NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #13 : Chapter 13 : Alone [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 65


                    เฮอร์ไมโอนี่แทบนึกไม่ออกเลยว่าเคยได้สัมผัสความอบอุ่นและสบายใจเช่นนี้มาก่อนหรือไม่

    ร่างเล็กผ่อนลมหายใจอย่างเกียจคร้านขณะที่เสียงเต้นภายในอกของชายหนุ่มยังคงดังแว่วอยู่ใกล้ ๆ จังหวะที่ขับกล่อมกำลังพาเธอผ่านเข้าสู่พิธีกรรมชำระล้างจากความฝันและความเป็นจริง กลิ่นหอมของเปปเปอร์มิ้นต์และความร้ายกาจของสลิธีรินกำลังล้อเล่นกับปลายจมูก ขณะที่เธอค่อย ๆ ตื่นจากฝันอันแสนหวานและเริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป

    เมื่อคะเนจากลมหายใจที่กำลังเป่ารดเส้นผมแล้ว เดรโกคงจะกอดเธอเอาไว้อย่างนี้ทั้งคืน เฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ ขยับตัวออกจากเขาอย่างอ้อยอิ่ง เพราะแม้ว่าความจริงการอยู่ในอ้อมกอดของเขาจะทำให้เธอรู้สึกดีจนอยากจะกอดเก็บความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้เนิ่นนาน แต่เมื่อคิดถึงการปฏิเสธและการทะเลาะกันแล้วเธอก็ได้แต่จำใจถอนตัวออกมา เธอคิดว่าคงจะเป็นการดีกว่าถ้าหากเธอรีบออกจากที่นี่ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อเลี่ยงสถานการณ์น่าอึดอัดใจระหว่างพวกเขา

    แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เธอไม่อาจต้านทานความต้องการของตัวเองได้เลย

    ร่างเล็กค่อย ๆ จุมพิตลงบนสันกรามของเขาแล้วจึงพาตัวเองออกจากอ้อมกอดนั้น

    เมื่อไร้ซึ่งสัมผัสของเขา รอบกายของเธอก็ถูกแทนที่เอาไว้ด้วยความหนาวเย็นและแสนเดียวดาย เธอขยับผ้าห่มให้เขาก่อนจะเฝ้ามองเขาอีกครั้งด้วยดวงตาอาวรณ์ แล้วจึงตัดสินใจออกจากห้องโดยที่ไม่ทันสังเกตว่าในอึดใจเดียวกันนั้นเอง ดวงตาสีซีดกำลังกระพริบเปิดขึ้น

    เดรโกเลื่อนนิ้วมือไปสัมผัสบริเวณที่ยังคงอุ่นไปด้วยจุมพิตของเธอแล้วใช้ดวงตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังของเธอที่กำลังห่างออกไป วินาทีนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาภายในสมอง เขาตรงไปที่ประตูได้ทันก่อนที่มันจะปิดลง ร่างสูงเอียงคอผ่านช่องระหว่างบานประตูและเงี่ยหูฟังรหัสผ่านของเธอ

    ลูทรา ลูทรา ?

    เขาไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไรและไม่ได้สนใจขนาดนั้น เขาแค่สบายใจที่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่ามันยุติธรรมขึ้นแล้ว เพราะถ้าหากเธอนึกอยากจะเข้าออกห้องเขาตอนไหนก็ได้ที่อยากจะทำ เขาเองก็ควรทำแบบนั้นได้เช่นกัน เขาพยายามกล่อมตัวเองว่าที่ทำลงไปไม่ได้มีความหมายแอบแฝงใด ๆ แค่ทำไปเพราะมันเป็นกลยุทธอย่างหนึ่งก็เท่านั้น แต่เมื่อยกมือขึ้นสัมผัสรอยจูบของเกรนเจอร์ที่สันกรามอีกครั้ง เขาก็เริ่มสงสัยว่าจริง ๆ แล้วเขาทำลงไปโดยมีเจตนาแฝงอย่างอื่นนอกจากนั้นอีกหรือไม่

    ---

    หลังจากหาอะไรรองท้องและแวะไปห้องสมุดแล้ว เมื่อกลับไปถึงห้องเฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าเฮดวิกกำลังเคาะหน้าต่างเรียกเธออยู่

    รอยยิ้มระบายขึ้นบนริมฝีปากเมื่อรู้ว่าในที่สุดจดหมายอีกฉบับก็ถูกส่งมาหาเธอ รอยยิ้มยิ่งกว้าขึ้นอีกเมื่อจดหมายฉบับนั้นถูกจ่าหน้าถึงเธอเพียงคนเดียว นั่นทำให้ในครั้งนี้เธอไม่ได้รีบตรงไปหาจินนี่เพื่อเปิดอ่านมัน จดหมายฉบับน้อยเป็นเสมือนแสงสว่างให้กับช่วงชีวิตของเธอ หลังจากหลายสัปดาห์ผ่านไปด้วยความว่างเปล่าและความผิดหวังที่เป็นเสมือนเชื้อเพลิงให้กับความคิดลบมากมาย ลายมือหวัด ๆ ของรอนและเนื้อหาแห่งความชัดเจนก็ทำให้เธอยิ้มได้อีกครั้ง

    เราเจอมันแล้ว และทำลายทิ้งไปแล้วล่ะ

    กำลังตามหาชิ้นต่อไป

    เราคิดถึงเธอนะ

    ร.และฮ.

    คำว่า มัน ไม่ได้ทำให้เธอมีคำถามอะไร เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาคงหาล็อกเก็ตเจอแล้ว แม้ว่าจะอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้แต่ก็เข้าใจดีว่ายังคงต้องรอ มันเสี่ยงต่อแฮร์รี่และรอนมากเกินไปถ้าหากเขียนเล่าทั้งหมดลงในจดหมาย เธอไม่ได้เร่งรัดอะไรนัก เพราะในตอนนี้สำคัญที่สุดคือพวกเขากำลังก้าวเข้าใกล้ชัยชนะอีกก้าวแล้ว สงครามกำลังจะจบในไม่ช้า

