NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 : Heaven [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.12K
      149
      11 พ.ค. 63

    มีคนกล่าวว่าในยามคับขัน เราจะได้เรียนรู้ที่จะซาบซึ้งในสิ่งสำคัญธรรมดา ดังเช่นที่สะท้อนในบทกวีเพ้อฝันจำพวกแสงอาทิตย์อัสดง เสียงของเหล่าปักษาที่ขับขาน และสีสันสวยงามของบุปผชาติ

    แต่รู้อะไรไหม เฮอร์ไมโอนี่ค่อนข้างแน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นมันไร้สาระสิ้นดี

    เหลวไหล ไร้สาระ เฮงซวย

    ดวงอาทิตย์มันก็ตกของมันอยู่ทุกวี่วัน เหมือนกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญของพวกนกนั่นก็ทำให้ปวดหัวเหมือนเดิม และแน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าสีของดอกไม้จะอ่อนจะสดยังไงเพราะในท้ายที่สุดมันก็ร่วงโรยเสียจนหมดอยู่ดี เหี่ยวเฉาน่าเวทนา แห้งแกรนไร้ร่องรอยของความสวยงามที่เคยมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกได้เหยียบย่างเข้าสู่เหมันตฤดูนั่นยิ่งทำให้สิ่งมีชีวิตดุจจะถูกพรากเอาชีวิตและจิตวิญญาณไปเสียจนหมด

    บอกเลยว่าเมื่อใดก็ตามที่ตกที่นั่งลำบาก สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือไม่มีเลยความสวยงาม ความลำบากก็คือยังคงเป็นความลำบากมันจะทำให้คุณไม่สามารถสนใจสิ่งใดได้นอกจากมัน สิ่งอื่นใดจะถูกทำให้บิดเบี้ยว ไร้เหตุผล และขมุกขมัวไปด้วยแรงดึงดูดของความมืดหม่นภายในจิตใจ ดังเช่นเฮอร์ไมโอนี่ที่เริ่มรู้สึกว่าเวลาในชั้นเรียนนั้นช่างไร้ความหมายและไปกว่านั้นคือทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกัน

    นักเรียนฮอกวอตส์กำลังจมดิ่งอยู่ในความสลด – ทั้งหมดนั้นกำลังต่อสู้กับแรงดึงดูดมหาศาลของความโศกเศร้า

    ความจริงต้องบอกว่าทั้งหมดที่ได้รับอนุญาตให้กลับมา

    หากจะประมาณคร่าว ๆ แล้วเธอบอกได้เลยว่ามีนักเรียนอยู่เพียงหนึ่งในสี่เท่านั้นและทั้งหมดนี้ก็ตกอยู่ในความกลัว ระเบียงทางเดินมีเพียงเสียงสะท้อนของฝีเท้าและเสียงพูดคุยที่แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ใบหน้าของพวกเขาหม่นหมองเสียยิ่งกว่าอะไร แต่ถึงอย่างนั้นการเรียนการสอนก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปเช่นกันกับควิดดิชและงานอื่น ๆ แม้ว่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่านักเรียนส่วนมากไม่ได้มีความพร้อมที่จะแข่งขันเลยแม้แต่น้อย – อันที่จริงพวกเขาไม่มีความพร้อมที่จะเข้าสังคมหรือกระทั่งเข้าเรียนเองก็เหมือนกัน

    ศาสตราจารย์มักกอนากัลเป็นคนหนึ่งพยายามอย่างที่สุดที่จะคงสถานการณ์ให้ใกล้เคียงคำว่าสงบและปกติแต่เธอก็พบว่ามันเปล่าประโยชน์ ฮอกวอตส์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แม้แต่กำแพงโบราณที่เป็นเปลือกนอกซึ่งครั้งหนึ่งทุกคนเคยเชื่อมันว่ามันปลอดภัยเอง... สำหรับตอนนี้ แน่นอนว่ามันก็กลายเป็นเพียงเปลือกนอกห่วยแตกชิ้นหนึ่ง

    วันนี้เป็นวันที่ 1 ตุลาคมหมายความว่าเฮอร์ไมโอนี่เพิ่งจะกลับมาที่นี่ได้เพียงสองสัปดาห์เท่านั้นทั้งที่เมื่อวัดตามความรู้สึกแล้วมันกลับดูยาวนานกว่านั้น นอกจากนั้น 1 ตุลาคมก็ยังหมายความว่าพวกเขาได้ผ่านเหตุการณ์น่าเศร้าสลดจากการจากไปของดัมเบิลดอร์มาถึงห้าเดือนแล้ว

    ฮอกวอตส์ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ทุกคนรู้ดี พวกพวกผู้เสพความตายสามารถฝ่าเข้ามาถึงโรงเรียนและนั่นต้องขอบคุณไอ้บ้าเดรโก มัลฟอย และสเนปที่ได้สังหารพ่อมดที่อัจฉริยะที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้จัก – ขอบใจจริง ๆ

    โวลเดอร์มอร์กลับมาแล้ว อันที่จริงก็ได้เห็นการกลับมาของเขามาสักพักแล้ว แต่ความเลวร้ายของการหวนคืนของเขาคราวนี้กำลังสร้างความคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ – เธอกำลังหวาดกลัว ใช่แล้วล่ะ ช่างหัวแบบแผนการเป็นกริฟฟินดอร์ไปก่อนเพราะบางทีมันก็มีเหตุผลที่จะต้องหวั่นใจบ้าง

    และแน่นอนว่าช่วยไม่ได้เลยที่พ่อมดสองคนที่ควรจะเป็นเพื่อนรักและอยู่ข้างเธอตอนนี้กลับทิ้งเธอเอาไว้คนเดียว ใช่ แฮร์รี่และรอนกำลังพลิกประเทศนี้เพื่อตามหาฮอร์ครักซ์ที่เหลือ – โดยไม่มีเธอ

    เธอไม่แน่ใจว่ามีเหตุผลดี ๆ กี่ข้อที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจแบบแต่อย่างหนึ่งที่รู้ก็คือมันเป็นคำแนะนำของลูปิน เธอรักเพื่อนของเธอมากนะแต่ในสถานการณ์แบบนี้คงบอกได้แค่ว่า ถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้แฮร์รี่คงกำลังประสาทกินอยู่ทุกชั่วโมงส่วนรอนก็คงทำตัวป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เหมือนทุกที

