คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 12 : Sleep [100%]
ช่วยด้วยก็อดดริก
นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่กันนะ ?
เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้าเมื่อเสียงเปิดประตูดังเกินกว่าที่เธอคาดการณ์เอาไว้
เธอร่ายคาถาหรี่ไฟที่ปลายไม้กายสิทธิ์ลงแค่เพียงให้สว่างพอเห็นเค้าโครงราง ๆ
ของสิ่งที่อยู่ภายในห้องเท่านั้น เธอค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปด้วยความกังวลขณะที่อากาศเริ่มเย็นลง
เธอกอดกองผ้าที่เธอหยิบมาไว้แนบอกเมื่อมองไปยังร่างที่ทอดกายอยู่บนเตียง
ฝีเท้าหยุดลงชั่วขณะ
เธอได้ยินเสียงลมหายใจที่ฟ้องว่าเจ้าตัวกำลังนอนหลับไม่ดีนัก
เดรโกกำลังฝันร้าย
และเมื่อเธอเพ่งมองดี ๆ แสงจากไม้กายสิทธิ์ก็สะท้อนให้เห็นฝ้าเหงื่อที่พร่างพรมบนหน้าผาก
ใบหน้าของเขากำลังสะท้อนความเจ็บปวดและความเปราะบางที่ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ
แม้แต่ในขณะนี้เขาเองก็ยังดู...งดงาม เพียงชั่วความคิดนั้นภายในอกก็เกิดร้อนขึ้นมาราวกับไฟเผาไหม้
เธอกระพริบตามองเขาเมื่อชายหนุ่มบิดกายภายใต้ผ้าห่มและส่งเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
มีสติหน่อย
เฮอร์ไมโอนี่...
เธอค่อย
ๆ พาตัวเองเข้าไปใกล้เขาอย่างระมัดระวัง
ดวงตาสีเฮเซลสะท้อนภาพของเขาด้วยความคลั่งไคล้อย่างไม่อาจซ่อนเร้น
การบิดตัวของเขาสร้างความรู้สึกเสียวซ่านที่ปลายนิ้วมือ เธออยากสัมผัสเขา
แต่ก็ต้องฝืนมันเอาไว้
เขาคงจะหนาว
เธอสังเกตเห็นว่าเขามีเพียงเสื้อกั๊กที่ห่อหุ้มลำตัวเอาไว้ แม้ว่าจะยากที่จะบอกได้แต่เธอคิดว่าเขากำลังสั่นเพราะมันมีอะไรบางอย่างรบกวนสายตาของเธอในตอนนี้
อย่างเช่นว่า เธอรู้สึกเหมือนหัวเขากำลังสั่นเล็กน้อย
เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอดชุดคลุมออกแล้วแปลงมันให้กลายเป็นผ้าห่มผืนหนา
เธอขยับเข้าไปใกล้แล้วห่มผ้าให้กับเขาแต่นิ้วมือดันเผลอแตะไปที่ผิวเย็นเยียบของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เธอตัวแข็งทื่อขึ้นมาเมื่อเขาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเริ่มพึมพำอะไรบางอย่างผ่านริมฝีปากแห้งผาก
“ผมต้องฆ่าคุณ...ไม่อย่างนั้นเขาจะฆ่าผม”
เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นปิดปากแล้วเหลือบมองใบหน้าของเขาก่อนจะพบว่ามันกำลังบิดเบี้ยวอย่างร้าวราน
เขาดูทุกข์ทรมาณเหลือเกิน ภายในช่องท้องของเธอปั่นป่วนไปพร้อมกับความเป็นห่วงอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
เธอโน้มตัวเข้าไปใกล้ เฝ้ามองเขา และหลงลืมความหนาวเย็นไปชั่วขณะ
“เดรโก”
เธอกระซิบเรียกเขาเสียก่อนที่จะได้ตั้งคำถามว่าทำลงไปทำไม “เดรโก นี่ฉันเอง
ตื่นเถอะ”
เสียงในลำคอของเขายิ่งฟังดูแย่ลง
เธอยกมือขึ้นสัมผัสที่หน้าผากชื้นเหงื่อของเขา แต่เพียงอึดใจที่ฝ่ามือประทับลงบนผิวของเขา
ดวงตาสีราวกับท้องฟ้ายามวิกาลก็เปิดขึ้น
เฮอร์ไมโอนี่ไม่เหลือเวลาที่จะถอยไปตั้งหลักด้วยซ้ำในขณะที่เขาฉวยข้อมือเธอไว้แล้วพลิกเธอลงอยู่ใต้ร่างของเขา
คนที่คร่อมสะโพกของเธออยู่นั้นมีเพียงร่องรอยของความสับสนและความหวาดหวั่นที่เป็นผลจากฝันร้ายเจืออยู่บนใบหน้า
เขาจ้องมองเธออยู่แบบนั้น ใกล้เสียจนเส้นผมของเขาสัมผัสคิ้วของเธอได้
“เดรโก”
แม่มดสาวสูดลมหายใจ ไม่นึกกลัวดวงตาเลื่อนลอยของเขา “ใจเย็นก่อน นี่ฉันเอง”
ใบหน้าของเขาดูอ่อนลงหลังจากได้ยินคำนั้นแต่ยังคงกระชับข้อมือเธอไว้อย่างนั้น
เฮอร์ไมโอนี่ใช้อีกมือที่เหลืออยู่ยกขึ้นประคองใบหน้าของเขาไว้ แล้วค่อย ๆ
ใช้นิ้วหัวแม่มดไล้ที่แก้มเย็นชืด เขาไม่ได้ปัดมือเธอทิ้งอย่างที่คิดเอาไว้
แต่ก็ยังเหม่อลอย เขาคงอ่อนล้าจากฝันร้ายที่ทำให้เหน็ดเหนื่อยแต่กระนั้นเธอก็ยังสังเกตเห็นแววกระวนกระวายที่แฝงอยู่ในดวงตา
“ไม่เป็นไรนะ”
เธอปลอบประโลมเขา “ไม่เป็นไรแล้วนะ”
เปลือกตาของเขาค่อย
ๆ หรี่ลงจนแทบจะปิดไปพร้อมกับลมหายใจที่เป่ารดใบหน้าก็กลับเข้าสู่จังหวะปกติ
ร่างกายของเขาไม่สั่นอีกต่อไปแล้วแต่เธอก็ยังคงประคองใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างนั้น
หวังว่าเขาจะตื่นขึ้นเต็มตา และเพียงไม่นานดวงตาที่เลื่อนลอยก็มองเห็นเธอ ดวงตาสีจางคล้อยมองลงมายังตัวเธอที่อยู่เบื้องล่าง และในตอนนั้นเฮอร์ไมโอนี่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอไม่มีความคิดจะปฏิเสธเขาแม้แต่น้อย
เธอปล่อยให้ริมฝีปากของเขาทาบทับลงมาอย่างเต็มใจ
ถึงจูบเสมือนครั้งแรกของพวกเขาจะอ่อนบางและเต็มไปด้วยความถามมากมาย
แต่การเชื่อมเข้าหากันอีกครั้งนี้หนักแน่นและแนบสนิท ความรู้สึกแผดเผาระหว่างปากของพวกเขาทำให้เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปว่ายอมแพ้ให้กับเขา
เมื่อเรียวลิ้นของเขาเลียสัมผัสที่ริมฝีปากล่างแผ่วเบา
เธอก็ตอบสนองเขาด้วยการดูดดุนริมฝีปากของเขา เสียงทำนองฉ่ำชื้นดังสลับกับท้วงทำนองของหัวใจอยู่เนิ่นนานก่อนพวกเขาจะหยุด
เขาใช้หน้าผากทาบทับหน้าผากของเธอเอาทั้งที่ริมฝีปากยังคงคลอเคลียไม่ห่าง
เฮอร์ไมโอนี่เกร็งตัวต่อสู้กับกระแสคำถามมากมายที่กำลังจะระเบิดทะลักออกทั้งทางหูและหัวใจ
เธอค่อย
ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแล้วพบว่าเดรโกอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นแต่ใบหน้ากลับเปี่ยมสุข
กลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์เบาบางฟุ้งกำจายออกมาจนเธออยากจะกอดเก็บมันเอาไว้ด้วยการคงนิ่งไว้เช่นนี้เนิ่นนาน
“เกรนเจอร์...”
