คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 11 : Doubt [100%]
โคตรแย่
ยากจริง
ๆ
ยากมาก...
เดรโกแทบจะหลับตาลงไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีหลังจากการค่ำคืนอันยาวนานได้ผ่านไป
เขาพยายามจะข่มตานอนให้ได้แต่รู้ตัวอีกทีแสงแดดรำไรก็ทอประกายผ่านบานหน้าต่างเข้ามาทักทายเสียแล้ว
เช้านี้เดรโกไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่าความสับสน เขายังคงคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเกรนเจอร์
ยิ่งรวมเข้ากับอาการขุ่นมัวตกค้างจากการนอนไม่หลับ ยิ่งทำให้เช้านี้ไม่ใช่เช้าที่สดใสของเขาเอาเสียเลย
เดรโกเปลื้องชุดทั้งหมดออกจากตัวเพียงหวังว่าอย่างน้อยสายลมเย็น ๆ หรือแสงอาทิตย์อันอบอุ่นจะช่วยให้เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตขึ้นมาบ้าง
แต่สิ่งที่เป็นจริงยิ่งกว่าคือมันทำให้เขารู้สึกเหมือนซากศพที่ยังมีชีวิต
ฟังจากเสียงกุกกักภายในครัว
นี่คงถึงเวลาที่ปกติเขากับเกรนเจอร์จะต้องได้เจอหน้า ได้พูดคุยกันแล้ว
แต่สำหรับวันนี้ความรู้สึกที่เขามีต่อช่วงเวลาที่ว่ากลับต่างออกไป
เขาทั้งไม่อยากให้มันมาถึง ทั้งเฝ้ารอมาตลอดทั้งคืนในฐานะที่มันคือกิจวัตรน่าขยะแขยงของเขา
เดรโกเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวของเธอพร้อมฝ้าเหงื่อที่ผุดซึมออกมาตามรูขุมขน
แค่คิดว่าตัวเองอาจจะพุ่งไปลิ้มรสริมฝีปากของเธออีกครั้ง
จุดอ่อนไหวที่ต่ำไปก็เริ่มเขม่นขึ้นอีกครั้ง - มันเอาอีกแล้ว
ยากจังวะ
เขาพยายามจะขุดหลุมฝังความคิดพวกนั้นให้ลึกที่สุด
แต่สมองของเขาฟุ้งซ่านเกินกว่าจะต้านทานอาการแข็งขึงที่เกิดขึ้นบนร่างกายได้ ก้อนความรู้สึกขนาดใหญ่จุกกองอยู่ในลำคอขณะที่เขาแทบจะบอกได้เป็นฉาก
ๆ จากเสียงที่ได้ยินว่าเกรนเจอร์น่าจะกำลังปลดชุดลงกองกับพื้น
ยิ่งพยายามข่มตาลงเพื่อตั้งสมาธิแต่ในดวงตากลับฉายเพียงแต่ภาพอันตรายที่มีต่อเธอเท่านั้น
ในที่สุดเขาก็ยอมจำนน มันยากเกินกว่าเขาจะต้านทานต่อภาพจินตนาการเหล่านั้นได้
และเขาก็อ่อนล้าเกินกว่าจะต่อสู้กับมัน
มันยากเพราะมันกำลังแข็ง
แม้จะเคยเผชิญกับจินตนาการเรื่องเพศมามากมายแต่ครั้งมันต่างไป
สิ่งที่เป็นเธอมันเรียบง่าย แต่กลับแจ่มชัดอยู่ภายในใจ
ในหัวของเขาเกรนเจอร์ก็ยังเป็นเกรนเจอร์ ทั้งเส้นผมเป็นลอนที่ทิ้งตัวระไหล่
ทั้งสีหน้าครุ่นคิดที่แต่งแต้มบนใบหน้าเป็นประจำ ส่วนร่างกายนั้น...อืม จริง ๆ
เขาก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเขาคิดถูกไหม แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็เริ่มปลดเสื้อผ้าของเธอออก
พร้อมกับที่เขายังคงเงี่ยหูฟังเสียงน้ำที่ไหลผ่านร่างกายของเธอ
ลมหายใจอุ่นทอดรดแผงอกเปลือยของตัวเองก่อนที่ฝ่ามือจะเริ่มเคลื่อนลง
เขามาไกลเกินกว่าเสียงของสลิธีรินจะดังเคาะกะโหลกเขาได้
และมาไกลเกินกว่าจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ความเคลือบแคลงทั้งหมดถูกเหวี่ยงไกลออกไปเพียงเพราะเสียงแผ่วเบาที่ดังออกมาจากห้องน้ำ
เขาหลับตาสนิท จินตนาการถึงริมฝีปากที่เขาเฝ้าฝัน
ในที่สุดแกนเนื้อที่แข็งขืนก็อยู่ในอุ้งมือ
เมอร์ลินช่วย...
