NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 10 : Taste (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 65


         ว่างเปล่า

         ไม่มีอะไรทั้งนั้น

         แต่เป็นความว่างเปล่าที่แสนสวยงาม

         มีเพียงลมหายใจที่แลกเปลี่ยนระหว่างกันและดวงตาที่ค่อย ๆ ปิดลงเมื่อริมฝีปากของเดรโกสัมผัสเข้ากับริมฝีปากของเธอ ความฉ่ำชื้นของปลายลิ้นค่อย ๆ ลิ้มเลียสัมผัสนุ่มนิ่มขณะที่เสียงเดินของนาฬิกากำลังนับเวลาที่ผ่านไป แต่เพียงสองจังหวะของเข็มนาฬิกาเท่านั้น ความจริงประกาศก้าวก็แทรกผ่านสัมผัสของกายเนื้อ

         ดวงตาสีอ่อนเบิกโพลง ก่อนที่เดรโกจะรีบถอนตัวและดึงใบหน้าออกจากฝ่ามือเธออย่างรวดเร็วราวกับมีความผิด เขาลนลานดีดตัวออกด้วยความบ้าคลั่งที่เดือดพลุ่งในภายในจิตใจ ภายในอกกำลังเผาไหม้ไปด้วยความสับสนระคนตกใจ ความร้อนมากมายแล่นผ่านจากทั่วสรรพางค์แผดเผาไปจนถึงกะโหลก เสียงหอบหายใจของเธอทำให้เขาไม่สามารถหาที่ที่เหมาะในการวางดวงตาได้ จนกระทั่งมันไปจบที่ผิวหน้าท้องเปลือยเปล่าและมันก็ทำให้หายนะเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อลับที่อยู่ระหว่างอุ้งเชิงกรานอีกครั้ง

         ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังค่อย ๆ พากันทะลักโถมเข้าหาเขา ทั้งภาพ เสียง และทุกสิ่งที่เหนือไปกว่าเธอ เดรโกหลุบตามองขึงไปที่น้ำยาแก้แพ้ในมือ เขาแทบไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าดึงมันออกมาตอนไหนระหว่างที่ดีดตัวออกจากเธอ จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาโยนมันทิ้งอย่างขยะแขยงพลางโทษว่านี่คือตัวการที่ลากเขาสู่สถานการณ์นี้ สถานการณ์เลวร้ายและน่ารังเกียจที่สุด

         มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

         เกรนเจอร์ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้ได้ยังไง?

         แล้วเรื่องบ้าอะไรทำไมเธอถึงยังนิ่งและไม่พูดอะไรสักคำ?

         ความเงียบทั้งหมดถูกเติมเต็มเอาไว้เสียงลมหายใจที่ไม่เป็นจังหวะด้วยความสับสน เขายกหลังแขนขึ้นถูกริมฝีปากที่ยังคงชื้นไปด้วยสัมผัสของเธอ และต่อให้ออกแรงถูจนปากแทบไหม้แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงรสชาติของเธอได้อยู่ดี

         เขาตวัดสายตาขยาดมองเกรนเจอร์ที่ยังคงนิ่งงันอยู่บนพื้นก่อนจะลุกขึ้นและกระแทกเท้าเดินกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งเอาไว้เพียงเสียงกระแทกประตูที่เป็นเพียงหลักฐานเดียวว่าเขาเคยอยู่ตรงหน้าเธอ

         ถ้าเป็นไปได้เขาเต็มใจจะสละทิ้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดของมัลฟอยเพื่อสร้างกำแพงอีกสักกำแพงขึ้นเพื่อกั้นระหว่างเขากับเธอ แต่ถึงให้ทำแบบนั้นไปมันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่ดี ในเมื่อต่อให้เขาไม่เห็นเธอแต่ทั้งลิ้นและจมูกก็ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นและเศษเสี้ยวของความเป็นเธอ ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่ายังอยากจะดื่มด่ำไปกับมันหรืออยากจะทุบจมูก ไม่ก็ตัดลิ้นตัวเองเพื่อลืมเธอให้รู้แล้วรู้รอด

         เดรโกเพียงแต่ซบหน้าลมกับฝ่ามือด้วยร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านทั้งเพราะโทสะและความอัปยศ ซึ่งแม้เขาจะพยายามหลบเลี่ยงความเป็นจริงด้วยการหลับตาอยู่แบบนั้นแต่ริมฝีปากของเธอที่จำนนต่อเขาและผิวเนื้อเปลือยก็ยังคงวาดภาพอยู่ภายใต้เปลือกตาของเขา เขาคำรามภายในลำคอขณะที่พยายามจะขุดหลุมฝังภาพเหล่านั้นเอาไว้ลึกสุดของสมอง แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย ภาพเหล่านั้นไม่ยอมจางหายไปแม้จะพยายามเท่าไรก็ตาม ให้ตายเถอะเมอร์ลิน เขาเกลียดเธอ เกลียดทั้งตัวเอง เกลียดทุกรายละเอียดที่นำพาเขาให้ตกอยู่ในเหตุการณ์นี้

         เขารู้ตัวว่าตอนนี้เขากำลังเสียสติ และตลกดีที่เขาเองก็เพิ่งเคยรู้ว่าคนใกล้บ้ามันเป็นแบบนี้

         ตลกยิ่งกว่าเมื่อเขาตระหนักได้ว่ารสชาติของเธอมันช่าง...ถูกปากจนอันตราย

         เชี่ยเอ้ย

    --------

    เสียงกระแทกประตูทำให้เธอสะดุ้งโหยงขณะที่สูดลมหายใจสั่นสะท้าน รู้ตัวอีกทีเธอก็แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไม่ก็ขอมักกอนากัลหมุนเครื่องย้อนเวลาสักรอบเพื่อลบเหตุการ์ที่เพิ่งจะอุบัติไปให้หมด มากไปกว่านั้นตอนนี้เธอไม่รู้แล้วด้วยซ้ำว่าใครมันเป็นคนเริ่ม...เอ่อ...เสมือนจูบระหว่างพวกเขา

    พระเจ้าช่วย...