เขาพึมพำสะลึมสะลือ เหมือนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่านี่ก็คือเธอหรือไม่
เธอไม่กล้าขยับเมื่อเขาค่อย
ๆ เคลื่อนตัวลงนอนด้านข้าง
ดวงตากลมเฝ้ามองเขาอยู่แบบนั้นพยายามค้นหาสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาไม่ชอบใจในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
แต่เขาทำแค่เพียงหลับตาลงแล้วดึงผ้าห่มคลุมร่างกาย
เฮอร์ไมโอนี่ตั้งใจว่าจะลุกออกไป แต่เสียงละเมอของเขาก็ดังขึ้นหยุดเธอไว้
“อยู่ด้วยกัน”
เธอกระพริบตามองเขาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เขากำลังร้องขอทั้งที่เขาดูตัดขาดจากโลกภายนอกไปเรียบร้อยแล้ว
นี่เธอคิดไปเองหรือเปล่า ? บ้าจริง ถ้านี่ไม่ใช่การปรุงแต่งขึ้นเอง เธอก็อยากจะอยู่กับเขา...
ตรงข้ามกับสิ่งที่รู้ว่าควรทำ
เธอถัดตัวเข้าสู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขา พยายามเลิกสนใจเสียงที่ดังก้องภายในกะโหลกว่านี่จะเป็นการตัดสินใจที่โง่เข้าที่สุด
และเมื่อยามเช้ามาถึงมันก็จะย้อนกลับมาตบหน้าเธออย่างสาสม
เฮอร์ไมโอนี่เว้นระยะระหว่างพวกเขา
คาดหวังอย่างสิ้นหวังว่าอย่างน้อยมันอาจจะทำให้เรื่องเลวร้ายดีขึ้นนิดหน่อย(ถ้าหากว่ามันจะเลวร้ายจริง
ๆ) เธอขยับตัวให้พอเหมาะก่อนจะร่ายคาถาอบอุ่นอีกครั้งแล้วในที่สุดความอ่อนล้าก็เข้าแทรก
ดวงตาของเธอยังคงเฝ้ามองใบหน้าของเขาขณะที่เปลือกตาค่อย
ๆ ปิดลง และก่อนที่เธอจะจำนนต่อความฝันอันแสนอันตรายของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่ก็เคลื่อนนิ้วมือเรียวไปแตะค้างไว้ที่ริมฝีปากที่สั่นระริกของเขาแล้วจึงผ่อนลมหายใจหวานแว่วแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
เสียงร้องของพวกนกในยามเช้าค่อย
ๆ ปลุกให้เดรโกตื่นขึ้น
จิตใต้สำนึกบางส่วนกำลังบอกกับเขาว่านี่เป็นเช้าแรกในชั่วระยะหนึ่งที่นอกหน้าต่างไม่มีสายฝนปรอย
และมากไปกว่าเรื่องสภาพอากาศ สิ่งที่แปลกไปก็คือหมอนที่ทำให้เขาต้องรีบลืมตาขึ้น
อะไรเนี่ย...
เส้นผมเป็นลอนเกรียวของเธอพาดทับแก้มของเขาเอาไว้
และนาทีนั้นเองเขาก็ตระหนักได้ว่าความฝันของเขาเมื่อคืนมันเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไปจากฝันร้ายเกี่ยวกับคืนนั้นบนหอคอย
กลายเป็นเรื่องจูบกับเจ้าหญิงแห่งกริฟฟินดอร์ สิ่งที่เขาจำได้มันเลือนรางจนแทบจะอธิบายอะไรไม่ได้
ซึ่งปกติความฝันก็เป็นแบบนั้น ดังนั้นนี่ก็ควรจะเป็นเพียงความฝัน แค่ฝันเท่านั้น
แต่ก็แปลกมาก
ริมฝีปากของเขาดันรู้สึกอ่อนไหวเหลือเกินในเช้าวันนี้
เขาเฝ้ามองคนที่อยู่ข้าง
ๆ ด้วยความงุนงง ก่อนจะพบว่าใบหน้าทรงเสน่ห์ของเธอนั้นกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเขาจะสามารถตื่นมาเจอได้ในรอบหลายเดือนนี้แล้ว
เธอดูเย้ายวนจนแทบจะไม่น่าเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริง ทั้งที่เขาได้เห็นเพียงใบหน้าผ่อนคลายกับลมหายใจที่สม่ำเสมอเท่านั้น
แต่เพียงดวงตาเลื่อนมองไปเห็นริมฝีปากอิ่มเขาก็เริ่มสงสัยว่า...
เลิกคิดอะไรโง่
ๆ ก่อน
ปกติเขาก็รู้สึกว่าในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นของเธออยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปในนั้นแล้ว
เดรโกเอาแต่คิดวนไปมาในหัวว่าควรจะสัมผัสเธอดีไหม
ใจหนึ่งก็คิดว่าบางทีจินตนาการของเขาอาจจะก่อตัวรวมกันจนกลายเป็นมวลพลังงานภาพหลอนขึ้นมา
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตัดสินใจอะไร ดวงตาสีอำพันก็ค่อย ๆ ปรือขึ้น
พวกเขาประสานสายตากันเนิ่นนั้น โดยมีความรู้สึกเก้อเขินสะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ
แลกกันกับร่องรอยความสงสัยที่สะท้อนอยู่มากมายในดวงตาของเขา
“เธอมาทำอะไรที่นี่
เกรนเจอร์” เขาทำลายความเงียบลงด้วยใบหน้าตึงเขม็ง แล้วมองเธอด้วยดวงตาคมกริบที่ทำให้ความกังวลมากมายระเบิดตูมในหัวเธอ
“เกรนเจอร์ -”
“ฉัน...”
