NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Draco x Hermione] Isolation

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 3 : Doors (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.2K
      146
      16 ก.ค. 63

    นี่มันเช้าเกินไป

    เธอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนจะมองไปรอบห้องด้วยความกระวนกระวาย ฝ่ามือเรียวยกขึ้นกุมใบหน้าเอาไหวหลวม ๆ ขณะที่เธอพยายามทบทวนสิ่งที่เกิดและสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ เด็กสาวพยายามกลืนเอาความแห้งผากในลำคอลงไปพร้อม ๆ กับกระพริบตาไล่อาการง่วงงุนอย่างคนเพิ่งตื่นนอน ความคิดหลายอย่างประดังประเดเข้ามาจนยุ่งเหยิงเธอกำลังสับสนกับทุกอย่างที่อยู่ในสมอง มันเหมือนกับมีพวกตัวอิมพ์บุกเข้ามาในความคิดของเธอแล้วก็เริ่มก่อกวนทำลายระบบความคิดของเธอจนพังไปหมด เฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นนั่งและใช้ฝ่ามือปาดเหงื่อทื่ชื้นหน้าผากออกแล้วมองไปรอบห้องอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในที่ที่ควรอยู่

    ฝันร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นมาชัดเจนจนเกินไป

    เธอคงอยู่ไม่ได้แน่ถ้าหากว่าเธอตัดสินใจเรื่องนั้นไปแบบนั้นจริง ๆ ไม่ว่ามันจะเป็นจิตใต้สำนึกที่กำลังหลอนเธออยู่หรือต่อให้ทุกอย่างมันจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่ดีแล้วที่มันคงเป็นแค่ความฝันเพราะอันที่จริงก็อาจจะไม่มีสเนป ไม่มีมัลฟอย ไม่มีความลับอะไรทั้งนั้นก็ได้ และบางทีตอนนี้เธอน่าจะยังเป็นประชากรเพียงหนึ่งเดียวของพักนี้ด้วย – มั้ง แต่แล้วดวงตาที่อ่อนล้าของเธอก็เหลือบไปเห็นรอยไหม้เป็นรอยเชือกบนแขนของตัวเองและนั่นทำให้เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงดังตามอ่อนมา มันคือความผิดหวังอย่างสุดซึ้ง เธอหวังอย่างที่สุดให้มันเป็นเพียงความฝันและพยายามจะหลอกตัวเองว่ามันเป็นอย่างนั้น ว่ากันตามตรงนี่คงเป็นกลไกลการป้องกันตัวเองที่สมองของเธอสร้างขึ้นหรือไม่มันก็เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของเธอเอง บ้าที่สุด จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ เพราะสุดท้ายแล้วความจริงก็คือให้ตายยังไงมันก็ไม่ใช่แค่ฝันร้าย

    ความจริงทำให้เธอพะอืดพะอมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรองดูแล้วพบว่าเขาอยู่ใกล้เธอแค่ไหนในตอนนี้ ความจริงอันน่าสะอิดสะเอียนก็คือมีเพียงห้องน้ำห้องเล็ก ๆ คั่นระหว่างพวกเขาเอาไว้เท่านั้น และนั่นทำให้ท้องไส้ของเธอบิดม้วนปั่นป่วนไปหมด

    หน้าปัดนาฬิกาที่บอกเวลาทำเอาเธอเกือบจะกรี๊ดออกมาเมื่อพบว่าเธอเพียงจะนอนไปได้เพียงสามชั่วโมงเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วด้วยความเหนื่อยล้ามากมายขนาดนี้เธอควรจะพักมากกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ดูจากรูปการแล้วเธอคงจะโดนโรคนอนไม่หลับเล่นงานเข้าแล้วแน่นอน เยี่ยมไปเลย

    เข็มนาฬิกาเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อบอกเวลาใกล้จะเก้าโมงในเช้าที่น่าอดสูที่มีเสียงฝนดังให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพยายามนอนต่อดังนั้นเธอจึงค่อย ๆ พาตัวเองลุกจากเตียง หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำและไม้กายสิทธิ์ก่อนจะตรงไปยังห้องอาบน้ำ ทุก ๆ ก้าวที่เธอเหยียบย่างออกไปนอกห้องจะต้องเงียบที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ขณะที่กำลังสอดส่องสายตาออกจากห้องนอนอย่างระมัดระวังเธอก็พบเข้ากับสิ่งที่มัลฟอยทิ้งกองเอาไว้กับรองเท้ามอซอ

    ความคิดแง่บวกทั้งหมดพากันหายลับไปจนหมดสิ้นทันทีที่เห็นกองขยะบ้านั่น เธอรีบแทรกตัวผ่านประตูเข้าไปยังห้องน้ำทันที

    ทุกอย่างในห้องน้ำเกิดขึ้นเร็วมากหลังจากที่เธอปลดชุดที่ใส่ตั้งแต่เมื่อวานออกและพึมพำคาถาเร่งอุณหภูมิน้ำให้ร้อนขึ้น เด็กสาวมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจกขณะที่พยายามปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจนเป็นมัดกันเป็นปมให้พ้นหน้าและใช้นิ้วสำรวจรอยดำคล้ำเป็นพระจันทร์เสี้ยวที่ใต้ตา เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับใบหน้าแล้วทรมาณใจเหลือเกินสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่รอยเหี่ยวย่นอย่างถาวรบนหน้างอ ๆ ของเธอ จะว่าไปตอนนี้เธอดูเหมือนกำลังเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ถูกวาดลงบนกระดาษลอกลายเพราะถ้าจะให้บอกว่าตอนนี้เธอซีดขนาดไหนก็คงต้องบอกว่าซีดจนแทบจะโปร่งแสงหรือไม่ก็ซีดเหมือนกระจกขุ่น

    เธอยังคงจดจ้องอยู่กับดวงตาของตัวเองก่อนจะต้องรู้สึกขอบคุณเมอร์ลินที่อย่างน้อยในสภาพที่แย่ขนาดนี้เธอก็ยังพบว่าแววตาที่เป็นประกายของเธอยังไม่หายไปเสียทีเดียว ประกายไฟของความแน่วแน่ยังคงไม่ทิ้งเธอไปไหนมันยังคงมีร่องรอยให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่

    นี่ยังโอเคอยู่ แค่เหนื่อยและสงสัยว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับมัลฟอยได้ยังไง

    ไอน้ำเริ่มจับเป็นฝ้าบนกระจกและนั่นทำให้เธอหันเหความสนใจออกจากความกังวลทั้งปวงและปล่อยให้ร่างกายได้ผ่อนคลายไปกับไอน้ำร้อนที่เริ่มประโลมเธอให้สติเข้ารูปเข้ารอย เสียงในลำคอดังขึ้นเมื่อเธอหลับตาลงและค่อย ๆ นวดตัวด้วยสบู่กลิ่นวนิลาที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกสงบลงไปอีก ฟองสบู่หนานุ่มถูกวาดลงบนแขนก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไปยังหน้าอกได้รูปและหน้าท้องแบนเรียบแล้วจึงค่อยก้มลงถูเรียวขาทั้งสองข้าง

    เพียงแค่อะไรบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความปกติธรรมดาและการกระตุ้นสัมผัสอย่างง่ายด้วยการถูสบู่นี่ เรื่องเล็ก ๆ เท่านี้ก็ทำให้รู้สึกดีได้แล้ว เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่คลายตัวอย่างน่าอัศจรรย์ การอาบน้ำมันผ่อนคลายเธอจากความคิดยุ่งเหยิงมากมายเหล่านั้นได้มากกว่าที่คิดมันทำให้เธอได้หยุดพักสมองลงบ้างเพราะอย่างน้อยก็ได้ตัดขาดจากความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนและอย่างน้อยก็ได้ลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้เธอกำลังร่วมห้องกับผู้เสพความตาย

    สบู่อีกจำนวนหนึ่งถูกกดเพิ่มเพื่อไล่ให้ความคิดพวกนั้นให้พ้นไปและได้ปล่อยให้ตัวเธอเองหลบหนีจากความจริงที่ไม่ต้องการจดจำ ไม่ใช่เพราะต้องการหนีจากปัญหาเพียงอย่างเดียวแต่เป็นเพราะเธอรู้ดีว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะยากขึ้นอีก

    เมอร์ลินคงจะให้อภัยได้ ถ้าหากเธอจะพยายามทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเรื่องที่เกิดขึ้น – สักไม่กี่นาที