    เธอเลียริมฝีปากอย่างไม่อาจหักห้ามใจพร้อมทั้งซึมซาบรสสัมผัสของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่ มันเป็นอะไรที่มีความเป็นชายสูงและแซมเอาไว้ด้วยซิสตรัสก่อนจะทิ้งปลายเปปเปอร์มิ้นต์เอาไว้จาง ๆ เธอยังรับรู้ได้ถึงร่องรอยของฝ่ามืออุ่นที่เคยสัมผัสรอบเอวและน้ำหนักของเขาตอนที่ทิ้งตัวเข้าใกล้ก็ยังคงอยู่ ดูเหมือนว่ารูปร่างของมัลฟอยจะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยอีกครั้งตั้งแต่เธอเริ่มทำอาหารให้เขา ซึ่งความรู้สึกของเขาระหว่างคำว่าปลอดภัยกับผิดบาปก็คงมีเส้นบาง ๆ กั้นกันอยู่ตลอดเวลา

    ตั้งแต่คืนงานแต่งของบิลกับเฟลอร์ที่เธอกับรอนผ่านเรื่องราวอันแสนเงอะงะไปด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยชื่นชอบการมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับมนุษย์เพศชายอีกเลย เอาเข้าจริงสิ่งเดียวที่พอจะตราตรึงเธอในคืนนั้นได้ก็คงเป็นการจากลาอันน่าอึดอัด เพราะเขากับแฮร์รี่หายตัวไปเพื่อตามล่าฮอร์ครักซ์และทิ้งเธอเอาไว้พร้อมคำถามมากมายที่ประดังประเดเข้ามาไม่หยุด

    ส่วนก่อนหน้ารอนก็...

    ก็มีจูบที่เกือบจะดีกับวิคเตอร์ แล้วก็อุบัติเหตุกับคอร์แมค เค เยี่ยมไปเลย

    เธอรู้ตัวดีว่าในฮอกวอตส์นี่จะนับเธอเป็นผู้หญิงจ๋า ๆ ก็คงไม่ได้ แถมการจะทำตัวมั่นใจหรือเป็นสาวใจง่ายที่ต้องเรียกร้องความสนใจจากผู้ชายก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ (หรือถ้าจะเป็นได้ก็คงต้องลบความทรงจำตัวเองสักรอบก่อน) แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะไม่มีความต้องการอะไรเลย เธอยังคงชื่นชอบความรู้สึกที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับใครสักคน ซึ่งก็นั่นแหละก็อดดริกคงสาปเธอเอาไว้ ทุกอย่างถึงได้เป็นแบบนี้ สำหรับเดรโกเขาเหมือนความฝันที่คอยกล่อมประสาทเธอ มันเป็นความรู้สึกที่คอยกระตุ้นสัญชาติญาณและการยับยั้งชั่งใจ มันทำให้เธอรู้ได้ว่าอย่างน้อยในช่วงชีวิตนี้เธอก็ยังมีความรู้สึกอย่างอื่นนอกจากความสิ้นหวัง

    แต่ว่าตอนนี้...

    มันกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังทรยศทุกคนที่เธอรัก ซึ่งรวมถึงตัวเธอเองด้วยซ้ำ

    สำหรับการเป็นแม่มดที่ฉลาดที่สุดในรุ่น เธอไม่ควรจะทำโง่ ๆ อย่างนั้น มันเป็นเรื่องโง่ที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นกับเธอได้ สมองของเธอกำลังประมวลทุกอย่างไม่ทัน เธอคงจะต้องออกไปสูดอากาศและทบทวนความคิดตัวเองสักหน่อย หรืออย่างน้อยก็แค่พาตัวเองออกไปจากสถานที่เกิดเหตุเสียก่อน นั่นทำให้เธอเลือกที่จะตรงไปยังห้องพยาบาลเพื่อเช็คว่าอาการแพ้ของเธอได้รับการเยียวยาเรียบร้อยหรือไม่

    เธอค่อย ๆ พยุงตัวเองขึ้นจากพื้นทั้งที่แข้งขายังคงสั่นประท้วง เฮอร์ไมโอนี่ใช้หลังมือซับหน้าผากที่ชื้นไปด้วยเหงื่อทั้งที่ร่างกายยังคงสั่นเทา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการแพ้หรือเพราะริมฝีปากของเดรโกกันแน่ นิ้วมือเรียวเกี่ยวเอาเสื้อเชิ้ตมาสวมและพยายามควบคุมมือที่ยังคงอ่อนแอให้ติดกระดุมได้จนครบทุกเม็ด มันยากนิดหน่อยเพราะเธอยังคงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากสัมผัสของเขาได้อยู่เลย

    หลังจากต่อสู้กับร่างกายที่สั่นไม่หยุดได้แล้ว เธอก็คว้าไม้กายสิทธิ์และรีบตรงไปยังประตู ขอบคุณเทพทุกพระองค์ที่ห้องของเธอไม่ได้ไกลจากห้องพยาบาลนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินท่อม ๆ ไปตามระเบียงทางเดินคนเดียวมันก็ยากเหลือเกินในสถานการณ์เช่นนี้ เธอค่อย ๆ เกาะเลาะไปตามผนังจนในที่สุดก็มาถึงจุดหมาย แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่น่าเชื่อว่าเวลาบ่ายแก่แบบนี้จะมีผู้คนมากมายมารวมกันอยู่ที่นี่ เธอหยุดนิ่งมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาสับสน ก่อนจะพบเพื่อนสาวผมบลอนด์ของเธอนั่งอยู่ที่เตียงตัวหนึ่ง

    “ลูน่า” เธอร้องเรียกขณะที่พยายามหลบเลี่ยงเด็กปีสามสองสามคนจากเรเวนคลอ “เกิดอะไรขึ้น”

    “เหมือนว่ารังผึ้งของห้องเรียนวิชาสมุนไพรศาสตร์จะพังลงมา” เธอตอบด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ “มีคนโดนต่อยเยอะแยะ และฉันคิดว่าเดนนิส ครีฟวีย์น่าจะถูกพิษเยอะที่สุด”

    “แล้วทุกคนไม่เป็นไรใช่ไหม ?”

    “คิดว่านะ” ลูน่าพยักหน้า แล้วชี้ไปที่ผื่นปื้นเล็กบนแขน “มาดามพอมฟรีย์เพิ่งจะรักษาลอร่า แมดเลย์เสร็จ แล้วต่อไปน่าจะเป็นฉัน”

    “แล้วต่อจากเธอยังเหลืออีกเยอะไหม ?”

    “ก็ทั้งหมดนั้น” เธอพึมพำตอบแล้วชี้ไปยังกลุ่มนักเรียนที่คงไม่น้อยไปกว่าสิบห้าคน “เดาว่าพวกผึ้งคงหลบเข้ามาในปราสาทเพราะอากาศหนาวน่ะ ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่ ?”

