก็หวังว่ามันจะเป็นเหตุผลนั้นจริง ๆ”

    “ทำไมล่ะ ?” ท็องส์เลิกคิ้วถาม “นายนั่นเป็นพวกงี่เง่าเหรอ”

    “เปล่าค่ะ เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง” เฮอร์ไมโอนี่บอก “แต่หนู -”

    “ชอบคนอื่นอยู่ว่างั้น”

    เดรโกน่ะ...

    เฮอร์ไมโอนี่รีบเงยหน้าขึ้นสบตาท็องส์ด้วยความตระหนกที่ล้นในอก “อ - อะไรนะคะ ?” เธอพูดตะกุกตะกัก “หมายความว่ายังไงนะคะ”

    “รอนไง” แม่มดยิ้มพรายอย่างรู้ทัน “เราเห็นกันหมดที่งานแต่งงานนั่น และเธอก็บอกเองว่าเธอชอบเขา”

    “อ๋อ รอน” เฮอร์ไมโอนี่หายใจโล่ง “ใช่ - ใช่ แน่นอนค่ะ”

    “เป็นอะไรหรือเปล่า เฮอร์ไมโอนี่ ?” ท็องส์ถามด้วยความห่วงใย

    “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอพึมพำอย่างไม่มั่นใจ “หนูแค่ไม่ค่อยคุ้นกับเตียงเท่านั้น ก็เลยนอนไม่หลับ”

    จริง ๆ ในทางเทคนิคก็คงเรียกว่าการโกหกไม่ได้ แน่นอนว่าเธอตื่นอยู่แทบจะทั้งคืน เธอเอาแต่เฝ้ามองนาฬิกาบอกเวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า หวังเพียงว่าจะมีสักวินาทีที่เสียงแจ้งเตือนของมันจะดังขึ้น มันค่อนข้าง...ประสาทเสียกับการต้องนอนลงบนเตียงที่รู้อยู่ในใจว่าไม่มีเขาอยู่ที่ห้องอีกฝั่ง และนั่นทำให้ความคิดของเธอเอาแต่หมุนวนอยู่รอบเรื่องของเขาตั้งแต่อาทิตย์ตกยันย่ำรุ่ง

    แม้ว่าจะมีท็องส์อยู่อีกด้านของประตูแต่เธอกลับรู้สึกเปล่าเปลี่ยว และเอาแต่คิดว่าเดรโกจะผ่านค่ำคืนอันเงียบเหงาที่หอคอยไปได้ยังไง หลังจากที่เขาพยายามจะหนีออกไปตอนที่เธอไปอยู่กับจินนี่ เธอก็เริ่มคาดหวัง...บางอย่าง แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเขาก็คงอยู่ได้เพราะนาฬิกาของเธอก็ยังเงียบสนิท ถึงมันจะคอยกวนใจเธออยู่เรื่อย ๆ ก็ตาม

    หลังจากเรียนเสร็จแล้ว วันนี้เธอว่าจะแวะกลับไปดูเดรโกสักหน่อยแต่พอภาพตอนที่เธอพยายามจะจูบเขามันฉายวาบกลับมา เธอก็ได้แต่ปล่อยให้มันกลายเป็นเพียงความคิด เมื่อกินข้าวเที่ยวและเดินเล่นไปรอบฮอกส์มี้ด - ที่สัญญาณของวันคริสต์มาสเริ่มเปล่งประกายไปทั่วแล้ว – เธอกับท็องส์ก็ได้มีโอกาสคุยกันเรื่องสงครามและเรื่องอื่น ๆ อีกสองสามเรื่อง แต่เธอไม่ได้มีสมาธิกับมันเลย ใจเธอมันชอบลอยไปหาเดรโก

    “รอนกับหนูไม่ได้คบกัน คุณรู้ใช่ไหมคะ” เธอบอกท็องส์เพื่อแก้ต่าง “เราเป็นเพื่อนกันเท่านั้น”

    มือปราบมารขมวดคิ้ว “เธอไม่ได้ชอบเขาเหรอ เฮอร์ไมโอนี่ นี่ฉันคิดว่า -”

    “หนูเคยคิดว่าเป็นแบบนั้นค่ะ” หญิงสาวสารภาพ “แต่สุดท้ายหนูคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันมันดีแล้ว หนู...ไม่ได้ชอบเขาในแบบที่ควรจะเป็น”

    ท็องส์หัวเราะคิกแล้วลูบหลังแม่มดสาวอย่างเอ็นดู “ก็ไม่มีใครบังคับให้เธอต้องชอบรอนสักหน่อยนี่ ถ้าไม่ชอบ ก็แค่ไม่ชอบ -”

    “คุณกับรีมัสเคยถูก...วิพากษ์วิจารณ์เยอะไหมคะตอนที่คบกัน” เธอตั้งคำถามอย่างระวัง “เพราะว่าพวกคุณอายุต่างกัน”

    “หลายคนก็ด่วนตัดสินกันไปต่าง ๆ นานา” ท็องส์พูดพลางหยุดคิด “รีมัสรู้สึกกวนใจมากกว่าฉัน แต่ก็ใช่ คำพูดจากพวกวัน ๆ ไม่มีอะไรทำก็ค่อนข้างกวนใจเราทั้งคู่นั่นแหละ”