    -

    เดรโกค่อย ๆ เปิดเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเมื่อหูแว่วเสียงครางเบา ๆ ของหญิงสาวซึ่งดังเข้ามาในห้อง ความจริงแล้วเสียงน้ำที่ไหลอย่างแผ่วเบานั้นก่อกวนเขามาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถปลุกเข้าให้ตื่นได้เท่ากับเสียงทอดถอนหายใจและเสียงเล็ก ๆ เหมือนลูกแมวนั่น สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะมองสำรวจไปทั่วห้องอย่างสงสัย

    แต่เพียงไม่นานเขาก็จำมันได้ เขาจำได้แล้วว่าเขากลับมาอยู่ที่ฮอกวอตส์และแน่นอน – เขาจำได้แล้วว่ากำลังร่วมห้องอยู่กับเลือดสีโคลน แม่งเอ้ย

    เด็กหนุ่มเคี้ยวฟันอย่างหงุดหงิดขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดโง่เง่าแล่นเข้ามาในหัวแม้เขาจะรู้ว่ามันคงไม่ใช่ทางที่ฉลาดนักแต่สถานการณ์แบบนี้ไม่ลองจะรู้อะไร เขาดีดตัวขึ้นจากเตียงก่อนจะตรงไปที่หน้าต่างพยายามจะเปิดมันออกแต่กลอนที่ถูกลงเอาไว้ไม่ขยับแม้แต่น้อย เขาเหวี่ยงหมัดออกไปหมายจะทำลายกระจกนั่นเสียด้วยพลังทั้งหมดเท่าที่มีแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น กระจกใสที่ดูบอบบางนั่นไม่มีรอยร้าวเลยเสียด้วยซ้ำ เขาคำรามในลำคออย่างหงุดหงิดเมื่อเลือดไหลซิบออกจากข้อนิ้ว มันเจ็บแต่นี่ยังน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น

    และยังน้อยเมื่อเทียบกับความเจ็บใจ – ใช่ – เขาติดกับเข้าอย่างไม่มีทางหนี นี่คือคุกแห่งใหม่ของเขาเอง

    เสียงครางอย่างพอใจของหญิงสาวดังแหวกอากาศเข้ามาอีกครั้งฝ่ามือของเขาพยายามควานหาไม้กายสิทธิ์ตามสัญชาตญาณเพื่อร่ายคาถาให้เสียงบ้านั่นเงียบไปเสียทีแต่ทว่าเขาไม่มีไม้กายสิทธิ์อยู่กับตัวแล้ว ไม่มีห่าอะไรติดตัวทั้งนั้น ไม่มีกระทั่งเสื้อผ้าสะอาด ๆ สักชุดจะใส่ด้วยซ้ำ

    “ชิบหายเอ้ย” เขาสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง

    ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้พักผ่อนอย่างเต็มตาเลยสักครั้งมันทำให้เขายังคงเดินอย่างไม่มั่นคงและดวงตาก็พร่าเลือนไปหมดซึ่งเอาเข้าจริงจากสถานภาพที่เขาเป็นอยู่แล้วก็คงทำให้มีเวลาอีกพักใหญ่ที่จะนอนและจะดีกว่ามากถ้าหากเสียงน้ำที่ไหลไม่รู้จักหยุดหย่อนของยายนั่นจะเลิกดังเข้ามาทำลายบรรยากาศภายในห้องของเขาเสียที เด็กหนุ่มคว้าหมอนปิดเข้ากับหูหวังจะให้เสียงนั้นหายไปแต่ก็ทำได้เพียงเบาเสียงลงเท่านั้น

    เดรโกคู้ตัวอยู่แบบนั้นและรู้สึกว่าเขาคงจะต้องเจออะไรแบบนี้ในทุก ๆ เช้าแน่นอน

    -

    ห้วงความคิดช่วยพาเธอให้หลีกหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงได้เพียงสิบนาทีเท่านั้นก่อนที่สุดท้ายมันจะกลับมาฉีกกระชากเธอก็กลับออกมาเผชิญหน้าตามเดิม เสียงถอนหายใจอย่างหดหู่ดังระคนกลับเสียงหมุนลูกบิดปิดน้ำที่ไหลรดร่างกายก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดินออกจากใต้ฝักบัวมายังหน้ากระจก เธอเฝ้ามองกระจกที่ขึ้นฝ้าหนาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงใช้ฝ่ามือปาดเอาไอน้ำเหล่านั้นให้พ้นไป ภาพที่สะท้อนในกระจกทำให้เธอส่งยิ้มแหยกลับไปแม้ว่าการอาบน้ำจะไม่ได้ช่วยอะไรมากแต่ก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เห็นก็ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา สายน้ำอุ่นช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดทำให้ผิวซีด ๆ กลับมามีสีเลือดสีครั้ง อย่างน้อยในตอนนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นคนมากขึ้นอีกหน่อย

    ชุดคลุมอาบน้ำเป็นปุยนุ่มถูกพันเอาไว้รอบตัวอย่างแน่นหนาขณะที่เธอเหลือบมองภาพสะท้อนเลือนลางและชื้นแฉะในกระจกอีกครั้งแล้วจึงหยิบไม้กายสิทธิ์บนอ่างล้างน้ำมาร่ายคาถาซับน้ำสองสามคำ ยังไม่ทันทีเธอจะได้เปิดประตูห้องนอนหลังจากออกจากห้องน้ำมาแล้วเสียงเคาะก็ดังขึ้นจากประตูที่โถงกลาง เธอชะงักมือจากลูกบิดประตูเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับออกไปที่ประตูด้วยความสงสัย และคำตอบที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก็ทำให้รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    “สวัสดี ด๊อบบี้” เธอส่งยิ้มกว้างให้กับเอลฟ์ประจำบ้านที่กำลังลากหีบขนาดใหญ่อยู่

    “สวัสดีครับคุณ” เขาค้อมตัวลงด้วยความนอบน้อมแต่ก็ยังคงแฝงเอาไว้ดวยความขวัญอ่อนตามประสา “ศาสตราจารย์สั่งให้ด๊อบบี้นำสิ่งนี้มาให้กับคุณ”

    “ขอบใจนะจ๊ะ” เธอตอบและเดาว่าคงเป็นข้าวของของมัลฟอย “ไม่ทราบว่าคุณพอจะช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหม ด๊อบบี้”

    “ได้สิ!” เอลฟ์ประจำบ้านร้องออกมาอย่างลิงโลด “คุณอยากให้ด๊อบบี้ทำอะไร ?”

    “รบกวนเตรียมอาหารเพิ่มจากปกติให้หน่อยได้ไหม ?” เธอขอ “แล้วเดี๋ยวฉันค่อยไปรับมา”

    “ด๊อบบี้นำมาให้ที่นี่เลยก็ยังได้”

    “อย่าเลย” เธอโบกมือปฏิเสธ “ฉันว่าจะออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกอยู่แล้วคงจะได้เอามาพร้อมกันเลย”

    “อย่างนั้นก็ได้” เขาพึมพำเมื่อไม่สมหวัง “ด๊อบบี้ไปก่อน ด๊อบบี้ต้องไปช่วยทำความสะอาด”

    ความจริงเธออยากจะรั้งเขาเอาไว้ก่อนเพราะความรู้สึกปลอดภัย...อย่างสัมผัสได้จริง ๆ มันเกิดขึ้นเมื่อมีใครบางคนที่เธอรู้จักปรากฏตัวอยู่รอบ ๆ แต่กระนั้นเขาก็หายตัวไปอย่างรวดเร็วเพียงดีดนิ้ว หลังจากนั้นสมองไม่รักดีก็เริ่มคำนวณจำนวนวนที่ไม่ได้เจอเพื่อนให้เสร็จสรรพเป็นเวลา 5 วันแล้วที่เธอไม่ได้เจอพวกเขาและใช้เวลาว่างทั้งวันหมกตัวอยู่ในห้องสมุดค้นคว้าทุกสิ่งอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือภาคี เธอถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะมองกลับไปยังประตูห้องของมัลฟอยแล้วได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าไม่ว่ายังไงก็ตามเธอควรจะได้เจอหน้าเพื่อน ๆ ให้เร็วที่สุดก่อนที่จะประสาทเสียตายไปก่อน

    แต่ทำยังไงได้พวกเขากำลังทำเรื่องปกติอีกอย่างหนึ่งโดยไม่มีเธอ – การหลบหนีครั้งนี้ไม่มีเธอเหมือนที่ผ่านมา