    “ถูกมันต่อยเหมือนกันน่ะ”

    และยังจูบ...

    “เธอไม่ได้แพ้พิษผึ้งเหรอ เฮอร์ไมโอนี่ ?” เสียงของแม่มดอีกคนดังขึ้นแทรกความคิด

    “อ๋อ ใช่ มัน...”

    “ปากก็ดูแปลกไปนะ” แม่มดผมบลอนด์ออกความเห็นเสียงเย็น แต่นั่นก็แทบจะเผาไหม้แก้มของแม่มดสาวจากกริฟฟินดอร์ได้ในทันที “ตาก็ดูฉ่ำ ๆ นะ”

    เฮอร์ไมโอนี่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อได้ฟังอย่างนั้น “มัน เอ่อ ....”

    “โอ้ คุณเกรนเจอร์!” อีกเสียงดังขึ้นขัดจังหวะและเมื่อเธอมองตามเสียงไปก็พบว่าศาสตราจารย์มักกอนากัลป์อยู่ตรงนั้น “อยู่นี่เอง คุณลองบอตท่อมบอกว่าคงอยู่ในห้องสมุด เฮ้อ นายคนนี้นี่ - แต่ยังไงก็ตามถูกผึ้งต่อยหรือเปล่า ? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

    “คิดว่า - คิดว่าไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตอบอึกอัก “หมายถึง ค่ะ ก็โดนต่อยด้วย แต่ - ”

    “โอเค” ศาสตราจารย์ใหญ่ขัดแล้วส่งสัญญาณให้เธอตามไป “มาให้ฉันตรวจอีกรอบ ต้องระวังเรื่องอาการแพ้หน่อย”

    “ไว้เดี๋ยวมาหาใหม่นะ ลูน่า” เธอกระซิบกับเพื่อนก่อนจะรีบตามแม่มดชราไป “ศาสตราจารย์คะ คือหนู -”

    “นั่งบนเตียงเถอะ คุณเกรนเจอร์” เจ้าของเสียงบอกพลางดึงม่านกั้น “ถูกต่อยตรงไหน ?”

    “ตรงนี้ค่ะ” เธอตอบ แล้วยื่นร่องรอยผื่นบวมระหว่างข้อนิ้วและข้อมือ “แต่หนู - ”

    “ฉีดน้ำยาแก้แพ้ได้ทันเวลาใช่ไหม ?”

    “คือ - ”

    “เดี๋ยวฉันจะบอกให้ป็อปปี้ - ”

    “ศาสตราจารย์คะ” เธอกระซิบเสียงแข็ง พยายามไม่ให้เสียงดังขึ้นเกินไป “เดรโกฉีดยานั่นให้แล้วค่ะ”

    คิ้วของศาสตราจารย์ใหญ่เลิกสูงจนรอยพับย่นหน้าผากเด่นชัดขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ได้ยินเสียงพึมพำคาถาเงียบเสียงก่อนที่แม่มดชราจะหันกลับมาหา “คุณมัลฟอย ?” เธอถามย้ำ “แน่ใจใช่ไหม ?”

    “ค่ะ” เธอทอดหายใจพลางขยับตัวอย่างไม่สบายใจนัก “เขา...ช่วยหนูไว้”

    คิ้วของศาสตราจารย์ยิ่งขยับสูงขึ้น “เอาล่ะ” มักกอนากัลสุดลมหายใจ “ต้องบอกว่านั่นเป็นคำพูดที่ทำให้ฉันประหลาดใจมาก - ”

    “บางทีนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ดี” เฮอร์ไมโอนี่พูดในแง่ดีแม้ว่าความจริงเธอเองก็ไม่ได้แน่ใจขนาดนั้น “บางทีฉันอาจจะ - ”

    “คุณเกรนเจอร์” ศาสตราจารย์ขมวดคิ้วขัดจังหวะ “ฉันได้เตือนเอาไว้แต่แรกแล้วว่าไม่ควรตั้งความหวังกับ...แผนการนี้...”

    “แต่หนู...”

    “ก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาทำลงไปเพียงเพราะไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นตัวการในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ” ศาสตราจารย์กล่าวต่อด้วยเหตุผลที่หนักแน่น ในขณะที่แม่มดสาวได้แต่นิ่วหน้าฉงน “แต่อย่างไรก็ดี เธอไม่เป็นอะไรก็ดีที่สุดแล้ว ขอให้ฉันดูมือหน่อย”

    เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้สนใจในสิ่งที่ศาสตราจารย์พูดแม้แต่น้อย ความคิดของเธอล่องลอยไประหว่างที่มักกอนากัลตรวจสอบรอยแผล เมื่อนึกทบทวนดูแล้วความทรงจำระหว่างที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงค่อนข้างเลือนราง เธอไม่แน่ใจว่ามัลฟอยมาเจอเธอและช่วยเธอเอาไว้ได้ทันได้ยังไง เพราะสิ่งที่กำลังครอบครองความทรงจำส่วนใหญ่ของเธอในตอนนี้มีเพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น...

    ก็อดดริก ก็อดดริก ก็อดดริก...นี่ฉันของขาดถึงขนาดไหนกันนะ ถึงได้ทำแบบนั้นลงไป

    ก็สารภาพตามตรงว่าความปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงและลบอคติเขาก็เป็นเรื่องที่เธอหมกมุ่นมากในช่วงนี้ แต่แม้แต่ดัมเบิลดอร์ยังมองเห็นบางอย่างในตัวเขา เธอเองก็เห็นเหมือนกัน แล้วไอ้ความเหงาอะไรนั่นก็ไม่ใช่สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นกับพวกเขา ถึงจะต้องยอมรับว่ามีส่วนทำให้เธอเธอรู้สึกหลงใหลในความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของเขาที่เธอสังเกตเห็นก็เถอะ – ไอ้ความเปลี่ยนแปลงนั่นต่างหากที่ทำให้เธอถูกตรึงเอาไว้ ถูกตรึงเอาไว้กับเขา

    จนช่วยไม่ได้ ช่วยไม่ได้ที่เธอจะยั้งใจไม่ให้จูบเขาตอบ

    มันก็ไม่ถูกที่อนุญาตให้ตัวเองคล้อยตามไปกับสถานการณ์ชั่วอึดใจนั้นและมันคงจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก อีกอย่าง เธอยังคงแน่วแน่กับการพยายามจะเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาที่ถูกล้างสมองมา ดังนั้นเธอจะต้องมีสติให้มากขึ้นและจดจำปณิธานนี้ให้ขึ้นใจ มัลฟอยก็ยังเป็นมัลฟอย เธอควรจะรักษาระยะห่างระหว่างเขาให้มากขึ้น ถึงริมฝีปากของเขาจะทำให้รู้สึกเหมือนกับ...

