{HUNHAN,exo}; ..DOCTOR.. ไอ้หมอบ้า!!
Hunhan ; แค่ผมโดนรถชน ผมก็อาการหนักปางตายอยู่แล้วนะ ทำไมผมต้องมาเจอไอ้หมอบ้า ป่วนประสาท โรคจิต วิปริตแบบนี้ด้วยเนี้ยะะะะ!!!! 80%
ผู้เข้าชมรวม
505
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
..DOCTOR..
DOCTOR ..ไอ้คุณหมอบ้า! BY: เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง
ฮัลโหลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลลล
สวัสดีค้า ชื่อเพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสงค้า(มุข)(แป้ก)
ไม่ใช่ว่าอ่านจบบรรทัดนี้แล้วกดกากบาทออกไปเลยนะ เดี๋ยวก๊อนน!
คือเค้าก็เงี้ยะ ถนัดมากเรื่องปล่อยมุข แบบเพื่อนไม่ฮากูฮาเองก็ได้วะสราสส
เรื่องนี้เป็นฟิคเอ็กโซเรื่องแรกเลยขอบอก
อาจจะกากๆเกรียนๆนิดนึง ภาษาอาจจะงงๆบ้างนิดหน่อย ก็ให้อภัยกันน้า
เรื่องนี้แรงบันดาลใจมาจากหลายที่หลายแหล่งมากกกก
เดี๋ยวไว้เราไปเฉลยกันตอนท้ายเนอะ
ตามไปอ่านกันเลยจ้า :’)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ฮัลโหล มีอะไรหรือเปล่า?”
[ถ้าไม่มีอะไร ผมโทรหาคุณไม่ได้เลยใช่ไหม?]
“ไม่ได้ ขอโทษที ผมบอกแล้วไงว่าผมมีงาน”
[นี่! คุณจะเย็นชามากเกินไปรึเปล่า คุณไม่สนใจผมเลยนะ ผมยังเป็นแฟนคุณอยู่ไหม?!]
“อย่ามางี่เง่าได้ไหม เราตกลงกันแล้วนะ ผมต้องทำงานนะ คุณอย่างอแงสิ”
เสียงสัญญาณตัดไปแล้ว ปลายสายวางไปโดยที่ไม่บอกลาผมสักคำ ผมส่ายหน้าให้กับเครื่องมือสื่อสารอย่างเบื่อหน่าย ..ให้ตายสิ เป็นแบบนี้อีกแล้ว เป็นแบบนี้อีกจนได้ เมื่อไหร่เขาจะเข้าใจบ้างนะว่าผมมีหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบ เมื่อไหร่คนรักของผมเขาจะเข้าใจผมเสียทีว่าผมก็ต้องการเวลาส่วนตัวด้วยเหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ มันก็เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ..ด้วยความหัวเสียพอกัน ผมจึงตัดสินใจวางโทรศัพท์ไว้ตรงนั้น ไม่ได้โทรไปง้อหรือส่งข้อความหวานๆน่ารักๆไปให้เหมือนอย่างเคย ก่อนจะมุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างแข็งขัน โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้น
...ผมไม่ได้รู้เลยว่า...
.
.
.
...ผมกำลังสูญเสียคนรักของผม...
.
..
…
“ฮัลโหล ...ทำใจดีๆนะ ลู่หานถูกรถชน!!!”
.
..
...
..อา แสบตาชะมัด..