เธอค่อย ๆ เกริ่น “ฉันคิดว่านายอาจจะหนาว”
เขาขมวดคิ้วมอง
“อะไร -”
“ก็เลยเอาผ้าห่มมาเสริมให้”
เสียงสั่นพยายามอธิบาย “และ...และนายบอกให้ฉันอยู่ด้วย”
เขาแค่นเสียงหยัน
แม้ว่าภาพทรงจำเลือนรางจะเริ่มตรงเข้ามาทักทาย เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงห้วงฝันน่ารำคาญที่กำลังก่อตัวเด่นชัดราวกับเป็นความทรงจำ
เดรโกพยายามสลัดความคิดก้ำกึ่งพวกนั้นออกไปและแย้งกับตัวเองว่าคนอย่างเขาไม่มีทางร้องขอให้เธออยู่ด้วย
แต่คำสารภาพแผ่วเบาที่ตามออกมาทีหลังก็ทำเอาสมองของเขาหยุดทำงานลงฉับพลัน
“ฉันเอง...ก็อยากอยู่”
ดวงตาเย็นเยียบของเขาเบิกกว้างสำรวจใบหน้าของเธอครู่หนึ่ง
จากนั้นในที่สุดแรงกระตุ้นมหาศาลที่เขาไม่อาจต้านทนก็ครอบงำเขาไว้ได้ เขาคว้าข้อมือเธอเอาแล้วดึงเข้ามาหา
เพียงชั่วอึดใจการประทับจูบที่สติครบถ้วนที่สุดก็เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
ร่างสูงพลิกคนตัวเล็กเอาไว้ใต้ร่างด้วยความชำนาญราวกับคุ้นเคยกับเธอมานาน
ฝ่ามือเล็กไล้ระไปตามลาดไหล่และลำคอในขณะที่เขาค่อย ๆ แทรกผ่านเข้ามาภายในปาก
ความขับข้องใจและโทสะทั้งหมดพังทลายแล้วไหลเลื่อยผ่านเข้าสู่ริมฝีปากของเธอ
เดรโกดื่มด่ำกับรสสัมผัสที่เธอตอบสนองให้อย่างสมบูรณ์แบบ มันหลอกล่อให้ฝ่ามือของเขาหลงทางอยู่ภายใต้เส้นผมของเธอพอกันกับตัวเองที่ไม่อาจผละออกจากเธอได้
เสียงหายใจของหญิงสาวทำให้เขาไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้
ทั้งการเคลื่อนไหวใต้ร่างและเสียงกระซิบแผ่วที่ทำให้เลือดทั้งร่างพร้อมกันสูบฉีดไปในทิศทางเดียวกัน
แต่ความจริงของอาการเขม่นที่สัดส่วนใต้หน้าท้องก็ทำให้เขารู้สึกถึงความจริงมากจนเกินไป
มันดึงเขากลับเข้ามาสู่ความจริงอันหนาวเหน็บอีกครั้ง
เดรโกกระชากตัวเองให้ออกห่างจากเธอพร้อมคำรามเสียงต่ำในลำคอ
เขาถอนตัวออกมานั่งที่ปลายเตียงพร้อมร่างกายที่สั่นไปด้วยโทสะที่กำลังคืบคลานไปทั่วร่าง
เขากำหมัดแน่นจนรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นตั้งแต่แขนไปจนถึงบ่าไหล่
นี่มันเป็นภาพหลอนที่มากไปอีกขั้นและทำให้เขาขยะแขยงในความเป็นตัวเองไปอีกขั้น
บางทีมันอาจจะเป็นจุดสุดยอดของสงครามบ้าบอระหว่างเธอกับเขาแล้ว และเขาหวังเหลือเกินว่านี่จะเป็นจุดสูงสุดเท่าที่เขาจะพาตัวเองมาถึงได้แล้ว
เขาได้ยินและรับรู้ได้ถึงการขยับตัวของเธอ
เขาอยากให้เธอรีบออกไปก่อนที่อารมณ์ของเขาจะกลับมาอีกครั้ง เขากำลังรู้สึกได้ถึงความเคียดขึ้งที่เกิดขึ้นทั้งกับเธอและตัวเอง
ความร้อนกำลังลุกโชนในดวงตาของเขาเสมือนเปลวไฟกำลังเผาไหม้
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเธอลุกจากเตียงไปแล้ว
แต่ทำไมเขายังไม่ได้ยินว่าเธอออกจากห้องไปอีก ?
“เดรโก
-”
“ออกไปเถอะ”
เขาเอ่ยตอบเสียงเย็นโดยที่ยังคงก้มหน้าต่ำ “ปล่อยฉันไว้คนเดียว -”
“แต่ฉัน
-”
“ก็บอกให้ออกไปไง!” เขาลุกขึ้นยืนแล้วหันกลับมาประจันหน้ากับเธอด้วยสีหน้าเหยียดหยัน
“เดี๋ยวนี้ -”
“ไม่!” เธอโต้กลับ ยืดหลังขึ้นพร้อมต่อรอง “เรามีเรื่องต้องคุยกัน
-”
“ไม่มีอะไรต้องคุยทั้งนั้น!” เขาแย้ง “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น -”
“น่าสมเพช!” แม่มดสาวว่าแล้วยกนิ้วที่สั่นเทาชี้ตรงไปที่เขา “จะปฏิเสธความจริงไปถึงเมื่อไหร่
-”
“เพราะว่าแม่งไม่ใช่ความจริงไง!” เขาส่งเสียงขู่ “เรื่องที่เกิดขึ้นในคุกเวรนี่ไม่มีอะไรจริงสักอย่าง
-”
“นี่นาย
-”
“มันเป็นความผิดพลาด”
เขาว่าต่อ “เรื่องบ้านี่มันทำให้ฉันเป็นบ้า!
ฉันไม่มีทางลดตัวมายุ่งกับเธอ ถ้าหากไอ้พวกเวรนั่นไม่บังคับให้ฉันต้องมาอยู่ที่นี่
-”
“เรื่องนั้นมันเกี่ยวกันหรือไง -”
“งี่เง่า!”
“ถึงจะถูกบังคับให้อยู่ที่นี่
แต่นายก็ยังใช้ชีวิตในแบบที่นายอยากใช้ ไม่มีใครเขาไปบังคับให้นายทำอะไรสักอย่าง!” เธอโต้กลับอย่างโมโห “และนายก็ต้องยอมรับมัน -”
“แล้วสิ่งที่เธอทำล่ะเกรนเจอร์
?” เขาถามด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การนอนเตียงเดียวกับผู้เสพความตายมันเป็นสิ่งที่พวกคนดีสีโคลนอย่างเธอทำกัน
?”
สีหน้าของเธอบึ้งตึงในทันที
“ฉันคงต้องโทษการตัดสินใจป่วย ๆ และสติสตังที่ -”
“งั้นฉันจะโทษว่าเป็นเพราะเธอและนังแก่นั่นที่ทำให้สติสตังฉันเป็นแบบนี้!” เขาตะคอกก่อนจะหยุดชั่วอึดใจ “นี่เป็นแผนการบ้าบอของเธอหรือเปล่าเกรนเจอร์
? เธอกับนังแก่หนังหยานนั่นกำลังวางแผนจะทำอะไรใช่ไหม ?”