    ...กับขนนกที่ชุ่มน้ำ

    เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะนุ่มนวลถึงขนาดนั้น

    เฮอร์ไมโอนี่ถูกฉุดขึ้นจากห้วงความคิดเมื่อพบว่ามักกอนากัลกำลังขยับปากพูดอะไรบางอย่างอยู่ “คะ - คะ ?” เธอตะกุกตะกักรับคำ และมองศาสตราจารย์อย่างรู้สึกผิด “ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ยินที่ศาสตราจารย์พูด”

    “ฉันบอกว่าคุณมัลฟอยน่าจะมีเหตุผลที่น่าสงสัย เรื่องที่ช่วยคุณน่ะ” ศาสตราจารย์ใหญ่พูดซ้ำ แล้วมองไปยังร่องรอยบนมือของลูกศิษย์ “แต่ยังไงก็หาโอกาสขอบคุณเขาอย่างเหมาะสมเสียเถอะ”

    เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้ารับพลางคิดไปว่าเจตคติที่เธอมีต่อสลิธีรินนั่นยังห่างไกลคำว่าเหมาะสมอยู่มากโข “ค่ะ ศาสตราจารย์”

    “ฉันมีข่าวที่คงจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นจะบอก” ศาสตราจารย์ส่งยิ้มที่หาดูในยาก และยิ่งยากสำหรับเหตุการณ์ทุกวันนี้ “ฉันได้รับจดหมายจากนิมฟา - ”

    “จากท็องส์เหรอคะ ?” เธอเงยหน้าขึ้นมองศาสตราจารย์อย่างสนใจ “เธอโอเคไหมคะ ?”

    “ก็สบายดีอย่างที่รู้” ศาสตราจารย์ว่า “อีกสองสามวันเธอจะกลับมาเพื่อคุยเกี่ยวกับมาตราการความปลอดภัยของฮอกวอตส์ - ”

    “หนูไปเจอเธอได้ไหมคะ ? ขอให้ไปพบเธอได้ไหมคะ ศาสตร - ”

    “เย็นไว้ก่อน” ศาสตราจารย์ถอนหายใจ “เธอยังต้องซ่อนตัว ดังนั้นฉันจะอนุญาตให้เธอไปที่ร้านไม้กวาดสามอันได้สักคืนสองคืน - ”

    “โอ้ ขอบคุณค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ส่งยิ้มกว้าง อย่างน้อยนี่ก็ทำให้เธอหายหงุดหงิดจากวันแย่ ๆ ที่ผ่านมาได้ “ขอบคุณนะคะศาสตราจารย์ ว่าแต่เธอจะมาถึงเมื่อไหร่คะ ?”

    “พฤหัสหน้าแล้วจะกลับไปวันเสาร์” เธออธิบาย “แต่ยังไงก็ยังหวังว่าเธอจะเข้าเรียนครบทุกวิชา แต่คิดว่าเธอก็คงไม่ขาดเรียนอยู่แล้วใช่ไหม”

    “แน่นอนค่ะ”

    “อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา” ศาสตราจารย์ใหญ่กล่าว “ฉันคิดว่าการได้ไปเจอเธอคงทำให้เธอดีขึ้นได้”

    “แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ” แม่มดสาวขมวดคิ้วขณะที่ชื่อของเดรโกไหลหลุดออกจากริมฝีปาก “แล้วมัลฟอยล่ะคะ ?”

    “เขาทำไมล่ะ ?” เธอตอบเสียงเรียบ “เธอบอกว่าเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้อง ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาควรจะดีใจที่อย่างน้อยก็ได้ใช้เวลาอยู่คนเดียวบ้าง แต่ก็แนะนำว่าเธอเองก็ควรจะได้มีเวลาห่างจากเขาบ้าง ฉันรู้ว่าการอยู่ร่วมกับเขาคงไม่ง่ายสักเท่าไหร่”

    สิ่งที่ศาสตราจารย์ไม่รู้ก็คือ ทุกวันนี้มันยิ่งยากขึ้นไปเรื่อย ๆ

    “ค่ะ เป็นอย่างนั้น” เจ้าของเรือนผมสีบรูเน็ตตอบ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่แย่กว่านั้น “แล้วเรายังต้องไปฮอกส์มี้ดอีกไหมคะ? สุดสัปดาห์นี้ ?”

    “แน่นอน” ผู้ฟังพยักหน้ารับ “คงมีเพื่อนฝากซื้อของหลายคนอย่างนั้นสินะ”

    แต่ฉันไม่ได้บอกใครนอกจากมัลฟอยเนี่ยสิ...

    “อ้อ ไม่ค่ะ” เธอพึมพำแล้วหลับตาลงอย่างรู้สึกผิด “มีแค่คนเดียว”

    ---

    “ไม่คิดว่ามันน่าเศร้าเหรอ ?”

    เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้วมองเพื่อนผมบลอนด์ที่อยู่ตรงหน้า “คิดว่าอะไรเศร้าเหรอ ?”