    “แล้วคุณเกิดคำถามกับความรู้สึกของตัวเองบ้างไหมคะ”

    ท็องส์ถอนหายใจแล้วเคาะเข่าขณะที่ใช้ความคิด “ฉันรู้ว่าคนพวกนั้นไม่มีทางมองว่ามันเป็นเรื่องปกติ” เธอยอมรับหลังจากนั้น “เรื่องนี้มันคงง่ายขึ้นถ้าหากฉันคบกับคนที่อยู่ไล่เลี่ยกัน แต่ในความเป็นจริงเราเลือกไม่ได้หรอก เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว”

    เฮอร์ไมโอนี่เอียงคอแล้วส่งยิ้ม “แล้วมันคุ้มค่าไหมคะ” เธอถาม “ทั้งเรื่องความไม่เหมาะสมและ -”

    “แน่ซะยิ่งกว่าแน่เลยล่ะ” เธอพูดเสียงดัง “ดูสิ ในขณะที่เราอยู่ท่ามกลางสงครามแถมยังมีลูกน้อยกำลังเติบโตในท้องฉัน ขี้ปากของพวกช่างจ้อน่ะเป็นเรื่องที่ควรกังวลเป็นอย่างสุดท้ายเลยไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง ถ้าฉันปล่อยให้เรื่องพวกนั้นมาทำให้ฉันต้องเลิกรู้สึกกับรีมัส ฉันคงรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต”

    สาวผมแดงเผลอกัดปากแล้วส่งเสียงเออออที่เต็มไปด้วยความคิด “เพราะเราไม่รู้ว่าโลกนี้จะจบสิ้นวันนี้หรือพรุ่งนี้ การใช้เวลาทำอะไรที่อยากทำคงเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว”

    “นั่นก็มองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย” ท็องส์ขยิบตา “แต่ก็ถูก ชีวิตเรามันสั้นจะตาย ว่าแต่ทำไมล่ะ เธอไปชอบใครเข้า เจ้าเด็กแผลเป็นนั่นไม่อนุญาตหรือไง เฮอร์ไมโอนี่”

    เธอบิดปาก “ก็ประมาณนั้นค่ะ”

    “ฉันรู้จักเขาไหม ?”

    หลานคุณนั่นแหละค่ะ

    “ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้า “เขาก็แค่...เด็กปีเดียวกัน แต่แฮร์รี่กับรอนไม่ค่อยชอบเท่าไหร่” อันนี้ไม่ได้โกหกนะ

    “เดี๋ยวพวกนั่นก็เข้าใจน่า” ท็องส์ส่งกำลังใจพลางโบกมือ “แล้วเขาเป็นคนยังไง ?”

    เฮอร์ไมโอนี่หยุดคิดเพื่อเรียบเรียงคำพูด ท็องส์เป็นคนที่ไว้ใจได้และมักจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้เธอคายความลับออกมาได้เสมอ แต่ตอนนี้เธอต้องระวังว่าจะพูดออกไปได้แค่ไหน

    “ก็นิสัยไม่ดีค่ะ” เธอเกริ่นอย่างตรงไปตรงมา สังเกตเห็นว่าดวงตาของท็องส์กำลังฉายแววขบขัน “นิสัยเสียแก้ไม่ได้ เข้าใจยาก แถมยังไม่ค่อยฟังหนูพูด -”

    “นั่นก็ดูปกติสำหรับพวกผู้ชายนะ -”

    “เขาเป็นคนหยาบคาย” เฮอร์ไมโอนี่ยังคงพูดต่อ “จองหอง ใจร้ายแล้วก็ยังเย็นชา -”

    “ก็ยังปกตินะ -”

    “บางครั้งก็ชอบทำให้หนูโมโหจนแทบอยากจะสาปเขาให้ลอยไปอีกทวีปเลย!

    ท็องส์เริ่มหัวเราะออกมาแล้วเริ่มสำรวจใบหน้าแม่มดสาวด้วยรอยยิ้มขบขัน “แต่ว่า ?”

    เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายแล้วเริ่มรู้สึกว่าขอบตากำลังร้อนขึ้น “แต่ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนดีค่ะ” เธอกระซิบหงอย “ดูแย่ไปหมดแถมยังร้ายกาจ แต่มันมีบางอย่างที่บอกกับหนูว่าลึก ๆ แล้วเขาเป็นคนดี ซึ่งหนูก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าคืออะไร”

    การเล่าเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังมันทำให้รู้สึกแปลกและดีไปพร้อมกัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดออกไปทั้งหมด เธอพยายามไม่ลงรายละเอียดเลวร้ายของเพื่อนร่วมห้องจากสลิธีรินของเธอ คนที่เป็นเสมือนพี่สาวมองเธออย่างเข้าอกเข้าใจขณะที่ยกมือขึ้นทัดผม เธอดูจะพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    แต่ถ้าหากคุณรู้ว่า...