เดรโกต้องการมัน
นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ
ในหัวของเขาเกรนเจอร์กำลังอาบน้ำ
เขาค่อย ๆ กระชับฝ่ามือและเริ่มคลายความตึงเขม่น
เป็นเดือนเป็นสัปดาห์ที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยมันออกมา แต่เขารู้ดีว่านี่ก็ไม่ใช่ทางออกเดียวที่เขาจะทำมันไปตลอด
ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจแล้วว่าภายในหัวจะเต็มไปด้วยความคิดต้องห้ามมากมายเพียงใด
หรือภายในห้องของเขาจะเต็มไปด้วยกลิ่นของเธอมากมายแค่ไหน ไม่สำคัญแล้วว่าแม่มดสาวจะเป็นตัวเร่งความกำหนัดที่เขามีหรือไม่
และไม่สำคัญแล้วว่าเขาจะกำลังจินตนาการถึงเธอว่ายังไง
เพราะตอนนี้ภาพของเธอกำลังสอดมือเข้าที่ระหว่างขาก่อนที่เสียงครางแผ่วเบาจะเริ่มบรรเลงขึ้น
ภาพจินตนาการพาเขาไปจนสุดกู่
เสียงลมหายใจคำรามลั่นในลำคอก่อนที่ของเหลวร้อนจะไหลเคลื่อนผ่านร่างกายของเขาออกมา
เขาลืมตาโพลงพร้อมกับภาพเกรนเจอร์ในหัวจางหายไป
ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกพึงพอใจราวกับจิ้งจอกอาร์คติกที่เพิ่งได้ขย้ำเหยื่อ
หัวใจของเขาเต้นเสียงดังขณะเขาพยายามจะรวบรวมสติกลับมาอีกครั้ง
เขาไม่ได้ทำแบบนี้ไปตลอด
แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำ
สิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังจากความพึงพอใจชั่วครู่ผ่านพ้นไป
มีเพียงความขยาดในตัวเอง เขาเช็ดร่องรอยที่เหลืออยู่แล้วสวมบ็อกเซอร์แล้วพลิกตัวขด
กอดเก็บตัวเองให้พ้นจากความรู้สึกพ่ายแพ้
เขาไม่ได้สนใจความหนาวเย็นที่เริ่มกัดกินผิวหนัง มันทำได้เพียงดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้งเท่านั้น
และความเป็นจริงที่ว่านั้นก็ยิ่งแย่ไปอีก
เมื่อเขาเองก็ไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่าจริง ๆ แล้วเขาอยากจะเอากะโหลกฟาดกำแพงสักทีให้หายบ้า
หรืออยากจะปล่อยให้ตัวเองทำมันอีกครั้ง
ที่ถูกเขาควรจะหาหมอนสักใบมาปิดหัวเพื่อไล่เสียงและความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับเธอ
แต่เขาก็ไม่ได้ทำมัน แถมยังนอนฟังเสียงนั้นและเริ่มปล่อยให้ตัวเองห่างจากความเป็นจริง
นี่เขาเพิ่งจะใช้เฮอร์ไมโอนี่
เกรนเจอร์ช่วยตัวเอง
ยายเลือดสีโคลนนั่น
“เชี่ยเอ้ย”
เขาพลิกตัวอีกครั้งแล้วควานหาของที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุด
เขาหยิบหนังสือของไอ้คิงอะไรนั่นแล้วเริ่มดูหน้าปกอีกเป็นรอบที่ร้อย
พยายามทบทวนเรื่องเกี่ยวกับอคติที่พวกเขาเคยคุยกันและพาเขาเข้ามาตกหลุมพรางบ้านี่ เขาแทบจะสบถด่าเธออีกเป็นรอบที่ล้าน
แต่มันก็ทำให้เขาเริ่มคิด อย่างน้อยก็ชั่วจังหวะหนึ่ง
มันเขาสงสัยว่ามันจะเป็นยังไงถ้าหากเขาไม่ได้มองเธอที่ชาติพันธุ์สกปรกนั่น
และเขาก็เริ่มคิดอีกครั้ง
ชิบหายกว่าเดิมแล้ว...
-----
เนวิลล์ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะลากเธอมายังห้องโถงใหญ่
เขาไม่ได้สนใจการทัดทานจากเธอแม้แต่น้อยโดยให้เหตุผลว่าการมาเจอเพื่อนบ้างอาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
เห็นได้ชัดว่าความกลุ้มใจที่เธอมีต่อภาพจำเกี่ยวกับริมฝีปากของมัลฟอยคงจะฟ้องเสียงดังอยู่บนหน้า
ทำให้แม้แต่เนวิลล์ก็ต้องออกปากว่าเธอดูแย่กว่าทุกวัน
นั่นทำให้ในที่สุดเฮอร์ไมโอนี่ก็ต้องยอมตามมาสมทบกับเพื่อน ๆ
เพราะบางทีการใช้เวลากับเจ้าพวกนั้นอาจจะทำให้เธอละความสนใจจากความจริงที่น่าเกลียดนั่นได้
ถึงความจริงที่น่าเกลียดดังว่าจะดูสวยงามในตัวมันเองก็เถอะ
ก็เธอดันไปจูบเขาได้ไงก่อน
?
เธอให้ระยะห่างระหว่างเธอและกลุ่มเพื่อนเล็กน้อย
ขณะที่นั่งเขียนการบ้านย่อหน้าสุดท้ายไปแบบเอื่อย ๆ
แม้ว่าจะสามารถเขียนให้เสร็จได้ในทันทีแต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าหากเขียนการบ้านเสร็จแล้ว
เธอจะทำอะไรระหว่างที่ใช้เวลาอยู่ในวงสนทนา
เจ้าของเรือนผมสีเข้มเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ก่อนจะย้ายสายตามาสำรวจเพื่อนทีละคน
ตั้งแต่ จินนี่ ลาเวนเดอร์ ดีน เชมัส และเนวิลล์ที่อยู่ข้าง ๆ
ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบว่าใครบางคนหายไป
“เนวิลล์”
เธอพึมพำโดยใช้เสียงแผ่วเพื่อไม่ให้เป็นการขัดจังหวะเพื่อนคนอื่น “ลูน่าไปไหน ?”
“เราก็สงสัยเหมือนกัน”
เขาบอก “ช่วงพักกลางวันก็มักจะหายตัวไปแบบนี้
และคิดว่าสุดสัปดาห์นี้ก็คงจะหายไปอีกนะ คิดว่า ได้ยินว่ามีนักเรียนปีห้าคนนึงเห็นเธออออกไปเมื่อวันเสาร์”
“ไปไหน
?”
“ไม่รู้สิ”
เขายักไหล่ “ไม่มีใครรู้หรอก แต่คงขออนุญาตศาสตราจารย์มักกอนากัลแล้วล่ะ”
“แปลก
ๆ นะ” เธอทอดลมหายใจ แล้วหันไปทางเด็กหนุ่มอีกคนที่เพิ่งพูดบางอย่าง “เมื่อกี้นายว่าไงนะเชมัส”
“ฉันกำลังพูดถึงข่าวลือที่คนกำลังพูดถึงช่วงนี้น่ะ”
เขากระซิบกระซาบตอบแล้วโน้มตัวเข้ามาเพื่อพูดให้เพียงแค่พวกเขาได้ยิน “หลายคนพากันบอกว่าโวลเดอเมอร์จะแทรกซึมเข้าไปในกระทรวงได้ในไม่ช้า”
เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้ว
“ข่าวลือมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่เชมัส ฉันว่าไม่น่าสนใจ -”
“มันอาจจะจริงก็ได้”
เขาค้าน “ถ้าหากพวกมันควบคุมกระทรวงได้ ฮอกวอตส์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็จบ”
“ขีดเส้นใต้คำว่าถ้าน่ะนะ”
เธอพูดต่ออย่างใจเย็น “ถ้าหากมักกอนากัลคิดว่าฮอกวอตส์ไม่ปลอดภัย เธอคงจะหาทางพาเราไปที่อื่นแล้ว
- ”
“แล้วใครบอกว่าหล่อนไม่คิดกันล่ะ
?” เขาสวนกลับทันควัน “แต่เราจะไปไหนกันได้ ? แม่ฉันบอกว่ามันอาจจะ -”
“อ๋อ
แล้วแม่นายก็เชื่อที่พวกเดลี่พรอเฟ็ตเขียนบทความขยะเกี่ยวกับแฮร์รี่ด้วยใช่ไหม”
เฮอร์ไมโอนี่ลำเลิกแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ตอนนี้ทุกที่ก็เต็มไปด้วยข่าวลือทั้งนั้น
ฟังแต่สิ่งที่เราพิสูจน์ได้เถอะ”
“เธอจะไปไหนน่ะ
เฮอร์ไมโอนี่ ?” จินนี่ถาม เธอดูผิดหวังที่เห็นเพื่อนสาวกำลังเก็บของทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา
”ยังกินข้าวไม่เสร็จเลยนะ”
“อือ
ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่น่ะ” เธอตอบเสียงแผ่วพร้อมสีหน้ารู้สึกผิด “ฉันต้องไปหามักกอนากัลด้วย”
“แล้ว”
สาวผมแดงพูดต่อ “เป็นไปได้ไหมถ้าคืนนี้จะกลับมาที่หอคอยหน่อย หรือไม่ก็ให้ฉันไปหา
- ”
“ไม่”
เธอรีบตอบก่อนจะรู้สึกแย่ที่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นกับเพื่อน “ไม่ ๆ ที่หอฉันรกมาก
ยังไงถ้าเป็นไปได้จะพยายามไปหานะ”
เธอก้มหัวให้กริฟฟินดอร์คนอื่น
ๆ อย่างสุภาพเป็นการบอกลา ก่อนจะรีบออกจากห้องโถงใหญ่ไป
เธอต้องรีบใช้เวลาไปพบศาสตราจารย์ให้ทันใน 30 นาทีก่อนที่ชั้นเรียนของเธอจะเริ่ม เฮอร์ไมโอนี่สาวเท้ายาว
ๆ เพื่อตรงไปยังห้องของมักกอนากัลแค่เพียงไม่นานเธอก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตู
เธอแน่ใจว่าศาสตราจารย์จะอยู่ที่ห้องตลอดช่วงอาหารเย็น
“คุณเกรนเจอร์”
แม่มดชราเอ่ยทักจากโต๊ะทำงาน “ไม่คิดว่าจะเจอเธอตอนนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?