    “ก็ผึ้งทุกตัวกำลังจะตาย” ลูน่าพูดเสียงแผ่วขณะที่เลื่อนเก้าอี้ของห้องสมุด “มีนักเรียน 22 คนถูกต่อย เพราะงั้นก็ต้องมีผึ้งอย่างน้อย 22 ตัวตายที่ต้องตาย”

    เฮอร์ไมโอนี่ส่งยิ้มอ่อนแต่เปี่ยมด้วยความรักให้เพื่อนพร้อมทั้งแอบขอบคุณที่เพื่อนหาหัวข้ออื่น ๆ มาดึงความสนใจของเธอ

    ตอนนี้ห้องสมุดค่อน ๆ เย็นลงแล้วและมีเพียงนักเรียนปีห้า 2 คนเท่านั้นที่ยังซุกตัวอยู่ที่นี่ ความหนาวเย็นของช่วงค่ำกำลังกลืนกินผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มจนกลายเป็นสีขุ่นมัว ระหว่างที่ใช้เวลาอยู่ท่ามกลางหนังสือมนตราและท่าทางไร้เดียงสาของลูน่า นั่นทำให้ความรู้สึกที่มีต่อมัลฟอยค่อยเบาลงได้ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้เต็มอกว่ามันช่วยได้เพียงชั่วคราวเท่านั้นก็ตาม

    “อย่ากังวลไปเลยลูน่า มันแค่ความเชื่อเท่านั้นแหละ” เฮอร์ไมโอนี่วางมือลงบนไหล่ของอีกคนอย่างอบอุ่น “มีแค่ฮันนี่บีตัวเมียเท่านั้นที่ตายหลังจากฝังเหล็กใน แต่ที่ฮอกวอตส์เราเลี้ยงไว้แค่พวกบัมเบิลบี”

    “งั้นก็ข่าวดีน่ะสิ” คนฟังพึมพำขณะที่ช้อนดวงตาอ่อนล้าขึ้นมองหญิงสาวอีกคน “ปากเธอดูไม่เหมือนเดิมจริง ๆ นะ เฮอร์ไมโอนี่”

    “ไม่นี่...” ดวงตาสีเฮเซลหลุบมองไปทางอื่น “ก็ปกตินะ -”

    “แต่มือหายแล้ว” อีกฝ่ายยังพูดต่ออย่างไม่สนใจ “บางทีอาการแพ้อาจจะตอบสนองต่ออะไรที่รุนแรงกว่านี้ก็ได้”

    นั่นแหละสาวเรเวนคลอคนดีของเธอ แม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะอ่อนโยนและถ้อยคำที่พูดออกมาจะดูไร้เดียงสาอยู่เสมอ แต่บางทีมันก็ทำให้คนฟังรู้สึกระแวงขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด และแน่นอนว่าตอนนี้เช่นกัน

    “ไม่รู้เหมือนกันแหะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเสียงแข็ง “ว่าแต่มันสำคัญหรือไง ?”

    “ก็ถ้าหากว่ามันรบกวนเธอขึ้นมาน่ะนะ” ลูน่ายักไหล่แล้วเปิดหนังสือหน้าถัดไป “วันนี้ไปนอนหอคอยเรเวนคอลกันไหม ? เธอไม่ชอบอยู่คนเดียวตอนลมแรงนี่”

    จริง ๆ มันก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ เธอเกือบจะล้มเลิกความคิดที่จะกลับไปหอ (กลับไปหาเขา) แต่โอกาสนั้นก็หลุดลอยไป เมื่อความกล้าหาญอย่างกริฟฟินดอร์ดันลุกขึ้นตั้งตนเป็นอุปสรรค ความดื้อรั้นยืนยันไม่ให้เธอเลือกจะเลี่ยงสถานที่ที่เป็นของเธอ เพราะแบบนั้นจะทำให้ดูเป็นคนขี้ขลาด สามัญสำนึกยิ่งกระโดดเข้ามากระชากคอเพื่อบอกให้เธอต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ เพราะยิ่งเธอเลือกที่จะเลี่ยงมันเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเสียหน้ามากเท่านั้น

    “อ๋อ ไม่เป็นไร” เธอทอดลมหายใจ “การนอนในเตียงที่ไม่ใช่ของตัวเอง ยากกว่านอนคนเดียวท่ามกลางลมแรง ๆ เสียอีก”

    “โอเค” ลูน่าตอบรับแบบแกน ๆ ก่อนจะเริ่มเก็บของ “งั้น ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนใจก็ได้เสมอ ฉันแน่ใจว่าเธอรู้รหัส”

    “ขอบคุณนะ ให้เดินไปส่งไหม ?”

    “ฉันชอบเดินคนเดียวมากกว่า” เธอตอบแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วทอดสายตามองสาวกริฟฟินดอร์ “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับปากเธอ แต่ว่ามันเข้ากับเธอดีนะ เฮอร์ไมโอนี่”

    คนถูกพูดถึงตัวกระตุกวาบ “คิดไปเองน่า” เธอตอบอย่างไม่ยี่หระ “ฝันดีนะลูน่า”

    “ฝันดี” ลูน่าตอบก่อนจะเดินหายไปตามทางเดิน

    เฮอร์ไมโอนี่เม้มปากและสาบานได้เลยว่าลิ้นของเธอยังเอาแต่กระซิบบอกเธอว่ารสสัมผัสกลิ่นฟรุตตี้ของมัลฟอยเป็นยังไง เมอร์ลิน นี่มันไม่ยากเกินไปเหรอ เหตุการณ์ที่ไม่มีอะไรเลย-สุดจะไม่มีอะไรเลยแบบนั้นกำลังทำให้เธอรู้สึกเหมือนนังโง่ที่เอาแต่คิดเรื่องพวกนั้นวนไปวนมาก มันชอบบุกเข้ามาในห้วงความคิดเธออย่างดุร้ายและอันตราย แทบจะเข้าใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าทำไมเธอถึงเอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่ได้ และที่แย่ไปกว่านั้น เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วเธออยากจะเลิกคิดถึงมันหรือเปล่า แถมที่แย่ไปกว่านั้นคือเธอเอาแต่คิดว่าจริง ๆ แล้วความรู้สึกที่ยังซ่านอยู่ในปากนั้น มันเรียกว่าจูบได้ไหม ?

    “โอ้ย พอ” เธอกระซิบบ่นตัวเอง รีบเก็บข้าวของและหนังสือเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์และศาสตร์มืดเข้ากระเป๋า ก่อนจะรีบออกจากห้องสมุดไป

    ลมหนาวเดือนพฤศจิกาเกือบจะทำให้เธอตัดสินใจออกมานอนที่โซฟาอีกครั้ง และเธอก็ยังแอบสงสัยว่าคราวนี้มัลฟอยจะยังออกมานอนด้วยอีกไหม เธอไม่แน่ใจว่าทำไมถึงเริ่มตั้งคำถามแบบนั้น ทั้งที่จริง ๆ เธออยู่ในจุดที่ควรจะรักษาระยะห่างให้มากที่สุดเท่าที่จะมาได้ด้วยซ้ำ แต่สองคืนที่เธอได้นอนใกล้กับเดรโกก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่เธอผ่อนคลายได้ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่รอนและแฮร์รี่ทิ้งเธอไว้แบบนี้ เธอคิดเอาเองว่ามันก็ปกติที่การมีเขาอยู่ด้วยจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่นอกเหนือไปจากนั้นก็ต้องยอมรับว่าเสียงหายใจของเขาทำให้การนอนหลับมันง่ายขึ้นกว่าปกติ...