    “แล้วรู้ไหมว่าเขาคิดยังไงกับเธอ”

    เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้าแล้วก้มหน้า “เขาบอกว่าเขาเกลียดหนู -”

    “แล้วเคยจูบกันไหม” ท็องส์ซักอย่างตรงไปตรงมา

    นาทีนั้นแก้มคนฟังก็ร้อนผ่าว “ก็ครั้งสองครั้งค่ะ” เธอพูดอ้อมแอ้ม “แต่ว่ามันเป็นเพราะ...เราหุนหันพลันแล่นกันไปหน่อยและมันก็ไม่ได้ลึกซึ้งนัก -”

    “ใครเป็นคนจูบใครล่ะ”

    “ก็” เฮอร์ไมโอนี่อึกอัก “หนู...หนูเป็นคนเริ่ม แต่เขาก็จูบหนูอีกสองครั้งหลังจากนั้น”

    รอยยิ้มขี้เล่นเหยียดขึ้นบนใบหน้าของท็องส์อีกครั้ง “ฟังดูมีหวังอยู่นะ”

    “ไม่เลยค่ะ” เธอตอบพลางย่นจมูกด้วยความผิดหวังที่ชัดเจนภายในใจ “มันเข้าใจยากกว่านั้น ครั้งสุดท้ายที่หนูพยายามจูบเขา เขาผลักหนูออก และหนูก็ไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วหนูชอบเขาไหม มัน...เป็นความรู้สึกบางอย่างที่...”

    เสียงของเธอขาดหาย ท็องส์พยักหน้าให้เธอพูดต่อ “พูดต่อเถอะ” เธอบอก “เธอบอกฉันได้ทุกเรื่องนะ”

    “มันเป็นบางอย่างที่ทำให้หนู...เจ็บ” เธอพูดจนจบด้วยเสียงสั่นเครือ “เขามี...มีกำแพงที่หนูคิดว่าคงไม่อาจจะข้ามผ่านไปหาเขาได้ หนูพยายามแต่ทุกครั้งที่หนูคิดว่าหนูขยับเข้าไปอีกก้าวแล้ว เขาก็ทำลายความเชื่อนั้นลง หนูไม่รู้แล้วว่าจะยังมีแรงที่จะไปต่ออีกไหม -”

    “เฮอร์ไมโอนี่ -”

    “หนูยังคงมองเห็นสิ่งดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา” เธอพยายามพูดต่อแม้ว่าน้ำตาจะค่อย ๆ เอ่อท้นที่ขอบตา “และหนูคิดว่านั่น...นั่นคือที่สิ่งทำให้หนูรู้สึกดีกับเขา แต่หนู -”

    “เฮอร์ไมโอนี่” ท็องส์พูดแทรกอีกครั้ง “ไม่เป็นไรนะ ฟังดูเหมือนเขาอาจจะกำลังสับสน เดี๋ยวเขาก็จะเริ่มเข้าใจมันเอง”

    “แต่ถ้าหากว่า -”

    “แค่ทำในสิ่งที่อยากทำน่า ที่รัก” เธอแนะนำเสียงเนิบ และนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่นึกถึงคำพูดคล้ายกันที่เขาเพิ่งบอกกับเดรโก “จิบชาก่อนเข้านอนกันหน่อยไหม ?”

    “เปลี่ยนเป็นช็อคโกแลตร้อนได้ไหมคะ”

    ---

    เดรโกนั่งอยู่บนพื้นกระดานอันเย็นเยียบเหม่อมองเศษซากลูกแก้วหิมะของเฮอร์ไมโอนี่อย่างเหม่อลอย เขาไล่มือไปตามชิ้นส่วนแตกหักอย่างกระอักกระอ่วนใจ ก่อนจะส่งเสียงผ่านไรฟันเมื่อหยดเลือดสีทับทิมหยดจากปลายนิ้ว เขามองเลือดของตัวเองอย่างพิจารณาและความหนาวสะท้านก็แล่นผ่านสันหลัง เมื่อเขานึกถึงเรื่องในห้องน้ำที่เลือดมันไหลออกมามากกว่านี้มาก และไม่ใช่เพียงแค่เขา

    แต่เกรนเจอร์เองก็เหมือนกัน

    เขานึกโทษเหตุการณ์นั้นที่มันนำมาซึ่งเรื่องราวอีกมากมาย และยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องมาติดอยู่กับความรู้สึกแปลก ๆ กับการไม่มีเธออยู่ มันสะท้อนความจริงที่ว่าเกรนเจอร์เป็นคนแบบที่เขาชอบ ทั้งความฉลาด ไหวพริบ ความแข็งแกร่ง และบางอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ได้ เธอเป็นคนที่...น่าสนใจคนหนึ่ง

    ถ้าหากฉันเป็นเลือดบริสุทธิ์คนหนึ่งและนิสัยก็เป็นแบบนี้ นายจะยังปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นเช้านี้อยู่อีกไหม?

    ตั้งแต่เธอไม่อยู่ภายในสมองของเขาก็ท่วมท้นไปด้วยคำพูดของเธอ ทุกประโยคที่ทำให้อคติที่เขามีมันสั่นสะเทือนไปทั้งกะโหลก แต่ถ้อยคำของครอบครัวก็ยังคงกระซิบผ่านสายลมกลับมาหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ สิ่งที่เขาเคยยึดมั่นตอนนี้มันค่อย ๆ จางไปพร้อมกับหัวใจของเขาที่กำลังโลเล เขาอยากจะโยนความผิดทั้งหมดนี้ให้เธอ แต่เขาก็ต้องยอมรับความบางทีก่อนหน้านี้มันอาจจะมีรอยแยกบางอย่างในความเชื่อของเขาอยู่แล้ว ถึงมันจะไม่ได้ทำให้เขาคล้อยตามคำพูดเธอได้ง่ายขึ้นแต่มันก็คงมีผลมากพอให้เขาเริ่มเก็บคำพูดของเธอมาคิดมากขึ้น