    เฮอร์ไมโอนี่กระชับเสื้อคลุมให้แน่นยิ่งขึ้นเมื่อสายลมจากด้านนอกพัดเข้ามาที่โถงทางเดินและเริ่มคุกคามเธอด้วยความหนาวเย็น ดวงตาสีเข้มเหลือบมองสัมภาระที่ด๊อบบี้นำมาส่งก่อนจะสะบัดไม้กายสิทธิ์นิดหน่อยเพื่อส่งมันเข้าไปยังห้องนั่งเล่นรวมแล้วจึงสะบัดไม้กายสิทธิ์อีกครั้งเพื่อปล่อยให้มันตกลงกระทบพื้นเสียงดัง เธอคิดว่าจริง ๆ แล้วควรจะตะโกนเรียกเขาออกมาจัดการกับหีบใบนี้และเพื่อบอกให้เขารู้ว่าตอนนี้เขามีข้าวของที่จำเป็นแล้ว แต่ด้วยสามัญสำนึกของเธอแล้วเธอคิดว่าคำขวัญฮอกวอตส์ที่ว่า อย่าแหย่มังกรหลับ นั้นยังใช้การได้อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมังกรเจ้ายศเจ้าอย่างและเป็นบ้าที่ถูกขังกรงไว้นั่นยิ่งไม่ควรเข้าไปยุ่ง

    ขณะที่กำลังนั่งนินทามังกรบ้าอยู่ภายในใจนั้นเธอก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อสายลมสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วงก็พัดปิดประตูเสียงดังสะเทือนหู

    ก่อนจะตามมาด้วยเสียงการเคลื่อนไหวที่ดังออกมาจากห้องของเขาพร้อม ๆ กับเสียงอู้อี้ที่ดังลอดผนังออกมาดูเขาดูฉุนเฉียวและโมโหร้ายทีเดียวแม้ว่ามีประตูที่แน่นหนากันอยู่แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นความชั่วร้ายที่แผ่ออกมาได้สักนิด เธอทำท่าขนลุกขนพองก่อนจะคิดได้ว่าควรรีบเข้าห้องไปก่อนเพื่อเลี่ยงการปะทะแต่ดูเหมือนความห้าวหาญที่ดึงดันอยู่ภายในจะไม่ปล่อยให้เธอทำเช่นนั้น ใบหน้าของหญิงสาวจากกริฟฟินดอร์เชิดขึ้นพร้อมกับแผ่นหลังและไหล่อย่างท้าทายคนที่เธอกำลังจะต้องเผชิญหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

    แค่เพียงอึดใจประตูห้องบานนั้นก็เหวี่ยงเปิดออกด้วยอารมณ์เดือดกรุ่น เสียงบานประตูกระแทกกับผนังดังพอจะทำให้ใครสักคนสะดุ้งอย่างหวาดกลัวแต่แน่นอนว่าไม่ใช่เธอ เฮอร์ไมโอนี่ดึงสีหน้าเอาชนะสัญชาตญาณได้อย่างอยู่หมัดและใช้ดวงตาเรียบเฉยเฝ้ามองการมาเยือนของสลิธีรินที่กำลังเดือดดาล

    เขาปรากฏตัวขึ้นที่กรอบประตู กางเกงและเสื้อเชิ้ตสีดำไม่ได้ติดกระดุมดูกะเล่อกะล่าไม่ได้อยู่ในสายตาเธอแม้แต่น้อย เธอพยายามไม่ให้สายตาเธอมองต่ำไปมากกว่าขนตาของเขาเพราะรู้ดีกว่าการสบตาเป็นหนึ่งในการแสดงพลังที่ได้ผลดีทีเดียว

    “ทำบ้าอะไร ประสาทจะแดกเหรอ ?” เขาคำรามพ่นคำด่าออกมาจนใบหน้าบิดเบี้ยว “ขอโทษนะ นี่เสียงดังที่สุดในชีวิตแล้วหรือยัง ยาย – ”

    “ทำไม ? อยากให้เสียงดังกว่านี้อีกหรือไง ?” เธอตอบขณะที่เอียงคอมองอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม้กายสิทธิ์ในมือถูกเหวี่ยงเล็กน้อยก่อนที่ประตูทุกบานจะพร้อมกันใจกระแทกปิดเสียงดังอีกครั้งโดยที่เธอพยายามจะไม่กระพริบตาเพื่อให้คนตรงหน้ารู้ว่าเธอเองก็ตกใจ “แบบนี้ดีขึ้นใช่ไหมมัลฟอย ?”

    “มีวุฒิภาวะมากมั้ง เกรนเจอร์” เขาแสยะปากอย่างไม่พอใจ เขาคงไม่พอใจมากเพราะแม้เขาจะอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกได้ถึงโทสะของเขา “เธอคงคิดว่าเธอแม่งฉลาดนักหนา – ”

    “ฉันคิดว่าเราคงจะคิดเหมือนกันนะเรื่องที่ฉันแม่งฉลาดนักหนาน่ะ” เธอดักคอด้วยถ้อยคำแบบเดียวกันแม้ว่าจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่พูดจาหยาบคายก็ตาม “อย่างที่นายพูดน่ะถูกต้อ – ”

    “หยุดทำเสียงน่ารำคาญเสียทีได้ไหม” เขาคำรามขู่ด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องระหว่างพวกเขาทั้งคู่ “หยุดทำเสียงโครมคราม หยุดพูด หยุดเดิน – ”

    “คือฉันจะทำอะไรก็ได้เท่าที่ฉันพอใจในห้องของฉัน” เฮอร์ไมโอนี่เถียงก่อนจะขยับตัวถอยเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาเดินเลี่ยงหีบสัมภาระตรงมาทางที่เธอยืนอยู่ แผ่นหลังของเธอแนบชิดติดกำแพงแต่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะจนตรอกเพราะไม้กายสิทธิ์ในมือยังสามารถใช้การได้อยู่

    แม้จะยกไม้กายสิทธิ์ขึ้นขู่แต่ร่างสูงไม่มีท่าทีจะหยุดสาวเท้าเข้ามา “อย่าเข้ามานะ!

    “ทำอย่างกับฉันอยากจะแตะต้องตัวเธอนักนี่” เขาขู่ในลำคอเมื่อเดินเข้ามาใกล้มากเสียจนปลายไม้กายสิทธิ์แตะที่อก “อย่างนั้นฉันคงจะตาย – ”

    “ก็เอาสิ ตามสบาย” เธอโต้กลับทันควัน “นั่นคงจะมีประโยชน์มากทีเดียว – ”

    “ฉันขอเตือนนะเกรนเจอร์” เขาเหยียดยิ้มฝีปากคว่ำ “ฉันจะไม่ทนเรื่องบ้านี่ มันเหมือนมีพวกปัญญานิ่มอยู่ในห้งอนี้ไม่มีผิด!

    “แล้วยังไง ? ทำใจเสียเถอะ” เธอกระชากเสียงพลางดันไม้กายสิทธิ์เข้าหาตัวเขามากยิ่งขึ้นถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วมันจะไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาแถมยังทำให้เธอดันตัวเองติดกำแพงมากขึ้นไปอีก จากนั้นก็รู้สึกว่าควรกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำให้แน่นขึ้นอีกทั้งที่เขาคงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จด้วยซ้ำ – ถ้าหากเขาจะสังเกตอะไรซะบ้างเขาคงจะแสดงท่าทางอะไรออกมาบ้างแล้วแหละ ขอบใจนะเมอร์ลิน

    “ฉันไม่ได้ล้อเล่น เกรนเจอร์” เขาใช้เสียงข่ม “หยุดทำเสียงดังหนวกหูหรือไม่ก็เสกคาถาเงียบเสียงใส่ห้องฉัน – ”

    “ทำอย่างกับฉันจะอยากใช้เวทมนตร์ของฉันเพื่ออำนวยความสะดวกให้นายอย่างนั้นสิ ?”

    “ถ้าอย่างนั้นก็หุบปากไปซะ” เขาตะคอกและกระชากหมัดฟาดเข้าใส่กำแพงว่างเปล่าข้างหัวของเธอ แน่นอนว่าเวทมนตร์ของปราสาทช่วยลดความเสียหายได้บ้างทำให้มันเกิดรอยเล็ก ๆ เท่านั้น แต่กลับไม่ช่วยเรื่องเสียงแรงสั่นสะเทือนจากหมัดของเขาทำเอาแก้วหูของเธอสั่นสะเทือน “ฉันต้องการพักผ่อน! และนั่นคงไม่เกิดขึ้นถ้าหากเธอไม่ยอมหุบปากที่เต็มไปด้วยโคลนของเธอลงเสียบ้าง ยายเลือดสีโคลนโสโครก!