    รู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงประตูหอนอนแล้ว ร่างบางหยุดเท้าอยู่ตรงนั้นพลางตระหนักได้ว่าหัวใจของเธอกำลังสั่นไหวและมันส่งเสียงสะท้านมาจนถึงแนวซี่โครง เธอสูดลมหายใจเข้าเนิ่นนานจนรู้สึกอึดอัดก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมาช้า ๆ เพื่อสะกดอารมณ์ เธอขบริมฝีปากล่างและปลายนิ้วสั่นระริกด้วยความกังวล

    “ก็อดดริก มอบความเข้มแข็งให้ฉันด้วย” เธอบ่นพึมพำก่อนจะพูดรหัสผ่าน “แอดลูเซม”

    หัวใจของเธอกำลังเต้นผิดจังหวะระคนไปกับจังหวะสั่นไหวของปลายนิ้วมือ เธอผลักประตูให้เปิดออกก่อนจะพบว่าภายในห้องถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยความมืดมิด เมื่อมองไปโดยรอบแล้ววิสัยทัศน์เช่นนี้ก็มีเพียงเค้าโครงของสิ่งของที่คุ้นตาเท่านั้น เฮอร์ไมโอนี่สืบเท้าไปยังห้องครัวขณะที่คิดไปเองว่าบางทีช็อคโกแลตร้อนสักแก้วคงจะช่วยลดความกังวลของเธอลงได้ และคิดไปเองอีกว่ามัลฟอยคงยังอยู่ในห้องซึ่งคงจะอยู่ในนั้นไปตลอดคืน ร่างบางหมุนไหล่เล็ก ๆ ไปมาเพื่อให้ผ่อนคลายจากอาการไม่ปกติ แล้วจุดเทียนขึ้นเพื่อสร้างแสงเล็ก ๆ ให้พอได้ต้มเครื่องดื่ม แม่มดสาวไม่รู้ตัวเลยว่าทุกความเคลื่อนไหวนั้นอยู่ในสายตาของอสรพิษตลอดเวลา

    เดรโกเฝ้าสังเกตเธอจากโซฟา โดยมีความมืดเป็นเกราะกำบังก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะจุดไฟขึ้นมาภายในห้อง แต่สุดท้าย เธอก็ไม่ทันสังเกตเห็นเขาอยู่ดี ซึ่งแปลกมาก เขาสาบานได้เลยว่าตอนที่เธอเปิดประตูออกมา เขาเห็นสายตาของเธอมองตรงมาที่เขา แต่มันคงจะมืดเกินกว่าจะมองเห็นได้นั่นแหละ

    เดรโกเฝ้ามองแผ่นหลังของเธออย่างเงียบงันและพยายามหายใจให้ไม่ดังจนเกินไป เขาใช้ดวงตาสีอ่อนมองไปยังลอนผมที่ทิ้งตัวตามเส้นสันหลัง จรดส่วนสะโพกที่ผายออกภายใต้ผ้าคลุมกริฟฟินดอร์ เขาอยากจะเข้าไปก่อนกวนเธอเสียในตอนนี้ เป็นต้นว่าแกล้งให้กลัวหรือไม่ก็ข่มขู่อะไรสักอย่างเพื่อความสนุกของตัวเอง ให้ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่มีสำคัญอะไรสำหรับเขา แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิด

    เฮอร์ไมโอนี่เอียงคอไปมาขณะที่ใช้ฝ่ามือนวดบริเวณต้นคอ ก่อนจะปลดเสื้อคลุมออกแล้วโยนไปพาดไปไว้บนเคาท์เตอร์ เขาไม่ได้ตั้งใจจะมอง แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่สายตามันดันไปหยุดที่ขอบเสื้อชั้นในซึ่งเห็นผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาวเป็นรอยลาง ๆ - เห็นลาง ๆ จนพอจะเดาได้ว่ามันเป็นสีฟ้า และก็อีกครั้งที่เกรนเจอร์ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ความรู้สึกระหว่างอุ้งเชิงกรานก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เดรโกค่อย ๆ คืบคลานไปตามเฟอร์นิเจอร์และซ่อนตัวภายในเงามืดเพื่อให้ใกล้เธอขึ้นอีกนิด

    บางทีการเข้าใกล้เธอก็อาจจะทำให้เขาพอได้สูดเอากลิ่นหอมของเธอและนึกเอาว่ามันคือรสชาติของเธอได้อีกครั้ง

    กว่าจะรู้ตัวก็จับความคิดอันตรายของตัวเองได้อีกครั้ง เขาต้องเตือนตัวเองว่าคนตรงหน้าน่ารังเกียจแค่ไหนโดยเฉพาะสายเลือดด้อยค่าของเธอ ภาพหนังสือมักเกิ้ลที่เธออยากให้เขาอ่านก็ฉายวาบขึ้นภายในดวงตาแต่เขาก็ขุดหลุมฝังมันได้ทัน ใบหน้าของเขามีเพียงความหยามเหยียดที่มีต่อเธอ มันสะท้อนเพียงความดูแคลนที่มีต่อเธอมากมายเหลือเกิน

    เขาทำแบบนั้น เขาทำแบบนั้นจริง ๆ

    และเธอก็ควรจะได้เห็นมันด้วยตัวเอง

    เขาเข้าใกล้ห้องครัวมาก ใกล้จนสามารถสัมผัสตัวเธอได้ แต่แม่มดสาวก็ไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งเขาย่างเหยียบลงบนพื้นอีกครั้ง

    เฮอร์ไมโอนี่หมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็วจนทำให้แก้วของเธอกลิ้งตกลงมาแตกส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณ เรือนผมปรกลงที่ใบหน้า พาดผ่านริมฝีปากชื้น และดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอรีบก้าวเท้าถอยหลังแต่ฝ่ามือของเขาเร็วกว่า เขาฉวยเอาข้อมือของเธอเอาไว้ได้พอดี

    “เดรโก” เธอกรีดเสียงพยายามจะดึงมือกลับ และดึงใบหน้าให้เรียบเฉย “นี่นาย - ”