    นายเป็นมนุษย์คนหนึ่งเดรโก และนายมีสิทธิ์ที่จะทำผิดพลาด ซึ่งฉันเกลียดนายแค่เพราะเรื่องนั้นไม่ได้หรอก

    เขาหลับตาแน่น ความผิดพลาด...หอคอยดาราศาสตร์ เขาเริ่มสงสัยว่าถ้าหากเขามั่นใจว่าโวลเดอมอร์และสิ่งที่เขาเชื่อมันถูก ภารกิจนั้นคงสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้เขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจ...

    จะสลิธีริน กริฟฟินดอร์ เลือดบริสุทธิ์ เลือดสีโคลน สิ่งเหล่านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นใคร ไม่สามารถบงการชีวิตเราได้หรอก

    สำหรับเธอมันคงพูดง่าย แต่พอเป็นเขาที่ต้องแบกรับความคาดหวังภายใต้นามสกุลที่น่าอับอายนี้ เธอคงจินตนาการไม่ออกว่ามันกดดันมากเพียงใด เขามั่นใจว่าพอตเตอร์คงได้เล่าเรื่องที่เขาประสาทเสียอยู่ในห้องน้ำเมื่อเทอมก่อน แต่สิ่งที่เขาไม่ได้บอกและคงไม่รู้ก็คือนั่นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวของความวุ่นวายที่เขาต้องเจอ ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาต้องเสกคาถาเงียบเสียงเพื่อให้ตัวเองได้กรีดร้องออกมา เบลสกับแพนซี่เองก็เคยได้เห็นความอ่อนแอของเขาเพียงบางครั้งเท่านั้น ไม่มีใครเคยเห็นความรู้สึกที่พังทลายของเขา กระทั่งก่อนการรับมอบหมายภารกิจ บางครั้งเดรโกก็ได้แต่มองตัวเองที่สะท้อนจากในกระจกและเฝ้าสงสัยว่าชีวิตที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังนั้นมันหนักเกินไปสำหรับเขาหรือเปล่า

    ทำไมต้องทำตัวแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ที่นี่ก็มีแค่ฉันกับนาย

    นั่นเพราะถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้อีก เขาถูกพรากไปทั้งทรัพย์สิน เวทมนตร์ และสถานะทางสังคม ถ้าหากเขายังจะละทิ้งสิ่งที่เขาพยายามสร้างมาตั้งแต่แรก คราวนี้เขาคงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

    แต่บางคนมันเกินกว่าจะเปลี่ยนได้ เกรนเจอร์

    และนั่นไม่ใช่นาย

    “แม่งเอ้ย” เขาโอดครวญแล้วซบหน้าลงบนฝ่ามือ

    นายบอกให้ฉันอยู่ด้วย ฉันเอง...ก็อยากอยู่

    เขาไม่เคยจูบใครแบบนั้นมาก่อน มันเหมือนความกบฏได้ระเบิดออกแล้วปลดปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระ เขาเคยระวังที่จะจูบและคิดว่าเขาไม่ควรที่จะสัมผัสเธอเสียด้วยซ้ำ แต่ในขณะนี้เขากลับอยากปัดทิ้งทุกเงื่อนไขที่เคยมี และเมื่อพิจารณาให้ดีอีกครั้ง ในตอนนี้เขาอาจจะละทิ้งทุกเงื่อนไขนั้นเป็นที่เรียกร้อยแล้ว มันไม่มีใครมาคอยตำหนิในสิ่งที่เขาคิดเพื่อตัวเองอีกแล้ว ซึ่งมันทำให้เขารู้สึก...

    แค่ทำในสิ่งที่นายรู้สึกว่ามันถูกต้อง

    รู้สึกอันตรายเกินไป แต่ก็ดึงดูดใจอย่างไม่อาจต้านทาน

    ความจริงที่น่าสมเพชกำลังตอกย้ำว่าเขาคิดถึงเธอ ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่ทำให้เขาละความสนใจจากสิ่งอื่น แต่เขาคิดถึงเธอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คิดถึงเสียง คิดถึงสำนวนการพูด คิดถึงการเถียง...คิดถึงทุกอย่าง พรุ่งนี้เธอก็จะกลับมาแล้วแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าตอนไหน แต่เขาคิดว่าอาจจะเป็นช่วงเช้าดังนั้นเขาจึงตัดสินใจนอนลงบนเตียงของเธออีกครั้ง ถึงมันจะเสี่ยงและคงสร้างความสั่นสะเทือนให้กับทิฐิของเขาได้อีก

    แต่มันกลับรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว

    ---

    ท็องส์ออกเดินทางช่วงแปดโมงเช้า และเฮอร์ไมโอนี่ก็เตรียมตัวพร้อมที่จะกลับไปยังโรงเรียน ก่อนที่เหล่านักเรียนจะเริ่มตื่นจากวันหยุดอันแสนเกียจคร้าน ความกังวลทำให้เธอเผลอขบริมฝีปากล่างจนเลือดซิบ เธอจึงเลี่ยงเดินไปยังห้องน้ำพรีเฟ็คเพื่อรักษาแผลก่อน บางทีเธออาจจะแค่ถ่วงเวลา เพราะที่หน้ากระจกเธอไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายืนมองเงาสะท้อนของตัวเอง และเริ่มคิดหากลยุทธ์ที่จะรับมือการเผชิญหน้ากับเดร หลังจากเธอได้ทำเรื่องน่าอับอายไปเมื่อสองวันก่อน