นั่นคือ.. ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาในหัว
คนเจ็บปิดเปลือกตาลง ทิ้งระยะไว้สักนิดก่อนจะค่อยๆกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับโฟกัสให้คุ้นชินกับสรรพสิ่งรอบกาย ด้วยความที่เพิ่งรู้สึกตัว สติที่มีอันน้อยนิดจึงยังไม่อาจรวมตัวกันเป็นหนึ่ง เจ้าตัวนิ่วหน้าลงพร้อมกับคิ้วที่ค่อยๆขมวดเข้าหากันอย่างกับโบว์เส้นเล็กเมื่อรู้สึกเจ็บทั่วทั้งร่างกาย
ผมไม่แม้แต่นึกอยากจะขยับกาย เพราะแค่เพียงหายใจ ความเจ็บก็ประเดประดาเข้ามาไม่หยุดหย่อน ยิ่งได้กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยเข้ามาในโสตประสาท ความเจ็บที่มีมากอยู่แล้วก็เหมือนจะมากขึ้นกว่าเก่า ไหนจะเครื่องอิเล็กทรอนิคที่ดังเป็นระยะๆข้างกาย ชวนให้หนวกหูไม่น้อย ให้ตายสิ ผมไม่เคยนึกเกลียดการตื่นนอนครั้งไหนได้เท่าครั้งนี้เลย
“รู้สึกตัวแล้วหรอครับ?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามฉุดให้สติที่จดจ่ออยู่กับความเจ็บปวดหลุดออกจากภวังค์
“...”เพราะความมึนงงยังมีอยู่มาก คนที่ถูกผ้าพันแผลจับจองพื้นที่แทบจะทุกอณูบนร่างกายจึงไม่ได้ส่งเสียงใดๆตอบกลับมา มีเพียงสายตาเท่านั้นที่หันไปมอง
“รู้สึกยังไงบ้างครับ?”นอกจากจะถามด้วยเสียงมีเสน่ห์ คุณหมอเจ้าของคนไข้ยังส่งยิ้มบางๆไปให้ ก่อนจะยกมือโบกไปมาหน้าคนเจ็บเพื่อจับปฏิกิริยาตอบสนอง
“เจ็บ”
“ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวหมอจะจัดยาแก้ปวดให้หลังทานอาหารนะ”คุณหมอท่าทางใจดีคนเดิมเอ่ยตอบ ริมฝีปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม ..ไม่รู้ว่าเพราะความเอ็นดูหรือเพราะอะไร นายแพทย์หนุ่มถึงได้ถือวิสาสะยกมือขึ้นไปลูบหัวปลอบคนที่กำลังนิ่วหน้าเพราะอาการปวด
“โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะครับคนดี”ถอยคำที่คุณหมอพูดออกมา ฉุดจนแทบเรียกว่ากระชากประสาทความคิดของคนเจ็บออกจากร่างกาย การให้กำลังใจด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยนมันเป็นเรื่องดี ..แต่รูปประโยคแบบนี้ คงไม่เหมาะไม่ควรที่จะพูดกับผมหรอกมั้ง
“ปล่อย! ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ!!”น้ำเสียงเรียบของคนป่วยแสดงออกมาชัดเจนว่าไม่พอใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รอยยิ้มของแพทย์หนุ่มหุบลงเลยสักนิด มันกลับยิ่งกว้างกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“ไม่มีใครโตเกินกว่าจะถูกปลอบหรอกครับ”ดวงตาที่แสนอบอุ่นฉายควบคู่ไปกับรูปประโยคที่แสนจะอ่อนโยน ..เพียงเท่านั้น เจ้าของร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็สะบัดหน้าหันไปอีกด้านด้วยความขุ่นมัว
แววตามองออกไปนอกกระจกอย่างไม่มีจุดหมาย ท้องฟ้าสีสว่างสดใสถูกประดับประดาไปด้วยก้อนเมฆน้อยใหญ่ต่างๆ กลุ่มนกตัวจ้อยบินโฉบเวหาไปทางนู้นทีทางนี้ที จนอดนึกอิจฉาในความอิสระของมันไม่ได้
สายตาหม่นหมอง.. ยิ่งคิดไปถึงตรงนั้นก็ยิ่งหดหู่ ความรู้สึกที่เหมือนอยากทำอะไรก็ได้มันหายไปแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นภาระให้คนอื่นต้องมาดูแล อยากจะทำอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่จะขยับร่างกายยังยากเลย