    เราคิดถึงเธอนะ

    แต่เมื่ออ่านประโยคเดิมซ้ำรอยยิ้มกว้างของเธอก็ค่อย ๆ ขมวดมุ่นไปพร้อมกับใบหน้าเศร้าสร้อยราวกับถูกคาถารู้สึกผิดซัดใส่หน้า ภาพระหว่างเธอกับ...เดรโกหมุนคว้างอยู่ภายในจิตสำนึก เธอรู้สึกละอายที่ที่ผ่านมาเธอแทบจะไม่ได้คิดเลยว่าการกระทำของเธอจะมีผลต่อมิตรภาพระหว่างพวกเขายังไง โดยเฉพาะกับรอน ยิ่งเรื่องราวระหว่างเธอกับเขาออกจะซับซ้อนเกินกว่าจะพูดออกมาได้ด้วยแล้ว เธอยิ่งอยากโทษที่ทั้งเธอและเขาไม่คิดจะคุยเรื่องนี้ให้มันเป็นเรื่องเป็นราวเสียที

    ความจริงเธอไม่ได้นึกเสียใจที่มอบความบริสุทธิ์ให้กับเพื่อนรักอย่างรอน เพราะมันทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดว่าทั้งเธอและเขาเป็นอะไรกัน ซึ่งคำตอบนั้นก็คือเพื่อนคนหนึ่ง เธอตระหนักได้ว่าที่สุดแล้วมันไม่เคยมีความรู้สึกอันแรงกล้าต่อกัน ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความชอบและความสงสัยที่นำมาซึ่งคำตอบในตอนนี้ เธอรักเขา - รักเขามากจริง ๆ แต่เธอชอบความรู้สึกที่ถูกแผดเผาไปด้วยสัมผัสที่เต็มไปด้วยความปรารถนาจากใครสักคนมากกว่า

    และใครสักคนนั้น ไม่ใช่รอน

    กลับเป็นเดรโก...

    เดรโกเต็มไปด้วย...ความเร่าร้อนในทุกสิ่งที่เขาทำ และนั่นทำให้เธอได้รู้สึกถึงการมีอยู่ของสิ่งนั้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในท้องทั้งแปลกและใหม่สำหรับเธอ เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้เลยว่ามันสามารถนับเป็นสิ่งที่เรียกว่าราคะได้หรือไม่ หรือความจริงอาจจะเป็นเพียงความรู้สึกวูบวาบเท่านั้น แต่ยังไงมันก็ต่างไปจากสิ่งที่เธอเคยรู้สึก มันค่อย ๆ ทำให้เธออยากปฏิสัมพันธ์กับเขาและเฝ้ามองเขา รวมถึงมันยังทำให้เธอไม่อาจหักห้ามใจที่จะจินตนาการระหว่างอาบน้ำหรือไม่ก็ภายในห้องนอน

    ร่างเล็กสั่นหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดอันตรายเหล่านั้นให้พ้นสมองและเตือนตัวเองให้กลับมาจดจ่อกับข่าวดีที่เพิ่งได้รับ

    เรียงลำดับความสำคัญหน่อย เฮอร์ไมโอนี่... 

    ---

    หลังจากใช้เวลากว่าสองวันในการใช้ชีวิตอย่างกระอักอ่วนและพยายามจะไม่พูดถึงค่ำคืนที่เธอได้อยู่ภายใต้อ้อมกอดต้องห้ามของเขา เฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มตระหนักได้ว่าเธอกำลังคิดถึงช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกับเดรโก เธอยังคงสับสนใจว่าจะอธิบายความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนร่วมห้องคนนี้ยังไง แต่สุดท้ายเธอก็เลิกที่จะเพิกเฉยต่อความสับสนนั้น และพาตัวเองไปจดจ่อกับการสืบค้นเรื่องฮอร์ครักซ์แทน แม้ว่าลึก ๆ แล้วเธอจะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเธอกำลังสนใจในตัวเขาและเอาแต่อยากจะใช้เวลากับเขา ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการทะเลาะกันก็ตาม

    บางทีอาจเป็นเพราะเธอสังเกตได้ว่าเขากำลังค่อย ๆ ลดกำแพงที่มีต่อเธอลง หรือเป็นไปได้ว่าการโต้เถียงหลายครั้งที่ผ่านมาคอยบอกเธอว่า จริง ๆ แล้วเธอมีไฟปรารถนาที่กำลังลุกไหม้อยู่ภายในมากมายเพียงใด ให้ตาย เธอไม่ได้ชอบทะเลาะกับเขา แต่ชอบความรู้สึกของผีเสื้อที่กำลังโบยบินอยู่ภายในท้องทุกครั้งที่พวกเขาใกล้ชิดกันต่างหาก

    ปฏิทินบอกเธอว่าวันนี้เป็นวันอังคาร และอีกสองวันเธอจะต้องเดินทางไปพบท็องส์ เธอจำเป็นต้องบอกเดรโกเรื่องนี้ แต่ความกังวลกำลังทำให้เธอไม่กล้าพอ

    เฮอร์ไมโอนี่ปลีกตัวออกจากห้องแล้วมาหยุดที่หน้าห้องของเขา ขณะที่สายลมหนาวกำลังพัดแรง

    “ไม่คิดจะเคาะประตูหน่อยหรือไง ?” เสียงของเดรโกดังมาจากด้านใน “แต่ต่อให้บอกว่าอนุญาตหรือไม่อนุญาต เธอก็เข้ามาอยู่ดีสินะ”

    เธอขยับยิ้มกับสิ่งที่ได้ฟังพลางวาดไม้กายสิทธิ์เพื่อปลดล็อคประตู ริมฝีปากของเธอแห้งผากขณะที่เท้าเปลือยพาเธอเดินเข้าไปหาเขา เดรโกนั่งขัดสมาธิใช้แขนเท้าคางยันไว้กับหัวเข่าโดยที่เบื้องหน้ามีหนังสือของเธอวางอยู่

    “มาเอาอะไร เกรนเจอร์” เขาเหลือบตามองแล้วถาม

    “มีเรื่องจะคุยด้วย -”

    “และคิดมาดีแล้วว่าควรจะเป็นตอนตีสามงั้นเหรอ”

    “พอดียุ่ง ๆ น่ะ” เธอพูดปดแล้วพาตัวเองไปนั่งที่ปลายเตียงอย่างระมัดระวัง “เห็นว่ายังไม่นอน ก็เลย -”

    “มีอะไรจะพูดก็พูดมา” เขาบ่นเสียงยานคาง “เดี๋ยวฉันจะนอนแล้ว”