    เธอรู้ว่านั่นไม่ใช่การตัดสินใจของพวกเขา แต่เธอก็เอาความรู้สึกขุนเคืองในสมองออกไปไม่ได้อยู่ดี เพราะเอาเข้าจริงอย่างน้อยพวกเขาก็อยู่ด้วยกันส่วนเธอไม่มีใคร

    ส่วนเธอถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่เพื่อช่วยศาสตราจารย์มักกอนากัลเปลี่ยนฮอกวอตส์ให้เป็นที่หลบภัยพร้อมกับสมากชิกภาคีจำนวนหนึ่งเช่นเชมัส ดีน รวมถึงจินนี่ที่แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่พร้อมกับศาสตราจารย์ท่านอื่น แม้ว่าน้องเล็กวีสลีย์เองก็แสนดีไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้สนิทกันจนสามารถทดแทนที่ว่างที่นายสองคนนั้นทิ้งเอาไว้ได้ นั่นทำให้ต่อให้ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดียวเสียทีเดียวแต่เธอก็ยังคงรู้สึกเหงาอยู่ไม่น้อย

    เฮอร์ไมโอนี่ได้รับการแต่งตั้งประธานนักเรียนอย่างที่ใคร ๆ คาดคิด นั่นอาจจะเป็นเพื่อให้เธอได้มีห้องส่วนตัวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แผนการของภาคีฯ หรือไม่บางทีตำแหน่งนี้ก็ถูกแต่งตั้งเพื่อมอบสิทธิพิเศษที่เธอสามารถใช้เวลาอยู่ในห้องสมุดยามวิกาลเพื่อเตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หรือบางทีมันก็อาจเป็นเพียงเพราะเธอคือเพื่อนสนิทสุดฉาวโฉ่ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ควรจะได้รับการแต่งตั้งเป็นสัญลักษณ์ของความหวังเพื่อต่อต้านทุกจิตวิญญาณอันน่าสังเวชที่สิ่งสู่อยู่ในฮอกวตอส์ - แน่นอนว่าเธอเต็มใจทำไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ข้อหนึ่งที่เธออยากขอคือ เธออยากอยู่ด้วยกันกับรอนและแฮร์รี่เท่านั้นเอง

    ประธานนักเรียนชายในตอนนี้คือคนที่เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าถูกเลือกขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร อาจจะเป็นเพราะไมเคิล คอร์เนอร์นั้นคงเป็นพรีเฟ็คที่พ่วงตำแหน่งกองทัพดัมเบิลดอร์ หรือไม่ก็คงเป็นการเตรียมการของพวกภาคีอีกเช่นกัน แต่ทั้งนั้นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของเธอเพียงคนเดียวและเพื่อให้เรื่องนี้กระจ่างเธอควรจะถามเขา หรือไม่ก็ลองคุยกับนักรเียนคนอื่น ๆ บ้าง แต่เมอร์ลิน - ทุกวันนี้มีเพียงคนเดียวที่เธอได้คุยด้วยคือศาสตราจารย์มักกอนากัล เธอหมกมุ่นกับการเป็นผู้ช่วยเดนตายมากเกินไปจนแทบจะไม่มีเวลาพบเจอใครเลย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหอประธานนักเรียนที่ต้องย้ายไปอยู่ มันเงียบอย่างกับป่าช้าเลยทีเดียว

    มันอยู่ไม่ไกลจากหอกริฟฟินดอร์ที่เธอเคยใช้ชีวิตหลายปีอยู่ที่นั่น ภายในห้องมีทุกอย่างครบครันทั้งห้องนอน ห้องครัวเล็ก ๆ พื้นที่ห้องรับแขกที่ไม่ได้ใหญ่โต ห้องอาบน้ำ และห้องนอนอีกห้อง ห้องที่ควรจะเป็นของแฮร์รี่ถ้าหากว่าเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียนชาย โดยเมื่อประธานนักเรียนในขณะนี้คือคอร์เนอร์ดังนั้นห้องของเขาจึงอยู่ฝั่งหอคอยเรเวนคลอซึ่งนั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่น่ายินดี เพราะในวันที่เธอควบคุมสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ได้ การอยู่คนเดียวย่อมดีกว่าการให้คนอื่นที่ไม่ใช่แฮร์รี่หรือรอนมารับรู้ด้วย

    สองคนนั้นจะส่งจดหมายหาเธอทุก ๆ สองสัปดาห์ไม่เกินจากนี้เพื่อไม่ให้เกิดข้อสังเกตที่จะนำไปสู่ความยุ่งยากในการตามล่าหาฮอร์ครักซ์ของพวกเขา

    ใช่ นั่นคงไม่ดีแน่ การถูกจับได้ไม่ใช่เรื่องดี และน่าทึ่งมากที่ไม่มีเรื่องไหนดีเลย เพราะแม้แต่ถ้อยคำที่ถูกเขียนในจดหมายเองก็ไหลผ่านสมองของเธอไปโดยที่ไม่โดนความสนใจจับได้เช่นกัน

    เที่ยงคืนผ่านพ้นไปขณะที่เธอกำลังเดินทางไปยังห้องสมุดเพื่อค้นคว้าเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์ หนึ่งในกิจวัตรที่พาให้เธอไปจบลงที่นอนไม่หลับ - เรียกได้ว่ากระตือรือร้นที่จะไม่หลับไม่นอนเหมือนเคย

    ตีสองก็ผ่านเข้ามาแล้ว เป็นเวลาที่เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่หลงเหลือใครอยู่อีกแล้วจะมีก็เพียงแต่เธอกับแสงสว่างเรือง ๆ จากคาถาลูมอสที่เป็นสัญญาณของการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางวงกตชั้นหนังสือ ดวงตาที่ปรือค้างครึ่ง ๆ กลาง ๆ ปวดหนึบจนต้องใช้มือช่วยนวด เพราะนอนน้อยติดต่อกันหลาย ๆ คืนทำให้สภาพร่างกายของเธอหย่อนประสิทธิภาพลงเป็นอย่างมาก ดวงตาที่แทบจะลืมไม่ขึ้นไม่สามารถโฟกัสหนังสือและรูปทรงได้อย่างแน่ชัดนัก มันมีเพียงภาพเลือน ๆ ลาง ๆ ที่ยากจะบอกได้ว่าเล่มไหนเขียนว่าอะไร

    “ใช่แล้วแหละมั้ง” เธอพึมพำกับตัวเองขณะที่ไล่นิ้วไปตามตัวหนังสือที่เธอใช้เวลาพอสมควรในการอ่านมัน “พ่อมดคนแรกที่คิดค้นวิธีสร้างฮอร์ครักซ์คือเฮอร์โปผู้ชั่วร้าย และมันเป็นเพียง...”