“คุณจำได้ไหมครับว่าคุณชื่ออะไร”ไม่รู้ว่าเผลอมองออกไปข้างนอกนานเท่าไหร่ จนเสียงเดิมที่เริ่มจะคุ้นเคยเอ่ยถามขัดจังหวะ ผมปลายตาหันกลับมามองคนที่ยังยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง จนอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะอารมณ์ดีอะไรกันนักกันหนา ถึงได้ยิ้มไม่หุบเสียที
“ลู่หาน ..ผมชื่อ ลู่หาน”
“ดีครับ ส่วนผม.. เซฮุน โอ เซฮุน จะมาเป็นแพทย์ส่วนตัวของคุณ คุณจำได้ไหมว่าคุณประสบอุบัติเหตุอะไร?”ถามพลางหยิบชาร์ตในมือขึ้นมาติ๊กๆ ก็ยังดีที่อย่างน้อยคนไข้ของเขาไม่ได้อยู่ในภาวะความจำเสื่อม เพราะแค่บาดแผลกับพวกกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดกว่าจะรักษา ไหนจะบำบัดก็คงต้องใช้เวลากันเกือบครึ่งค่อนปี
“ผม.. ถูกรถชน”น้ำเสียงผะแผ่วถูกปล่อยออกมาจากเรียวปากเล็กๆ เพียงแค่นึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นก็ทำให้ใจดวงน้อยๆเต้นระทึกด้วยความกลัว ภาพรถยนต์ที่พุ่งเข้ามาหาตัวอย่างเร็วทำเอาความกลัวเริ่มกลับเข้ามาครอบครองพื้นที่ในอกทีละนิดทีละนิด
เหมือนคุณหมอคนเก่งจะรับรู้ปฏิกิริยาตอบสนองนั้นได้อย่างดี เขานั่งลงบนเตียง ก่อนจะหยิบมือเล็กๆของคนไข้ขึ้นมากุม ส่วนมืออีกข้างก็ค่อยๆลูบหัวคนตัวเล็กอย่างปลอบประโลม
“ไม่เป็นไรแล้วครับ ไม่มีอะไรมาทำร้ายคุณได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ผมจะปกป้องคุณเอง”
.
..
…
“นี่คุณหมอ! คุณไม่มีคนไข้ให้ดูแลแล้วหรือไง ถึงได้มานั่งจ้องผมอยู่ได้!!!”ลู่หานแหวออกมาเสียงดังอย่างหมดความอดทน ..จะเพราะใครอีกหละ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายใส่ชุดกาวน์ขาวสะอาดที่ชื่อโอ เซฮุนคนนั้นน่ะ
“ผมออกเวรแล้ว ผมว่างมานั่งจ้องคุณได้ทั้งคืนนั่นแหละ”..ยิ้ม ยิ้มอีกแล้ว! ไอ้หมอบ้าคนนั้นยิ้มอีกแล้ว!! มีอะไรน่ายินดีนักหนานักรึไง!!!!
ผมนึกไม่ออกเลยว่าอะไรจะน่าหมั่นไส้ได้มากกว่าท่านั่งไขว้ห่างแสนสบาย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มกับน้ำเสียงยียวนที่ดูจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้ปั่นประสาทผม ...ให้ตายสิ! ผมขอเปลี่ยนหมอได้ไหมนะ!?
“นี่คุณ.. นอกจากจะต้องเข้ากายภาพบำบัด ถ้าคุณยังขมวดคิ้วไม่เลิกแบบนั้น ผมว่าคุณอาจต้องใช้บริการแผนกศัลยกรรมด้วยนะ”เอาอีกแล้ว! นั่นไงหละ!!!! ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าอีตาเนี่ยมันบ้าบอและกวนมากแค่ไหน ถ้าตอนนี้ผมมีปืนอยู่ในมือสักกระบอก ผมจะไม่เสียเวลาแม้สักวินาทีมาไตร่ตรองเลยว่าจะยิงดีไหม มันจะมีแต่ยิง ยิง ยิง ยิง ถึงผมจะฆ่าเขาตายตั้งแต่นัดแรก แต่ผมก็จะยิงซ้ำให้หมดแมกแบบไม่มีทางฟื้นไม่มีทางรักษาเลย
“กวนประสาท! คุณออกไปได้แล้ว ผมอยากอยู่คนเดียว”แต่ก็นั่นแหละ ผมโดนไอ้หมอบ้านี่แกล้งทุกวันตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ถ้าไม่แซวก็แหน็บบ้างหละ แต่ไม่มีสักครั้งที่ผมจะแกล้งเขากลับได้สักที เหอะ! น่าเจ็บใจชะมัด
“โหคุณ ผมมาเฝ้าคุณนะ จะไล่อย่างกับหมูอย่างกับหมาอย่างงี้ได้ไงเล่า”อีกฝ่ายเบ้ปากนิดๆ พร้อมทำเสียงเล็กเสียงน้อย แหมะ.. ทำมาเป็นน้อยอกน้อยใจ น่าสงสารตายหละ!