    “โอเค” เธอผ่อนลมหายใจอย่างลังเลในคำพูดที่กำลังจะออกจากปาก “เดี๋ยววันพฤหัสที่จะถึงนี้ ฉันจะต้องไปอยู่ที่ฮอกมี้ดส์ อาจจะอยู่ที่นั่นสักสองวัน -”

    “อะไรนะ ?” เขาโพล่งถาม แล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่ทำให้เธอเย็นวาบไปทั้งหัวใจ การที่เธอจะทิ้งเขาไว้ที่หลุมดูดพลังงานนี่ทำให้เขารู้สึกมวนในท้อง และมันทำให้เขาสะท้านไปทั้งสันหลัง “คือหมายความว่าไง ที่บอกว่าจะไม่อยู่ตั้งสองวัน”

    “คือ ฉันต้องไปพบใครบางคน” เธอค่อย ๆ แจงด้วยความรู้สึกกังวล “เดี๋ยวจะเตรียมอาหารไว้ให้ และ -”

    “จะไปอยู่กับไอ้คอร์เนอร์น่ะเหรอ” เขากัดฟันพูดแล้วตรึงเธอเอาไว้ด้วยดวงตาคมกริบ “มหกรรรมั่วเซ็กส์ที่ร้านไม้กวาดสามอันหรือไง ?”

    เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งกับถ้อยคำของเขา “ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น -”

    “ฉันควรจะดีใจสินะ ที่เธอไม่พามันมาทำเรื่องอย่างว่าในหอน่ะ” เขาว่าต่ออย่างร้ายกาจ “และถ้าเกิดว่าเธออยากจะ -”

    “เดรโก พอเถอะ!” เธอกรีดเสียงพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อขึ้นที่ขอบตา “ฉันจะไปเจอเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง ให้ตายเถอะก็อดดริก ทำไมนายเอาแต่พูดแบบนั้นอยู่ได้”

    เขาปิดปากเงียบขณะที่ปล่อยให้ความคิดที่กำลังวุ่นวายเดือดปุดอยู่ภายใน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องโวยวายใหญ่โต ทั้งยังเอาแต่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดอาจจะแค่พูดเลี่ยงไปอย่างนั้น แต่อีกใจก็สงสัยว่าคนอย่างเธอจะโกหกเป็นไหม เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยคำลวงนั้น สำหรับเขาแล้วเธอเป็นคนหนึ่งที่จริงใจและตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว

    “โทษที”

    คำคำนั้นวิ่งผ่านริมฝีปากของเขาออกไปได้ก่อนที่เขาจะกักขังมันไว้ได้ทัน และในอึดใจนั้นเอง เขาก็พบว่าใบหน้าของเธอในตอนนี้อาจจะคุ้มค่าแล้วที่เขาเผลอทำอย่างนั้นออกไป แววตาที่เธอมองมาที่เขาทำให้เขารู้สึกว่ามันมีค่ามากกว่าความผิดพลาดที่เขารู้สึก และมันยิ่งทำให้ปลายนิ้วของเขาอยากสัมผัสเธอ

    “ขอโทษที่จะไม่อยู่ตั้งสองวัน” เธอพูดขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้แก้ต่างกับสิ่งที่เพิ่งพูดไป วินาทีนั้นเขาได้แต่พลิกหน้าหนังสือไปมาเพราะไม่รู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ไหน “เดี๋ยวจะหาทางให้นายติดต่อได้ เผื่อว่ามีอะไร -”

    “กับแค่สองวัน ฉันไม่ตายหรอก” เขาแค่นเสียง ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วแค่คิดว่าเธอจะไม่อยู่แก้เบื่อให้เขาสักพัก มันจะทำให้ใจเจ็บนิดหน่อยก็เถอะ “ออกจะเป็นข่าวร้ายด้วยซ้ำที่เธอไม่ไปนานกว่านั้นหน่อย”

    “คือ -”

    “ช่วงนี้เธอดู...ร่าเริงเกินไป” เขาพูดต่อทันทีแล้วมองเธอด้วยสายตาคาดคั้น “และมันน่ารำคาญ”

    เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วและเริ่มสงสัยว่าหลังจากได้รับจดหมายของรอน มันทำให้อาการเธอออกชัดกว่าที่เธอคิด “ทำไมถึงคิดว่าฉันดูร่าเริงกว่าปกติเหรอ”

    “มันเขียนไว้บนหน้าเธอเลยมั้ง” เขาว่าพลางกลอกตา “ถ้าให้เดานะ เพื่อนที่ว่าก็คงเป็นพวกภาคีสินะ และถ้าเดาไม่ผิด พวกฝ่ายเธอคงกำลังไปได้ดีเพราะงั้นก็เลยอารมณ์ดีใช่ไหมล่ะ ?”

    “ฉันคุยเรื่องนี้กับนายไม่ได้ นายก็รู้ใช่ -”

    “ทำไมล่ะ ?” เขารุกถาม “ฉันคงไม่เดินออกไปคายความลับของเธอให้คนที่อยากให้ฉันตายฟังหรอกนะ”

    เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจแล้วขยับตัวให้มองเขาชัดขึ้น “ฉันแค่คิดว่าเราไม่ควรคุยกันเรื่องนี้ -”

    “แต่ฉันแน่ใจว่าใครก็พูดเรื่องนี้กัน” เขาบ่นพึมพำ “แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ?”

    “เพราะสถานการณ์มันต่างกัน เดรโก” เธอบอกเขาเสียงแผ่ว “เรา -”

    “เป็นคนละฝ่ายกัน” เขาจบประโยคให้ แล้วแสร้งก้มลงมองหนังสือเพื่อพลางใบหน้าจากการมองเห็นของเธอ

    เฮอร์ไมโอนี่เอียงหน้าตามอย่างสับสนในร่องรอยเศร้าโศกของน้ำเสียง คืนนี้เขาดูไม่ค่อยดีนักราวกับว่ามีคำถามมากมายกำลังก่อตัวขึ้นภายในสมองและตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มหาคำตอบให้กับคำถามไหนเป็นคำถามแรก เธอสังเกตเห็นกล้ามเนื้อบนหน้าของเขาที่ดูเหมือนกำลังพยายามจะปิดบังใบหน้าของเขาจากเธอ หรือบางทีก็จากตัวเขาเอง ความเปราะบางที่หาได้ยากปรากฏขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง ทั้งริมฝีปากของเขาที่กระตุกเม้มแน่น หรือแม้แต่ก้านนิ้วเรียวที่กำลังเคาะลงบนเตียงซ้ำ ๆ ด้วยความกังวล วินาทีนั้นเธอก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอสามารถอ่านเขาได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้

    “ต่างฝ่ายกัน” เธอพูดซ้ำเสียงขรึม “นายยังคิดว่าตัวเองเป็นพวกนั้นอยู่อีกเหรอ เดรโก”

    คำถามนั้น...