วันนี้ดูไม่ค่อยดีนะ”
เรื่องมัลฟอย...
เฮอร์ไมโอนี่ลังเลที่จะตอบแล้วจึงพาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับศาสตราจารย์
ขณะที่เม้มริมฝีปากครุ่นคิด “ไม่แน่ใจค่ะ” เธอพึมพำ “หนูคิดว่า
หนูมีคำถามอยากจะถาม”
“อ้อ
ได้สิ” ศาสตราจารย์พยักหน้า แล้วโน้มตัวเข้ามาเพื่อให้ความสนใจกับบทสนทนา “มีอะไรงั้นเหรอ
?”
“ก็”
เธอเกริ่นอึกอัก ไม่แน่ใจว่าควรจะเริ่มยังไง “เชมัสบอกว่าตอนนี้มีข่าวลือเรื่องการแทรกแซงกระทรวงของโวลเดอมอร์
และหนูสงสัยว่ามันมีเค้าความจริงไหมน่ะค่ะ ?”
คนฟังเม้มปากแล้วถอนหายใจยาว
“ข่าวลือแบบนั้นแพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่ดัมเบิลดอร์จากไป” เธอยอมรับ “แต่ยังไงก็ไม่มีรายละเอียดมากนัก
ถ้าจะให้พูดตอนนี้ก็คงต้องบอกว่ามีความเป็นไปได้”
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังกดเธอให้จมลง
“แล้วถ้าเป็นแบบนั้น ?”
“เราก็มีความจำเป็นต้องอพยพนักเรียนจำนวนมาก”
เสียงตอบรับฟังดูไม่สู้ดีนัก “โดยเฉพาะนักเรียนมักเกิ้ล - ”
“พระเจ้า
-”
“พยายามอย่าคิดมากนัก”
ศาสตราจารย์แนะนำ “เท่าที่รู้มาก กระทรวงยังคงตั้งรับพวกผู้เสพความตายได้เป็นอย่างดี
และเราก็ยังมีมาตรการป้องกันหากเรื่องที่ว่านั้นเกิดขึ้นจริง”
เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นกอดตัวเองเมื่ออยู่ดี
ๆ ก็รู้สึกทั้งหนาวและโดดเดี่ยว
ครึ่งหนึ่งเธอเองก็สงสัยมาตลอดว่ากระทรวงอาจจะได้รับผลกระทบจากโวลเดอมอร์ได้
แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอกังวลเรื่องการถูกตัดการติดต่อจากภายนอก เพราะตอนนี้เธอทำได้เพียงฝังตัวอยู่กับหนังสือ
และยังเอาแต่วุ่นวายสับสนเรื่องการไปแตะปากกับใครสักคนที่เธอไม่ควร
“หนูไม่มีโชคเรื่องการตามหาฮอร์ครักซ์ชิ้นที่เหลือเลยค่ะ”
เธอกระซิบเสียงแผ่ว หากแต่ความผิดหวังกลับดังก้อง “หนูพยายามหาความเชื่อมโยงกันระหว่างสมุดบันทึกกับแหวนและวัตถุชิ้นอื่น
ๆ ที่อาจเป็นไปได้ และถึงแม้เราจะรู้เรื่องล็อกเก็ตแต่เราก็ไม่รู้อีกอยู่ดีว่าชิ้นที่แท้จริงอยู่ที่ไหน
และยัง - ”
“คุณเกรนเจอร์”
ศาสตราจารย์ใหญ่รีบขัดความคิด “ฉันรู้ว่าเธอกำลังพยายามอย่างหนักแค่ไหน
เหมือนกันกับคุณพอตเตอร์และคุณวีสลีย์
ฉันแน่ใจว่าในที่สุดแล้วทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทาง ดังนั้นอย่างกดดันตัวเองจนเกินไป
-”
“สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น
- ”
“จริง
ๆ ในทางเทคนิคเราก็เข้าสู่สงครามมาสักพักแล้ว คุณเกรนเจอร์”
“แต่มันกำลังจะมาอยู่ตรงหน้าเราแล้วนะคะ”
เฮอร์ไมโอนี่ชี้แจงอย่างไม่สบายใจ
แม้ว่าหลายเดือนที่ผ่านมาสงครามจะเริ่มขึ้นแล้วก็จริง
แต่ตอนนี้มันกำลังจะจริงจังขึ้นไปอีกระดับ “หนูคิดว่ามันกำลังจะมาถึง
และไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงถ้าหากเราหาฮอร์ครักซ์ได้ไม่ทันเวลา - ”
“เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อเตรียมรับมือ”
ศาสตราจารย์ขัดขึ้นอีกครั้ง แล้วขมวดคิ้วมองเด็กสาว “เฮอร์ไมโอนี่ เรื่องที่เราสามารถทำได้มีอยู่ไม่มากในตอนนี้
อย่าลืมว่าเราเองเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ที่รัก - เธอรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดีแล้วและฉันจะไม่ขอให้เธอทำมากไปกว่านี้
ดังนั้นได้โปรดอย่างวิตกกังวลมากเกินไป มันไม่ช่วยอะไร”
เจ้าของดวงตาสีเฮเซลถอนหายใจอย่างหมดหวัง
เธอจำนนต่อตรรกะและถ้อยคำปลอบประโลมของศาสตราจารย์เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งในหลายเดือนนี้ที่เธอแสดงอาการวิตกอย่างออกหน้า
แน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เป็นแบบนี้ด้วย
ความจริงเธอต้องขอบคุณที่ศาสตราจารย์ยังสามารถช่วยปลอบขวัญเธอได้ แม้ว่าจะเป็นชั่วคราวแต่ก็นับว่าช่วยได้มาก
เพราะอย่างที่รู้กันดี ในสภาพการแบบนี้ทั้งคนในภาคีเอง หรือแม้แต่เพื่อนนักเรียนของเธอก็ต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบาก
หลายคนต้องเผชิญกับสภาวะใจสลายอยู่เนือง ๆ
“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม
คุณเกรนเจอร์?”ศาสตราจารย์ถาม “ยังมีคำถามอื่นอีกไหม ?”