“แล้วทำไมจะไล่ไม่ได้เล่า! ใครขอให้คุณมาเฝ้าผมกัน”
“ไม่มีคนขอ ...แต่ผมเต็มใจมาเฝ้าคุณ”ฉ่า!! เพราะคำพูดที่โผงออกมาตรงๆแบบนั้น ใบหน้าของคนป่วยที่ใกล้จะหายดีก็ขึ้นสีอย่างกับลูกมะเขือเทศสุก อยู่ดีๆจังหวะหัวใจก็พร้อมกันเล่นเพลงร็อคขึ้นมาซะอย่างนั้น
ในใจบอกเกลียดเขานักเกลียดเขาหนา ...พอเจอแบบนี้ทีไรก็นึกเกลียดตัวเองไม่ทันสักทีสิน่า
โอเค ผมพอจะรู้ตัวอยู่บ้างแหละว่าอีตาหมอคนเนี่ยะมันแอบคิดไม่ซื่อกับคนไข้ของตัวเองอย่างผม จะให้ผมแกล้งบื้อทำไม่รับรู้เลยก็ไม่ได้ ทั้งมาคอยเฝ้า มาดูแล มาอยู่เป็นเพื่อน คอยมาทำนู่นทำนี่ให้ ถ้าผมไม่รู้สึกตัวบ้างเกรงว่าใจคงจะเริ่มบอด
แต่ก็นะ.. อย่างที่ผมบอก ไอ้หมอบ้าคนเนี่ยะ มันบ้าและกวนประสาทมากๆ ผมรู้มาจากพยาบาลว่าเขาอายุน้อยกว่าผมนะ แล้วผมก็เคยบอกให้เขาเรียกผมว่าพี่ด้วย! แต่คุณรู้ไหม ไอ้หมอมันตอบผมกลับมาว่าไง ...ผมว่าคุณเรียกผมว่าพี่ดีกว่านะ คุณว่าเข้าท่าไหม? ภรรยาเรียกสามีว่าพี่ก็น่ารักดีเนอะ...
เอวัง.. ตอนนั้นผมติดสตั้นไปเป็นสิบๆวิ ..ให้ตายสิ! ผมตกลงไปเป็นภรรยามันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และหลังจากครั้งนั้น ผมก็พับประเด็นเรื่องอายุเก็บลงกรุไปเลยแบบไม่ต้องคิด
“เก็บความเต็มใจของคุณเอาไว้เถอะ!”ถึงจะเขิน แต่ปากก็ตอบไปอย่างไม่ทันได้คิด
“นี่คุณ ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ ผมมาเฝ้านะ เอาแต่ไล่อยู่ได้ ถ้าผมไม่มาจริงๆคุณอย่ามาเรียกหาผมก็แล้วกัน”ลู่หานได้ยินแบบนั้นก็เบ้ปากลงหน่อยๆ ทำมาเป็นประชดยังงั้นยังงี้ สุดท้ายก็เห็นมากวนประสาทได้ทุกวันอยู่ดีสิน่า
ถึงจะแอบค่อนขอดอยู่ในใจ แต่ผมก็ไม่ตอบอะไรกลับไปหรอก ผมเหนื่อยแล้ว ยิ่งป่วยๆอยู่ พูดเยอะมากๆมันไม่ดี เดี๋ยวจะกระทบกระเทือนแผลเอาได้ จริงผมก็ไม่ได้กลัวว่าเขาจะไม่มาจริงอย่างที่พูดหรอกนะ ผมแค่ไม่อยากต่อปากต่อคำก็เท่านั้น นี่ผมไม่ได้กลัวจริงๆนะ! เชื่อผมสิ!
ผม!! ไม่ได้!! ร้อนตัว!! จริงๆนะ!!