    ยังไม่ทันได้พูดจบ มืออีกข้างก็ถูกรวบเอาไว้ คราวนี้แผ่นหลังเธอถูกดันจนติดกับเคาท์เตอร์และเบื้องหน้าก็มีเพียงเขาที่ใกล้เธอเสียจนอันตราย ภายในอกของเธอเดือดพลุ่งไปด้วยความรู้สึกตระหนก ไม่ใช่เพราะกลัวจะถูกทำร้าย แต่เพราะมันใกล้เกินไป ใกล้เสียจนเธอสามารถได้กลิ่นชายชาตรีอย่างเขาในทุกขณะลมหายใจ ยิ่งสูดเอากลิ่นของเขาเข้ามาร่างกายของเธอก็ยิ่งเดือดไปด้วยความร้อนที่กำลังจะเผาไหม้ผิวกายของเธอ

    เธอเบิกตามองเขาที่ดูท่าทางพิโยกพิเกนขณะที่พยายามจะถอยออก เพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขาก็ดูเป็นท่วงท่าที่เย้ายวนได้ เฮอร์ไมโอนี่พยายามกลืนก้อนบางอย่างที่จุกค้างที่ลำคออย่างยากลำบาก สิ่งที่เธอต้องเผชิญในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผ่านมันไปได้เลย ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เส้นลำคอของเขาและในหูมีเพียงเสียงคำรามแผ่วเบาที่ดังก้อง

    “ฉันแค่อยากจะทำให้มันชัดเจน” เขาตะคอกอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่ได้ช่วยเธอเพราะสนใจความเป็นความตายของเธอ -”

    “ฉัน -”

    “เงียบซะ” เขาขู่เสียงต่ำและบีบข้อมือแน่นขึ้น “ฉันจริงจังนะเกรนเจอร์ ฉันรู้ดีว่าสมองเล็ก ๆ น่าสมเพชของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และฉันจะบอกให้ฟังชัด ๆ ว่าทุกอย่างที่ฉันทำไม่ได้มีความหมายบ้าบออะไรทั้งนั้น!

    “แล้วทำไมถึงช่วยล่ะ ?” เธอพยายามแค่นเสียงถามโดยไม่แสดงสีหน้าใด “ทำไมถึงต้อง -”

    “เพราะว่าฉันจะบ้าตาย!” เขาตะคอกซ้ำ “ถ้าเธอตายขึ้นมา ฉัน-”

    “ก็จะถูกโบ้ยว่าเป็นความผิดนาย” เธอจบประโยคด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “แต่เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะนายไม่มีเวทมนตร์ มัลฟอย นายเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ เหรอว่าพวกเขาจะคิดว่านายเป็นคนทำ -”

    “ฉันคิดว่าเธอและภาคีอันรักยิ่งของเธอก็คงสามารถทำอะไรก็ได้เพื่อกำจัดฉัน -

    “งั้นก็เข้าใจผิดแล้วล่ะ” เธอโต้กลับทันควัน “พวกเขาจะไม่ -

    “ฉันไม่สน!” เขาตวาดและกดใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น “ฉันกำลังพูดอยู่นี่ไงว่า ฉันโคตรจะไม่สนใจว่าเธอจะอยู่หรือตาย”

    มันไม่ควรจะทำให้เธอเจ็บปวด แต่มันดันเจ็บปวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เธอรู้สึกเหมือนบางอย่างภายในหัวใจกำลังห่อเหี่ยวและค่อย ๆ หดเล็กลงเหมือนกระดาษที่ไหม้ไฟ เธอพยายามสูดลมหายใจเพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงมันออกมา

    “เธอช่วยฉัน และฉันก็ช่วยเธอ” เขาพูดต่อเสียงกระด้าง “เราเสมอกัน เพราะงั้นก็ปล่อยเรื่องพวกนั้นไว้แบบนั้นแล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบคนที่เกลียดกันเหมือนเดิม”

    “จะกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกอีกน่ะเหรอ” เธอถอนหายใจ และรู้สึกเกลียดตัวเองที่มันดันแฝงความเศร้าเอาไว้ในประโยคนั้น

     ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่อีกครั้ง เดรโกได้แต่กระพริบตาเมื่อได้ฟังคำพูดแปลก ๆ ของเธอ ระหว่างเขาไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าลมหายใจแผ่วเบาจากเธอที่ลอยกระทบใบหน้าของเขา มันทำให้เขาต้องใช้ความพยายามมากที่สุดเพื่อที่จะไม่หลุบตาลงมองริมฝีปากนั้น ในมุมมองนี้ความตัวเล็กตัวน้อยยังทำให้เธอมีเสน่ห์ต่อเขามากอย่างไม่อาจต้านทาน เขาได้แต่โทษห้องอันคับแคบนี่และเลือดของเธอที่ไหลวนอยู่ภายในร่างกาย แม้ว่าความจริงเขาควรจะหยุดเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่ความกระหายก็กระโจนเข้ามาครอบครองสติของเขาเอาไว้ได้อีกครั้ง ยิ่งเขาต้องการไปให้ห่างจากเธอเท่าไหร่ ความรู้สึกที่ยังต้องการจะลิ้มเลียริมฝีปากของเธอยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น

    “พอ” เขากระชากเสียงแล้วปล่อยข้อมือของเธอให้เป็นอิสระ “อย่างที่ฉันพูดไป เกรนเจอร์ อย่าใช้สมองคิดเรื่องพวกนั้นให้มากนัก”

    ความหนาวเย็นตรงเข้าห่อหุ้มร่างกายของเธอทันทีที่เขาห่างไป ดวงตาของเธอทำได้เพียงจับจ้องไปที่กล้ามเนื้อไหล่ที่เคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า การจบบทสนทนาแบบนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดี และความกล้าหาญบ้าบิ่นแบบกริฟฟินดอร์ก็กลายเป็นส่วนผสมอันตรายที่กำลังรวมตัวเข้ากับความใคร่รู้ จนในที่สุดเธอก็หลุดปากถามออกไป

    “แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นล่ะ นายจะว่าไง ?”