    เมื่อพบว่าตัวเองใช้เวลาที่นี่นานเกินไปแล้ว เธอจึงเดินตรงกลับไปยังหอนอนทันที เธอใช้เวลาลังเลอยู่หน้าประตูครู่ใหญ่ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วกระซิบรหัสผ่าน เมื่อเข้ามาด้านในก็มีเพียงความเงียบที่ต้อนรับเธอ แต่ในที่สุดสายลมก็พัดประตูปิดกระแทกจนเกิดเสียงดังขึ้นแทน

    บ้าเอ้ย...

    เธอยืนตัวแข็งทื่อเมื่อหูได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากอีกฝั่งของหอนอน เสียงนั่นมันดังขึ้นผิดจากที่ควรจะเป็น มันเหมือนจะดังมาจากห้องของเธอ แค่เพียงอึดใจก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นประตูห้องของเธอก็เปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมของสลิธีรินหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าเดรโกเพิ่งจะตื่นนอน ดูจากเส้นผมที่ยุ่งเหยิงและใส่เพียงเสื้อกั๊กกับกางเกงนอนตัวหลวม แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นก็คือแววตาวาววับของเขา

    เขายืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งจ้องมาที่เธอราวกับไม่เชื่อว่าเธอกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เฮอร์ไมโอนี่พาตัวเองออกจากภวังค์และโทสะก็เข้าแทนที่ แล้วจึงรีบจ้ำเท้าตรงไปหาเขา

    “นายนอนในห้องฉันงั้นเหรอ ?”

    “ใช่ไง” เขาแค่นเสียงแล้วถอนเท้าให้มีระยะห่างระหว่างพวกเขา

    “แล้วเข้าไปได้ยังไง -”

    เดรโกไม่ฟังเสียง ฝ่ามือแกร่งประคองใบหน้าของเธอแล้วประทับจูบล้ำลึกบนริมฝีปากของเธอ เขาทอดลมหายใจสั่นไหวสู่ปากของเธอ โดยไม่ได้สนใจว่าอีกคนจะตัวแข็งทื่อและไม่ตอบสนองอย่างไร เขาเพียงทำต่อไปตามสัญชาตญาณ เพียงไม่นานเขาก็ถอนจูบหากแต่ยังคงกอดเธอเอาไว้แนบกาย ปล่อยให้ลมหายใจแผ่วของเธอเป่ารดคาง เขากอดเธอเอาไว้นิ่งนานขณะที่กัดกรามและยังคงหลับตา เขาเฝ้ารอการปฏิเสธของเธอด้วยหัวใจที่สั่นไหว แต่เธอกลับเอียงใบหน้าเข้าหาเขาอีกครั้ง

    ท่าทางของเธอดูกระดากอายแต่นั่นก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว ร่างสูงกว่าผลักเธอเข้าติดกับประตูแล้วเริ่มดูดกลืนสัมผัสของเธอ การเคลื่อนไหวของเขาลึกล้ำ ดูดดื่มและเกือบจะดุร้าย เขาล่วงล้ำเข้าหาเธออย่างละโมบและไม่มีร่องรอยของการหยุดพัก เฮอร์ไมโอนี่ไล่ตามจังหวะของเขาด้วยการสอดรับเรียวลิ้นของเขาเป็นอย่างดี ความประหม่าแล่นผ่านฝ่ามือสั่นระริกที่เริ่มจิกเกร็งเข้ากับแขนของเขา ฝ่ามือนั้นค่อย ๆ เคลื่อนไปไปตามพวงแก้ม สอดประคองเรือนผมสีกาแฟ หลอกล่อเสียงครางแผ่วเบาให้ดังออกจากริมฝีปากที่เขากำลังครอบครอง เสียงแผ่วเบานั้นดังเพียงพอให้กล้ามเนื้อใต้หน้าท้องเริ่มรัดตึง

    เขากดตัวเข้าหาเธอมากขึ้น ให้ใกล้เธอมากที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เพื่อสัมผัสเธอให้ลึกที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถสัมผัสได้ ก้านนิ้วเรียวเลื่อนไล้ผ่านลำคอ สู่ลาดไหล่บาง เรื่อยไปจนถึงชายโครงเพื่อประคองให้เธออยู่ในตำแหน่งที่เขาต้องการ เขาคำรามในลำคอเมื่อเธอใช้เล็บค่อย ๆ ไล้ไปตามเส้นผมของเขา ลูบเรื่อยไปจนถึงจุดอ่อนไหวที่สันหลัง สัมผัสของเธออ้อยอิ่งหากแต่ทำให้เขาสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาแลกเปลี่ยนลมหายใจร้อนระหว่างกันและกันเนิ่นนานหากแต่เดรโกยังคงไม่ตัดสินใจจะหยุดมัน เขายังคงต้องการเธอ เขากระหายในตัวเธอเหลือเกิน