    เขาเก็บกลืนก้อนความขมขื่นลงคอ เขาถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำไปมาไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่ต้องหนีตายจากโวลเดอมอร์ เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะยังนับเป็นฝ่ายเดียวกับคนที่อยากให้เขาเน่าตายในหลุมได้อยู่ไหม และคำถามนี้ก็ยังเด่นชัดขึ้นเมื่อเกรนเจอร์ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาภายในจิตใจของเขา ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายกลับมีเพียงเธอที่ยังดูแน่วแน่และกล้าหาญที่จะมองนักโทษน่าสมเพชอย่างเขาในแง่ดี เขาอาจจะเกลียดปฏิกิริยาที่ตัวเองมีต่อและอยากอยู่ร่วมกับเธอ แต่มันก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพียงแค่มีเธออยู่ จิตวิญญาณที่แห้งแล้งของเขาก็ราวกลับคืนมามีชีวิตอีกครั้ง

    ซัลลาซาร์ อภัยด้วย

    เธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามกับความเชื่อที่ฝังหัว

    เขาจะยังคงเชื่อมั่นในเจตคติที่มีต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นได้ยังไงในเมื่อเขาเริ่มให้คุณค่ากับมันแล้ว

    เขาจะยังคงเชื่อว่าพวกมักเกิ้ลเป็นเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่าได้ยังไงในเมื่อเกรนเจอร์เป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

    แล้วเขา...เขาจะยังแกล้งทำเหมือนอคติเหล่านั้นมันเป็นเรื่องจริงได้ยังไง

    แม้เขาจะอยากเชื่ออย่างนั้นเหลือเกิน แต่ในตอนนี้มันก็ยากเกินไป

    “แล้วเธอไม่คิดเหรอ” เขาถามแกน ๆ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นจากใต้ผ้าห่มเพื่อแสดงตราประทับบนแขน “นี่ไม่ใช่เครื่องหมายที่บอกว่าฉันเป็นพวกนั้นหรือไง”

    เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้ามองร่องรอยบิดเบี้ยวน่ารังเกียจบนผิวสีขาวราวหิมะของเขา ก่อนจะพบว่ามันไม่ได้รังควานใจเธอเท่าแต่ก่อนแล้ว และอาจจะรวมถึงใจเขาด้วยเช่นกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะเสียงของเขาที่อ่อนลงหรือบ่าของเขาที่กำลังยอมแบกรับความพ่ายแพ้ แต่เธอกำลังรู้สึกว่าเส้นกั้นระหว่างพวกเขากำลังค่อย ๆ จางไป เธอถัดกายเข้าไปใกล้เขาอีกนิดแล้วเคลื่อนมือไปสัมผัสผิวของเขา พร้อมกับรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อเขาไม่ได้ปัดมือเธอออกในทันที

    “ตรานี่ไม่ได้ตัดสินความเป็นนายเลยนะ” เธอพูดอย่างอ่อนโยนเมื่อเห็นแววตาสับสนตรงหน้า “เหมือนกับสายเลือดของฉันก็ไม่ได้อาจวัดคุณค่าตัวฉันได้ นายมีคุณค่าในตัวเองเดรโก การกระทำของนาย ความคิดของนาย -”

    “แล้วถ้าหากฉันเองก้ไม่รู้ว่าฉันเป็นใครล่ะ” เขาถามเสียงสั่น “ถ้าหากฉัน...กำลังหลงทาง”

    ความกลัวทะยานขึ้นในอก “อย่างนั้นก็แค่ทำในสิ่งที่นายรู้สึกว่ามันถูกต้องสำหรับนาย” เธอพยายามนำความคิดของเขาอย่างกระตือรือร้น “หลังจากนั้นมันจะเข้าที่เข้าทางด้วยตัวมันเอง”

    เดรโกขมวดคิ้วแล้วทอดสายตามองนิ้วของเธอที่กำลังไล้บนแขนเขาอย่างใจเย็น มันสร้างความรู้สึกอ่อนไหวขึ้นบนรอยแผลบนแขน แต่แค่เพียงวินาทีเดียวที่เฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเขาเริ่มคล้อยตามแล้ว ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจแล้วดึงแขนให้พ้นจากสัมผัสอันเย้ายวนใจของเธอ

    “กริฟฟินดอร์อย่างเธอมองหาข้อดีในตัวคนอื่นเก่งดีนะ เก่งเหลือเกินในการคิดว่าใครสักคนจะเปลี่ยนแปลงได้” เขาดูแคลน “แต่บางคนมันเกินกว่าจะเปลี่ยนได้ เกรนเจอร์ -”

    “และนั่นไม่ใช่นาย” เธอแย้งฉับพลัน “ไม่ใช่นาย เดรโก”

    ความสับสนสั่นไหวในดวงตาสีฝุ่นของเขา แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็อ่านออกว่าไม่ว่ายังไงคืนนี้เขาก็จะยังต่อต้านเธออยู่ดี

    “ออกไปได้แล้ว” เขาบอกแล้วเพยิดหน้าไปยังประตู

    เธออยากบอกเขาว่าเธออยากอยู่ แล้วยอมให้กับอีโก้ของเขา บอกเขาว่าเธอรู้สึกปลอดภัยตลอดเวลาที่อยู่กับเขาบอกเขาว่าการได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาเป็นค่ำคืนที่เธอนอนหลับได้ดีที่สุดในชีวิต แต่เขาคงจะหัวเราะใส่หน้าแล้วเริ่มใช้ถ้อยคำปฏิเสธที่กัดกร่อนเธอไปทั้งใจ ดังนั้นเธอจึงไม่เสี่ยงไปมากกว่านี้ เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปหยุดที่หน้าประตู