    เธอรู้ว่าเสียงของเธอกำลังสั่น แต่เธอไม่ได้ใส่ใจนักตราบใดที่มันยังสามารถใช้หยุดเขาจากการหนีเข้าห้องได้ ความกดดันภายในห้องมากขึ้นตามมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนยังคงจับจ้องไปทีเขาขณะที่ตัวคนตรงหน้าค่อย ๆ หันมามองด้วยสายตาที่แทบจะปลิดลมหายใจได้ เมื่อมองผ่านระหว่างความโกรธเกรี้ยวและรำคาญในดวงตาของเขา เฮอร์ไมโอนี่ก็มองเห็นความยโสและเกรี้ยวกราดบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง

    “ก็ไม่ทำไม” เดรโกส่งเสียงคำรามต่ำขณะที่สืบเท้าเข้ามาใกล้แล้วยกนิ้วมือที่สั่นสะท้านด้วยโทสะชี้ตรงมาที่เธอ “ได้ยินไหม เกรนเจอร์? ไม่มีห่าอะไรทั้งนั้น”

    “อ้อ งั้นฉันคงจำมาไม่เหมือนนายมั้ง” เธอโต้กลับพลางเชิดคอขึ้น “เพราะฉันจำได้ - ”

    “หุบปาก -

    “ว่าฉันกับนาย - ”

    “หยุด” เขากระชากเสียง นี่เป็นอีกครั้งที่เธอกำลังจะอยู่เหนือเขา “มันไม่มีอะไรทั้งนั้น! และจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก! ดังนั้นก็ปากสีโคล -”

    “ปากสีโคลน ?” เธอต่อประโยค ก่อนจะเอียงคอกอดอกอย่างหงุดหงิด “ฉันรู้ว่านายยังมีอคติกับฉันเพราะฉันเป็นมักเกิ้ล มัลฟอย แต่เชิญใช้คำพูดหน้าโง่พวกนั้นต่อไปเถอะ เพราะในที่สุดแล้วฉันรู้ว่านายกำลังไม่แน่ใจในตัวเอง - ”

    “เลิกโง่เถอะ!” เขาว่าต่อ แต่ในถ้อยคำนั้นกลับทำให้ความรู้สึกลึก ๆ ภาวนาไม่ให้เธอได้ยินมัน “ฉันเกลียดเธอ ทั้งเผ่าพันธุ์ของเธอ และปากสีโคลนของเธอก็พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ฉันคิดมันถูก - ”

    “อ้อ แต่นายจูบปากของเลือดสีโคลนนี่”

    “ไม่ ฉันไม่ได้ทำ!

    ความจริงกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ ดวงตาสีทองและดวงสีเงินกำลังตกอยู่ในความสับสน เฮอร์ไมโอนี่ไม่แม้แต่จะขยับร่างกายในขณะที่เขาทำได้เพียงหายใจหอบ และลมหายใจนั้นก็เป่ารดริมฝีปากของเธออีกครั้ง มันสร้างความปั่นป่วนขึ้นภายในอกของเธอ แม้ว่าเดรโกจะดูไม่ชอบใจนักและดูหวาดกลัว...นิดหน่อย แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าเขากำลังสะกดเก็บสัญชาตญาณไม่ให้มันฉกฉวยจูบจากเธออีกครั้ง

    เขาหลับตาลง

    ใช่ เขาเป็นบ้าโดยสมบูรณ์

    ยกความดีความชอบให้ซัลลาซาร์ที่ช่วยมาปรากฏตัวเตือนสติเขาในสมอง จนทำให้เขานึกออกว่าเขาเป็นใคร และเธอเป็นใคร

    เลือดสีโคลน

    เขาถอนเท้าออกอย่างไม่มั่นคง ค่อย ๆ เดินออกจากเธอ ใช้สายตามองเธอด้วยความเหยียดหยามและสับสน ความรู้สึกกำลังอลหม่านอยู่ภายในหัว เขามองเห็นเธอ - เกรนเจอร์ดูเหมือนเชื้อเชิญเขาอยู่นิดหน่อย ด้วยริมฝีปากที่เผยออก ไหนจะรอยเลือดฝาดที่แต้มอยู่บนพวงแก้มและผิวกายบริเวณไหปลาร้า นี่มันเกินไปมาก แม่ง เขาต้องกลับไปที่ห้องเดี๋ยวนี้

    “มันไม่มีอะไรทั้งนั้น” เขาย้ำด้วยความรู้สึกที่ล้นทะลักอยู่ภายในอก “เข้าใจไหมเกรนเจอร์ ? และถ้าหากครั้งหน้าเธอต้องการความช่วยเหลืออีก ฉันขอสาบานด้วยชื่อของมัลฟอยว่าฉันจะทำแค่เพียงมองดูเธอทุรนทุรายและรู้สึกดีที่เป็นแบบนั้น”

    ถ้อยคำใจร้ายพุ่งเข้าใส่หัวใจของเธอราวกับลูกดอกที่เย็นเยียบ “เดรโก - ”

    “อยู่ให้ห่างจากฉัน” เขาขู่เสียงต่ำ

    ในที่สุดเธอก็ถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวอีกครั้ง บางทีความคิดที่จะปล่อยให้เขาจูบเธออีกครั้งคงเป็นเรื่องผิดที่สุดในตอนนี้

    ที่อีกด้านของประตู เดรโกฝังใบหน้าลงกับเข่าพลางจับหัวของตัวเองเอาไว้เพราะต้องการให้มันหยุดทำเสียงน่ารำคาญซ้ำไปมาเสียที อยากจะสาปแช่งเธอต่อหน้าหลุมศพเมอร์ลินที่สถานการณ์ไร้เวทมนตร์นี่ทำให้เขาเปราะบางถึงเพียงนี้ ทั้งสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือในจุดที่เขาไร้ทางออก กลับมีเพียงเธอที่พอจะทุเลาเรื่องบ้าบอที่ไหลวนอยู่ภายในหัวเขาได้ ถ้าหากนี่ไม่ได้เรียกว่าจุดต่ำสุดในชีวิต เขาเองก็ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรแล้ว

    ยิ่งความคิดของเขามันก่อตัวขึ้นภายในใจมากเท่าไหร่ ความปวดหนึบเพราะไมเกรนก็ยิ่งถาโถมเข้ามามากเท่านั้น เขาควรจะยอมละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองลงสักหน่อย เพียงเพื่อให้ได้ลิ้มรสเธออีกครั้ง อย่างน้อยมันก็ทำให้เขาสามารถขับไล่ปีศาจร้ายที่คอยหลอกหลอนเขาในทุก ๆ คืนให้จางไปได้

    นี่เธอทำบ้าอะไรกับเขา ?

    และทำไมเขาถึงรู้สึกว่าไอ้ความรู้สึกบ้านี่จะยิ่งแย่ลงไปอีก ?

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×