    เขาถอนปากออกแล้วเคลื่อนลงไปจนถึงลำคอ รู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอเอนหลังและแอ่นตัวขึ้นพร้อมกับทอดลมหายใจอย่างพึงใจ ฝ่ามือกระชับต้นแขนของเธอแน่นขึ้นเมื่อพบว่าจุดที่ปลุกกระตุ้นเธอได้ดีที่สุดคือบริเวณใบหูที่เขาเพิ่งลากริมฝีปากผ่าน เขาแทบจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังสูบฉีดเลือดของเธอผ่านสัมผัสจากปลายลิ้นของเขาเอง

    “บอกให้ฉันหยุดสิ” เขากระซิบผ่านผิวของเธอ แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

    เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแต่ไม่มีคำไหนหลุดออกมาเพื่อบอกให้พวกเขาแยกจากกัน การสูญเสียความควบคุมให้กับแรงดึงดูดมหาศาลเป็นเรื่องใหม่เกินกว่าเธอจะสามารถจัดการมันได้ เธอรู้ดีว่าเขากำลังปลดเสื้อคลุมของเธอออก แต่เสียงกระซิบที่สมองสั่งให้เธอหยุดเขามันดังไกลเกินกว่าที่เธอจะได้ยิน สิ่งที่เธอได้ยินมีเพียงเสียงเสื้อคลุมที่ร่วงลงสู่พื้นหอนอนก่อนที่เขาจะเคลื่อนริมฝีปากกลับมาครอบครองเธอไว้อีกครั้ง ฝ่ามืออุ่นของเขากำลังเคลื่อนเข้าสู่ผิวใต้เสื้อของเธอ ในขณะที่ฝ่ามืออ่อนแรงข้างหนึ่งของเธอเลื่อนลงพักไว้กับหน้าอกของเขา ส่วนอีกข้างยังคงลากวนระหว่างลำคอและไหปลาร้า

    “บอกให้ฉันหยุด” เขาพูดลอดไรฟัน แต่คราวนี้กลับเร่งร้อนและเริ่มประคองสันกรามเธอไว้อย่างถนัดมือ

    มืออีกข้างเคลื่อนขึ้นไปสูงขึ้นจนกระทั่งในที่สุดนิ้วหัวแม่มือก็สัมผัสได้ถึงชิ้นผ้าปราการสุดท้ายที่ปกป้องเธอเอาไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ เคลื่อนลงมาจนถึงหน้าท้องและทำให้เขายิ่งรู้สึกตึงแน่นมากขึ้นเมื่อเธอยังคงเคลื่อนลงเรื่อย ๆ และนั่นเองที่ความจริงก็กลับมากระชากเขาอีกครั้ง

    “บอกให้ฉันหยุด!” เขากรีดเสียงแล้วผละออกจากเธอสองสามก้าว

    เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าเป็นอีกครั้งที่แข้งขาของเธอไร้เรี่ยวแรงไปหมด เพียงอึดใจเดียวทั้งร่างก็เซกลับไปซบที่ประตู เธอช้อนตาขึ้นมองเดรโกแน่วแน่หากแต่เต็มไปด้วยความวิตก เขาดูแหลกสลายและเหนื่อยอ่อนราวกับได้ใช้พลังงานทั้งหมดไปกับสัมผัสที่มีต่อเธอ เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นแล้วสบตาเธอ ดวงตาทั้งคู่มีเพียงความตกใจ

    “ทำไมถึงไม่บอกให้ฉันหยุด” เขาคำรามกร้าว “โง่หรือไงเกรนเจอร์ คิดว่ามันปกติหรือไง”

    เธอตัวสั่น “ฉันไม่ -”

    “รู้ไหมว่าที่นี่มันปั่นหัวฉันได้ยังไง” เขาถามเสียงเย็น “เธอทำอะไรกับฉันกันแน่”

    “เดรโก ได้โปรด -”

    “ดูฉันสิ!” เขาตะคอก “ฉันไม่มีทางเป็นแบบนี้! จนตรอกที่จะออกไปเอากับใครจนฉันต้องมาแตะต้องตัวเลือดสีโคลนที่ยังเวอร์จิ้น -”

    “นี่นายกล้าเรียกฉันว่าอย่างนั้นได้ยังไง!” เธอพูดอย่างโมโห

    “คำไหนล่ะ” เขาโต้กลับ “จะบอกว่ามีใครสักคนเคยผ่านเข้าไปในหว่างขาเธอหรือไง” เฮอร์ไมโอนี่กระดากใจจนไม่อาจพูดอะไรออกมา ในขณะที่เดรโกรู้สึกถึงความรู้สึกหึงหวงที่กำลังกระหน่ำแทงเขาไม่หยุด “ให้เดานะ” เขาเหยียดยิ้มเหี้ยม “วีสลีย์งั้นเหรอ ?”

    “นั่นมันไม่เกี่ยวกับนาย -”

    “ตอนนี้มันเกี่ยวแล้ว!

    “เพราะอะไร” เธอถามกลับอย่างใจกล้าแล้วยืดไหล่ขึ้น “นายก็ทำให้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วนี่ ว่ามันเป็นแค่...ความผิดพลาดที่อยู่ดี ๆ ก็พยายามจะมาเอาฉันน่ะ!