“นี่พูดอะไรบ้าอะไรของนาย
-”
“ก็พูดถึงเธอกับมักกอนากัลไง”
เขาโวยด้วยน้ำเสียงต่ำ “มีแผนส้นตีน ๆ อยู่ใช่ไหม ?
ให้ท่าผู้เสพความตายแล้วก็ลวงเอาข้อมูลของโวลเดอร์เหมือนพวกผู้หญิงอย่างว่า -”
“พ่อนายสิ -”
“แปลว่าเป็นแผนสินะ”
เขาลากเสียงลอดไรฟัน “หลอกฉันแล้วก็ตลบหลังฉันด้วยการปล่อยข่าวเรื่องพวกนี้ -”
“นี่มันจะไร้สาระกันไปใหญ่แล้วนะ!” เธอพ่นลมหายใจอย่างหมดความอดทน
เขาชะงัก
“เออ มันจะไปกันใหญ่แล้ว” เขาคำราม “บางทีมักกอนากัลคงจะเห็นว่าเธอมีแรงดึงดูดทางเพศกับพวกโทรลล์เน่าหนอนวพวกนั้นด้วยเหมือนกัน!”
เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ฉายวาบขึ้นในดวงตาของเธอ
และวินาทีนั้นเสียงที่เกือบจะเรียกว่ารู้สึกผิดก็ปรากฎขึ้นภายในหัวใจ
“มันไม่มีการวางแผนอะไรทั้งนั้นแหละ”
เธอพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากทิ้งให้ความเงียบเข้าครอบคลุมพักใหญ่ “นายอยากจะเชื่อแบบไหนก็ได้
แต่สิ่งที่ฉันอยากได้จากนายก็มีเพียงแค่ทำให้นายตระหนักได้ว่าเลือดสีโคลนก็เป็นมนุษย์
ฉันเองก็เป็นมนุษย์”
เขายังคงนิ่งงันตั้งใจอย่างมากไม่ให้สีหน้าอ่อนลงเพราะความไม่แน่ใจ
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมักเกิ้ลคนอื่น ๆ และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่ได้สนใจเป็นทุนเดิม
สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมักเกิ้ลมีเพียงเธอ เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่เขาไม่อาจเข้าใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องยอมรับอย่างช่วยไม่ได้ว่ามันทำให้เขาหลงใหลในตัวเธอ
เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาทำให้อคติในกะโหลกของเขาสั่นคลอนและเริ่มทำให้เขาตั้งคำถามกับสิ่งต่าง
ๆ มากมายที่เขาเรียนรู้มาตลอดชีวิต เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีจูบที่แสนอ้อยอิ่งหากแต่แผดเผา...
“ฉันไปล่ะ”
เธอพึมพำแล้วหันหลังตรงไปยังประตู “แต่ยังไงก็อยากให้นายลองคิดดูนะเดรโก
ถ้าหากฉันเป็นเลือดบริสุทธิ์คนหนึ่งและนิสัยก็เป็นแบบนี้
นายจะยังปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นเช้านี้อยู่อีกไหม ?”
ก่อนที่คำพูดดุร้ายจะถูกคายออกจากปากที่ยังคงเต็มไปด้วยสัมผัสของเกรนเจอร์
เธอก็เหวี่ยงประตูเปิดออกแล้วกระชากปิดเสียงดังหลังจากเดินออกไป ทิ้งเขาเอาไว้กับความหนาวเย็นและสับสน
คำถามของเธอกำลังห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ พร้อมกันกับความคิดมากมายที่หนังสือของคิงพาเขาไป
และทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่วันที่เขาถูกพามาที่นี่ก็เริ่มทำให้เขาตั้งคำถามหนักขึ้น
เขาจะปฏิเสธจูบระหว่างพวกเขาไหมถ้าหากเธอเป็นเลือดบริสุทธิ์
ไม่
ไม่มีทาง
---
เฮอร์ไมโอนี่เลี่ยงกลับเข้ามาอยู่ในห้องของเธอและพยายามสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่เอาแต่ดึงดันจะเล็ดรอดออกมา
ความจริงเธอไม่ได้เสียใจกับถ้อยคำร้ายกาจของเขาขนาดนั้น แต่เธอเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองตอบสนองต่อเขามากกว่า
เธอไม่ควรจะให้คุณค่ากับคำพูดแย่ ๆ พวกนั้น แต่หลุมศพก็อดดริก มันเจ็บเหลือเกิน
สาบานได้ว่ามันสร้างรอยแผลเล็ก ๆ เอาไว้ในอกและเธอเกลียดเขา เกลียดที่เขาทำลายช่วงเวลาที่ควรจะ...รู้สึก
หรือแม้กระทั่งอาจจะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่สุขใจ...
แต่เธอก็คิดว่ามันดีแล้ว
เธอควรจะขอบคุณเสียด้วยซ้ำ
เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ใครสักคนตระหนักได้สักทีว่าควรจบเรื่องนี้ลง
แต่ว่าทำไมเขาถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย
? ทำไมเขาถึงต้องทำให้ทุกอย่างมันยากไปหมด ? แล้วทำไมเรื่องนี้มันต้องเกิดขึ้นแต่แรกด้วย
?
นี่ฉันทำอะไรอยู่
?