“มีอีกเป็นพันเลยล่ะค่ะ”
เธอสูดหายใจ แล้วครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เนวิลล์บอกเธอ “จริง ๆ
ก็มีอีกอย่างที่หนูสงสัย”
“ว่าไป”
“เนวิลล์บอกว่าลูน่าออกจากฮอกวอตส์ไปเมื่อสุดสัปดาห์”
เธออธิบายพร้อมขมวดคิ้วเมื่อศาสตราจารย์หลบสายตา “บอกได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น ?”
“ขอโทษที
แต่ฉันเกรงว่าจะไม่สามารถบอกได้” มักกอนากัลกล่าว “แต่สามารถบอกได้ว่าคุณเลิฟกู้ดมีความจำเป็นจะต้องออกจากฮอกวอตส์
เธอมีเหตุผลที่หนักแน่นและฉันเองก็รับปากว่าฉันจะไม่บอกใคร”
“เธอจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ
?” เฮอร์ไมโอนี่ตั้งคำถาม “ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม ?”
“เธอสบายดี”
ศาสตราจารย์ยืนยัน “และเธอจะปลอดภัยอย่างแน่นอน”
“แล้วทำไม
-”
“เป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ”
มักกอนากัลสรุปอย่างไม่ต้องการให้ยืดเยื้อ “ถ้าหากอยากรู้อะไรเพิ่มเติม อาจจะต้องรอถามเจ้าตัวเองนะ”
---
เวลาหนึ่งทุ่มในช่วงหน้าหนาวท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างมืดลงแล้ว
แต่ภายในห้องสมุดฮอกวอตส์ก็ยังคงแน่นขนัดไปด้วยนักเรียนจำนวนมากที่กระจายกันไปตามส่วนต่าง
ๆ ของห้องสมุด บ้างก็เบียดเสียดกันอยู่ที่ระหว่างชั้นหนังสือ
ด้วยอากาศที่เย็นลงกว่าปกติก็ยิ่งทำให้ผู้คนพากันกระจุกตัวมากขึ้น มาดามพินซ์ร่ายเวทมนตร์ช่วยเสริมความอบอุ่นและจุดเทียนเพิ่มอีกสองสามเล่มเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียนมากกว่าสี่สิบคนที่พากันมาหลบอยู่ที่นี่
ส่วนเฮอร์ไมโอนี่เลือกที่จะนั่งคนเดียวที่มุมใกล้กับชั้นหนังสือต้องห้าม
ปล่อยให้ตัวเองหลงวนอยู่ในความคิดที่เงียบเชียบถามกลางเสียงจอแจ
เธอพยายามอย่างมากที่จะให้ความสนใจกับกระแสอักขระที่ไหลผ่านดวงตา
แต่โชคดีที่เธอไม่อาจจะละความคิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับมัลฟอยได้เลย
ฉันทำแบบนั้นไปได้ยังไง
?
เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เลิกสนใจ
แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จซ้ำยังทิ้งความรู้สึกคันยุบยิบที่ปากเอาไว้พร้อมความสับสนที่เพิ่มมากขึ้นไปอีก
เธออยากจะรู้ว่าทำไมและเพราะอะไรเรื่องนั้นถึงได้เกิดขึ้น แต่เธอก็ไม่อาจจะคุยกับนายสลิธีรินที่อยู่ร่วมห้องกับเธอได้
และตอนนี้เธอยังรู้สึกว่าความคิดฟุ้งซ่านกำลังทำให้เธอยิ่งแย่ลง
เพราะเอาแต่คิดว่าทุกคนกำลังมองมาที่เธอ พยายามมุดเข้ามาในความคิด และแอบดูความลับที่เธอซุกซ่อนเอาไว้
ความหวาดระแวงนี่มันเกาะเกี่ยวเธอไว้ไม่ยอมไปไหนจริง
ๆ
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุดในตอนนี้
เพราะไม่ว่าเธอจะพยายามขับไล่ความคิดเหล่านั้นมากแค่ไหน
แต่เธอก็ยังรู้สึกเหมือนเสียเปรียบอยู่นิดหน่อยอยู่ดี มันอาจจะเรียกว่าจูบจริง ๆ
ไม่ได้ด้วยซ้ำ เนื่องจากเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ขาดไป
บางอย่างที่เป็นบทสรุป...หรือบางอย่างที่เป็นจุดสำคัญ
มันอย่างกับว่าเธอตกนรกแต่ดันไม่ได้สัมผัสแม้แต่เปลวไฟอะไรแบบนั้น
เธอไม่ควรจะต้องการมัน
แต่เธอก็ต้องการมันขึ้นมาจริง ๆ ความใคร่รู้ของเธอเริ่มคลี่คลายในขณะที่เธอกลับต้องการมันมากขึ้น
เธอต้องการ..
“เฮอร์ไมโอนี่”
เธอกระตุกหอบเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะความคิดก่อนจะหันมองตามต้นเสียงด้วยสายตาเฉียบคม
“หลุมศพเมอร์ลิน ไมเคิล” เธอบ่น “นายเกือบทำฉันหัวใจวาย”
“โทษที”
เขาหัวเราะร่วนจนเธอแอบคิดว่าเขาไม่ได้หมายความอย่างที่พูดแน่ ๆ ”พอดีฉันสงสัยว่าเธอเขียนงานของพรีเฟ็คเสร็จแล้วหรือยัง
?”