หลังจากนั้นเซฮุนก็ถามผมนู้นนี่ว่ายังเจ็บตรงนั้นไหม ยังปวดตรงนั้นไหม ผมก็ตอบไปตามจริงนะว่าเป็นยังไงบ้าง ผมก็ถามเขากลับเหมือนกันว่าวันนี้ทำงานเป็นยังไง คนไข้เยอะรึเปล่า เหนื่อยมากไหม ..มันเป็นมารยาทน่ะ เขาถามเราตอบ เราก็ต้องถามบ้างแหละเนอะ
“นี่คุณ ผมจะเดินได้ไหม?”แล้วผมก็ถามประโยคคาใจ อันที่จริงผมก็ถามเขาแทบทุกวันแหละ เป็นประโยคคลาสสิกที่เขาจะได้ยินทุกๆวัน อาจจะว่าผมหมกมุ่นก็ได้นะ แต่จะให้ผมรู้สึกยังไง ผมไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองมาทั้งชีวิต อยู่ๆกลับต้องมาติดแหงกแบบนี้ แม้แต่ไปเข้าห้องน้ำเองผมยังทำไม่ได้เลย ผมกลัวนะ ผมไม่อยากพิการ ผมไม่อยากนั่งรถเข็น ยังมีแอดเวนเจอร์อีกเยอะแยะที่ผมยังไม่ได้ไป
“เดินได้แน่นอนครับ ผมรับประกัน”เซฮุนตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมมองเข้าไปในตาอีกฝ่ายอย่างหนักแน่นเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาพูด เขาไม่เคยนึกเบื่อหรือรำคาญกับคำถามนี้เลย ลู่หานถามเขาทุกวัน เขารู้ว่าเจ้าตัวคงกังวลกับเรื่องนี้เอามากๆ
ตอบเสร็จก็ยกมือขึ้นลูบหัวคนที่นอนเดี้ยงอยู่บนเตียง ..เอาอีกแล้ว พอเขาทำอย่างงี้มันก็ทำให้ผมอดรู้สึกดีไม่ได้ คลื่นความอบอุ่นถูกส่งผ่านมาทางฝ่ามือแล่นตรงเข้ามาในหัวใจอย่างจัง ก็ไม่รู้เพราะเขาเข้ามาตอนที่กำลังอ่อนแอหรือเพราะอะไร แต่ไวรัสที่ชื่อโอ เซฮุนกำลังเจาะผ่านเกราะของผมทีละนิดๆ ...และผมก็ไม่รู้ว่า ผมจะสร้างแอนติบอดี้ทันไหม
“แล้วถ้าผมไม่หายหละ”คราวนี้เสียงถูกปรับลดให้อ่อนลงมาหน่อย ถึงจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ความกังวลใจที่มีมันยังไม่หมด
“เชื่อผมสิว่าคุณจะหาย”
“แล้วถ้าผมไม่หายจริงๆหละ”ถึงเขาจะคอยตอบอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี
“ผมจะดีกับคุณ”
.
.
.
“ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ เราพยายามช่วยคนไข้อย่างเต็มที่แล้ว แต่คนไข้เสียเลือดมากเกินไป”ทันทีที่คุณหมอคนเก่งเอ่ยจบประโยค น้ำตาแห่งความสูญเสียก็ถูกปล่อยลงมาอย่างไม่อาจกักเก็บ
เซฮุนทำได้เพียงฝืนยิ้มแบบแกนๆ ก็เพราะรู้สึกแย่อยู่เต็มอกที่ไม่อาจช่วยชีวิตคนไข้รายล่าสุดได้ ยิ่งเห็นความโศกเศร้าของญาติๆผู้เสียชีวิต เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีในอก แม้จะทราบดีว่าทุกชีวิตมีเกิดย่อมมีดับ แต่ก็อดรู้สึกหน่วงๆไม่ได้ทุกที
“คุณหมอคะ คุณหมอจะออกเวรเลยหรือเปล่าคะ?”คงเพราะน้ำเสียงหวานๆของพยาบาลสาวใกล้ตัว เขาจึงหลุดออกจากภวังค์
“ครับ แต่ผมยังไม่กลับที่พัก คงไปดูอาการของลู่หานก่อน ถ้ามีอะไรเร่งด่วน คุณไปเรียกผมได้เลยนะ”คงเพราะการเข้าไปทำหน้าที่ผู้ช่วยชีวิตในห้องผ่าตัดเป็นเวลาสามชั่วโมง เซฮุนจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหนื่อยๆ ถึงแม้ในใจจะอยากพักเต็มที แต่ด้วยความที่ห่วงคนไข้คนสำคัญอยู่มาก สถานที่แรกที่คิดจะไปจึงไม่ใช่ห้องนอนแต่อย่างใด
เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่นาที เซฮุนก็พาตัวเองมายื่นอยู่หน้าห้องพิเศษของคนตัวเล็ก เขาเคาะประตูสองสามทีพอเป็นมารยาทให้คนในห้องรู้ว่ากำลังมีแขกมาเยือน จริงๆแล้ววันนี้เขามาดึกกว่าทุกวันอยู่มากโข เพราะเคสสุดท้ายที่เขาเข้าผ่าตัดยื้อเวลานานร่วมสามชั่วโมง
“หลับแล้วหรอ”หลังจากที่เดินเข้ามาในห้อง เขาก็จับจองที่นั่งข้างเตียงคนป่วยที่นอนหันหลังให้ก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ เพราะไม่เห็นคนตัวเล็กจะเอ่ยทักหรืออะไรสักอย่าง ถ้าเป็นปกติคงทักด้วยประโยคน่าหมั่นไส้ทำนองว่า มาทำไม? ใครใช้ให้มาหรืออะไรเทือกนั้น
แล้วก็เหมือนเดิม คนที่นอนหันหลังอยู่บนเตียงไม่ได้ขยับเขยื้อนหรือเอ่ยอะไรตอบมาสักคำ ..รึว่าจะหลับไปแล้วจริงๆนะ? สงสัยเขาคงจะมาดึกไปจริงๆหละมั้ง
คราวนี้หมอหนุ่มเชื่อเต็มอกว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว แค่ได้มาเห็นเจ้าตัว ความเหนื่อยความอ่อนล้าที่สะสมมาเต็มวันก็ดูจะหายไปดื้อๆ สองขาเหยียดขึ้นเต็มความสูงแต่ยังไม่ทันจะก้าวออกไป ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
... ถ้าตอนที่คุณหลับ ...ผมจะขอสัมผัสคุณได้ไหมนะ?
จริงๆก็ไม่ได้อยากจะฉวยโอกาสหรืออะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากขอกำลังใจสักนิดๆหน่อยๆ วันนี้มันเป็นวันที่หนักหนาสาหัสสำหรับเขาจริงๆนินา ...เสี่ยวลู่คงไม่ว่าอะไรหรอกเนอะ!
... เสี่ยวลู่ ...อ้อ ผมเรียกเขาแบบนั้นแหละ ...น่ารักใช่ไหมหละ?
เขาก้าวขาเข้าไปชิดติดเตียงคนไข้ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย.. ให้ตายสิ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยลักหลับใครเลยนะ ถ้าคนตัวเล็กรู้เข้าคงไล่ด่าหาว่าผมโรคจิตทั้งวันแน่ๆ ...ถึงหมอหนุ่มจะนึกขยาดอยู่ในใจ แต่ก็ทนความต้องการไม่ไหว
เขาค่อยๆก้มหน้าลงไปใกล้คนป่วยทีละนิดๆ ยิ่งใกล้เท่าไหร่ใจก็ยิ่งสั่น ผู้ชายคนนี้เป็นคนป่วยที่ดูดีที่สุดตั้งแต่เขาเคยเห็นมา หัวใจทั้งดวงสั่นไหวราวกับเพิ่งสัมผัสความรักเป็นครั้งแรก กลิ่นกายของอีกฝ่ายยิ่งทำให้ความต้องการในตัวพุ่งพล่าน ...ลู่หานจะรู้ไหมนะว่าตัวเองมีเสน่ห์มากขนาดไหน
ริมฝีปากได้รูปสัมผัสลงบนหน้าผากนุ่มอย่างอ่อนโยน ส่งต่อความอบอุ่นที่มีให้อีกฝ่ายเสมอ เขาอยากจะจูบลู่หานอย่างนี้ทุกๆวัน อย่างมอบสัมผัสแบบนี้ให้ไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนกันไหม ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กจะรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า เขาขอแค่เพียงให้ได้ดูแลอย่างทุกวันนี้มันก็มากพอ
“ฝันดีนะเด็กน้อย”เซฮุนกระซิบข้างหูบอกลาอีกฝ่ายเสียงหวาน ก่อนจะยืดตัวขึ้นตรงแล้วเดินออกไปจากห้องพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าโดยไม่รู้เลยว่า คนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้ว กำลังลุกขึ้นมานั่งพิงกับเตียงอย่างขวยเขิน
ยกมือสัมผัสใบหน้าตัวเองอย่างอดไม่อยู่ ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่ามันแดงก่ำแค่ไหน บรรยากาศในห้องก็ดูจะร้อนขึ้นผิดวิสัย ผมทำได้เพียงแค่พัดหน้าตัวเองเพื่อไล่ความรู้สึกร้อนให้ออกไป
... คนบ้า!!! ...