มันเป็นแค่อุบัติเหตุ...ถึงจริง
ๆ จะไม่แน่ใจว่าการที่มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจะยังเรียกว่าอุบัติเหตุได้อยู่ไหมก็เถอะ
และเธอก็คิดว่ามันเรียกว่าอุบัติเหตุไม่ได้จริง ๆ
เฮอร์ไมโอนี่ปาดคราบน้ำตาให้พ้นใบหน้าด้วยฝ่ามือที่สั่นเทาแล้วสูดเอาก้อนสะอื้นกลับลงคอไป
ดวงตาสีอำพันเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาจวนจะหกโมงเช้า แม้ว่ามันจะเช้าเกินไปที่จะออกไปห้องเรียน
แต่เธอก็ต้องออกจากห้องนี้แล้ว เธอรีบจัดแจงแต่งตัวเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทั้งชุดเครื่องแบบและเสื้อคลุมประจำบ้าน
ก่อนจะรีบออกจากหอโดยพยายามไม่หันไปมองประตูห้องนอนของเดรโกอีก เธอค่อย ๆ
เดินผ่านระเบียงทางเดินที่มืดทึบจนกระทั่งเข้าสู่ตัวปราสาทพอดีกับที่แสงเจือจางของฤดูหนาวทอลงมาพอดี
ภาพที่สวยงามเบื้องหน้าทำให้เธอเกือบลืมหายใจ
แต่ขอบฟ้าสีชมพูที่ตัดแต้มด้วยสีน้ำเงินเข้มอย่างประณีตนั้นก็ไม่อาจทำให้เธอละความคิดจากเรื่องที่วนในหัวได้
เธอร่ายคาถาอบอุ่นก่อนจะเดินเตร่ออกไปด้านนอกปราสาทจนกระทั่งพบเข้ากับต้นไม้ที่ดูเป็นซากภายใต้หิมะที่หนาวเย็น
ร่างเล็กทิ้งตัวลงที่โคนต้นไม้
ก่อนจะเอนกายกระแทกพิงเข้าที่ลำต้นของมันพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อท้นออกมาอีกครั้ง
เธอจะร้องไห้หนักเท่าไหร่ก็ได้ในตอนนี้เพราะคงไม่มีใครเห็นเธอ
แต่ถึงอย่างนั้นยิ่งทำแบบนั้นเธอยิ่งรู้สึกโง่เง่า
เธอควรจะยอมรับความจริงได้แล้ว
ถึงแม้ว่าความจริงที่ว่าจะทั้งแหลกสลายและเต็มไปด้วยความผิดมากมาย
แต่การที่เธอได้รับผลกระทบขนาดนี้จากการปฏิเสธของเดรโกเมื่อเช้า มันก็ชัดเจนแล้วว่าเธอเองคงรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขา
ไม่ว่ามันจะเรียกว่าความเห็นอกเห็นใจหรืออะไรก็ตาม ความจริงเธอเกือบลืมความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธไปแล้วตั้งแต่เรื่องรอนกับลาเวนเดอร์
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เหมือนกัน
แต่เธอก็พอจะรู้ตัวว่ากำลังพยายามไม่สนใจนัยยะสำคัญที่แฝงมาพร้อมความรู้สึกนี้
เธอไม่แน่ใจว่าที่เป็นแบบนี้มันเป็นเพราะเดรโกเป็นเพียงคนเดียวที่เธอใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดนับตั้งแต่แฮร์รี่และรอนทิ้งเธอไปหรือไม่
แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้
เพราะเธอดันปล่อยให้กำแพงที่มีต่อเขามันพังลง
และในที่สุดการตัดสินใจนั้นมันก็ย้อนกลับมาทำลายเธอแบบนี้
หรืออาจเป็นเพราะความโง่ของเธอเองที่ปล่อยให้ตัวเองชินชากับกิจวัตรที่เกือบจะเรียกได้ว่าสบายใจในการมีเดรโก
และคิดเองเออเองว่าความคิดที่เขามีต่อเธอมันจะเปลี่ยนไป เธอเอาแต่หวัง...
หวังว่ามันจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรสักอย่าง...ที่ต่างออกไป...
“เฮอร์ไมโอนี่”
ร่างกายของเธอไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะสะดุ้งตกใจเพราะเสียงเรียกที่ดังขึ้น
เธอทำได้เพียงค่อย ๆ หันมองไปที่ต้นเสียง “ลูน่า” เธอผ่อนลมหายใจขณะที่สาวผมบลอนด์เข้ามาใกล้
“มาทำอะไรเหรอ ?”
“ท้องฟ้าสวยดี”
เธอตอบเสียงเรียบแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเฮอร์ไมโอนี่ “แถมยังเป็นเวลาเหมาะเจาะที่จะมาดักรอพวกเซฟฟิล
ว่าแต่ทำไมตื่นเช้าจัง ?”
“อยากตื่นมาสูดอากาศสักหน่อยน่ะ”
เธอถอนหายใจแล้วพยายามปาดน้ำตาที่เหลืออยู่ให้หมดไป “แล้ว -”
“ปากเธอดูไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”
ลูน่าพูดเนิบช้า “แพ้ผึ้งอีกหรือเปล่า ?”
“อะไรนะ
? อ๋อ ใช่ หมายถึง ไม่” เฮอร์ไมโอนี่ตอบตะกุกตะกัก
พยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด “ไม่เกี่ยวกับผึ้งหรอก
อาจจะเป็นเพราะอย่างอื่นมากกว่า”
“แล้วอย่างนั้นคืออะไรล่ะ
?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันน่ะสิ”
เธอไหวไหล่ พยายามยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเพื่อตรวจดูว่ามันแปลกไปยังไง “แต่เห็นได้ชัดว่า
มันไม่ค่อยโอเคแน่ ๆ”
“ฉันว่าก็เข้ากับเธอดีนะ”
ลูน่าฉีกยิ้มแล้วมองออกไปยังแสงตะวันออก “แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ว่าน่าจะทำให้เธอแพ้หนักกว่าที่ผ่านมาเลยนะ”
“ยังไงนะ
?”
“ก็แก้มแดง
ๆ แล้วน่ะ” เธอตอบอย่างไม่มีนัยยะอะไร “และตาก็ดูฉ่ำ -”
“อาจจะเพราะอากาศหนาวก็ได้
ว่าไหม” เฮอร์ไมโอนี่พยายามปฏิเสธเสียงแผ่ว
“ม่าย”
เรเวนคลอสาวส่ายหน้า “ต้องเป็นเพราะอะไรสักอย่าง แต่ยังไงเธอก็ดูสวยขึ้นเพราะมันนะ
เฮอร์ไมโอนี่”
คนฟังได้แต่ยิ้มแหย
“ขอบคุณนะ”
“ได้ยินว่าเสาร์นี้เธอจะไปฮอกส์มี้ด”
ลูน่าพูดเนิบ ๆ ขณะที่แสงสีทองประกายตกกระทบลงบนใบหน้า “กับไมเคิล ใช่ไหม ?”
“อ้อ
ใช่” เธอพยักหน้า “อยากได้อะไรหรือเปล่า ?”
“ช่วยซื้อไม้กายสิทธิ์ชะเอมจากร้านฮันนี่ดุ๊กส์ให้หน่อยได้ไหม
?”
เฮอร์ไมโอนี่นิ่วหน้า
“จำได้ว่าเธอไม่ชอบไม่ใช่เหรอ ?”
“ไม่ชอบ”
เจ้าของเรือนผมสีบรูเน็ตต์เอียงคอมองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
ลูน่ายังคงดูเป็นลูน่าเหมือนเดิม แต่ดวงตาที่สวยสะดุดตานั้นก็ดูเหมือนจะเจือเสน่ห์บางอย่างที่เรียกว่าความลับ
– ความลับของหญิงสาว
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม
?”
สาวเรเวนคลอค่อย
ๆ หันมองเฮอร์ไมโอนี่เต็มตา “ได้สิ” เธอตอบ “จะพยายามตอบนะ”
“มีคนเห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ช่วงสุดสัปดาห์”
เฮอร์ไมโอนี่เกริ่นอย่างระมัดระวัง “เธอไปไหนงั้นเหรอ ?”
โดยปกติถ้าลูน่าไม่ชอบใจ
เธอจะไม่แสดงมันออกมา “ฉันไม่คิดว่าจะมีใครเห็นว่าฉันหายไป”
“โถ่
ลูน่า” เฮอร์ไมโอนี่ทำหน้าบึ้ง “เธอก็รู้ว่าเราเป็นห่วงเธอแค่ไหน และแน่นอนว่าเรา
-”
“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
เธอขัดคำพูดของอีกฝ่ายก่อนจะขยับริมฝีปากยิ้ม “ผู้คนมักจะไม่ได้สนใจว่าใครทำอะไรหรอก
ในช่วงสงคราม มันเป็นเรื่องปกติ ฉันแค่รู้สึกประทับใจที่มีใครสังเกตน่ะ”
“งั้นเธอไปไหนมา
?” เฮอร์ไมโอนี่ยืนกรานในคำถาม “ถ้าเผื่อว่ามีปัญหาอะไรเราจะได้หาทางช่วยได้”
ลูน่าหัวเราะคิกคักออกมาแผ่วเบาทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้องเลิกคิ้วฉงน
“ฉันสบายดีน่า” เธอวา “สบายดีมากจริง ๆ แต่เกรงว่าจะยังบอกไม่ได้ว่าฉันไปไหน”
“ทำไมล่ะ
?”