“อ้อ”
เธอสูดลมหายใจ แล้วค้นกระเป๋าหาสิ่งที่เพิ่งถูกถามถึง “เสร็จแล้ว...แน่นอน นี่ไง”
ไมเคิล
คอร์เนอร์รับกระดาษจากมืออีกฝ่ายก่อนจะไล่สายตาดูทั้งหมดแล้วส่งคืน “เธอเป็นไรไหม
เฮอร์ไมโอนี่ ?” ประธานนักเรียนถาม “ทำตัวเหินห่างจัง”
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่”
เธอยกไหล่ พลางหลุบตาไม่ให้อีกฝ่ายเห็นท่าทางผิดปกติ “รายการที่ฉันเขียนใช้ได้หรือเปล่า
?”
“อื้อ
ก็ดูโอเคแล้วนะ” เขาตอบ “ให้นั่งเป็นเพื่อนไหม ?”
“เดี๋ยวจะไปแล้วล่ะ”
เฮอร์ไมโอนี่ตอบอย่างพยายามสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ “โทษทีนะ พอดีเพลีย ๆ น่ะ”
เธอตั้งใจว่าคงจะต้องขอโทษเขาอีกทีภายหลัง
จริง ๆ เธอชอบที่จะคุยทั่วไปกับนายเรเวนคลอที่เพิ่งจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มขั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเลิกรากับโชแล้ว
ด้วยแต่แรกเธอมักจะระวังตัวแจเวลาทำงานร่วมกับเขา เพราะได้ยินจินนี่พูดบางอย่างเกี่ยวกับเขา
แต่เธอก็พบว่าความจริงแล้วเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงบางทีจะชอบเอาชนะไปบ้างก็ตาม
“ไม่เป็นไร” เขากระแอมนิดหน่อย “ไว้เดี๋ยวมาคุยกันเรื่องเต้นรำวันคริสต์มาสกัน
- ”
“มันจำเป็นจริง
ๆ เหรอ” เธอโอดครวญแล้วพับหนังสือปิด “จริง ๆ
มันมีเรื่องอื่นที่เราควรจะคิดแทนที่จะมาสนใจงานเต้นรำงี่เง่ -”
“ฉันว่ามักกอนากัลคงอย่างให้เราเต็มที่กับมันนะ”
ไมเคิลเตือนความจำ “เถอะน่า เฮอร์ไมโอนี่ แค่สนุกกับคริสต์มาสนิด ๆ หน่อย ๆ
มันไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างทุกคนก็คงอยากได้อะไรที่จรรโลงใจบ้าง”
“คงงั้น”
เธอถอนหายใจแล้วเก็บขอใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้น “งั้นไว้คุยกันตอนไปฮอกส์มี้ดสุดสัปดาห์นี้
โอเคไหม ?”
“ได้สิ”
เขาพยักหน้า “ให้เดินไปส่งไหม ?”
“ไม่ต้อง
อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า” เธอโบกมือปฏิเสธ “เทอร์รี่กับแอนโทนี่เรียกหานายแน่ ไว้เจอกันวันเสาร์เลย”
เฮอร์ไมโอนี่หันหลังให้ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อจากนั้นจึงเดินออกมา
เธอพยายามเดินมองพื้นตลอดเพื่อไม่ให้เผลอไปสบสายตากับนักเรียนคนไหนเขา
สาบานเลยว่าพวกเขากำลังมองเธอแปลก ๆ เธอต้องรีบไปจากที่นี่แล้ว และถึงแม้จริง ๆ
เธอจะอยากเลี่ยงกลับหอ – หรือเลี่ยงคนที่รออยู่ที่หอนั่นแหละ แต่เท้าก็พาเธอเดินตรงไปในทางนั้นอยู่ดี
ในที่สุดก็มายืนพึมพำรหัสผ่านด้วยความกังวลอยู่ตรงนี้ เมื่อเข้าห้องมาได้เธอให้ดวงตาสีเฮเซลมองไปรอบ
ๆ อย่างเคย
และก็เหมือนเดิม
ไม่มีร่องรอยการมีอยู่ของเขา ดังนั้นเธอจึงคิดเอาว่าเขาคงอยู่ในห้องเหมือนทุกที
เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับเขา ร่างเล็กรีบพาตัวเองตรงไปที่ห้องแล้วตั้งใจจะหลบอยู่ในนั้นจนถึงเช้า
ไม่สนใจแล้วว่าจะดูขี้ขลาดแค่ไหน
ยังไม่ทันก้าวเท้าได้ครบก้าวดี
เสียงเคาะสามครั้งก็ดังที่ประตูหลัก เธอกรีดเสียงออกมาเบา ๆ ให้ตายเถอะเมอร์ลิน ไม่มีอะไรสะดวกกับเธอเลย
“นั่นใคร
?” เธอร้องเรียกด้วยเสียงเครือ
“ไมเคิล”
เธอนิ่วหน้าแล้วเหลือบตามองห้องของมัลฟอยอย่างระแวดระวัง
สงสัยว่าจะทำยังไงถ้าหากเขาดันโผล่ออกมาในเวลาที่ไม่ควร “มีอะไรเหรอ ?”
เธอส่งเสียงถามขณะที่ดวงตายังจ้องไปที่ประตูห้องของเดรโก “พอดียุ่งอยู่น่ะ”
“เธอลืมหนังสือไว้เล่มหนึ่ง”
ประธานนักเรียนแจง “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ?”
เธอทำหน้าบู้บี้ก่อนจะเดินไปตามเสียง
โบกไม้กายสิทธิ์เพื่อร่ายคาถาข้ามไหล่แล้วจึงเปิดประตู เปิดแค่พอให้ยื่นหน้าออกไปได้เท่านั้น
“กำลังจะอาบน้ำน่ะสิ”
เธอโหกคำโตเมื่อเขาส่งสายตาตั้งคำถามมาให้ “ใส่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่เลยเปิดประตูได้แค่นี้”
“อ้อ
โทษที” เขาฉีกยิ้มทำหน้าไม่ถูกแล้วส่งหนังสือให้ “เธอไม่เป็นอะไรจริง ๆ ใช่ไหม
เฮอร์ไมโอนี่ วันนี้เธอดูแปลกไปนะ”
เธอพยายามฝืนคลี่ยิ้มกระอักกระอ่วนขณะที่หยิบหนังสือจากมือเขา
“เพลียน่ะ” เธอบอกแล้วขยับประตูปิดอีกเล็กน้อยหวังว่าจะเป็นการไล่เขาทางอ้อมได้ “เดี๋ยวว่าจะรีบนอนแล้ว
ยังไงขอบคุณที่เอาหนังสือมาให้นะ”
“แน่ใจนะ”
เขาถามย้ำ ซึ่งเธอพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงท่าทางหงุดหงิดใส่
“อื้อ”
เธอตอบฉะฉาน “ฝันดีนะ”
“โอเค
ฝันดีนะ ไว้เจอกันวันเสาร์นะ”
เฮอร์ไมโอนี่ผ่อนลมหายใจหนักหน่วยขณะที่เอียงหัวซบกับประตูที่ปิดลง
พยายามจะทำให้เสียงดังโครมครามในหัวใจเบาลง เธอเข้าใจดีว่าจุดประสงค์ของไมเคิลไม่มีอะไรแอบแฝงแถมการแสดงออกของเธอก็ยังดูไม่ปกติจริง
ๆ แต่สำหรับวันนี้มันก็หนักเกินไปสำหรับเธอ
มันเหมือนทุกคนพยายามจะต้อนเธอให้จนมุมแล้วเข้ามารื้อค้นความคิดของเธอ
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร
?”
เธอรีบหันมองเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังจนเกือบจะเสียการทรงตัว
เสียงในหัวใจดังก้องจนแทบจะหลุดออกมานอกอก จิตใต้สำนึกทำให้เธอค่อย ๆ
ถอยออกมาจนหลังชิดบานประตูพลางยกมือขึ้นกุมอก หัวใจยิ่งเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้และเอียงตัวพิงวงกบประตูด้วยท่าทางน่ากลัว
ใบหน้าบูดบึ้งของเขาเกิดจากส่วนผสมของความหยามหมิ่นและขุ่นเคืองหากแต่ดูน่าดึงดูดอย่างประหลาด
มันทำให้เธอไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรเว้นแต่เพียงความอึดอัดของก้อนความรู้สึกที่จุกตันในลำคอ
“ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย
?” เมื่อรู้แล้วว่าเสียงตัวเองหายไปไหน เธอก็กรีดเสียงออกมาอย่างหงุดหงิด “แกล้งให้กลัวนี่มันสนุกมากใช่ไหม
-”
“ฉันถามว่าไอ้นั่นเป็นใคร”
เขาตวาดขณะที่ขบกรามแน่นจนเธอสังเกตเห็นกล้ามเนื้อที่ปูดออกมา “เธอควรจะหาคำตอบดี
ๆ ให้ฉันได้แล้วนะเกรนเจอร์”
เธอสะดุ้งถอยเมื่อเขาพุ่งเข้าหาเธอจากจุดนั้น
วินาทีนั้นในหัวเธอรู้สึกเหมือนกำลังเป็นเหยื่อของหมาป่าที่กำลังกระโจนเข้าหา เธอพบว่าเขาเต็มไปด้วยความสง่างามที่ทำให้เธอนึกอิจฉาระคนหลงใหลไปชั่วขณะ
แม้ว่าทุกอย่างก้าวของเขาจะเต็มไปด้วยพลังงานที่กดดันเธอแต่มันก็ดูดึงดูดใจเหลือเกิน
ถึงมันทำให้ทั้งรู้สึกกระอักกระอ่วนและอึดอัดใจ แต่ก็อดดริกอภัยเธอด้วย
เธอกลับรู้สึกว่ามันน่าประทับใจไปพร้อมกัน
“หูหนวกเหรอเกรนเจอร์
-”
“ไมเคิล
คอร์เนอร์” เธอพึมพำตอบขณะที่เดินเลี่ยงมาวางเสื้อคลุมพาดไว้ที่โซฟา “เขาอยู่ปีเดียวกับเรา
และ -”
“ฉันรู้ว่ามันเป็นใคร”
เขาลากเสียงต่ำ “เรเวนคลอโง่ เล่นควิดดิชห่วยแตก
คุณสมบัติที่พอจะดีอยู่บ้างก็แค่เป็นเลือดบริสุทธิ์ แล้วมันจะเอาอะไร ?”
“เขาเอาหนังสือมาให้”
เธออธิบายอย่างอึดอัดเมื่อเขายิ่งใกล้เธอเข้ามาอีกครั้งพร้อมกอดอกเหมือนข่มขวัญ “แล้วนาย
-”
“แล้วทำไมไอ้เวรนั่นถึงคิดว่าเธอจะไปเจอมันวันเสาร์นี้ล่ะ
?”
เธอเลิกคิ้วฉงน
“นี่แอบฟังคนอื่นเขาคุยกันเหรอ ?”
“ก็แค่ตอบมาได้ไหม!” เขาเรียกร้องอย่างรุนแรง แล้วฟาดมือลงบนโซฟา “จะไปเจอมันทำไม
?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย
?”
เขาขบกรามและเอียงคอไปมาจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ
ไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดหรือกำลังรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำอะไรบ้า ๆ อีกแล้ว
ดวงตาสีขุ่นของเหลือบมองเธอสลับกับพื้นขณะที่กัดฟันและพยายามจะสูดหายใจเหมือนดึงสติ
เธอเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิดโดยที่เผลอเลียริมฝีปากอย่างกังวลกับสิ่งที่เขาจะตอบกลับ
“ก็เป็นเรื่องของฉันตั้งแต่หมอนั่นมันพาตัวเองมาถึงนี่แล้วไง”
เขาตอบอย่างระวังคำพูด “ถ้ามันเห็นฉัน แล้วเกิดออกไปพูดเรื่องปัญญาอ่อนขึ้นมา -”
“เขาไม่เห็น
-”
“แล้วถ้าเธอเกิดจะพามันมาคั่วที่นี่
-”
“นี่กล้าพูดมากนะ!” เฮอร์ไมโอนี่ตวาดแหว ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วกระแทกเท้าเข้ามาหาเขา
“นายไม่มีสิทธิ์พูดอะไรแบบนั้นกับฉัน -”
“ฉันมีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรก็ได้เท่าที่ฉันอยากพูด”
เขาโต้กลับเสียงเรียบพลางเอียงคอมองเธอ “เพราะเธอไม่พูดอะไร
นั่นแปลว่าฉันจะสรุปเอาเองยังไงก็ได้ -”
“มันไม่ตลกนะ!” เธอเค้นเสียง “ก็บอกไปแล้วไงว่าเสาร์นี้ฉันจะไปฮอกส์มี้ด
-”
“ก็คือจะไปกับมันน่ะเหรอ
?” เขาคำรามในคอ “เธอนี่มัน -”
“ก็อดดริก
ให้ตายเถอะ มัลฟอย!” เธอตะโกน
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เส้นความอดทนของเธอใกล้จะขาดลงแล้ว “ไมเคิลกับฉันเป็นประธานนักเรียน
และมีแค่ประธานนักเรียนที่มีสิทธิ์ไปฮอกส์มี้ดได้ในตอนนี้”
เขาหุบปากลงในทันที
และในขณะนั้นเธอก็รู้สึกว่าดวงตาของเขากำลังดึงดูดเธอเข้าไปเพียงเพราะมันอยู่ใกล้เธอไม่เกินหนึ่งช่วงลมหายใจ
ความใกล้ชิดในระยะนี้ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาที่เป่ารดเส้นผมซึ่งปรกอยู่บริเวณหน้าผาก
เธอไม่อาจขยับตัวได้ ไม่ใช่เพียงขยับไม่ได้แต่เพราะสัญชาตญาณไม่ยอมอนุญาตให้เธอทำเช่นนั้น
จำไม่ได้เหรอว่าครั้งที่แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
– ที่ใกล้กันขนาดนั้นมันเกิดอะไร ?