    พวกปัญหาสังคมไร้ค่า..

    พวกปัญหาสังคมไร้ค่า…

    เธอกระพริบตาอ่านประโยคเดิมซ้ำสองรอบแม้ว่าใจความจะเหมือนเดิมก็ตาม

    ?

    ----

    “ศาสตราจารย์ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ” เขาตะคอกด้วยอารมณ์รุนแรง “ไม่ทราบว่าน้ำยาบ้าบอตัวไหนของศาสตราจารย์ที่ทำให้เกิดความคิดงี่เง่านั่น แต่ผมขอยืนยันว่าผมจะไม่มีทางกลับไป”

    “งั้นฉันก็ต้องเข้าใจว่าคุณมีความคิดที่ดีกว่าอย่างนั้นสินะ ?” ศาสตราจารย์สเนปหันหน้าไปมองผู้พูดอย่างเชื่องช้า แต่ฟังดูก็รู้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ได้ดีไปกว่าเด็กหนุ่มที่กำลังเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตรงหน้านั้น

    “คุณลืมไปแล้วหรือไงว่าพวกเราทำอะไรไว้” เขาถามเหวี่ยงมือที่สั่นไปด้วยโทสะไปยังโรงเรียนที่เห็นเพียงแสงเลือนลางอยู่เบื้องหลัง “ผมจะถูกฆ่าตายทันทีที่เหยียบเข้าไปที่นั้น - แม้แต่เพียงก้าวเดียวก็เถอะ!”

    “เราไม่มีเวลาถกเถียงเรื่องนี้กันมากนัก คุณมัลฟอย” อดีตศาสตราจารย์พูดลอดไรฟันขณะที่มือเอื้อมไปจับคอเสื้อพ่อมดหนุ่มเอาไว้อย่างขู่ขวัญ “ฉันให้คำสาบานกับแม่ของเธอว่าจะปกป้อง - และนั่นคือที่เดียวที่ปลอดภัย”

    “อย่ามายุ่ง!” เขาขู่ฟ่อ พยายามยื้อต้านสเนปที่พยายามพาเขากลับไปยังฮอกวอตส์ ส้นรองเท้าหนังถูกกดลากไปกับพื้นพร้อม ๆ กับที่มือพยายามแกะเสื้อคลุมออกแต่นั่นไม่เป็นผล “พวกทรยศน่าสมเพช!”

    สิ้นคำคนสูงวัยกว่าก็ชะลอฝีเท้าลงและดึงตัวเดรโกเข้ามาใกล้ สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่แสดงอาการใดแต่มันก็มีรังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจนเดรโกสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวภายในดวงตาของศาสตราจารย์ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด เขาพูดถูกแล้ว คนตรงหน้านี่ก็แค่พวกทรยศสายเลือดที่น่าสมเพช

    เขาและสเนปต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เป็นเดือนเพื่อ… เรื่องบนหอคอยดาราศาสตร์นั่น เดรโกไม่ได้โง่ เขารู้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตามมาแน่นอนซึ่งเขาไม่อยากจะจินตนาการถึงความรุนแรงนั่นเลย อย่างดีที่สุดลอร์ดมืดก็คงจะทำให้เขาตาย และอย่างร้ายที่สุดเขาก็ถูกทำให้ตายอยู่ดี ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้

    ชั่วเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้คุยกับพ่อแม่ของเขาเลยด้วยเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดียังไง เพราะเพิ่งจะหลบหนีออกจากกะท่อมโกโรโกโสที่เชทแลนด์ที่ซึ่งมีชายหัวมันเยิ้มที่เอาแต่มองเขาด้วยสายตาที่ดุร้าย ให้ตายไม่ว่าจะทางไหนก็มีแต่ตายทั้งนั้น เยี่ยม

    จากนั้นสเนปก็บอกว่าเขาได้รับบทสายลับ เขาทรยศทุกคนและเป็นพวกเดียวกับพวกนั้น - พวกภาคีงี่เง่า เขาแทบจะสำรอกออกมาก่อนจะใช้ช่วงเย็นของวันนั้นให้หมดไปกับการพยายามจะหนีออกจากที่หลบซ่อน

    แต่เขาจะไปไหนได้ ?

    ถ้าหากว่าไม่ติดที่ว่าโวลเดอร์มอร์คงอยากจะเสกคำสาปพิฆาตใส่เขาเสียเต็มแก่ เขาคงรีบเร่เข้าไปเปิดเผยถ้อยวิวรณ์นั้นเพื่อเอาความดีความชอบแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่เหลือที่ยืนในการเป็นผู้เสพความตายอีกต่อไปแล้ว เขาเพียงไอ้ตัวปัญหาที่ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย แถมยังจำเป็นต้องติดสอยห้อยตามพวกทรยศเลือดที่เริ่มจะไม่มีประโยชน์แล้วอีก

    แม่งเอ้ย

    นั่นยังแย่ไม่พอ เพราะตอนนี้เขากำลังถูกลากกลับไปยังฮอกวอตส์

    เขาพยายามถามถึงขอบเขตการทำงานของสเนปภายใต้การเป็นภาคี แต่มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้อะไรมากขึ้นนัก รู้แต่เพียงว่าชายชราคนนี้มันบ้าอย่างหาที่สุดไม่ได้จริง ๆ ถ้าหากว่าสายลับนี่ยังสามารถฆ่าดัมเบิลดอร์ได้ แล้วมันจะแปลกอะไรถ้าหากสเนปจะลากเขากลับฮอกวอตส์ไปเพราะอาจจะได้ผลประโยชน์จากมักกอนากัลไม่ก็พวกภาคี

    คำถามและความกังวลมากมายตีกันอยู่ภายในสมองจนแทบจะระเบิดขมับออกมา หูของเขาอื้ออึงไปด้วยคลื่นเสียงไร้ที่มา ไม่มีคำตอบใด ไม่มีคำสัญญา ไม่มีอะไรเลยนอกจากความซับซ้อน