    สิ้นคำพูดนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ถูกเหวี่ยงขึ้นหมายจะฟาดเข้าที่หน้าซีด ๆ นั่นสักทีแต่ดูเหมือนท่าทางของเธอจะคาดเดาได้ง่ายไปหน่อย ดวงตาโกรธเกรี้ยวของเธอตวัดมองฝ่ามือหนาที่กำรอบข้อมือของเธอเอาไว้พร้อมกับความรู้สึกโกรธที่เดือดปุดอยู่ภายในเหมือนจะดวงอาทิตย์ที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้มอดไหม้

    “ปล่อยฉัน – ”

    “เธอหมดโอกาสที่จะใช้หมัดกับฉันซ้ำแล้ว” เขากระซิบบอก “คงต้องรออีกสักสี่ปีนะ – ”

    “ปล่อยแขนของฉันเดี๋ยวนี้” เธอพูดเน้นคำ “เพราะฉันสาบานว่าฉันจะ – ”

    “จะทำอะไร ?” เขาบีบแขนเธอแน่นขึ้นอีกอย่างท้าทายและดันมือของเธอติดผนังทำให้ด้านซ้ายของเธอเป็นมือของเขาส่วนด้านขวาเป็นมือของเธอ

    สุดท้ายเธอก็ไม่อาจต้านสัญชาตญาณได้อีกเธอขยับไม้กายสิทธิ์อย่างรวดเร็วเพื่อจ่อเข้าที่คอของเขา เธอกดมันแนบลงระหว่างลูกกระเดือกและเส้นเลือดที่กระตุกเกร็งอย่างขึ้งเคียดอยู่ใกล้กัน ดวงตาของเธอสบประสานกับเขาอย่างไม่ได้หวาดกลัวต่อความตายทั้งยังกระตุ้นให้เขาประสาทเสียกับเธอมากขึ้นไปอีก เฮอร์ไมโอนี่ไม่สงสัยเลยสักนิดถ้าเธอจะลงมือสาปเขาหากเขายังคงพยายามล้อเล่นกับความอดทนที่มีจำกัดของเธอ

    ดวงตาสีเงินนั่นไม่ได้แสดงความกังวลใด ๆ เลยแม้แต่น้อยเขายังคงบีบข้อมือของเธอเอาไว้แน่น

    “ทำสิเกรนเจอร์ รออะไรอยู่เล่า”

    ความมั่นใจของเขาทำให้เธอเสียการควบคุม มวลคาถาถูกร่ายอย่างรวดเร็วก่อนที่ผลของมันจะทำให้ผิวหนังของเขาเกิดรอยไหม้ในทันที

    “เกรนเจอร์ นังตัวดี!” เขาตะโกนขณะที่ล่าถอยไปด้วยความแสบร้อนที่เคลือบทาไปทั่วทั้งลำคอ “เธอจะต้องชดใช้ – ”

    “ฉันไม่ไหวจะทนกับคนอย่างนายแล้ว” เธอบอกโดยไม่ละไม้กายสิทธิ์ไปจากคนผมบลอนด์ “กลับเข้าห้องของนายแล้วนอนไปซะ – ”

    “เธอกล้าใช้ปากโสมมของตัวเองออกคำสั่งกับฉันงั้นเหรอ – ”

    “ฉันจะออกไปข้างนอก” เธอพูดชัดถ้อยชัดคำแม้ว่าความจริงแล้วโทสะที่อัดแน่นอยู่ภายในจะพยายามสร้างคำพูดร้ายกาจมากมายอยู่ก็ตาม “นายคงจะมีเวลาสงบ ๆ สักสองสามชั่วโมงเพื่อนอนหลับ แนะนำว่าถ้าทำได้ก็ทำเสียเถอะ – ”

    “งั้นก็ไสหัวไปเสียสิ” คำว่านอนดึงดูดความสนใจของเขาแม้ว่าจะยังไม่สาแก่ใจ แต่เขาก็ขบกรามไล่แล้วหันหลังเดินจากเธอไปยังห้องนอน

    ประตูห้องถูกเหวี่ยงปิดเสียงดังอีกครั้งเรียกใบหน้าบูดบึ้งให้แต้มขึ้นบนใบหน้าของเจ้าของห้องได้ไม่ยาก

     เธอจะต้องออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้เพราะกลิ่นในห้องนั่งเล่นถูกเติมแต่งเอาไว้ด้วยกลิ่นใหม่ที่ไม่ได้รับเชิญจนเธอไม่สบายใจที่จะใช้เวลาอยู่ที่นี่เสียเลย แค่เห็นประตูห้องของเจ้าตัวการนั่นก็ยังรู้สึกไม่ดีได้ – เสียงถอนหายใจดังขึ้นขณะที่เธอรีบเดินกลับไปยังห้องนอนเพื่อแต่งตัวอย่างรวดเร็วที่สุดเท่านี้สังขารจะอำนวยให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วทั้งกางเกงยีนส์และเสื้อถักอย่างหนาที่เธอชอบใส่เพื่อรับมือกับความหนาวเย็น ท่อนขาเรียวยาวก็รีบจ้ำออกจากห้องประธานนักเรียนเพื่อมุ่งหน้าไปยังสมุดโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามองอีก

    ครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้การเดินทางระหว่างระเบียงทางเดินไม่ได้ไกลเช่นนี้แต่บรรยากาศวันนี้ทำให้เธอรู้สึกสับสน สายตาของนักเรียนบนทางเดินที่เหลือน้อยลงกว่าปกติมากำลังมองมาที่เธอเหมือนกับรู้อะไรบางอย่าง – เรื่องนั้น ? ไม่หรอก – เอาดี ๆ พวกเขาไม่น่าจะรู้เรื่องที่ห้องของเธอกลายเป็นห้องรับร้องไอ้ชั่วนั่น...ไม่ใช่เหรอ ? เธอลอบมองสายตาที่ถูกทิ้งถล่มลงมาที่เธออย่างหวาดระแวง สายตาของพวกเขาคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างและนั่นยิ่งทำให้ความหวาดระแวงที่มีอยู่มากเป็นทุนเดิมเพิ่มดีกรีขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดจังหวะการเดินของเธอก็ถูกเร่งเร็วขึ้นอย่างสติแตก ฝีเท้าของเธอเร่งเร็วขึ้นเสียจนต้นขาเสียดสีเกิดความร้อนขึ้นภายในซ้ำเสียงเดินยังทวีความดังขึ้นอย่างกับเดินกระทืบเท้า

    ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างไม่มีสติจนไม่ทันได้มองมนุษย์ตัวสูงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเหมือนกำแพงและแน่นอนก็จบลงที่เธอก้มหน้าก้มตาเดินชนเขาเสียจนเสียหลักแต่ก่อนจะหน้าทิ่มพื้นดีหน่อยที่เขาคนนั้นคว้าเธอเอาไว้ได้ทัน

    “เนวิลล์” เธอกรีดเสียงทั้งที่อ้าปากพะงาบ โชคดีที่แขนของเขาช่วยพยุงให้เธอกลับมายืนอย่างสมดุลได้ก่อนจะหน้าคว่ำไป “เฮ้อ ขอบคุณสวรรค์ – ”

    “เฮอร์ไมโอนี่” ลมหายใจของเขาสั้นลงด้วยร่องรอยของความกังวล “เธอไม่เป็นไรนะ ? เธอ – ”

    “ฉันโอเคแล้ว” เธอรีบตอบขณะที่ใช้นิ้วมือสอดเข้าไปสางลอนผมพัลวัน “ขอโทษที ฉันไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าฉันกำลัง – ”

    “เธอดูซีดมากเลย” เนวิลล์ออกความเห็น “นี่เธอป่วยหรือเป็นอะไรหรือเปล่า ?”

    “ไม่ ไม่ได้ป่วย” เธอส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับรอยยิ้ม “ฉันแค่ยังไม่ได้กินอะไรเลยเช้านี้”

    “เราไม่ได้เจอกันนานนนนนนมาก” สิ่งที่เขาบอกทำให้เธอเพิ่งจะระลึกได้ว่าคนตรงหน้าในกรอบสายตาดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าในความทรงจำสุดท้ายที่เธอเห็นเขา “จินนี่กับลูน่าเพิ่งจะพูดว่าคิดถึงเธออยู่เมื่อวาน แล้วก็ – ”

    “เข้าใจว่าช่วงนี้ฉันอาจจะดูเหลวไฟลไปหน่อย” เธอถอนหายใจขณะที่กลอกตามองพื้น “โทษที ฉันแค่พยายามจะช่วยแฮร์รี่กันรอน – ”

    “เธอควรจะพักผ่อนบ้างนะ” เขาบอก “มันไม่ดีเลย มันทำให้เธอดูป่วยมาก ๆ วันนี้ลองมากินข้าวเย็นด้วยกันหน่อยดีไหม ?”