แล้วถ้ามันใกล้ถึงขนาดนี้
ถ้าเขาจะไม่ชอบใจทำไมเขาถึงไม่ขยับไปไหนเลย
นอกจากไม่ขยับแล้วเธอสาบานได้ว่ามันมีความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับคำว่าโล่งใจฉาบทาอยู่บนใบหน้าซีดเผือดของเขา
เดรโกทำแค่เพียงเอียงคอเล็กน้อยแล้วคลายบ่าลงจากนั้นทุกสรรพสิ่งภายในห้องก็นิ่งงันเหมือนไม่เคยเกิดการปะทะทางอารมณ์ขึ้น
“เธอจะบอกว่าไอ้งั่งนั่นเป็นประธานนักเรียนงั้นเหรอ
?” เขาเอ่ยถามเสียงยานคาง “เรื่องบ้าอะไรเนี่ย -”
“เขาเป็นคนเก่งคนหนึ่ง”
เธอแย้งแล้วสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเขากำลังขยับหยัน “เราคุยเรื่องนี้จบแล้วใช่ไหม
เดร...มัลฟอย ?”
เขานิ่วหน้าในขณะแม่มดสาวซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีด้วยความเขินอายได้สำเร็จ
เธอกำลังจะหันกลับไปแต่ฝ่ามือเย็นเฉียบก็คว้าข้อมือเอาไว้ได้ทัน
จนเธอไม่อาจสร้างระยะห่างระหว่างพวกเขาได้
ผลักเขาไปสิ
นี่มันใกล้ไปแล้วนะ...
“อะไรอีก
?” เธอถามพยายามจะไม่หันกลับมา “ก็ตอบไปหมดแล้ว และไม่มีอะไรจะคุยด้วยแล้ว -”
“ฉันยังไม่จบ”
เขาบ่นแล้วกระชับมือแน่นขึ้น “ยังมีคำถามอื่นอีก”
เธอแค่นเสียงหยัน
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้อง -”
“ทำไมเมื่อเช้าถึงทำอาหารไว้
?” เขารีบเรียบเรียงคำพูดออกมาจนสังเกตได้
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตาแล้วเอี้ยวหน้ากลับมามองด้วยความฉงน
“หมาย - หมายถึงยังไงนะ” เธอพึมพำถาม “ฉันก็ทำไว้ให้ทุกวันอยู่แล้ว -”
“ฉันคิดว่าหลังจากเราตีกันไปเมื่อคืน”
เขาฝืนใจพูดสิ่งที่ยากจะพูด “เธอจะไม่ทำให้แล้ว -”
“เราก็ตีกันทุกวันแหละ
มัลฟอย”
“แต่เมื่อคืนมันไม่เหมือนกันนี่”
ราวกับทั้งห้องถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นภาวะสุญญากาศ
สาบานได้ว่าอากาศภายในปอดถูกดูดออกไปจนหมดเมื่อเธอเห็นดวงตาของเขา
ดวงตาที่เคยเจือไว้ด้วยโทสะและเหยียดหยันขณะนี้ดูอ่อนลง ทั้งที่คำพูดคำจาและการปฏิเสธ(เสมือน)จูบของพวกเขาทำให้เธอเกือบจะหมดหวังกับเขาไปแล้ว
แต่ดวงตาคู่นั้นกลับตรึงเธอไว้ได้อีกครั้ง
พวกเขาต่างรู้ดีว่าการทะเลาะกันเมื่อคืนมันไม่เหมือนปกติยังไง สิ่งที่เขาเพิ่งพูดมันเหมือนเปลวไฟที่ถูกน้ำมันสาดจนโหมขึ้นอย่างน่ากลัว
ทั้งร้อนเกินกว่าจะแตะต้องได้ ซ้ำยังเต็มไปด้วยอำนาจดึงดูดที่ไม่อาจต้านทาน
จูบนั่น...
“ฉันปล่อยให้นายหิวตายแค่เพราะ...นั่นแหละ
ไม่ได้” เธอทำลายความเงียบลงด้วยน้ำเสียงอึกอัก “มันแย่ -”
“มันจะดูปกติ”
เขาแย้ง และเธอเองรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
“และฉันแน่ใจว่าเธอคงจะพยายามเสี้ยมสอนฉันเรื่องศีลธรรมไร้สาระของพวกกริฟฟินดอร์
เป็นต้นว่าความเมตตาหรืออะไรก็ตาม แต่บอกไว้เลยว่าฉันไม่สนใจแม่งหรอก”
“นายเป็นคนถามเองนะ”
เธอท้วง แล้วดึงข้อมือให้เป็นอิสระก่อนจะเดินหนีออกมา “จะไปนอนแล้ว ฝันดีมัลฟอย”
เดรโกกำหมัดแน่นเมื่อเกรนเจอร์หายเข้าไปในห้อง
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาจะต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้
มันช่างน่าอัปยศและไม่อาจยอมรับได้แม้แต่น้อย
ซึ่งทั้งหมดก็เป็นความผิดของเธอทั้งนั้น ตั้งแต่วันที่เธอทำให้เลือดโสโคลกมาแปดเปื้อนเขาและเขาจมดิ่งลงในกลิ่นของเธอ
นับตั้งแต่นั้นมาทุกอย่างก็พังพินาศไปหมด ไม่มีอะไรเข้าที่เข้าทางสักอย่าง โดยเฉพาะจิตใจของเขา
แถมตอนนี้ยิ่งแย่ไปใหญ่เพราะเขาดันไปจมอยู่กับจินตนาการที่มีเธอและถูกมันหลอกหลอนอยู่แบบนั้น
ไปพร้อมกันกับสิ่งที่เกือบจะเรียกว่าจูบที่เอาแต่ลุกไล่เขาไม่หยุดนิ่งสักวินาที
มันทำให้เขารู้สึกขบถต่อตัวเองและพร้อมกันนั้นก็ดันรู้สึก...กระหาย
มันค่อย
ๆ แทรกซึมเข้ามาในสมอง เป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ทำให้เขาเอาแต่ตั้งคำถามกับตัวเอง
และไม่รู้ว่าเขาจะพาตัวเองไปได้ไกลแค่ไหนกว่าความกระหายที่มีต่อเธอจะหมดไป
ไหนจะอารมณ์โมโหร้ายที่ปะทุขึ้นมาตอนนี้ไอ้เรเวนคลอเวรนั่นโผล่หัวมา
ก็ทำให้เขาสั่นจนแทบจะระเบิด โดยไม่รู้ว่าทำไม
ไม่ได้หึงหรอก...