    เขาชะงักกับคำพูดหยาบคายของเธอแต่ยังคงพยายามรักษาใบหน้าที่บูดบึ้งเอาไว้ “แล้วเธอคาดหวังอะไรวะเกรนเจอร์ ไอ้ความยึดมั่นในเลือดสีโคลนของเธอมันจมหายไปไหนหมดแล้วล่ะ ?”

    “ฉันรู้ว่ามันหายไปบ้างแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “นายเองก็คงรู้เหมือนกัน -”

    “ทำไม ฉันจะต้องเปลี่ยนเพื่อเอาใจหรือไง -”

    “มันไม่ใช่การเปลี่ยนตัวเอง!” เธอแย้งเสียงดัง เธอโกรธมาก โกรธเกินกว่าจะร้องไห้ออกมา “มันคือการที่นายค้นพบตัวเอง!

    “อย่ามาเสียเวลาทำตัวกริฟฟินดอร์ใส่ฉันนักเลย -”

    “นายมีความสุขไหม เดรโก” เธอถามอย่างตั้งความหวังขณะที่พยายามขยับตัวเข้าหาเขาอีกนิด “นายเคยได้ทำอะไรที่นายอยากทำจริง ๆ ไหม นายได้ใช้ชีวิตอย่างที่นายอยากทำไหม นายเคยทำอะไรสักอย่างที่รู้สึกว่ามันถูกต้องสำหรับนายหรือยัง ?”

    เขาชะงักกับคำถามของเธอ ภายในสมองของเขากำลังไล่เรียงภาพความทรงจำมากมายเพื่อตามหาคำตอบให้คำถามของเธอ แต่เพียงความทรงจำเดียวที่เขาพอจะหยิบยกมันขึ้นมาได้ก็มีเพียงคืนนั้น ที่เธอหลับอยู่บนตักเขา และอาจจะรวมถึงตอนนี้ที่เขาเพิ่งจะดื่มด่ำรสสัมผัสของเธอ ในขณะที่เมื่อคิดถึงก่อนหน้านี้...มันกลับเต็มไปด้วยความมืดมิด มันมีเพียงความเกลียดชังที่มีต่อสายเลือดของเธอซึ่งทำให้เขาไม่อาจได้ทำตามสิ่งที่ใจปรารถนา

    “มองตาฉัน” เธอพูดเสียงอ่อนแล้วก้าวเข้ามานั่งลงข้าง ๆ เขา “มองตาฉัน แล้วบอกมาว่านายยังคงเชื่อว่ามักเกิ้ลเป็นพวกต้อยต่ำ และฉันเองก็น่ารังเกียจ”

    เขาเปิดปากออกหวังจะไล่เรียงถ้อยคำร้ายกาจมากมายออกมาหยามเกียรติเธอ แต่ในที่สุดเขาก็ไม่อาจทำมันได้ลง ซัลลาซาร์รู้ดีว่าเขาอยากทำมันใจแทบขาด แต่เธอดูสมบูรณ์แบบเกินไป – เกินกว่าที่เขาจะแสร้งว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงได้ ทั้งริมฝีปากที่เจ่อขึ้นเล็กน้อยและเส้นผมที่ยุ่งเหยิง มันก็ยังไม่อาจทำให้เขารู้สึกอะไรกับเธอได้นอกจากความสมบูรณ์แบบ

    ไม่ ไม่มีทาง

    “ปล่อยฉันอยู่คนเดียวเถอะ” เขาพึมพำขึ้นแทน หวังว่าเสียงของเขาจะฟังดูคุกคามหรืออะไรสักอย่างแม้ว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้นไหมก็ตาม เธอเอียงตัวเข้ามาใกล้แล้ววางมือบนบ่าซึ่งทำให้เขารู้สึกร้อนวาบ “อย่าแตะต้องตัวฉัน”

    เธอดึงมือกลับอย่างเก้กัง “นาย - นาย...ชอบจูบฉันไหม เดรโก” เธอพูดติดขัด

    ชอบสิ...

    “เหมือนถามว่าฉันอยากทรยศครอบครัวฉันไหมเลยนะ” เขาตะคอกกลับ “งั้นถามฉันใหม่ว่าฉันจะทำมันไหมถ้าหากไม่มาติดอยู่ในนรกเวรนี่ -”

    “ฉันชอบจูบนายนะ” เธอสารภาพด้วยเสียงแผ่วเบาและสั่นระรัว “แต่ฉัน...ฉันกำลังเหนื่อยที่จะคอยพยายามเกลี้ยกล่อมให้นายเห็นว่าฉันเป็นใครสักคนที่นายไม่จำเป็นต้องเกลียดแล้ว -”

    “เธอต้องการอะไรเกรนเจอร์” เขาถาม

    “ไม่มากกว่าสิ่งที่นายจะทำได้หรอก” เธอบอกเขาอย่างอ่อนโยน “แต่ฉันอยากให้นายหยุดหลอกตัวเองและทำในสิ่งที่นายรู้สึกว่า -”

    “เธอจะไปรู้อะไร เธอจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรมันถูกต้องสำหรับฉัน” เขาตั้งแง่ “คิดว่าจูบโง่ ๆ ไม่กี่ครั้งจะทำให้ฉันเลิกคิดกับเธอและสายเลือดของเธอแบบนั้นได้งั้นเหรอ”