    ซับซ้อนเหมือนห้าเดือนบนเกาะเชทแลนด์ไม่มีอะไรนอกจากฝูงแกะที่ช่วยทำลายความเงียบลงในบางครั้ง ช่วยให้เขาเครียดน้อยลงในบางที แต่แน่นอนว่าในขณะที่คุณถูกคนที่แข็งแกร่งที่สุดพยายามพลิกโลกหาคุณ แกะบ้านั่นไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก

    เดือนเวร ๆ ปีเวร ๆ นั่นผ่านไปช้าเหมือนอยากจะให้เขาประสาทเสียตายเสียตรงนั้น

    “ฉันทำเพื่อคุ้มกะลาหัวเธอ เดรโก” หมอนั่นตะคอกใส่เขา “ที่นี่เป็นเพียงสถานที่เดียวที่จะคุ้มกะลาหัวเธอ - ”

    “ปลอดภัยบ้าบออะไร” พ่อมดหัวบลอนด์คำรามอย่างสะอิดสะเอียน “ผมเป็นศัตรูของพวกนั้น”

    “ถ้าจะพูดให้ถูก ตอนนี้เธอเป็นที่หมายหัวของทั้งสองฝั่งต่างหาก” สเนปจี้ขณะที่ยังคงลากเดรโกมุ่งหน้ากลับไปยังปราสาท “แต่ฝั่งนี้จะไม่ลงมือฆ่า ศาสตราจารย์มักกอนากัลไม่ใช่คนแบบนั้น”

    “ยายแร้งทึ้งนั่น” เดรโกแหกปาก “ผมต้องไว้วางใจให้นังบ้านั่นดูแลงั้นหรือไง”

    “เธอไม่มีทางเลือกแล้ว”

    ----

    ร่างกายของเธอสั่นระริกท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวของฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านเข้ามาปกคลุมปราสาทเอาไว้เร็วกว่าที่ผ่านมา ความเย็นกัดกินร่างกายของเธออย่างปราณีมันส่งสัญญาณเตือนด้วยการเปลี่ยนลมหายใจของเธอให้กลายเป็นไอหมอกเบาบาง อีกไม่นานฤดูหนาวที่หนาวกว่าครั้งไหนจะเข้ามาเยือนและเธอหวังว่าสถานการณ์ทุกอย่างคงจะคลี่คลายเสียก่อนที่ตอนนั้นจะมาถึง

    แขนเสื้อถูกดึงมากำไว้ในมือเพื่อป้องกันนิ้วมือจากความเย็นขณะที่เธอผลุดลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องสมุดดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังตามมา มือข้างหนึ่งควานหาไม้กายสิทธิ์และกระชับแน่นพลางกระซิบคาถาน็อกซ์เพื่อดับไฟลง ร่างเล็กเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าอย่างระแวดระวัง ลมหายใจขาดห้วงเมื่อเธอพยายามจะสะกดไม่ให้มันส่งเสียงดังเกินความจำเป็น

    สองเท้าค่อย ๆ ย่างออกจากบริเวณที่นั่งอย่างเบาที่สุด เธอแอบมองผ่านช่องว่างของชั้นวางหนังสือเพื่อดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง เธอพบว่าที่นั่นมีเงาดำของใครสักคนที่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่ที่ประตูและค่อย ๆ เดินเข้ามาภายในห้องสมุด

    “คุณเกรนเจอร์” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นทำให้ร่างกายที่แข็งเกร็งผ่อนลง “เธออยู่ที่นี่ไหม ?”

    “ลูมอส” เสียงพึมพำคาถาดังขึ้นพร้อมการถอนหายใจอย่างโล่งอก เจ้าของเสียงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเสียงที่เป็นมิตร “อยู่นี่ค่ะ ศาสตราจารย์ซลักฮอร์น”

    “โอ้ อยู่นี่เอง” ชายชราคลายสีหน้ากังวลใจเมื่อเห็นเธอ “รู้ไหมว่าฉันหาเธอแทบพลิกปราสาทเชียว เอ้อ.. ไม่ควรจะอยู่ที่นี่ยามวิกาลแม้ว่าจะเป็นประธานนักเรียนน่ะนะ”

    “ทุกอย่างปกติดีใช่ไหมคะ” เธอถามโดยไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาว่า

    “ศาสตราจารย์มักกอนากัลอย่างจะคุยด้วยแหน่ะ” เขาแจ้งเสียงเรียบตั้งท่าจะนำเธออกจากห้องสมุด “เธอรออยู่ที่ห้องพัก”

    “มีอะไรผิดปกติเหรอคะ ?” คิ้วขมวดมุ่นเป็นปมเมื่อเธอรู้สึกว่านี่แปลกมากที่ศาสตราจารย์เรียกเธอพบด่วนแทนที่จะรอจนเช้า

    “ฉันเองก็ไม่สามารถบอกได้นะ คุณเกรนเจอร์” เขาว่าพลางยักไหล่ “แต่คิดว่าทุกอย่างคงจะปกติดี ไม่อย่างนั้นเราคนใดคนหนึ่งคงได้รับแจ้งแล้ว”

    “หวังให้เป็นแบบนั้นนะคะ” เธอพยักหน้าและซุกมือลงในกระเป๋า “จริง ๆ แล้วนี่มันออกจะแปลกไปสักหน่อย”

    “ในช่วงเวลาแบบนี้น่ะนะ คุณเกรนเจอร์” เขาผ่อนลมหายใจ มันเต็มไปด้วยแววของความอ่อนล้าจนเธอสังเกตได้ “ฉันแปลกใจมากกว่าที่เธอยังรู้สึกว่ามีอะไรแปลก”

    “นั่นสิคะ”

    “มาเถอะ ฉันจะนำไป” เขาบอกด้วยเสียงล้า “อยากจะรออยู่ข้างนอกไหมเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะกลับหอพักไปอย่างปลอดภัย”

    “ไม่เป็นไรเลยค่ะ” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “ห้องของหนูอยู่ห่างจากห้องศาสตราจารย์มักกอนากัลไม่กี่ก้าวเท่านั้น อีกอย่างคุณดูต้องการพักผ่อนนะคะ ศาสตราจารย์”

    “ฉันแค่ตื่นกระทันหันไปหน่อยเท่านั้นเอง” เขาสารภาพพร้อมเปิดปากหาวกับแขนเสื้อ “แต่เธอสิ อ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดแบบนั้น นอนหลับดีไหม ?”