    “มันก็แค่นิยาม รู้ใช่ไหม” เธอพึมพำโดยไม่ได้หันมองเขา ทำให้คนฟังไม่อาจมองเห็นน้ำตาที่ไหลลงที่ข้างแก้ม “จะสลิธีริน กริฟฟินดอร์ เลือดบริสุทธิ์ เลือดสีโคลน สิ่งเหล่านั้นไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นใคร ไม่สามารถบงการชีวิตเราได้หรอก”

    เดรโกพยายามต่อสู้กับเสียงที่ดังก้องภายในหัวใจ และเมื่อเธอจากไปแล้วเขาก็ทอดสายตามองตราประทับบนแขนอีกครั้ง มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากไปกว่าสัมผัสของเธอที่ยังคงค้างอยู่ ชั่วขณะนั้นความโดดเดียวก็กอดรัดเขาเอาไว้ เขาเกือบจะรู้สึกว่าน้ำหนักคำพูดของเธอกำลังทับลงมาทลายความเชื่ออันดื้อรั้นที่เริ่มแตกสลาย

    เขารู้ดีว่าการหายตัวไปของเธอจะสร้างความเสียหายมากมายให้กับสมองอันว้าวุ่นของเขา แม้เธอจะไปเพียงไม่กี่วันก็ตาม

    เหมือนกับมันพยายามจะตอกย้ำว่าในที่สุดเขาก็ยอมจำนนต่อจุดเริ่มต้นอันสุขสันต์ของความบ้าคลั่งแล้ว

    เดรโกรอเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงก่อนจะค่อย ๆ ย่องออกจากห้องแล้วมารู้ตัวอีกทีที่หน้าห้องของเธอ ความคิดลังเลวนเวียนอยู่ในหัวเพียงไม่นาน สุดท้ายเขาก็พึมพำรหัสผ่านแล้วพาตัวเองเดินเข้าไปภายใน โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังจะทำอะไร

    นายมันน่าสมเพชว่ะ...

    ---

    “ไมเคิลกับหนูตกลงกันว่างานเต้นรำจะจัดขึ้นวันที่ 11 ธันวาคมค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่แจง “เข้าใจว่ามันอาจจะเร็วกว่าปกติไปสักหน่อย แต่จำได้ว่าศาสตราจารย์เคยบอกว่า การเดินทางของนักเรียนปีนี้อาจจะติดขัด”

    “ใช่ เป็นไปตามนั้น” มักกอนากัลพยักหน้ารับ “ฉันคิดว่ามันอาจจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่าหากส่งนักเรียนกลับบ้านเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งจะใช้เวลามากกว่าสัปดาห์หรืออาจจะมากกว่า ถ้าหากว่าจำเป็น ฉันไม่แน่ใจว่ารถไฟด่วนฮอกวอตส์จะยังเป็นตัวเลือกที่ดีไหม หรือบางทีอาจต้องใช้ทางเลือกอื่น ดังนั้นวันที่ 11 เป็นตัวเลือกที่ดีนะ”

    เฮอร์ไมโอนี่ผ่อนลมหายใจแล้วยกมือขึ้นนวดดวงตา “เรายังจำเป็นต้องรักษาธรรมเนียมนี้อยู่อีกเหรอคะ ศาสตราจารย์” เธอถามเสียงอ่อน “มันดูตลกที่จะมีงานเลี้ยงขึ้นระหว่างที่เรากำลังอยู่ในสงครา -”

    “เธอก็รู้ว่าฉันยังอยากให้เรารักษามันเอาไว้” ศาสตราจารย์ตอบในที่สุด “ในตอนนี้ฮอกวอตส์เป็นเสมือนที่หลบภัย และฉันก็อยากให้นักเรียนของเรารู้สึกปลอดภัย -”

    “แต่พวกเขา -”

    “ตกลงเป็นวันที่ 11” แม่มดชราพูดดักคอ “การเรียนจะสิ้นสุดในวันที่ 10 นั่นจะทำให้ทั้งฉันและศาสตราจารย์ท่านอื่นมีเวลา 2 สัปดาห์เพื่อทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย ส่วนเธอจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม คุณเกรนเจอร์”

    “ค่ะ” เธอรับคำเสียงขื่น “หนูบอกที่บ้านแล้วว่าจะอยู่ที่บ้านโพรงกระต่าย และพวกเขาก็ยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น หนูคิดว่าคงจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นค่ะ”

    มักกอนากัลย่นคิ้ว “แล้วได้ไปคิดเรื่องคาถาความทรงจำที่คุยกันไว้หรือยัง ?”

    “อยากให้เป็นทางเลือกสุดท้ายค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบกลับทันที “หนูไม่อยากใช้มันจนกว่าจะจำเป็นจริง ๆ”

    “งั้นภาวนาให้มันไม่จำเป็นกันเถอะ” เธอถอนหายใจ “ข่าวดีอีกอย่างก็คือได้ยินจากนิมฟาดอร่า ว่าถ้าพร้อมแล้วก็อยากเจอเธอเลย”

    อยู่ดี ๆ ใบหน้าเครียดสะสมของเฮอร์ไมโอนี่ก็หายไปฉับพลันเมื่อได้ยินดังนั้น “แทบรอไม่ไหวเลยค่ะ” เธอสารภาพ “ศาสตราจารย์ยังมีอย่างอื่นที่ต้องแจ้งให้ทราบอีกไหมคะ หรือว่า -”

    “ยิ่งกว่ายินดีที่จะให้เธอไปได้จ้ะ” มักกอนากัลตอบด้วยใบหน้าอบอุ่น “หรืออยากจะให้ศาสตราจารย์ซลักฮอร์นช่วยคุ้มกันไหม ?”