    ถึงแม้จะอยากปฏิเสธแต่เธอก็เหนื่อยที่จะหาข้ออ้าง “โอเค” เธอพึมพำตอบและนั่นทำให้คนตรงหน้าส่งรอยยิ้มตอบกลับมาด้วยความยินดี “ไว้เจอกันที่ห้องโถงใหญ่แล้วกัน”

    ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อร่างบางก็เบี่ยงตัวเดินผ่านเนวิลล์ไป เธอรีบก้าวขาผ่านระเบียงทางเดินที่สั่นสะเทือนอย่างน่ากลัวเพราะเสียงท้องฟ้าที่ยังคงคำรามเอาสายฟ้าฟาดลงมาอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง หัวใจของเธอเต้นระรัวด้วยความกลัวจนกระทั่งมองเห็นปลายทาง เธอเหวี่ยงตัวเองเข้าชิดกำแพงใช้แผ่นหลังหยัดกำแพงเอาไว้ขณะที่สูดลมหายใจเป็นจังหวะยาวเพื่อเรียกสติปลอบขวัญตัวเอง

    นัยน์สีเหมือนเหล้าแอปเปิ้ลหรี่มองไปรอบ ๆ ห้องที่มีเพียงเก้าอี้ว่างเปล่าและโต๊ะที่ไม่มีใครจับจองที่ทำให้รู้ได้ทันทีโดยสัญชาตญาณว่ามีเธอคนเดียวเท่านั้นในพื้นที่กว้างใหญ่นี้อีกเช่นเคย เพราะแม้แต่มาดามพินซ์เองก็ใช้เวลาน้อยถึงน้อยมากเพื่ออยู่กับบรรดาหนังสือล้ำค่าของเธอแล้วใช้เวลาส่วนมากไปกับภารกิจของพวกศาสตราจารย์แทน

    สำหรับบางคนการเข้าสังคมก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ อย่างน้อยก็เพื่อช่วยให้ลืมความหวาดกลัวและความทุกข์ตรมได้

    เธอรู้สึกได้ว่าใครหลายคนก็คิดเช่นนั้น พวกเขาอยากจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับคนที่พวกเขารักมากกว่าเตรียมตัวสอบที่ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่ เอาเข้าจริงแล้วเป็นเธอก็คงเลือกที่จะอยู่กับคนที่เธอรักมากกว่าเหมือนกันถ้าหากว่าทำได้ – แต่ตอนนี้แน่นอนว่าไม่...

    เฮอร์ไมโอนี่เดินตรงไปยังโต๊ะประจำของเธอที่อยู่ขวามือด้านหลังของโซนหนังสือต้องห้าม มันซ่อนตัวอยู่ในวงล้อมของชั้นหนังสือที่ไม่มีใครสนใจมากนัก นับว่าเป็นทำเลที่ดีต่อการสลัดทิ้งทุกความคิดว้าวุ่นใจเอาไว้เบื้องหลังแล้วใช้สมาธิทั้งหมดด่ำดิ่งลงสู่มหาสมุทรตัวหนังสือที่จะหลั่งไหลเข้ามาพารากราฟต่อพารากราฟ

    นี่คือที่ลี้ภัยโดยสมบูรณ์สำหรับเธอ

    ได้หลงใหลไปกับจูบอันดูดดื่มจากหน้าหนังสือนั่นช่วยให้เธอลืมทุกอย่างแทบหมดสิ้น

    เนื้อหาเกี่ยวกับฮอร์ครักซ์ถูกคาถาแอคซิโอเรียกให้ปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าขณะที่เธอใช้นิ้วคั่นหน้าหนังสือเหล่านั้นเอาไว้และเริ่มไล่สายตาอ่านทุก ๆ ประโยคอย่างตั้งใจ หวังว่ารอยยิ้มน่ารังเกียจของมัลฟอยจะถูกเนื้อหาเหล่านี้ลบเลือนไปจากความคิดของเธอเสียที แม้จะเพียงครู่เดียวก็ได้

    เดรโกลากหีบสัมภาระของตัวเองเข้าไปในห้องและรีบรื้อมันออกมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่ นี่คงแย่ยิ่งกว่าเก่าเสียอีก เพราะดูจากสิ่งที่อยู่ภายในหีบแล้วมันล้วนแต่เป็นของที่เขาไม่เคยคิดจะหยิบมาใช้สักนิดแต่ก็ดีหน่อยที่ท่ามกลางเสื้อผ้าไร้รสนิยมนี่ไม่มีชิ้นไหนมีสีแดงหรือทองน่าขยะแขยงนั่น เขากวาดสายตาสำรวจสิ่งของด้วยใบหน้าไม่พอใจนัก มันมีกางเกงสีดำสองสามตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวและดำ เสื้อจัมพ์เปอร์โปโลสีดำและสีเทาอีกสี่ตัว ส่วนล่างสุดของหีบมีเสื้อกั๊กธรรมดากับผ้าคลุมปฏิบัติการแบบมาตรฐานอีกหนึ่งชุด รวมไปถึงรองเท้าสีดำ ถุงเท้า และชั้นในอีกนิดหน่อย

    ถึงมันจะเกินความคาดหมายไปบ้าง แต่ก็ยังไม่เท่าที่เขาหวังเอาไว้

    เขาทำเสียงขื่น ๆ ในลำคอขณะที่เริ่มลงมือจัดการพวกมันเข้าสู่ตู้เสื้อผ้าแบบที่มักเกิ้ลทำกัน ให้ตายเถอะเมอร์ลิน เขาคิดถึงไม้กายสิทธิ์ของเขาเหลือเกิน ตอนนี้เขาดูน่าสมเพชเหมือนวัวโง่ ๆ ตัวหนึ่งที่ถูกมักกอนากัลป์หักแขนไปแล้วข้างหนึ่ง

    เขารอดชีวิตจากความโดดเดี่ยวตอนที่ถูกขังไว้กับสเนปที่เพิงนั่นได้ก็เพราะมีไม้กายสิทธิ์นี่แหละ อย่างน้อยมันช่วยให้ในแต่ละวันที่ผ่านไปไม่อ้างว้างมากจนเกินไปเขาสามารถใช้ไม้เพื่อฝึกฝนทักษาการร่ายคาถารวมถึงการแปลงร่างหรือไม่ก็ลองใช้คาถาใหม่ ๆ ได้ แต่ทว่าตอนนี้ยายแม่มดแก่หนังยานนั่นได้ยึดสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เขามีชีวิตในแต่ละวันไปแล้ว  เขาไม่เหลืออะไรที่จะช่วยทำให้เขาข้ามผ่านคืนวันอันเปลี่ยวดายนี้ไปได้อีกแล้ว

    เดรโกเปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งลงบนเตียงอย่างหมดอาลัยเพื่อคิดหาอะไรบางอย่างทำ แต่เวลาก็ผ่านไปนานเสียจนมีเพียงแต่เมอร์ลินเท่านั้นที่รู้

    เขาไม่ใช่คนโง่ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการไม่ได้ทำอะไรเลยและถูกกักขังอยู่แบบนี้จะทำให้ชีวิตของเขาถูกทำลายยังไงบ้าง เพราะที่เห็นได้ชัดที่สุดตอนนี้ก็คือเรื่องเวลานอนที่พังไปหมดแล้วและอีกไม่นานสิ่งที่จะพังตามไปก็คือประสาทของเขานั่นเอง เหมือนนิยายไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องที่เขียนถึงเรื่องราวของพ่อมดโง่ ๆ ที่ถูกขังเอาไว้ในตู้และสุดท้ายก็จบลงด้วยการเป็นบ้าเพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่ผนังทั้งสี่ด้านแถมยังไม่มีอะไรให้ทำสักอย่าง

    เขาจำเป็นต้องหยุดกระบวนการบ้าบอนี่เดี๋ยวนี้ มันจะต้องมีอะไรบางอย่างให้เขาจดจ่อไปกับมันหรือไม่ก็จุดหมายสักจุดหมายที่เขาจะตั้งใจทำ ไม่ว่ามันจะสำคัญหรือไม่สำคัญก็ตาม

    เดรโกผลุดลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องไปยังพื้นที่ส่วนกลางของหอพักแล้วลากตัวเองไปที่ห้องครัวขนาดเล็กก่อนจะเสียเวลายืนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็จบลงด้วยการเปิดตู้และลิ้นชักอย่างไร้จุดหมายแม้จะมีผลิตภัณฑ์สำหรับปรุงอาหารมากมายอยู่เบื้องหน้าแต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มปรุงมันยังไงเมื่อไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้

    สุดท้ายแอปเปิ้ลเขียวสองลูกก็ถูกคว้าไว้ในมืออย่างไม่มีทางเลือกนัก ดวงตาสีซีดนั้นก็ยังคงค่อย ๆ สอดส่องไปทั่วหอพักเพื่อหาอย่างอื่นที่น่าสนใจก่อนจะพบว่าชั้นหนังสือที่โค้งงอเพราะน้ำหนักของหนังสือจำนวนมากบนนั้นดึงดูดสายตาของเขาเหลือเกิน เวลาครู่ใหญ่ผ่านไปพร้อมกับความคิดที่วนเวียนภายในหัวของเดรโก เขาคิดว่าจริง ๆ แล้วการอ่านหนังสือคือเป็นทางเลือกที่ดีที่จะช่วยทำให้เขาไม่รู้สึกแย่นักในตอนนี้