    “ก็ดีค่ะ” เธอโกหก

    “อยากให้แนะนำน้ำยาที่จะทำให้เธอนอนหลับโดยไม่ฝันเลยให้ไหม ?” เขาแนะนำ “ปรุงให้ได้เลยนะพรุ่งนี้”

    “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอส่งยิ้มแหยให้ “ถ้าจำเป็นต้องใช้ หนูพอมียานอนหลับมักเกิ้ลอยู่บ้างค่ะ แต่จริง ๆ แล้วหนูสบายดีค่ะศาสตราจารย์”

    “ถ้าเธอว่าอย่างนั้น” เขาว่าขณะที่หยุดลงตรงหน้าประตูที่จะทำเธอไปยังห้องของศาสตราจารย์มักกอนากัล “ฉันส่งเท่านี้แล้วกัน”

    “ขอบคุณค่ะศาสตราจารย์ซลักฮอร์น” เธอผงกหัวอย่างสุภาพและรอจนกระทั่งศาสตราจารย์เดินจากไปก่อนจะพึมพำรหัสผ่าน “แมวลายสลิด”

    ----

    เดรโกนั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บนโซฟาขนาดใหญ่โดยมีเสียงความขัดแย้งของสองศาสตราจารย์ดังอยู่เบื้องหน้า บรรยากาศบ้าบอนี่กำลังยั่วยุอารมณ์ของเขา ถ้าหากว่ายายแก่มักกอนากัลไม่จับไม้กายสิทธิ์เตรียมพร้อมอยู่เขาคงจะร่ายคำสาปที่นึกได้สักสองสามบท หรือไม่ก็เสกคาถาสงบเสียงใส่ให้มันจบ ๆ ไป

    “ฉันยินยอมที่จะพบคุณก็จริง เซเวอรัส” น้ำเสียงแม่มดชราแม้จะพยายามคุมให้สงบเรียบ แต่ก็เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ “แต่ฉันไม่ได้มีคำสัญญา - ที่จะยินยอมให้เขาอยู่ที่นี่”

    “ไม่มีที่อื่นอีก” สเนปใช้เสียงเยือกเย็นตอบกลับ “ถ้าหากลอร์ดมืดพบตัวเขา จุดจบเดียวก็คือความตาย มิเนอร์วา”

    “แล้วด้วยเหตุผลนั้นคุณจึงต้องการให้ฉันรับเขาไว้ และนักเรียนคนอื่นก็จะตกอยู่ในอันตรายแบบเดียวกันงั้นหรือ” เธอกรีดเสียงด้วยสำเนียงสก็อตที่ฟังดูแข็งกระด้าง สำเนียงบ้านั่นทำให้เดรโกนึกไปถึงตอนที่ไปหลบอยู่ทางเหนือ

    “คุณกำลังพยายามจะปกป้องพวกเด็ก ๆ” ใบหน้าซูบซีดของคนพูดบูดบึ้ง “และเขาก็เป็นคนที่ต้องการการปกป้องมากกว่าใคร - ”

    “เด็กคนนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้ปราสาทถูกรุกราน” เธอสวนทันควันและชี้นิ้วหุ้มกระดูกไปยังเด็กหนุ่ม “เด็กคนนั้น - ”

    “เขาแค่เป็นเด็ก” สเนปขัดคอไม่ได้สนใจว่าเธอต้องการจะพูดอะไรและไม่ได้สนใจเสียงฮึดฮัดของเด็กหนุ่มเช่นกัน “เขาเพียงรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น”

    เดรโกถลึงตามองคนพูดทันทีที่เขาพูดจบ เขากำลังรู้สึกสับสนกับสิ่งที่สเนปพยายามพูดและขณะเดียวกันก็รู้สึกอดสูที่จะต้องร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่เขาเลยดูถูกดูแคลนเอาไว้

    “เขารู้ดีว่าเขาทำอะไร” เธอยังคงไม่โอนอ่อนแต่เสียงกลับสงบเรียบเหมือนปกติแล้ว “และถ้าหากสติปัญญาของเขายังดี เขาจะรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ - ”

    “เจ้าแห่งศาสตร์มืดยังคงเป็นภัยคุกคาม” เขาให้เหตุผล “อย่างที่คุณรู้ว่าอัลบัส -”

    “กล้าดียังไงถึงได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือ! - กล้าดียังไง เซเวอรัส -”

    “คุณรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงบีบบังคับ “คุณรู้ดีอยู่แล้วว่าเขามีความพยายามมากแค่ไหนเพื่อไม่ให้เดรโกทำตาม...คำสั่งนั้น

    คนที่ถูกพูดถึงคลายกรามที่ขบแน่นลงด้วยความรู้สึกสับสน ในสมองของเขาเต็มไปด้วยคำถาม ตาแก่นั้นเคยสนใจเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ? แล้วยังพยายามจะดึงเขาให้ห่างจากศาสตร์มืดด้วยเหรอ ? แถมสเนปเองก็รู้ทุกอย่าง ? ความลับต่าง ๆ เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่สมองเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

    “นี่มันบ้า - ”

    “ฉันบอกให้เธอเงียบปาก” สเนปตวาดออกมาโดยที่ไม่ได้เหลือบมองเขาเสียด้วยซ้ำ “มิเนอร์วา คุณรู้ดีว่าถ้าเป็นอัลบัสเขาจะต้องให้เดรโกอยู่ -”

    “ให้ตาย” เธอถอนหายใจ พลางยกมือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาขึ้นนวดขมับ “เราควรทบทวนนิสัยการุณของเขาร่วมด้วยหายนะที่เกิดขึ้นและควบคู่ไปกับความปรารถนาที่ต้องการจะเห็นสิ่งดีงามที่ซุกซ่อนอยู่ภายในคนทุกคน”

    สเนปส่งเสียงเห็นด้วยภายในลำคอ “ควรเป็นไปตามนั้น” เขาพึมพำ “ผมเหลือเวลาอีกไม่มาก เขาต้องการที่หลบภัย”