“มันจะไม่ปลอดภัยสำหรับคนอื่น”
ลูน่าพึมพำพร้อมสีหน้าครุ่นคิดและเกือบจะเปลี่ยนเป็นความกังวลภายในไม่กี่วินาที “ขอโทษนะ
มันเสี่ยงเกินกว่าจะบอกคนอื่นได้ มันไม่ใช่แค่ความลับของฉันน่ะ”
ในขณะนั้นเองเฮอร์ไมโอนี่ก็เข้าใจแล้วว่าเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องเอาความลับจากลูน่า
เพราะขนาดตัวเธอเองก็ยังมีความลับเรื่องผู้เสพความตายเก็บงำเอาไว้ในหอเช่นกัน
“เธอคงเป็นห่วงคนอื่นที่ว่านั่นสินะ”
เฮอร์ไมโอนี่ลังเลที่จะถาม “หมายถึง เขาถึงขนาดทำให้เธอยอมเสี่ยงเพราะเขาได้”
“ไม่ใช่ว่าเราทั้งหมดก็เสี่ยงกันอยู่ทุกวันอยู่แล้วเหรอ
?”
“ฉันก็แค่เป็นห่วงเธอน่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่พูดต่อเสียงเศร้า “สงครามนี่ -”
“บางทีสงครามก็นำเรื่องดีมาให้”
ลูน่าพูดขณะที่ยืนขึ้น “มันสอนให้ผู้คนรู้จักยึดมั่นในสิ่งที่รู้สึกว่าถูกต้อง
ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยงก็ตาม”
เฮอร์ไมโอนี่มองแผ่นหลังของเพื่อนสาวที่กำลังเดินกลับไปยังปราสาท
พร้อมกับคำพูดสุดท้ายของลูน่าที่ก้องกังวานไปทั้งสมอง เหมือนอย่างทุกทีที่คำพูดของเรเวนคอลมักจะทิ้งอะไรบางอย่างเอาไว้
มันก้ำกึ่งระหว่างสับสนและตื่นรู้ จนทำเอาเธอเกิดสงสัยว่าลูน่าใช้สัตว์วิเศษในจินตนาการของเธอมาสืบความลับอะไรจากเธอหรือเปล่า
เฮอร์ไมโอนี่กอดตัวเองซุกกับรากต้นโอ๊คที่เหี่ยวเฉาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นรับแสงอาทิตย์ที่สาดทอลงมา
เธอจะต้องตั้งใจกับภารกิจของภาคีแล้วปล่อยวางความหวังที่มีต่อเดรโกลง
มันทั้งไม่เข้าท่าและไร้เดียงสาเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะล่อใจเธอมากแค่ไหนก็ตาม
แต่ก็อย่างที่รู้
มันยากที่จะไม่สนใจ
ความคิดมากมายปกคลุมอยู่ภายในจิตใจของเธอจนในที่สุดมันก็ดึงรั้งเธอเอาไว้จนเข้าเรียนวิชาแรกสายจนได้
เฮอร์ไมโอนี่ได้แต่ก่นด่าสมองตัวเองที่ปล่อยให้เขาเข้ามาอยู่ในความคิด อีกแล้ว
---
ผ่านไปสองวันที่เขาสามารถหลบเลี่ยงจากเธอได้อย่างเบ็ดเสร็จ
เขาอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่และแวะออกไปเข้าห้องน้ำกับหยิบอาหารที่เธอยังทำเอาไว้ให้
เขาเชื่อว่าเธอเองก็คงพยายามจะเลี่ยงเขาอยู่เหมือนกัน และนั่นก็เป็นเรื่องดี
และจะดีกว่านี้ถ้าหากเขาไม่เริ่มทำให้มันเสียเรื่อง
คราวนี้ไม่ใช่เรื่องกลัวที่แคบอีกต่อไป
ไม่ใช่แน่นอน
เขารุ้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในร่างกายของเขา มันเรียกว่าความอยาก
อาจจะเป็นความอยากในปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น หรือบางทีอาจจะเป็นความอยากที่มีต่อเธอผู้เดียว
ความอยากเป็นเหมือนบาปที่กำลังแล่นผ่านกระแสเลือดและแผ่ซ่านไปทั่วทุกมัดกล้าม
มันทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่ก และรู้สึกคลื่นเหียนเหมือนจะอาเจียนได้ตลอดเวลา
ทั้งร่างกายยังสั่นเหมือนจะฉีกออกจากกันได้ตลอดเวลา อาการเหมือนคนเลิกยา แต่บางทีมันก็อาจจะแค่ความหนาวเย็นที่ไล่ล่าเขาก็เท่านั้น
แต่ข่าวร้ายก็คือ
ไม่ว่าสุดท้ายมันจะเป็นอาการของอะไร
แต่เขาพบว่าสิ่งเดียวที่เยียวยาเขาได้คือเสียงอาบน้ำของเธอ
ซึ่งมีเวลาเพียงสามสิบนาทีเท่านั้นตลอดวันคืนอันเลวร้ายของเขา
เขานอนลืมตามาเป็นชั่วโมงแล้วเพื่อรอฟังเสียงที่จะช่วยปลดเปลื้องความตึงเครียดออกจากร่างกายเขาได้
ถ้ามองจากตำแหน่งดวงอาทิตย์แล้วนี่คงใกล้เข้าช่วงบ่าย
หมายความว่าสุดสัปดาห์กำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขาแล้ว
เดรโกจำได้ว่าเกรนเจอร์บอกว่าจะฮอกมี้ดส์กับไอ้เรเวนคลอนั่น
แค่คิดเท่านั้นความร้อนก็เผาไหม้อยู่ในอก
เหมือนมันพร้อมจะทลายสิ้นจากโทสะที่เดือดขึ้น
ชนิดที่ว่าต่อให้ได้ยินเสียงเธอกำลังเข้าไปอาบน้ำก็ไม่อาจทำให้เขาละความคิดแล้วปลดปล่อยสมองให้เป็นอิสระอย่างที่เคยทำได้เลย
หนำซ้ำความคิดไม่เข้าท่ามากมายเกี่ยวกับการที่เธอกำลังเตรียมตัวจะออกไปเจอไอ้เวรนั่นก็ยิ่งกระหน่ำเข้ามาภายในสมอง
ความคิดเกินจริงกำลังทำให้เขาขบกรามแน่น ความเกลียดชังกำลังซัดเข้ามาหาเขา
เดรโกกำมืดแน่นจนเล็บแทงเข้าอุ้งมือ เขาทำอะไรไม่ได้
และไม่กล้าทำอะไรจนกระทั่งเฮอร์ไมโอนี่ออกจากห้องน้ำแล้วหลังจากนั้นสิบนาทีก็ออกจากหอไป
เดรโกขยับยืนด้วยหัวใจที่กระหน่ำเต้นจนอกจะระเบิด
เขาต้องทำอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ว่าก็เริ่มจากรื้อตู้เสื้อผ้าและชั้นหนังสือ
โยนของในนั้นออกแล้วเตะมันจนสารรูปไม่ต่างอะไรกับเศษไม้ ส่วนเครื่องเรือนอื่น ๆ
ก็แทบจำภาพเดิมไม่ได้ เขาเดินกลับไปที่เตียงแล้วเริ่มฉีกทึ้งทั้งผ้าปูที่นอนและหมอนจนขนที่ยัดอยู่ภายในฟุ้งกระจายไปทั่ว
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความหึงหวงดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับแรงเหวี่ยงเก้าอี้ไปยังหน้าต่าง
เขาหวังว่ามันจะสร้างสายฝนเศษกระจกได้
แต่เขาก็ทำได้เพียงมองเก้าอี้กระเด็นกลับมาโดยที่หน้าต่างไม่เป็นอะไรทั้งนั้น
เดรโกทรุดตัวลงนั่งบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษซากแห่งอารมณ์แล้วเอนหลังพิงเตียง
เขาเพียงแต่นั่งอยู่แบบนั้นพร้อมกับต่อสู้กับจินตนาการเลวร้ายเกี่ยวกับเกรนเจอร์และช่วงเวลาสุขสันต์กับคอร์เนอร์
ท่ามกลางความพินาศของห้องนอน
ความคิดบางอย่างก็ทำให้เขาสั่นไหวไปจนถึงแก่น เขาเริ่มคิดว่าต่อให้เกรนเจอร์จะพูดผิด
และเขามีสิทธิ์ที่จะชิงชังมักเกิ้ลและเลือดสีโคลนได้เพราะพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ด้อยกว่า
หรือเกรนเจอร์พูดถูก อย่างที่เธอพูดถูกเสมอมา
เขาก็เป็นเพียงไอ้โง่ที่โดนล้างสมองอยู่ดี...