    แต่ไม่เอาหรอก มันเป็นของของเลือดสีโคลน ให้เขาตายไปดีกว่าต้องไปแตะต้องของพวกนั้น

    เขามองไปรอบห้องอีกครั้งพลางค่อย ๆ แทะเล็มผลไม้ที่สุกพอดีในมือและนับคำที่กัดลงบนผิวแอปเปิ้ลนั้นไปด้วยอย่างเลื่อนลอย

    มื้อเที่ยงก็ยังเป็นอีกมื้อที่เธอตัดสินใจไม่ออกไปเจอใคร

    มันเป็นการตัดสินใจด้วยสตินึกคิดที่สมบูรณ์ก็จริงแต่ไม่กี่ชั่วโมงถัดมามันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เธอนึกเสียใจวนไปมาอยู่ดี เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกสับสนในตัวเองนิดหน่อยแต่สุดท้ายแล้วเธอก็คิดว่าเธอควรจะหาอะไรสักอย่างที่น่าสนใจมาใส่สมองแทน เช่นเรื่องที่เธอลืมไปแล้วอย่างการเขียนคำว่า ครักซ์ ในภาษาฝรั่งเศสและภาษาละตินซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    นอกจากจะใช้เวลาทั้งวันหมกตัวอยู่ในห้องสมุดไม่กระดิกตัวไปไหนแล้วเธอก็ใช้เวลานิดหน่อยในการพาตัวเองไปยังห้องครัวเพื่อหยิบเอาแซนวิชแฮมง่าย ๆ มากินก่อนจะใช้เวลาอยู่กับหนังสือไปจนกระทั่งความมืดเริ่มโรยตัวแต่งแต้มสีเข้มให้กับท้องฟ้าด้านนอก เวลาที่ผ่านไปไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตเบื้องหลังชั้นหนังสือที่ดังเอี๊ยดอ๊าดนักเพราะกว่าเธอจะรู้ตัวราตรีกาลก็ห่อคลุมท้องฟ้าทั้งหมดเอาไว้แล้ว และคาถาลูมอสที่ถูกร่ายเอาไว้ที่ปลายไม้กายสิทธิ์ก็ไม่ได้ช่วยให้แสงสว่างที่มากพอสำหรับการจดจ่อสมาธิได้ การกลับไปยังหอพักคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทู่ซี้อ่านหนังสือไปทั้งแบบนี้

    ดวงตาซังกะตายมองไปยังหน้าปัดที่ฟ้องเวลาเที่ยงคืนมันยังทำให้เธอรู้สึกว่าวันนี้ช่างเป็นวันที่เสียไปอย่างสูญเปล่า – ไม่ได้อะไรสักอย่าง ในหัวของเธอยังคงวนเวียนอยู่กับการปะทะกันระหว่างเธอกับมัลฟอยที่ทำให้วันนี้เธอไม่สามารถบรรลุภารกิจอย่างที่อยากทำได้แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าอาการนอนไม่หลับของเธอเองก็เป็นปัญหาเช่นกัน

    เธอลากแข้งขาอิดโรยไปตามทางเดินจนกระทั่งมาหยุดที่หน้าห้องพัก ร่างบางปล่อยให้ตัวเองทอดถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งใจส่วนหนึ่งว่าอย่างน้อยมันก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ตอนนี้หอของเธอถูกอาบทาไว้ด้วยความมืดและไม่มีสัญญาณของไอ้ชั่วสลิธีรินนั่น

    บางทีหมอนั่นน่าจะเหมาะกับการไปใช้ชีวิตอยู่ในอัซคาบันมากว่ามาอยู่สุขสบายที่นี่

    ริมฝีปากบางพึมพำร่ายคาถาให้ห้องสว่างขึ้นขณะที่เริ่มเปิดตู้เหนือเคาท์เตอร์เอาอาหารเก็บแล้วจึงเคลื่อนไหวอย่างงุ่มง่ามเพื่อหยิบเอาแก้วและน้ำร้อนมาเตรียมชา แต่แล้วขณะที่รอให้ชาได้ที่นั่นความรู้สึกบางอย่างก็บอกกับเธอว่าที่ด้านหลังนั้นมีใครสักคนกำลังส่งสายตามาดร้ายมาที่เธอ

    สัญชาตญาณที่ทำหน้าที่เป็นอย่างดีสั่งให้เธอหันไปมองยังเป้าหมายอย่างรวดเร็วจนฝ่ามือข้างหนึ่งปัดไปโดเครื่องดื่มร้อน ๆ นั่นจนล้มลง เบื้องหน้าของเธอคือเขาที่กำลังยืนเอ้แอ่นอยู่ตรงกรอบประตู ดวงตาของเขาจ้องมายังตัวเธอที่กำลังหอบหายใจอย่างเสียขวัญด้วยความโกรธเคือง เขามองเธอไม่วางตาเหมือนกับหมาป่าที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสองสามวัน หมอนั่นคงรอคอยการกลับมาของเธอเพราะความเบื่อหน่ายอาจจะจุดประกายความคิดอยากจะหาเรื่องเจ้าของห้องทันทีที่ก้าวเข้าประตูห้องมา

    “ขวัญเสียไปเลยล่ะสิ เกรนเจอร์” เขาตั้งขอสังเกตด้วยเสียงเรียบก่อนจะยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างวางท่า “ฉันทำให้ไม่สะดวกใจหรือไง ?”

    “นายทำให้ฉันคลื่นไส้” เธอตอบไม่อ้อมค้อมคำพูดของเธอชัดเจนและตรงไปตรงมา

    “เชื่อเถอะตอนที่ฉันบอกว่าฉันรู้สึกเหมือนกัน ฉันรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ” เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราด “เธอทำเสียงดังน่ารำคาญอีกแล้ว – ”

    “หุบปากแล้วไปนอนเหอะ – ”

    “ร่ายคาถาเงียบเสียงที่ห้องฉันสิ – ”

    “เมินเสียเถอะ!” แม่มดสาวแหวสุดเสียงจนต้องเว้นวรรคเพื่อสูดลมหายใจเติมเข้าปอด “ฉันพูดไปแล้วอย่างชัดเจนว่าฉันจะไม่เสียเวลาเสียเวทมนตร์ของฉันเพื่อความต้องการของนาย!

    “เธอทำมันแน่” เขาตอบกลับอย่างสงบขณะที่ย่างสามขุมเข้ามาหา “ฉันไม่ควรจะต้องมาฟัง – ”

    “เหรอ งั้นก็แย่หน่อยนะ” เธอตวาดแล้วฟาดฝ่ามือลงบนเคาท์เตอร์ที่กั้นระหว่างเธอกับเขาเอาไว้ “นี่มันคือห้องของฉัน! ความจริงฉันไม่ควรจะต้องมาได้ยินเสียงของนาย หรือเห็นการมีอยู่ของนายเลยด้วยซ้ำ!

    “แต่แย่หน่อยนะ” เดรโกซ้ำคำและความอดทนของเขาคงใกล้จะหมดเต็มทน “เธอต้องยอมรับมันเพราะยายแก่งี่เง่านั่นอยากให้เราทั้งคู่ทำเรื่องโง่นี่ไปด้วยกัน – ”

    “หุบปากนะ!” เธอหลับหูหลับตาตะโกนพลางกระทืบเท้าด้วยอารมณ์ซึ่งกำลังร้อนได้ที่ “อย่ามายุ่งกับฉันนักได้มั้ย มัลฟอย -

    “แล้วมันเรื่องห่าอะไรที่ฉันจะต้องทำตาม ?” อารมณ์ที่ร้อนไม่ต่างกันทำให้เขาตวาดกลับไป “เผื่อว่าเธอไม่ทันสังเกตแต่ฉันไม่สามารถออกจากห้องโกโรโกโสของเธอได้และก็ช่วยสำนึกเอาไว้ด้วยว่ามันไม่ได้ใหญ่พอให้เธอทำแบบนั้นได้หรอกนะ ยายงั่ง!