    ริมฝีปากของแม่มดชราเม้มเกร็งขณะที่ใช้แววตาอันชาญฉลาดมองสำรวจเด็กหนุ่มเบื้องหน้า เดรโกพยายามจะมองกลับแต่กลับพบว่าตัวเองทำได้เพียงหลุบตามองตักตัวเองเท่านั้น เปลือกตาของเขาหนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า เพราะเขาไม่ได้หลับตาลงนอนอย่างสบายใจเลยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนาเป็นต้นมา สี่วันก่อนวันเกิดปีที่สิบเจ็ดที่เลวทรามสิ้นดี ความหนาวเย็นที่พยายามแทรกตัวผ่านรอยแตกของการหลบซ่อนและความหิวโหยอันน่าอดสูได้ทรมาณเขาตลอด 5 เดือน

    การนอนหลับกลายเป็นเพียงความโก้หรูที่ถูกลืมเลือน และอาหารชั้นเลิศก็เป็นเพียงความทรงจำ ไม่ต้องพูดถึงทั้งเตียงนอน อ่างอาบน้ำ และความอบอุ่น

    “เอาเป็นว่า” มักกอนากัลพึมพำในลำคอทำลายความเงียบลง เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยตอนที่พูดต่อ “เขาจะได้อยู่ที่นี่ แต่คุณมัลฟอยจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ของฉันโดยไม่มีข้อแม้ หรือไม่ก็จงจากที่นี่ไป”

    เดรโกเหลือบตามองผู้หญิงตรงหน้าช้า ๆ เธอเป็นใครกล้าดียังไงจะมากะเกณฑ์เขา ทำเสียอย่างกับมีบุญคุณเสียเต็มประดา เขาไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่เสียหน่อย ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือบ้าบออะไรจากเธอด้วยซ้ำ กฎพวกนั้นเอาไปบอกตัวเองเถอะ

    “ไม้กายสิทธิ์ของเธอ คุณมัลฟอย” เธอยื่นมือออกมาตรงหน้าพร้อมเรียกร้องด้วยเสียงเย็น

    เขาพ่นลมหายใจต่อต้าน “สาระแน” เขาสบถด้วยเสียงเย็น ก่อนจะพบว่าบางคนได้คว้าไม้กายสิทธิ์ออกจากกระเป๋าของเขาไปด้วยสีหน้าหงุดหงิดแล้ววางมันลงบนฝ่ามือของเธอ

    “เธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนร่วมกับนักเรียนคนอื่น ๆ” เธอชี้อย่างชัดเจน “เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ก็คงชัดเจนอยู่แล้ว เธอจะต้องไม่ถูกพบเห็นและฉันแน่ใจว่าคงไม่มีใครยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเสียเท่าไหร่”

    เขากลอกตาอย่างรำคาญ พวกคนที่เอาแต่พูดเรื่องโง่ ๆ ที่เห็นกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วนี่มันน่ารำคาญเสียจริง

    “เธอจะไม่ออกจากห้อง” เธอเม้มปาก “และเช่นกันถ้าหากฉันพบว่าเธอก้าวเท้าออกจากฮอกวอตส์แม้แต่เพียงก้าวเดียวเธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้หวนกลับมาอีก - อย่างเด็ดขาด”

    เดรโกมองสเนปที่กำลังมองเขาด้วยสายตาหมดความอดทน บอกตรง ๆ ว่าศาสตราจารย์ทั้งสองคนที่แม่งน่ารำคาญชิบ แทนที่จะมาจุ้นจ้านกับเขาเอาเวลาไปสนใจเรื่องของตัวเองเสียดีกว่า แต่เขาเลือกอะไรไม่ได้ในเมื่อเขาเองก็ไม่มีที่ให้ไป และน่าตลกมากที่ที่เดียวที่สามารถอยู่ได้ก็ไม่อนุญาตให้เขาไปไหนทั้งนั้น บ้าบอ คุกชัด ๆ เมอร์ลินช่วยให้เขาไม่เสียสติไปก่อนด้วยเถอะ

    “เขาจะอยู่ที่หรือเปล่า ?” สเนปถามท่ามกลางความเงียบ “กับคุณน่ะ”

    “ฉันมีเรื่องที่จะต้องรับผิดชอบมากมายเกินกว่าจะมารับบทเลี้ยงเด็ก เซเวอร์รัส” เธออธิบาย “ฉันมีใครบางคนในใจแล้ว - คนที่จะมาดูแลเขา”

    สเนปขมวดคิ้ว “ซลักฮอร์นหรือ ?” เขาได้แต่เดา “หรือศาสตราจารย์สักคน ?”

    “คุณควรจะทราบดีกว่าพวกเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาสำหรับเรื่องไร้สาระ” เธอตอบพร้อมกับเลิกคิ้วหยัน “เมื่อพิจารณาตามสถานการณ์ตอนนี้นะเซเวอร์รัส ฉันมีเพียงคนเดียวที่จะสามารถไว้ใจได้และถ้าหากจะรักษาคุณมัลฟอยให้เป็นความลับ คนเดียวที่เขาจะสามารถอยู่ด้วยได้มีเพียงคุณเกรนเจอร์”

    ดวงตาของเดรโกเบิกกว้างพร้อมกับริมฝีปากที่แห้งผาก “เลือดสีโคลนโส - ”

    “ใช้คำพูดที่สุภาพด้วย คุณมัลฟอย” เธอขู่ “ฉันคิดว่าฉันพูดชัดเจนแล้วว่าเธอจะอยู่ที่นี่อย่างมีกฎเกณฑ์”

    “แล้วคิดว่าการที่ศาสตราจารย์ยัดผมเข้าไปอยู่ห้องเดียวกับยายนั้นจะช่วยทำให้ผมปลอดภัยขึ้นหรือไง” เขาถามด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ “ถ้าจะมีใครสักคนที่อยากให้ผมตาย นอกจากเขาก็คงเป็นยายเลือดสี - ”

    “หยุดใช้คำพูดแบบนั้นเสียที” ปลายนิ้วชี้เหยียดตรงไปยังหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเหลืออด “ฉันมีความมั่นใจว่าคุณเกรนเจอร์จะสามารถรับมือกับ...สถานการณ์นี้ได้อย่างดี”

    เดรโกแค่นหัวเราะสีดังและสั่นหัว “เสียสติไปแล้ว”