    “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอยืนยันคำตอบแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว “เดี๋ยวหนูต้องไปที่หอก่อน”

    “ได้เลย” ศาสตราจารย์พยักหน้า “หวังว่าจะได้พบกันในชั้นเรียนแปลงพรุ่งนี้ และที่งานเลี้ยงคริสต์มาสด้วยเหมือนกันนะ เฮอร์ไมโอนี่”

    เยี่ยมไปเลย

    “ค่ะ” เธอพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก “พบกันพรุ่งนี้ค่ะ ศาสตราจารย์”

    ---

    ความกังวลพาเธอมายืนเคาะนิ้วอยู่ที่ผนังข้างประตูห้องเดรโกได้ห้านาทีแล้ว ในหัวเอาแต่คิดวุ่นวายถึงสิ่งที่เธอตั้งใจจะพูดกับเขา เพราะหลังจากบทสนทนาที่ตึงเครียดก็ทำให้เธอเลือกจะให้ระยะระหว่างเธอกับเขา และเริ่มคิดว่าบางทีเธอควรจะยอมจำนนต่อความคาดหวังที่มีต่ออีกคนได้แล้ว แต่เพราะเขาก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง...ความอ่อนแอที่เขาแสดงออกมายังคงทำให้เธออยากไปต่อด้วยหัวใจที่เชื่อมั่น พร้อมกันนั้นมันก็ยังสร้างกระแสความรู้สึกใหม่ที่เธอไม่เข้าใจให้เกิดขึ้นอีกด้วย

    ถ้าหากว่า...ฉันกำลังหลงทาง

    คำพูดของเขาทำให้เธอเกือบจะร้องไห้ออกมา ความจองหองแต่เดิมเริ่มละลายลงเพื่อบอกกับเธอว่าความตั้งใจของเธอมันไม่ได้สูญเปล่า บางทีเมล็ดพันธุ์แห่งคำถามที่เธอเฝ้าถนอมอาจจะกำลังผลิบาน...หรือไม่เธออาจจะคิดนำไปก่อนเอง แต่ความหยาบคายของเขาก็ดูจะลดลงไปอย่างรวดเร็ว จนบางทีเธอก็สงสัยว่าจริง ๆ แล้วมันเคยเป็นแบบนั้นหรือไม่

    “มีปัญหาอะไร ทำไมถึงมาเดินเตร่อยู่หน้าประตูห้องอยู่ได้” เสียงอู้อี้ที่ดังผ่านประตูไม้ช่วยดึงความคิดของเธอกลับมา

    เฮอร์ไมโอนี่สูดลมหายใจก่อนจะผลักบานประตูให้เปิดออก และพบว่าเป็นอีกครั้งที่เขากำลังนั่งอ่านหนังสือของเธออยู่บนเตียง “โทษที” เธอพึมพำ “มารบกวนหรือเปล่า หรือว่า -”

    “ใช่ ฉันกำลังยุ่งอยู่” เขาเหยียดริมฝีปากแล้วกลอกตา “ต้องการอะไร เกรนเจอร์”

    “ฉันกำลังจะไปฮ้อกส์มี้ด” เธอบอก “เตรียมอาหารสำหรับสองวันเอาไว้ให้แล้วนะ -”

    “งั้นก็ไปสิ” เดรโกพ่นคำพูดอย่างเย็นชา “ที่มานี่คาดหวังอะไร ? งานเลี้ยงอำลาหรือไง”

    “ก็ไม่ได้คิดว่านายจะโมโหใส่แบบนี้” เธอบ่นแล้วก้าวเข้ามาหา “และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายต้องโมโหด้วย”

    หรืออาจจะไม่ได้โมโหนะ

    “ไม่ได้โมโห” เขารีบแก้ “ฉันแค่ไม่เข้าใจว่าเธอจะบุกรุกเข้ามาและทำให้ฉันรำคาญทำไมอีก ไหนบอกว่าจะไปวันอื่น”

    “ก็ใช่ คือ -”

    “พูดจบหรือยัง” เขากระชากเสียง “ฉันมีเรื่องที่ต้องทำและอยากจะทำโดยที่ไม่มีเธอมายืนหัวโด่อยู่แบบนี้”

    เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจ แล้วหันไปค้นกระเป๋าของเธอที่เต็มไปด้วยของเตรียมไปอยู่กับท็องส์ หลังจากคุ้ยเขย่าอยู่สองสามทีเธอก็หยิบเอาลูกแก้วหิมะขึ้นมา ภายในลูกแก้วมีปราสาทฮอกวอตส์ขนาดเล็กประดับเอาไว้พร้อมกับหิมะจำลองที่กำลังโปรยปราย เดรโกเลิกคิ้วเมื่อเธอวางมันลงบนตักแล้วลูบลูกแก้วอย่างครุ่นคิดก่อนจะสบตากับเขา

    “ฉันร่ายคาถาเอาไว้” เธอค่อย ๆ พูด “ถ้าหากว่าเขย่ามันห้าครั้ง มันจะแจ้งเตือนไปที่นาฬิกาของฉัน รวมถึงฉันขยายข่ายมนตราด้วย ถ้าหากนายพยายามจะหนีออกไป มันก็จะแจ้งเตือนฉันเหมือนกัน”

    เดรโกไม่ได้อยากจะรู้สึกประทับใจในความสามารถด้านเวทมนตร์ของเธอ เพราะมันเป็นอีกครั้งที่เขาตระหนักได้ว่ากำลังรู้สึกชื่นชมเธออย่างไม่น่าพิสมัยอีกแล้ว เดรโกพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังทรยศเขาก่อนจะแค่นเสียงหยัน

    “ฉันไม่จำเป็น -”

    “แค่เผื่อเอาไว้” เธอขัด “เผื่อนายล้มแข้งขาหัก หรือ -”

    “นั่นคือแอบหวังสินะเกรนเจอร์” เขาพูดพลางเหยียดปาก “ไม่ได้วางกับดักอะไรไว้ในหอใช่ไหม”

    เฮอร์ไมโอนี่กระตุกปากเกือบจะยิ้มออกมา เธอสืบเท้าเข้าไปที่เตียงและวางลูกแก้วหิมะลงข้างเดรโก ความจริงมุกเล็กน้อยที่เขาเพิ่งจะพูดออกมาดูเข้ากับหน้าตาเขามากกว่าความหยาบคายเป็นไหน ๆ แต่มันก็ฉายอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะเลือนหายไป เมื่อเขาตวัดสายตามองเธออย่างไม่พอใจแล้วสะกิดลูกแก้วให้ออกห่างจากตัว แม้จะเป็นแบบนั้นแต่เธอกลับรู้สึกอยากสัมผัสเขาเหลือเกิน เขาเป็นเหมือนสิ่งล่อใจที่จู่โจมเธออย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กกำมือแน่นเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกบิดรัดที่เกิดขึ้นภายในท้อง

    “รู้มั้ยเดรโก” เธออึกอัดขณะที่คิ้วเรียวขมวดขึ้น “ฉันเลื่อนนัดได้นะ ถ้านายไม่อยากให้ฉันไปตอนนี้ แค่บอกกัน”

    อย่าไป...