    ดวงตาของเธอสั่นเครือไปด้วยก้อนน้ำตาที่เตรียมจะไหลบ่าออกมาแต่โชคดีที่เธอกลั้นมันเอาไว้ได้ก่อนที่เขาจะทันสังเกตเห็น “งั้นก็อยู่แต่ในห้องของตัวเองซะสิ – ”

    “ไม่!” เขาขัดคออย่างจองหองเท้ามือกับเคาท์เตอร์และลดใบหน้าลงให้เท่ากับใบหน้าของเธอ “ไม่มีทาง ฉันว่าการเห็นเธอดิ้นเหมือนหนอนฟลอบเบอร์ในถังมันก็สนุกดีพิลึก ยายเลือดสีโคลน – ”

    “นายคิดว่าพูดแบบนั้นแล้วฉันจะสะทกสะท้านงั้นเหรอ ?” เธอตั้งคำถามขณะที่ลู่คิ้วลงต่ำอย่างเวทนา “นายเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ เหรอว่าฉันจะสนใจว่านายคิดอะไร ?”

    “คนอย่างเธอก็ห่วงว่าใครจะคิดอะไรอยู่แล้วนี่ – ”

    “แต่นายไม่ใช่ใคร นายมันไม่ใช่คน” เธอกรีดเสียงและฟาดมือลงบนเคาท์เตอร์ซ้ำ “นายมัน – นายมัน...”

    “เอาสิ เกรนเจอร์ เอาเลย!” เขายุด้วยน้ำเสียงเชื้อเชิญอย่างไม่น่าเชื่อ “เธอรู้สึกยังไงกับฉันเหรอเกรนเจอร์ ? ฉันสงสัยจริง ๆ”

    เฮอร์ไมโอนี่หยุดโต้เถียงเธอผ่อนลมหายใจขณะที่ใช้ดวงตาประเมินใบหน้าคาดหวังคำตอบของเขา นัยน์ตาสีเทากรวดแข็งกร้าวอย่างกับแร่ควอตซ์ ทั้งยังเย็นชาและอ่านได้ยาก มันเฝ้ามองเธออย่างรอคำตอบนิ่งงันไม่มีแววสั่นไหวแม้แต่น้อย เขาอยากรู้อย่างนั้นหรือ ? ได้สิ มันกดเก็บอยู่ในใจเธอมานานเกินกว่าเขาจะรู้ได้และเธอแทบจะทนไม่ไหวที่จะพูดมันออกมา

    “นายมันนิสัยเสียและเห็นแก่ตัวที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา” เธอบอกเขาเสียงเรียบ เธอมองตาเขาและค่อย ๆ ประกาศความในใจออกมาชัดถ้อยชัดคำ “ชีวิตของนายมันไม่ได้มีค่าอะไรเลยเพราะนอกจากการรังแกคนอื่นแล้วก็ไม่มีอะไรที่คนอย่างนายจะทำได้จริง ๆ สักอย่าง เพราะแบบนั้นมันทำถึงทำนายไม่มีวันได้รู้จักคำว่าเพื่อนเหมือนอย่างคนอื่นเขาเพราะไม่ว่าจะมีใครผ่านเข้ามาในชีวิตของนาย นายก็ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อดูถูกพวกเขา – ”

    เดรโกพ่นลมหายใจ “ฉันจะบอก – ”

    “ฉันยังพูดไม่จบนะ!” เธอแหวแล้วชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่เขา “เวลาแต่ละปีของนายคงใช้ไปกับการทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองไม่เป็นเหมือนพ่อ ชั่วร้าย – ”

    “อย่าเอาเรื่องของพ่อฉันมาพูดมั่ว ๆ !” เขาตะโกน รู้สึกโกรธแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรกับไม้กายสิทธิ์ที่จ่ออยู่ที่อกได้ “เธอไม่สิทธิ์!

    “นายขอความเห็นฉันเองนี่” หล่อนโต้กลับ “ฉันรู้มาตลอดว่านายมันเป็นไอ้ชั่วแต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งนายจะกลายมาเป็นพวกผู้เสพความตาย แต่แฮร์รี่รู้ดี เขาพยายามบอกเราแต่ไม่ – ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลโง่เง่าอะไร แต่ฉันคิดมาตลอดว่านายน่าจะยังมีสำนึกดีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ฉันคิดผิด – ”

    “อย่างแรกนะ – ”

    “และสุดท้ายนายก็กลายเป็นตัวอะไรก็ตามที่ทุกคนเขาคิดกัน” เธอไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไรเธอยังคงพูดต่อไม่ยอมลดละแล้วก้าวเท้าออกจากในครัวอย่างโกรธเกรี้ยว “เป็นพวกเดียวกับโวลเดอมอร์นั่นน่าสมเพชที่สุดในการเป็นมนุษย์แล้วมัลฟอย เพราะแค่เรื่องที่ถูกต้องนายยังทำไม่ได้เลย!

    เขาคำรามในลำคอเพราะถูกตบหน้าอีกครั้งด้วยความผิดพลาดที่ยังไม่หยุดหลอกหลอนเขา “พูดจบหรือยัง ?”

    เฮอร์ไมโอนี่จ้องมองเขาด้วยใบหน้าบูดเบี้ยวเพราะความรู้สึกเกลียดชังที่กำลังปะทุออกมา เขารู้สึกว่านี่เป็นสีหน้าที่รุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ ที่กล้าที่จะใช้มองเขา ก็ดี ทำให้เธออาละวาดหนัก ๆ แบบนี้ก็ตลกดี

    “นายมันน่าขยะแขยงแถมยังชั่วร้ายที่สุด” เธอขู่ฟ่อในลำคอและรู้สึกว่าอีกไม่นานเวทมนตร์สักบทคงลั่นใส่เขาแน่หากเธอไม่พยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่งขึ้นกว่านี้ “และก็จะเป็นแบบนั้นเสมอ ฉันว่ามันน่าเศร้านะ – นายอยากรู้เหรอว่าฉันคิดยังไงกับนาย น่าสมเพช อยากจะใช้มันเป็นข้ออ้างให้ตัวเองเป็นแบบนั้นได้อย่างสบายใจหรือไง”

    เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้งในลำคอของเขา “เดาไปเรื่อยเหมือนเคย เกรนเจอร์ แถมยังเชื่อว่าทุกคนมีความดี – ”

    “ไม่ทุกคน” เธอแทรกด้วยน้ำเสียงเกือบจะสิ้นหวัง “ไม่ใช่นายคนนึง ไม่ใช่นายอีกต่อไป”

    “ก็ดี อย่างน้อยเธอจะได้เรียนรู้ที่จะไม่จมปลักอยู่กับความผิดหวัง” เขายักไหล่ไม่ยี่หระพลางเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าเธอถอนเท้าออกห่างเขาไปอีกเล็กน้อย “นั่นกำลังจะไปไหน ?”

    “นอน” เธอพึมพำตอบก่อนจะส่องสายตาค้อนให้เขาอีกวงใหญ่ “ฉันเบื่อจะเถียงกับนายแล้ว – ”

    “เดี๋ยวสิ” เขาท้วงก่อนจะปรี่เข้าไปขวางไม่ให้เธอเดินต่อ “นี่ตาฉัน – ”

    “ฉันว่ามันก็ชัดเจนแล้วนะ” เธอพูดซ้ำคำที่เธอเพิ่งพูดไปก่อนหน้านี้ “ว่าฉันไม่ได้สนใจว่านายจะคิดยังไง – ”

    “ฉันไม่ได้สนใจว่าจะคิดยังไง” เขาค่อย ๆ ยืดตัวจนเต็มความสูงนั่นแทบบจะทำให้เธอตกอยู่ใต้เงาของเขาทีเดียว

    “แต่นายถาม – ”

    “ฉันคิดว่ามันคงตลกดี” เขาบอกพลางอมยิ้มชั่วร้าย “ฉันก็ใช่จริง ๆ –  

    “ฉันรู้ว่านายจะพูดอะไร” เธอว่าพยายามอย่างสุดหัวใจที่จะทำเฉยเมยต่อเขา “เลือดสีโคลนอย่างนั้น หนอนหนังสืออยางนี้ นายก็พูดไปเรื่อยแหละ มัลฟอย – ”

    “ฉันอาจจะทำให้เธอแปลกใจก็ได้”

    เมอร์ลินคงสาปเธอแน่เพราะตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นมันกำลังจะทำให้เธอพ่ายแพ้ต่อตัวเองแล้ว “ได้” พึมพำพลางจ้องมองเขาอย่างอาจหาญและกำมือรอบไม้กายสิทธ์ “นายคิดยังไงกับฉัน มัลฟอย ?”