    “คงเป็นเช่นนั้น” เธอว่า “ถ้าหากฉันเป็นเธอ ฉันคงไม่พยายามทำให้ตัวเองมีปัญหากับเรื่องนี้”

    เดรโกเหลือบมองสเปนด้วยสีหน้ารังเกียจ “นี่เหรอความคิดฉลาด ๆ ของศาสตราจารย์ - ส่งผมให้พวกปัญญาอ่อนน่ะเหรอ”

    “พอได้แล้ว” เขาดักคอแล้วมองไปยังมักกอนากัลด้วยความสงสัย “คุณเกรนเจอร์เป็นตัวเลือกที่ดีแล้วหรือ”

    “พูดให้ถูกคือเธอเป็นตัวเลือกเดียว” เธอชี้แจงอย่างเด็ดเดี่ยว “เธอเป็นนักเรียนคนเดียวที่ฉันเชื่อมั่นได้”

    “แต่คงจะเหมาะสมกว่าหากเป็นศาสตราจารย์สักคน”

    “ศาสตราจารย์ทุกคนมีสิ่งที่ต้องทำและพวกเขามีนักเรียนทุกคนของฮอกวอตส์อยู่ในการดูแลอยู่แล้ว” ศาสตราจารย์ใหญ่เริ่มหมดความอดทน “คุณเกรนเจอร์มีศักยภาพที่สมบูรณ์แบบและเธอก็มีห้องเหลือพอ - ”

    “ตลกกันไปใหญ่แล้ว” เดรโกคำรามพร้อมย่นจมูกขยะแขยง “ผมขอปฏิเสธที่ - ”

    “ฉันจะไม่บอกให้หุบปากอีกเป็นครั้งที่สาม” สเนปขู่และสาวเท้ายาว ๆ มาตบกระโหลก

    “เธอมีสิทธิ์ที่ทำตามความต้องการของตัวเอง คุณมัลฟอย” เธอไม่ได้ยี่หระกับท่าทางของเขา “เธอจะเลือกรับความช่วยเหลือจากเราหรือจะไม่รับแล้วออกไปจากที่นี่ก็ได้”

    ความรู้สึกบางอย่างถูกกระตุ้นจนจุกที่คอ เขายอมแพ้ อย่างน้อยฮอกวอตส์ก็อุ่นกว่าที่เพิงนั่นและความอบอุ่นก็เป็นยากล่อมประสาทชั้นดีที่จะพาเขาให้ผ่านไปได้ แม้ว่าจะพยายามที่จะไม่สนใจแต่เขาก็ถูกเก้าอี้นุ่ม ๆ ดูดไว้จนไม่อยากไปไหน กลิ่นหอมของอาหารเจือจางอยู่ในอากาศจนทำให้ท้องกิ่ว ๆ ของเขาเริ่มทรยศต่ออีโก้ของตัวเอง

    “ฉันคงถือว่าการเงียบนั้นแทนคำตอบตกลงได้สินะ ?”

    ตกลง เขาอยากจะขำ ข้อตกลงบ้าบออะไรที่เธอเสนอให้กับเขามันเรียกว่าข้อตกลงได้ที่ไหน ถ้าไม่โง่พอก็คงจะรู้ว่านี่มันเผด็จการชัด ๆ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างอยู่กับศัตรูหรือเสี่ยงไปตาย ก็ต้องเลือกที่จะอยู่อยู่แล้ว ความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่มันล้มล้างความทนงของเขาเสียจนแทบหมด ก็ได้ ปล่อยให้พวกนั้นทำอะไรที่อยากทำเพราะบางทีระหว่างนี้พ่อแม่เขาคงจะพยายามตามหาเขาและพ่อคงจะใช้ความพยายามทั้งหมดเกลี้ยกล่อมให้เจ้าแห่งศาสตร์มืดมองข้ามความผิดของเขาไป

    “เขาตกลง” สเนปพูดแทนและส่งสายตาเข้มงวดที่ทำให้เดรโกไม่กล้าปฏิเสธ

    “เป็นไปตามนั้น” มักกอนากัลถอนหายใจ “เธอมีข้าวของอะไรติดตัวมาบ้าง”

    ดวงตาสีซีดหลุบต่ำอีกครั้ง คำตอบง่าย ๆ ก็แค่ ไม่มีเลย เขาไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นของตัวเองได้เสียด้วยซ้ำ มีแค่เสื้อไหม้ ๆ ขาดๆ ที่ใส่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และชุดคลุมที่สเนปนำมาให้ ไม่เหลือเค้าความมั่งคั่ง

    “ไม่มี” เขาตะคอก

    “งั้นฉันจะให้พวกเอลฟ์ประจำบ้านหาของที่จำเป็นให้” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดีไปกว่าก่อนหน้านี้ “แล้วจะส่งไปที่ห้องคุณเกรนเจอร์ภายในวันพรุ่งนี้”

    “แล้วคุณเกรนเจอร์เองก็คงจะยินยอมรับข้อตกลงนี้ใช่ไหม” พ่อมดชราเอ่ยตั้งคำถาม

    “ยัง”

    คิ้วของเดรโกเลิกสูง ยัง? ยายแก่นี่พยายามจะขุดหลุมฝังเขาให้เร็วกว่าที่โวลเดอมอร์พยายามทำหรือไง

    ----

    นิ้วเรียวไล่ไปตามกำแพงหินเก่าแก่ด้วยความรู้สึกกังวล ฝ่ามืออีกข้างถือไม้กายสิทธิ์ไว้มั่นเพื่อส่องแสงนำทางระหว่างที่เฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ ก้าวเดินไปตามทาง เธอไม่แน่ใจว่าทำไมศาสตราจารย์ถึงเรียกพบเธอตอนกลางดึกเช่นนี้ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวสำหรับเรื่องนี้ก็คงเป็น

    ข่าวร้าย

    ใครสักคนอาจตาย หรือบาดเจ็บ หรือแผนของแฮร์รี่กับรอนอาจจะถูกเปิดโปง หรือไม่โรงเรียนก็ถูกบุกรุกอีกแล้ว หรือแย่ที่สุดอาจจะเป็นโวลเดอร์มอร์หาแหล่งกบดานของภาคีเจอแล้ว

    มีความเป็นได้เกือบร้อย และทั้งร้อยนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลย

    เธอไว้อาลัยให้กับความคิดแง่ดีของตัวเองและหวังว่ามันคงไม่ถูกขโมยไปจนหมดจากเหตุการณ์บนหอคอยดาราศาสตร์ ซึ่งน้ำเสียงของศาสตราจารย์มักกอนากัลที่ดังมาตามทางเดินนั้นกำลังจะขโมยทุกอย่างไป ความคิดในแง่ดีที่หวังให้หลงเหลืออยู่บ้างหายไปหมดแล้วในวินาทีนั้น เธอได้ยินเสียงที่ไม่น่าไว้วางใจ เสียของศาสตราจารย์ที่ดังมาพร้อมกับเสียงของใครสักคน ใครสักคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชาย

    เธอกระชับไม้กายสิทธิ์ในมือและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ยิ่งเธอเร่งฝีเท้ามากเท่าไหร่เสียงสะท้อนก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น เธอไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่ได้ยินคืออะไร พวกเขาพูดอะไรกัน และเสียงแปลกหูนั้นคือใคร ทันทีที่มาถึงเธอพึมพำรหัสผ่านอีกครั้งพร้อมกับประตูบานใหญ่เลื่อนเปิดออก

    ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อมองไปยังฉากตรงหน้า

    สเนปอยู่ที่นี่ ในฮอกวอตส์

    เธอไม่ได้สนใจมัลฟอยเท่าไหร่

    ทั้งสามคนหันมามองเธอ แต่เธอเห็นเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น คนที่ฆ่าชายผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้จัก ความรู้สึกร้อนเหมือนเพลิงเผาไหม้อยู่ภายในอก

    “แก” เธอพยายามหายใจขณะที่ลมหายใจเริ่มขาดห้วงตามจังหวะหัวใจที่สั่นระรัว เลือดแห่งโทสะสูบฉีดไปทั่วหน้า ไม้กายสิทธิ์ถูกเหวี่ยงชี้เหยียดไปตรงหน้า “อิมเปดิเมนต้า!”

    ผ้าคลุมสีดำสนิทสะบัดตามแรงเหวี่ยงของไม้กายสิทธิ์เขากันคาถาของเธอเอาไว้ได้ แรงโทสะเข้าครอบงำจนหูอื้อ เธอไม่ไดยินเสียงของมักกอนากัลที่พยายามบอกให้เธอใจเย็นลงเสียด้วยซ้ำ ไม้กายสิทธิ์ที่สั่นเทิ้มเต็มไปด้วยความต้องการแก้แค้น เธอร่ายสตูเปฟายอีกครั้งแต่มันถูกหักเหได้เหมือนกับครั้งก่อน

    เดรโกมองการต่อสู้อย่างเงียบเชียบเขาสงสัยว่าทำไมสเนปจะต้องเอาตัวลงไปเล่นกับการต่อสู้ไร้สาระนั่นด้วย เพราะแน่นอนว่าแค่ร่ายคาถาเพ็ตตริฟิคัสก็เพียงพอจะทำให้ยัยเลือดสีโคลนนั่นสงบได้แล้ว

    เธอไม่สังเกตเห็นเขา ไม่ได้สนใจเลยว่ามีพ่อมดคนอื่นอยู่ที่นี่และพนันได้เลยด้วยสมบัติทั้งหมดที่มีถ้าหากว่าเธอสังเกตเห็นเขาเมื่อไหร่การทำให้เธอสงบลงคงเป็นเรื่องยากแน่

    สเนปมองเด็กสาวอย่างใจเย็นก่อนจะกระซิบคาถาปลดอาวุธใส่ มันคงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วที่จะยุติเรื่องนี้ก่อนจะไปกันใหญ่ แต่เมื่อมันไม่เกิดผลอะไรกับเธอนั่นทำให้เขาประหลาดใจนิดหน่อยและยิ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อเขาถูกคาถาจนซวนเซเสียเอง น่าประทับใจมากกับการฝึกฝนของเธอ

    “พอได้แล้ว” ศาสตราจารย์มักกอนากัลพยายามแทรกแต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว “คุณเกรนเจอร์ ใจเย็นแล้วฟังฉันอธิบาย -”

    แม่มดสาวไม่กระดิกแม้แต่น้อย “คอนฟริน - ”

    ไม้กายสิทธิ์ของเธอปลิวออกจากมือของเธอก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกสับสนเมื่อพบว่ามักกอนากัลเป็นคนทำ เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผูกมัดการเคลื่อนไหวของเธอพร้อมกับน้ำตาแห่งความผิดหวังค่อย ๆ ไหลลงที่ข้างแก้ม ก่อนที่แม่มดชราจะส่งสายตาแทนความเสียใจแล้วโบกไม้กายสิทธิ์อีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าเท้าของตัวเองลอยสูงขึ้นจากพื้นแล้วลอยหวือเข้าไปยังตู้ใบหนึ่ง

    ประตูปิดใส่หน้าเต็มแรงทิ้งให้เธอถูกแช่เอาไว้ภายในความมืดมิดแล้ววินาทีต่อจากนั้นเธอก็รู้สึกว่าในลำคอของเธอโล่งว่างไม่มีเสียงใดแม้จะพยายามตะโกนเต็มเสียง ทำไมมักกอนากัลต้องทำแบบนี้กับเธอ เธอสะอื้นอย่างอย่างโกรธเคืองพร้อมเสียงกรีดร้องในหลอดลมที่ยากจะเปล่งออกมา

    นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

    ส่วนอีกด้านของประตู เดรโกทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอีกครั้งพร้อมกับกลอกตา เขามองศาสตราจารย์ทั้งคู่ซึ่งกำลังมองหน้ากันอย่างสนเท่ห์และไม่เข้าใจกับการต่อต้านที่เกิดขึ้น เดรโกส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเยาะในความโง่เง่าของพวกเขา ถามจริง ๆ ว่าพวกเขายังจะแปลกใจอะไรกับท่าทางของเธอ ? ทำไมรอบตัวเขามันถึงมีแต่พวกโง่กันนะ

    “เอาล่ะ” เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าในลำคอแต่ยังเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แค่เริ่มก็เห็นแววรุ่งแล้ว”

    ------

    talk

     

    สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ

    ถ้าหากชอบ ขอกำลังใจคนละเม้นสองเม้นนะคะ แง

     

    คิดถึงทุกคนนะคะ

    โมนิค

     

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×