    “ถ้าไม่มีของเล่นไร้สาระจะควักออกมาจากกระเป๋าตลก ๆ ของเธอแล้ว” เดรโกว่า “ฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลอะไรที่เธอจะยังอยู่ที่นี่นะ เกรนเจอร์”

    เธอมั่นใจว่าถ้าหากเขายังสบตาเธออยู่ เขาคงสังเกตเห็นความผิดหวังที่กำลังสะท้อนอยู่ภายในดวงตา “ก็ดี” เธอพูดแก้เก้อ “ถ้ายืนยันว่าจะเย็นชาใส่ฉันตลอด -”

    “ก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะโมโหใส่แบบนี้” เขาย้อนคำพูดของเธอ “มีอะไรอีกไหม เกรนเจอร์ ?”

    “ไม่” เธอฮึดฮัดแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียง “ไม่เข้าใจเลยว่านายจะงี่เง่าอะไรตลอดเวลา -”

    “นี่!” เขาตะโกนแล้วลุกขึ้นคว้าข้อมือเธอไว้ “เธอแม่งคาดหวังอะไรกันแน่ เกรนเจอร์ อยากให้ฉันรู้สึกขอบคุณที่เธอทิ้งฉันไว้กับไอ้ลูกแก้วในคุกนี่นะเหรอ -”

    “ฉันเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรจะคาดหวังอะไรกับนาย!” เธอเถียงกลับแล้วหันหน้าไปประจันกับเขา “พอฉันคิดว่านายน่าจะนิสัยดีขึ้นบ้างแล้ว แต่นายก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม นิสัยไม่ดี!

    “นี่พูดบ้าอะไรอีกเนี่ย -”

    “ก็วันนั้น” เสียงของเธออ่อนลง “ตอนที่เราคุยกันเรื่องฝ่าย -”

    “ชักจะคิดไปเองมากไปแล้วนะ” เขาคำรามในลำคอขณะแก้ต่าง “ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่นี่มันปั่นหัวฉันจน -”

    “ก็ไม่มากเท่าที่นายคิดไปเองหรอก” เธอสวนกลับ เผลอกลืนน้ำลายเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ใกล้เขามากเกินไปแล้ว “ทำไมต้องทำตัวแบบนี้ทั้ง ๆ ที่ที่นี่ก็มีแค่ฉันกับนาย”

    เขาอ้าปากลังเลที่จะพูดบางอย่าง เพราะดวงตาสีทองของเธอทำให้เขานึกถึงวันที่เธอจูบเขาเพราะโรคภูมิแพ้กำเริบ มันมีเส้นบาง ๆ ระหว่างความกังวลที่อยู่ในดวงตาเขา และความอาจหาญไร้ที่มาที่กำลังจะแทรกผ่านม่านหมอกของความตึงเครียด จนทำให้ในที่สุดเขาก็ค่อย ๆ โน้มตัวเข้าหาเธอ เขาหลับตาแน่นขณะที่ในหัวกำลังเปิดญัตติว่าจะปล่อยทิ้งทุกกำแพงที่มีแล้วยอมให้เธอทำทุกอย่างที่เธออยากทำหรือไม่ นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้รับการเยียวยาจากเธอ - การเยียวยาต้องห้ามจากเธอ ก่อนที่เธอจะทิ้งให้เขาอยู่กับปีศาจร้ายภายในตัว เขาเริ่มสงสัยว่าถึงแม้เขาจะเคยลิ้มเล็มริมฝีปากกันและกันมาก่อน แต่คราวนี้มันจะยังเหมือนเดิมอยู่อีกไหม

    แต่เมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดปลายคางมันก็ดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง เขาผลักไสเธอออกไปก่อนที่เธอจะทันสัมผัสเขา เขายิ้มเย้ยใส่เธอที่เซออกไปแต่มันก็เพียงยาพิษที่ถูกบังคับสร้างขึ้นมาเคลือบใบหน้าเขาไว้เท่านั้น เคลือบไว้เพื่อเป็นหน้ากากปิดบังความรู้สึกสับสนที่เขากำลังรู้สึก

    ส่วนด้านเกรนเจอร์เธอไม่อาจปิดบังความอัปยศและตกใจเอาไว้ได้ ดวงตาของเธอพร่างพรมไปด้วยความเจ็บปวด เดรโกกำลังจะร้องไล่เธอให้ออกไปแต่เธอหมุนตัวกลับออกไปเร็วกว่า เธอออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะทันได้หายใจด้วยซ้ำ

    เสียงกระแทกประตูดังก้องไปทั่วเหมือนเสียงค้อนตัดสินของวินเซ็นกามอต เขาได้รับคำตัดสินแล้ว สองวันที่จะต้องอยู่กับเงาตัวเอง สองวันที่ต้องอยู่โดยไม่รู้จะทำอะไรเมื่อไม่มีเธอคอยปัดเป่าความเดียวดาย

    เขาควรจะให้เธอจูบเขา...
    ---

    อากาศที่หนาวยะเยือกทำให้น้ำตาของเธอเริ่มกลายเป็นเกล็ด

    เฮอร์ไมโอนี่รีบจ้ำเท้าตรงไปยังฮ้อกส์มี้ดขณะที่ตระหนักได้ว่าเธอเริ่มรู้สึกกับเดรโกมากกว่าปกติ

    ครั้งแรกที่เธอจูบเขา เธอทั้งมึนงงและกำลังขาดสติจนทำให้ทำอะไรไปตามแรงกระตุ้นจนตรรกะใด ๆ ก็ไม่อาจหยุดยั้งเธอเอาไว้ได้ แต่ความต้องการที่จะได้สัมผัสมันอีกครั้งเมื่อไม่กี่นาทีก่อนมันต่างไป เธออยากจะลองวัดดวงโน้มตัวเข้าไปหาเขา ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพราะจิตใต้สำนึกสั่งการ และมันส่งผลให้เธอต้องมารู้สึกอับอายเพราะถูกปฏิเสธเช่นนี้ สุดท้ายความคิดมากมายในหัวของเธอก็เลยจบลงที่ความสับสนวุ่นวายอย่างหายนะ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับมันยังไง

    เพียงไม่นานร้านไม้กวาดสามอันก็อยู่ไม่ไกล เธอปาดร่องรอยของความเสียใจและพยายามรวบรวมสติ อย่างน้อยความตื่นเต้นที่จะได้พบกับท็องส์ก็พอทำให้เธอละความคิดจากคำถามที่มีต่อเดรโกไปได้บ้าง เฮอร์ไมโอนี่ขยับยิ้มเมื่อเดินเข้าไปสู่สถานที่ที่คุ้นเคย