แค่โมโห
แค่โมโหจนหน้ามืด มั้ง
บางทีเพราะคุกแคบ
ๆ นี้มันจำกัดเขาจากสิ่งกระตุ้นอื่นมากจนเกินไป
ดังนั้นกลิ่นและรสสัมผัสของเธอก็เลยกลายมาเป็นบางสิ่งที่เขา...ต้องการ เพราะเขาจึงไม่ต้องการจะแบ่งสิ่งที่ควรเป็นของเขาให้กับใครที่อยู่นอกเหนือประตูบานนั้น
แม้ว่าสัมผัสระหว่างเขาและเธอจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ยังไงมันก็นับว่าเป็นของเขาแล้ว
ต่อเขาจะไม่ได้ต้องการมันอีกเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ ต่อให้เขาไม่ได้อยากจะสัมผัสเธออีก
- แน่นอนว่าไม่มีทางอยากทำอีกแน่ ๆ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมให้ไอ้ไมเคิล
คอร์เนอร์อะไรนั่นได้ลิ้มรสเกรนเจอร์ได้ ถ้ามันคิดว่าจะทำได้ มันคิดผิดถนัด
เขาไม่เข้าใจเลยว่าความรู้สึกอันตรายที่เขามีต่อเธอคืออะไร
แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าเขาชอบมันไหม แต่มันกลับมีอำนาจเหนือเขาและดูเหมือนจะเป็นปลุกสัญชาตญาณบางอย่าง
ซึ่งยากที่จะเพิกเฉยเหลือเกิน
เขาเดินกลับไปไปห้องพลางอ้อนวอนต่อซัลลาซาร์ว่าเขาคงยังไม่อาจพาตัวเองให้พ้นจาก...ความหลงใหลที่มีต่อเลือดสีโคลนได้เร็ว
ๆ นี้ มันเสื่อมเกียรติและประสาทแดก เขารู้ แต่เขาเกรงว่าจะต้องปล่อยให้ตัวเองตามน้ำไปก่อน
ไม่
เขาจะไม่ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้แน่
----
สายลมคืนนี้พัดหวีดหวิวรุนแรงจนส่งเสียงดังเหมือนทารกกรีดร้อง และเฮอร์ไมโอนี่เชื่อว่านาฬิกาของเธอกำลังโกหก
ถ้าหากตอนนี้เป็นเวลาตีสามก็เท่ากับว่าเธอนอนมองเพดานมาสี่ชั่วโมงแล้วและมันไม่ดีเอาเสียเลย
หลังจากหนีเข้าห้องมาและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีกลับออกไป
เธอก็ใช้เวลาทั้งหมดในการเขียนรายงานที่ต้องส่งก่อนคริสต์มาสจนเสร็จ
แต่นั่นก็ผ่านมาสามชั่วโมงแล้ว เธอพยายามที่จะข่มตาให้หลับแต่ก็เปล่าประโยชน์
และมันไม่ใช่เพราะสายลมที่กำลังกรรโชกแรง...
แต่เป็นเพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่เธอก็ไม่อาจเอามัลฟอยออกจากใจได้
ภาพแฟลชแบ็คยังคงดื้อดึงจะฉายภาพจูบนั่น ไม่ก็พฤติกรรมทั่วไปของเขาซ้ำไปมา
ยิ่งเธอพยายามจะปฏิเสธมันเท่าไหร่เธอก็ยิ่งพบว่าตัวเองหลงไหลในสิ่งที่เขามากเท่านั้น
มากไปกว่านั้นเธอยังพบว่าเขาไม่ได้เรียกเธอว่าเลือดสีโคลนมาสักพัก
หนึ่งเดือนที่มีเขามีผลต่อเธอเหลือเกิน ยังไม่นับรวมเรื่องที่เธออยากจะลบอคติของเขา
ซึ่งเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วเจตนาเรื่องนี้มันกลายเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวไปแล้วหรือไม่
เธออยากให้เขามองเธอต่างออกไป
และแน่ใจด้วยว่าเขาน่าจะเริ่มค่อย ๆ เปลี่ยนไปแล้ว
อย่างน้อยเธอก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วนวดใบหน้าไปมาด้วยอุ้งมือ
เริ่มสงสัยว่ามันดีแล้วหรือไม่ที่เธอเริ่มสนใจในตัวเขาเช่นนี้ แต่มันก็คงไม่
ความหนาวยะเยือกทำให้เธอสั่นไปถึงสันหลังทำให้เธอต้องหยิบไม้กายสิทธิ์และเริ่มร่ายคาถาเพิ่มความอบอุ่นอีกครั้ง
แต่นั่นเองก็ทำให้เธอนึกถึงใครบางคน
ในขณะที่เธอเองมีผ้าห่มถึงสามผืนและยังสามารถร่ายคาถาได้ แต่เขาจะทำยังไง ?
เธอมีแค่ผ้าห่มผืนเดียว...
เขาจะหนาวตายไหม
?
จังหวะนั้นเองเธอก็ตระหนักได้ว่าเธอเป็นห่วงเขา
ทั้งที่เธอไม่จำเป็นต้องรู้สึกแบบนั้น แม้ว่าความจริงแล้วมันจะเป็นนิสัยโดยธรรมชาติแต่มันก็ไม่เท่านั้น
เธอมีเจตนาที่ตรงไปตรงมาว่าห่วงใยความเป็นอยู่ของเขาและนั่นก็สร้างคำถามมากมายให้กับเธอด้วยเช่นกัน
เป็นต้นว่า เมื่อไหร่กันที่รู้สึกแบบนี้
เธอลุกขึ้นจากเตียงแล้วห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำ
ยืนนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ว่าเธอควรจะตัดสินใจอย่างไรดี
ตัวเลือกในใจเป็นเพียงตัวเลือกง่าย ๆ คือ ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้ไอ้หมอนั่นสู้กับปัญหาของตัวเองตามลำพัง
หรือยอมแพ้ให้ความปรารถนาของตัวเอง แล้วหอบข้าวของไปเพิ่มความอบอุ่นให้เขา
“นี่ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย”
เธอบ่นกับตัวเองขณะที่ค่อย ๆ ย่างเท้าออกจากห้อง
เธอใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีเพื่อลังเลอยู่หน้าห้อง
ในที่สุดก็ปลดเปลื้องความกังวลทั้งหมดออก แล้วชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ประตูห้อง
“อะโลโฮโมรา”
ความคิดเห็น