    “เธอไม่ยอมรับฉัน” น้ำเสียงหยันของเขาเจือแววไม่เป็นมิตรอยู่เต็มเปี่ยม “การต้องหายใจด้วยอากาศเดียวกันเข้าไปทำให้ฉันอยากจะอ้วกตลอดเวลา เธอมันน่าขยะแขยง – เหม็นโฉ่ไปทั่วโลกเวทมนตร์ เอาเข้าจริงเธอไม่สมควรจะมีเวทมนตร์ – ”

    “ซ้ำซากไร้สาระ” เธอกลอกตามองบน “ฉันไปนอนล่ะ หลีกไป หรือจะต้องให้ – ”

    “ฉันเพิ่งเริ่มเอง” เขาพูดด้วยสีหน้าถมึงทึงในดวงตาแกร็งกร้าวของเขามีแววน่ากลัวลุกโชติอยู่ แม้ว่าเธอจะขยับเท้าออกห่างแต่ยังคงจ้องตาเขาไม่กระพริบเพื่อไม่ให้หลุดการควบคุม

    “ฉันไม่ – ”

    “เธอรู้ว่าเธอไม่ควรจะมีเวทมนตร์” เขาว่าต่อ “เพราะแบบนั้นเธอก็เลยต้องพยายามอย่างมากใช่ไหมล่ะ ? มันก็เลยเป็นเหตุผลที่เธอแต่เรียนจนน่าสมเพช – ”

    “ฉันแค่ชอบอ่านหนังสือ – ”

    “เธอคงรู้สึกว่าจะต้องพิสูจน์ตัวเอง” เดรโกทำให้เธอหยุดพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจและวางโต “เพราะเธอรู้ว่าเวทมนตร์มันไม่ใช่ของเธอโดยชอบธรรมตั้งแต่แรก” รอยยิ้มอย่างผู้ชนะระบายขึ้นบนริมฝีปากของคนพูด “เพราะเธอรู้ว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น”

    ริมฝีปากของเธอกระตุกเกร็ง ส่วนเขายิ้มหยันมากขึ้น

    “เธอก็เลยจะเป็นจะตายทุกครั้งที่ฉันเรียกเธอว่าเลือดสีโคลน” เขาจบประโยคด้วยการพยักหน้าอย่างภาคภูมิ เขาเห็นได้ชัดว่าสาวกริฟฟินดอร์พยายามเป็นอย่างมากที่จะควบคุมตัวเอง นั่นเป็นสัญญาณที่เขาพึงพอใจเพราะว่าอย่างน้อยก่อนจะหมดวันที่น่าเบื่อนี้ไปเขาก็สามารถยั่วโมโหสายพันธุ์มักเกิ้ลนี่ได้สำเร็จ เดรโกก้าวขาออกห่างจากเฮอร์ไมโอนี่เพื่อจะมุ่งหน้าไปยังห้องนอน

    ขณะที่นิ้วมือของเขากำลังจรดเข้ากับลูกบิดทองเหลืองความร้อนของอะไรบางอย่างก็พุ่งเข้าใส่สันหลังของเขาและเพียงวินาทีเดียวเท่านั้นมันก็ทำให้ตัวเขาถูกผลักติดเข้ากับผนังก่อนจะค่อย ๆ ไหลลงไปกองกับพื้นทางเดินอันเย็นเยียบ พลังของมันยังคงวิ่งพล่านอยู่ทั่วผิวหนังของเขา ความเจ็บปวดแล่นผ่านเข้ามาแทนจังหวะหัวใจและลมหายใจที่รวยริน

    เขาพยายามโงหัวขึ้นจากพื้นด้วยหวังจะจับเกรนเจอร์อัดติดผนังให้สาสมกับที่ทำไว้แต่ทว่าในสายตาของเขามันพร่าเลือนเสียจนมองเห็นเธอเหมือนเป็นวิญญาณที่อยู่ในห้องเท่านั้น และเพียงไม่นานเสียงหวีดแหลมของประตูก็ดังขึ้นทำเอาเขารู้สึกว่าอีกไม่นานหูของเขาคงจะหนวกสนิท เวลาผ่านไปครู่หนึ่งหลังจากถูกทิ้งให้นอนเจ็บอยู่บนพื้นความเจ็บปวดพวกนั้นก็ค่อย ๆ คลายตัวไปมีเพียงอาการมึน  ๆ ในหัวและปวดหนุบที่หลังนิดหน่อยเท่านั้น

    เดรโกลุกขึ้นยืนอีกครั้งก่อนจะใช้สายตามองไปรอบห้องอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งกลับไปสนใจที่ชั้นหนังสืออีกรอบ

    อ่าใช่ ก่อนที่เลือดสีโคลนจะกลับมาเขาเคยสนใจมันมาก่อน

    เขาชำนาญเรื่องตัวเลขมากกว่าเรื่องอื่นดังนั้นการนับคงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่จะให้เขาไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน

    เกรนเจอร์มีหนังสือ 100 กับอีก 1 เล่มในห้องนั่งเล่น 56 เล่มมีปกสีดำ 40 เล่มเป็นสีแดง 3 เล่มสีฟ้า ส่วนอีก 2 เล่มที่เหลือเป็นสีเขียว บนสันทั้งหมดมีอีก 460 คำไม่นับชื่อผู้เขียน เขานับมันอย่างถ้วนถี่ถึงสองรอบก่อนจะโน๊ตเอาไว้ในหัวและตอนนี้เขาก็กำลังมองไปทั่วห้องเพื่อหาโครงการใหม่เพื่อทำให้วันพรุ่งนี้

    โครงการยังชีพสติของเดรโก มัลฟอยกำลังเริ่มขึ้นเรียบร้อยแล้ว

    ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่ว ๆ ก่อนจะมาตกที่ประตูของหล่อนอีกรอบ ความโกรธเกรี้ยวแล่นพล่านขึ้นทั่วตัวอีกรอบความจริงเขาไม่อยากจะเอาความอะไรที่เธอร่ายคาถาใส่เขาแต่พอเอาเข้าจริงก็โกรธอยู่พอประมาณ แต่ก็นั่นแหละไม่ว่าจะยังไงก่อนจะเป็นบ้าเพราะยายผู้หญิงนั่น พรุ่งนี้เขาจะต้องหาอะไรนับให้ได้

    เฮอร์ไมโอนี่กระแทกประตูปิดเสียงดังก่อนจะพึมพำคาถาเงียบเสียงเพื่อทำให้ห้องของเธอเป็นที่หลบภัยโดยสมบูรณ์และจากนั้นเพียงไม่นานเธอก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น เมอร์ลิน เธอเกลียดเขา เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ! ใบหน้าของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาขณะที่เธอพยายามใช้มือปัดเช็ดน้ำตาไม่รักดีให้เหือดแห้งไป สองขาที่สั่นเทิ้มค่อย ๆ พาตัวเองไปยังเตียงนอน

    เธอยังคงตาค้างอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ความโกรธของแม่มดสาวที่มีต่อสลิธีรินนั่นทำให้เธอตื่นทั้งคืนจนกระทั่งพวกนกพากันแหกปากบอกว่ายามเช้ามาเยือนแล้ว –นั่นทำให้มันถูกสบถใส่ไปหนึ่งยก

    และทั้งหมดนี้ก็คือวันที่ 1 ที่เพิ่งผ่านไปพ้นไป

     

    ---


    ขอบคุณทุกกำลังใจเลยนะคะ ได้รับกำลังใจเต็มเปี่ยมเลย ♥

    ตอนนี้ยาวมากกกก แต่คิดไปคิดมาก็ยาวพอ ๆ กับ amissus เลย แต่แปลไปก็เหนื่อยมาก 

    น่าจะเป็นเพราะสปีดในวัยเด็กไม่เคยกลับมาอีกเลยนับจากวันที่อัพ amissus จบ ฮือ อยากอัพได้เยอะ ๆ เหมือนตอนนั้นอีกจัง

    แต่ยังไงก็ตามหวังว่าทุกคนจะ enjoy reading นะคะ ขอโทษที่ทิ้งหายไปพักใหญ่อีกแล้วนะ ; w ;

    แล้วก็ ก่อนจะจากไปวันนี้ทางเรามีเรื่องเข้ามาแจ้งค่ะ 

    เรามีโครงการที่จะย้ายฟิคทุกเรื่องที่เราแปลไปไว้ใน readawrite โดยอาจจะปิดการอ่านฟิคบางเรื่องที่แปลจบแล้วไปนะคะ

    ส่วนฟิคที่กำลังแปลหรือกำลังแต่งอยู่จะยังเปิดเอาไว้แต่จะอัพใน raw ก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาอัพที่เด็กดีค่ะ

    (พอดีว่าทาง raw มีตรวจคำผิดที่ใช้งานง่ายดีค่ะ ทางเราพิมพ์ผิดเก่งมากเลยคิดว่าย้ายไปตรงนั้นน่าจะทำให้คำผิดน้อยลง ; w ;)

    ยังไงถ้าหากรีดเดอร์ท่านใดสะดวกย้ายตามกันมาได้นะคะ  ♥

    ลิงก์ค่ะ

    ดีใจที่ทุกคนยังอ่านงานของเราอยู่เสมอเลย

    รักนะคะ

    /โมนิค

     

     

      

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×