    ภายในร้านมีลูกค้ากระจายกันอยู่ตามมุมต่าง ๆ แต่เธอไม่ทันได้สังเกตใครทั้งสิ้น เมื่อเธอพบเข้ากับมาดามโรสเมอทาร์ แม่มดชราพยักหน้าทักทายแล้วส่งกุญแจให้จากอีกฝั่งของเคาท์เตอร์บาร์

    “เธอนั่นเอง!” ท็องส์ร้องทักเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พาตัวเองเข้ามาภายในห้อง “นึกว่าหลงทางไปซะแล้ว”

    “ดีใจที่ได้พบคุณนะคะ” เธอรีบพุ่งเข้าไปกอดก่อนจะชะงักเมื่อพบว่าหน้าท้องของท็องส์นูนออกมาเล็กน้อย “โอ้ ท็องส์! นี่คุณ!

    “ตกใจใช่ไหม” เธอพูดพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น “ขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยว่าตอนนี้ฉันอยู่ในช่วงกินจุสุด ๆ ดังนั้นถ้าเห็นฉันซุกตัวอยู่ตรงมุมห้องแล้วในมือกำแซนด์วิชมาร์ไมต์กับแยมอยู่ละก็ อย่าสนใจนะ”

    เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้างแต่ไม่อาจหัวเราะออกมาเหมือนทุกครั้งที่ได้ฟังมุกตลกจากท็องส์ ภาพเธอกับเดรโกที่อยู่ใกล้กันเพียงหนึ่งช่วงลมหายใจและริมฝีปากของเขากำลังฉายซ้ำไปมา มันทำให้หัวใจของเธอหนักอึ้งและริมฝีปากก็แห้งผาก

    “เป็นอะไรไหม เฮอร์ไมโอนี่” ท็องส์ถาม “ดูไม่ค่อยดีเลยนะ”

    “สบายดีค่ะ” เธอรีบโกหก “แค่คิดถึงแฮร์รี่กับรอน”

    “แหงแซะ” เธอพยักหน้าเห็นอกเห็นใจแล้วส่งยิ้มอบอุ่นให้ “แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนคนอื่น ๆ นี่นา ที่ฮอกวอตส์เป็นยังไงบ้าง ?”

    เฮอร์ไมโอนี่หัวใจกระตุกวาบ

    มันก็...ซับซ้อน

    ---

    เดรโกนั่งหน้าบูดอยู่ภายในความมืด

    ห้องนั่งเล่นไม่มีหน้าต่างให้แสงจันทร์พอจะสาดเข้ามาได้ ดึกสงัดเช่นนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความมืดและเสียงของความเงียบที่ดังแว่วอยู่ภายในหู มันดังก้องเหมือนอยากสมน้ำหน้าที่เธอไม่อยู่กับเขา ตอนนี้กลิ่นของเธอก็เริ่มจางไปแล้ว และหอนี้ก็ว่างเปล่าจนน่าขนลุก เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากใช้เวลาเป็นชั่วโมง ๆ ในการนั่งมองไอ้ลูกแก้วหิมะนั่น

    สิ่งที่เขาควรจะทำก็คือเขย่าไอ้สิ่งเล็ก ๆ น่าเกลียดนี่แล้วเธอก็จะกลับมา หลังจากนั้นเขาก็จะได้ลักเอารสสัมผัสของเธอที่เขาควรจะได้ก่อนที่เธอจะออกไป

    เขาพุ่งไปหาวัตถุเวทมนตร์แล้วเหวี่ยงมันเข้าผนังแล้วคำรามลั่นลำคออย่างหงุดหงิด ดวงตาสีซีดเหลือบมองเศษซากแตกสลายของมันก่อนจะเดินกระแทกเท้าไปที่ห้องของเกรนเจอร์ไปด้วยความดันเลือดที่พุ่งทะยาน เขากระซิบรหัสผ่านแล้วค่อย ๆ ผ่อนคลายลงเมื่อได้สูดเอากลิ่นภายในห้องเข้าปอดอย่างละโมบ

    นี่สิเกรนเจอร์

    เขามองไปรอบ ๆ อย่างวิเคราะห์ พยายามมองหาสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวเธอ แต่นอกจากรูปถ่ายสองสามรูป ผ้าปูเตียงสีแดงอย่างที่คิดไว้ และชุดหนังสือน่าประทับใจแล้ว ทุกอย่างก็เหมือนกับห้องของเขา

    เดรโกมองภาพถ่ายอย่างไม่พอใจ เมื่อมันเป็นรูปของเกรนเจอร์และไอ้หน้ากระที่เธอคิดว่าเป็นเพื่อนที่ดีนักหนา เขาเหวี่ยงมือคว่ำกรอบรูปลงเพราะไม่อยากเห็นมัน แล้วพาตัวเองไปนั่งบนเตียง ไล่นิ้วไปบนผ้าห่ม กลิ่นของเธอที่อัดแน่นอยู่บนหมอนและผ้าห่มกำลังขับกล่อมเขา ก่อนที่เปลือกตาจะค่อย ๆ หนักและพาตัวเขาให้เอนลง ซึ่งต่อให้เขานอนที่นี่แล้วซึมซาบเสียงกระซิบของการมีอยู่ของเธอ...ก็ไม่มีใครรู้

    “แม่งเอ้ย ช่างแม่ง”



    ---

    สวัสดีค่ะ

    เป็นตอนที่แปลออกมาช้ามากเลย เพราะว่าตบตีกับความรู้สึกไม่ค่อยชอบสำนวนและการใช้คำของตัวเองเท่าไหร่ 555

    แต่ในที่สุดก็เข็นออกมาจนจบตอนจนได้ แง้ ยังไงฝากเม้นด้วยนะคะ ทุกเม้นเป็นกำลังใจให้เราจริง ๆ น้า

    สุดท้ายนี้ฝากติดตามกันไปเรื่อย ๆ นะคะ สัญญาว่าจบภายในเดือนหน้า หรือสิ้นปีแน่ ๆ หลังจากแปล ๆ หยุด ๆ มานาน รอบนี้ต้องจบ ฮึ้บ!!


    รักนะคะ

    โมนิค

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×