    เธอผ่อนลมหายใจอย่างท้อใจ “นายกับฉัน -”

    “เธอกับฉันมันไม่มีอะไรทั้งนั้น!” เขาค้านเสียงแข็ง “ฉันบอกแล้วไง! ฉันคงมีความต้องการมากเสียจนฉัน -”

    “ลดตัวมาแตะพวกเลือดสีโคลน” เธอจบประโยคให้เขา “นายรู้ไหม ว่านายชะงักทุกครั้งที่พูด”

    เขาชะงัก “ไม่ ฉันไม่ได้ -”

    “ใช่ มันเป็นแบบนั้นแหละ”

    น้ำเสียงมั่นใจของเธอเริ่มกระตุ้นความร้อนภายในตัวเขาอีกครั้งและก่อนที่เขาจะสามารถหยุดมันได้ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังพุ่งเข้าไปจูบเธออีกครั้ง แต่ความรู้สึกไม่น่าพิสมัยก่อนหน้านี้ยังคงแจ่มชัดจนเขาสามารถหยุดตัวเองเอาไว้ได้ทัน เดรโกปล่อยเธอให้เป็นอิสระพร้อมกับครวญเสียงดัง เขาพักหน้าผากไว้กับเธอแล้วผ่อนลมหายใจอย่างรุนแรงเมื่อต้องต่อสู้กับความอยากกระหายที่เขามี นี่เขามาไกลเกินไปแล้ว

    เฮอร์ไมโอนี่เฝ้ามองความกระวนกระวายของเขาแล้วรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ แต่ก็ปล่อยให้ตัวเองใจเย็นและพยายามทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด แต่เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเธอจะทำแบบนี้เพื่อเขาไปได้อีกนานแค่ไหน เมื่อความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้น เธอก็ตัดสินใจว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เธอจะให้เขา ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยการละทิ้งศักดิ์ศรีของเธอเพื่อช่วยเหลือผู้เสพความตาย แต่ขอเมอร์ลินช่วย เธอไม่อาจละทิ้งเขาได้

    “เดรโก” เธอกลั้นใจกระซิบ “มองฉันสิ” ดวงตาของเขาเหลือบขึ้นมองเธอขณะที่ฝ่ามือเล็กประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ “มันไม่เป็นไร” เธอบอก “ฉันรู้ว่า -”

    “เธอแม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง” เขาครวญแล้วสะบัดออกจากเธออีกครั้ง “เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าที่นี่มันปั่นหัวฉันยังไงบ้าง!

    “เดรโก -”

    “ฉันจะพูดแค่นี้นะเกรนเจอร์ เรื่องแบบนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก” เขาสัญญา คำพูดของเขาเด็ดขาดเสียจนเธอเองก็เริ่มเชื่อ “พอแค่นี้ -”

    “ได้เลย” เธอตอบแล้วลุกขึ้นยืนหลังตรง เธอหมดความอดทนแล้ว “ฉันก็จะไม่ทำอะไรแบบนี้แล้ว! ฉันไม่ควรจะต้องมาถูกนายทำแบบนี้ซ้ำ ๆ ด้วยซ้ำ! อยากทำอะไรก็ทำไปเลย เพราะฉันไม่สนใจแม่งแล้ว!

    “เออ สักที!” เขาตวาด “ดีใจนะที่เธอเข้าใจอะไรสักที ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นเถอะเกรนเจอร์ ฉันแค่อยากจะหาที่ระบาย และเธอเป็นแค่ตัวเลือกเดียว -”

    “ไปให้พ้นนะ!” เธอตะโกนใส่แล้วหยิบไม้กายสิทธิ์ออกจากกระเป๋า เธอรู้สึกว่าตอนนี้น้ำตาคงเตรียมพร้อมจะไหลออกมาแล้ว แต่เธอจะไม่ยอมให้เขาได้เห็นมัน “เดี๋ยวนี้!

    เขายังคงอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง เขามองเธอสลับกับไม้กายสิทธิ์ด้วยดวงตาร้อนรนแล้วจึงเดินหายกลับไปในห้อง แม่มดสาวตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ภายในอกหนักอึ้งพยายามจะสะกดกลั้นคลื่นน้ำตาที่พร้อมจะทะลักทลายออกมา แต่ในที่สุดมันก็เกินความสามารถ เธอร่ายคาถาเงียบเสียงก่อนจะลงไปนั่งกองกับพื้นแล้วปลดปล่อยความเจ็บปวดทั้งหมดภายในจิตใจออกมาเป็นหยาดน้ำตาที่พร่างพรู เธอร้องไห้หนักเสียจนรู้สึกถึงความร้อนที่เผาไหม้ภายในปอดและมันกำลังทำให้เธอเจ็บปวดไปทั้งอก

    มันไม่ควรจะทำให้เธอเจ็บได้ถึงขนาดนี้ เธอผ่านคำพูดร้ายกาจของเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทว่าจูบนั่น...

    มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่พาเธอโน้มน้าวตัวเองให้เปิดใจให้เขา และเขาก็ทุบทำลายมันจนแหลกสิ้น เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกเอาเปรียบและตกเป็นเครื่องมือ แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือเธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงไม่บอกให้เขาหยุด

    พอเถอะความดื้อรั้นแบบกริฟฟินดอร์ เธอพอแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×