คำพูดหลังจากจูบนั้นของพวกเขาแล่นเข้ามาหมุนวนภายในสมอง
สิ่งที่ฉันอยากได้จากนายก็มีเพียงแค่ทำให้นายตระหนักได้ว่าเลือดสีโคลนก็เป็นมนุษย์
ฉันเองก็เป็นมนุษย์
นายก็ยังใช้ชีวิตในแบบที่นายอยากใช้
ไม่มีใครเขาไปบังคับให้นายทำอะไรสักอย่าง
ฉันเอง...ก็อยากอยู่
แต่ถ้าเธอพูดถูกล่ะ ?
แต่ถ้าทั้งหมดที่ผ่านมามันไม่มีความหมายอะไร
?
แต่ถ้าเป็นเขาและครอบครัวที่ผิดล่ะ ?
อย่างนั้น...อย่างนั้นมันคงไม่ผิดอะไรใช่ไหมถ้าหากเขาอยากจะสัมผัสเธอ
แต่เรื่องบ้าอะไรทำไมเธอถึงต้องอนุญาตด้วย ?
ถ้าหากเธอพูดถูก
เขาก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องเชื่ออะไรอีก
เขานิ่งงันอยู่แบบนั้นจนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง
ความคิดดึงเขาให้จมดิ่งลงไปภายในเสียงอื้ออึงของสมอง – เสียงจากภายในดังเกินไป จนทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าเธอได้กลับมาแล้ว
ไม่สังเกตแม้แต่เสียงเคาะประตู ไม่สังเกตแม้แต่เสียงเรียกชื่อ
เฮอร์ไมโอนี่พบเขาตอนที่ใกล้ค่ำแล้ว
สิ่งที่เห็นคือร่างสูงที่นั่งจมอยู่ท่ามกลางความวิปโยคที่เขาได้สร้างขึ้น
ดวงตาสีอำพันไล่มองไปทั่วห้องด้วยความสับสนก่อนจะเหลือบมองไปยังเดรโกที่นั่งอยู่กลางห้อง
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดเกิดขึ้นภายในอกเมื่อเห็นเขาตัวสั่นน้อย ๆ
แถมยังเอาแต่นั่งอยู่แบบนั้นไม่พยายามหาความอบอุ่นให้ตัวเอง ดวงตาของเขาว่างเปล่า
เธอไม่เห็นว่าเขากำลังมองไปที่สิ่งใดเป็นพิเศษ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขาทำให้เธอนึกถึงคืนที่เขาฝันร้ายและนำพาพวกเขาเข้าสู่จูบต้องห้ามทั้งสองครั้ง
ความห่วงใยแล่นเข้าใส่เธออย่างเป็นธรรมชาติ
ร่างเล็กทิ้งกระเป๋าและรีบวิ่งเข้าไปหาเขา คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วประคองใบหน้าของเขาเอาไว้ด้วยฝ่ามือที่เย็นเฉียบ
แววตาการรับรู้และประกายในดวงตาสีซีดทำให้เธอผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกขณะที่ไล้นิ้วหัวแม่มือไปกับแก้มของเขา
“เดรโก”
เธอกระซิบใกล้กับริมฝีปากของเขา “มองฉันหน่อยเดรโก เกิดอะไรขึ้น ?”
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากแล้วหลับตาลง
“ฉันอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วเกรนเจอร์”
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาด้วยควางุนงงแล้วรีบนับวันเวลาภายในหัว
“กว่าห้าสัปดาห์แล้ว” เธอตอบ “สามสิบเจ็ดวันนะ คิดว่า”
“เหมือนนานกว่านั้นเลย” เขาพึมพำ
“ทำไมห้องเป็นแบบนี้ล่ะ ?”
เธอถามเสียงแผ่วแล้วใช้อีกมือหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา “เดรโก -”
“ไม่รู้” เขาโพล่งตอบ
แต่เธอกลับรู้สึกถึงความผ่อนคลายที่ส่งผ่านมาถึงฝ่ามือของเธอ “ไม่รู้เลย”
“เดี๋ยวฉันเก็บกวาดให้นะ”
เธอบอกแล้วตวัดไม้กายสิทธิ์ “อยู่เฉย ๆ นะ โอเคไหม ?”
เขาไม่ได้ตอบอะไรขณะที่ร่องรอยอารมณ์ของเขากำลังค่อย
ๆ เก็บกวาดตัวเองเข้าสู่สภาพปกติ เขาสงสัยว่าทั้งหมดนี้มันเป็นการถากถางเขาหรือไม่
เขาไม่รู้ว่าทำไมเกรนเจอร์ถึงพยายามจะซ่อมแซมมัน เขาคิดไม่ออกเลยว่าเหตุผลของเธออคืออะไร
แต่สมองของเขาก็เลิกที่จะไม่สนใจมันอีกต่อไป แทนที่จะเอาเวลาไปสงสัยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เขาจึงใช้เวลาระหว่างนั้นเฝ้ามองใบหน้าของเธอ
พยายามค้นหาสิ่งใดก็ตามที่พอจะบอกได้ว่าเธอด้อยกว่าเขา
แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาไม่พบอะไรเลย
ไม่มีอะไรที่เขาจะเกลียดได้ลง
ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
“ตัวเย็นไปหมดแล้ว”
เธอว่าหลังจากที่หันกลับมาสนใจเขาอีกครั้ง “เดี๋ยวฉัน -”
“ไม่ต้อง” เขาพูดโดยไม่มีโทนเสียงเดียดฉันท์ใด
ๆ “ฉันไม่เป็นไร เกรนเจอร์”
เธอนิ่วหน้าแต่ไม่ได้เถียงออกไปเพราะรู้ว่าจะทำให้เขาหนักใจเปล่า
ๆ “ฉันเอาของที่นายฝากซื้อมาให้” เธอบอกแล้วหยิบกระเป๋าของเธออกมา สะบัดไม้กายสิทธิ์อีกครั้ง
ขณะที่เดรโกเฝ้ามองอย่างไม่เต็มใจนัก ผ้าม่านและผ้าปูเตียงสีเขียวค่อย ๆ
พาตัวเองไปอยู่ในที่ของมัน และขนมทุกอย่างที่ขอก็พากันลอยไปอยู่บนโต๊ะที่เพิ่งซ่อมเสร็จ
“เดรโก มันเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมห้องถึง -”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้” เขาตอบเสียงเรียบ
“ฉันแค่ทำไปแบบนั้น”
“นายดูไม่ค่อยโอเคเลย” เธอพึมพำบ่นแล้วประทับฝ่ามือลงบนหน้าผาก
“ให้ฉัน -”
“ไม่ต้อง”
เขาหยุดเธอไว้อีกครั้งขณะที่หลับตาแน่น “ออก...ออกไปเถอะ”
“เดรโก นายกำลังทำให้ฉันเป็นห่วงนะ -”
“จะมาห่วงคนที่เธอไม่ชอบทำไม ?”
เฮอร์ไมโอนี่เอียงคอสบตาเขา “ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้เกลียดนาย
-”
“ก็ควรจะ” เขาบอกชัดถ้อยชัดคำ “เธอควรเกลียดฉัน”
“ไม่ล่ะ”
เธอเถียงเสียงเรียบแล้วขยับเข้าไปใกล้เขา “ฉันอาจจะต้องทำแบบนั้น
แต่ฉันทำไม่ได้หรอก -”
“อย่างนั้นเธอรู้สึกยังไงกับฉันกันแน่
เกรนเจอร์ ?”
“คำถามนี้อีกแล้วเหรอ ?”
เธอถอนหายใจแล้วหลุบตามองฝ่ามือที่ประสานกันอยู่บนตัก “ไม่รู้สิเดรโก”
“เธอคิดว่าฉันชั่วช้าไหมเกรนเจอร์?”
เขาถามตรงไปตรงมา
“ไม่เลย” เธอตอบอย่างไม่ลังเล “นายแค่...เลือกทางผิด
นายเป็นมนุษย์คนหนึ่งเดรโก และนายมีสิทธิ์ที่จะทำผิดพลาด
ซึ่งฉันเกลียดนายแค่เพราะเรื่องนั้นไม่ได้หรอก”
เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอแล้วผ่อนลมหายใจ
“ฉันควรจะเกลียดเธอ”
“ควรจะ ?”
เธอย้ำคำด้วยน้ำเสียงตั้งคำถาม “แปลว่าไม่ได้เกลียดแล้วเหรอ ?”
“ไม่รู้สิ”
เขาพึมพำเสียงแผ่วจนเธอไม่แน่ใจว่าเขาพูดว่าอะไรกันแน่ “ฉัน...สับสน”
คำสารภาพของเขาทั้งอ่อนไหวและเต็มไปด้วยคำถาม
ซึ่งเธอพบว่าเธอกำลังมีกำลังใจจากคำถามของเขา
ความหวังกลับมาเบ่งบานภายในใจของเธออีกครั้งโดยที่เธอไม่อาจจะเพิกเฉยต่อมันได้อีก
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธอต้องการมาตลอด ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งยืนยันกับเธอแล้วว่าเขากำลังตั้งคำถามกับอคติของเขาอยู่จริง
ๆ
ความกล้าหาญอย่างกริฟฟินดอร์หวนกลับมาอีกครั้ง
มันพาเธอค่อย ๆ ขยับเข้าไปหาเขา
แทรกตัวเข้าไปนั่งอยู่ระหว่างท่อนขาของเขาแล้วทิ้งน้ำหนักซบลงที่แผงอกแกร่ง
เธอคิดว่าเขาคงจะผลักไสท่าทีหน้าไม่อายของเธอ แต่แล้วเขาก็ไม่ทำ
ร่างสูงปล่อยให้เธออิงซบที่ลาดไหล่กว้าง เขาทำเพียงแต่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้น
ส่วนเธอกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างไม่อาจอธิบาย
ความอบอุ่นในช่วงเวลาต้องห้ามแทบจะดึงเธอให้เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที
“นี่มันไม่ได้สำคัญอะไร” เธอได้ยินเสียงเดรโกกระซิบแผ่วที่ข้างหูเหมือนกับพูดกับตัวเอง
“ไม่มีความหมายอะไร”
“ฉันรู้” เธอกระซิบตอบ
เดรโกรู้ดีว่านี่เป็นความผิดพลาดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ะหลังจากที่เขาพยายามปฏิเสธเธออยู่สองวันเต็ม เขาก็ไม่อาจห้ามความปรารถนาที่มีต่อเธอได้อีก
เขาใฝ่ใจในตัวเธอมากเกินกว่าจะผลักไสเธออกไป
แม้ว่าจะรู้ดีว่าเมื่อตอนเช้ามาถึงเขาจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจนี้
แต่เขาก็ต้านทานผลของการมีเธอไม่ได้จริง ๆ
เข็มนาฬิกาเพิ่งบอกเวลาสองทุ่มแต่ในเวลานั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ผล็อยหลับไปเรียบร้อยแล้ว
พร้อมกันกับเดรโกที่คล้อยตามไปติด ๆ
โดยไม่ทันได้สังเกตว่าบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
เขาเองเปลี่ยนไปแล้ว
----
สวัสดีค่ะ
ช่วงนี้สำนวนยังไม่ค่อยกลับมาเข้าที่เข้าทาง อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะโอเคขึ้น ; w ; ขอโทษด้วยนะคะ
และขอบคุณที่ยังคงชื่นชอบงานแปลของเราน้า ทุกคอมเม้นทำให้เรามีกำลังใจจะไปต่อมาก ๆ เลยยยย
สำหรับเรื่องนี้ก็ตั้งใจว่าใน 1 วันจะแปลให้ได้ 1 ตอนค่ะ พักอัพนานสุดไม่เกิน 3 วัน จะได้ไปต่อกันเรื่อย ๆ และจบเร็ว ๆ เย้
ยังไงก็ฝากติดตามไปพร้อม ๆ กันนะคะ ฝากเม้น ฝากไลก์เป็นกำลังใจด้วยน้าา
รักนะคะ
โมนิค
ความคิดเห็น