ผมนึกอะไรไม่ออกแล้ว หัวสมองหมุนติ้วตั้งแต่หมอนั่นมาขโมยจูบผมไป ถึงมันจะเป็นแค่จูบที่หน้าผากก็เถอะ จริงๆผมไม่ได้หลับ ผมได้ยินตั้งแต่เสียงเคาะประตูแล้ว เพียงแต่ไม่อยากสนใจคนมาช้าก็เท่านั้นเอง
ตอนนั้นผมคิดแค่ไม่อยากคุยกับคนผิดเวลาเท่านั้น ก็มันใช้ได้ที่ไหนกัน ปล่อยให้ผมรอตั้งหลายชั่วโมง ไม่มีบอกก่อนด้วยซ้ำว่าวันนี้จะมาช้า แล้วเป็นยังไงหละทีนี้ เพราะผมแกล้งหลับ ผมเลยเสียจูบเลยให้ตายสิ! ผมบอกเลยว่าผมไม่ได้ยินดีเลยนะ! ผมไม่ได้รู้สึกดีกับจูบของเขาเลยจริงๆ!!
ยิ่งนึกถึงหมอนั่นแล้วผมยิ่งหงุดหงิด ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงกระวนกระวายแค่เพราะเขาไม่มาหาผมตอนเย็น ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องรู้สึกงอนแค่เพราะเขามาช้า ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ แค่ตอบว่าผมจะงอนคนที่ไม่ใช่แฟนผมทำไม ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลย
“อ้าว ยังไม่หลับหรอ?”เสียงที่คุ้นหูมากๆ (ก็เสียงไอ้หมอโรคจิตนั่นแหละ) กระฉากผมหลุดออกมาจากห้วงความคิด ผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะหวนกลับเข้ามาในห้องอีก
“ค.. คนฉวยโอกาส!!”เหมือนสติสตังค์จะมายังไม่ครบ ผมก็หลุดปากคำที่คิดในหัวออกไปให้เขาได้ยิน ..โอ้ย บ้าเอ้ย ผมหละอยากหาด้ายมาเย็บปากตัวเองจริงๆ ถ้าแกล้งทำเป็นไม่รู้มันคงง่ายกว่าแท้ๆ ไม่น่าพลาดเลยลู่หาน แกไม่น่าขยับปากเลยให้ตายสิ
“อ้าว รู้ตัวนิน่า เอ๊ะ!? ไม่ใช่ว่าคุณนอนรอให้ผมไปจูบหรอกนะ”ก็คงเพราะเห็นท่าทีร้อนรนของอีกฝ่าย เขาจะคิดเอาเองว่าคนตัวเล็กเขินก็คงไม่ผิดอะไรใช่ไหม พอคิดได้แบบนั้นจากที่กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธจะเกลียด ก็กลายเป็นนึกสนุก อยากแกล้งขึ้นมาทันที
“ไอ้บ้า ออกไปเลยนะ ไอ้คนฉวยโอกาส!!”ยิ่งเขาทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมก็ยิ่งหงุดหงิดมากเท่านั้น ตอนนี้ผมรู้สึกว่าการมีตัวตนอยู่เขามันเป็นอะไรที่ขวางหูขวางตามากเลยหละ ผมนี่แทบอยากจะควักลูกตาของเขาออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด อะไรจะแพรวพราวได้ขนาดนั้น
“เอ้า เดี๋ยวสิคุณ ผมเพิ่งมาเองนะ จะไล่ผมไปไหนอีกเล่า แล้วอีกอย่าง ถ้าผมไม่ฉวยโอกาสตอนคุณหลับ งั้นผมจูบคุณตอนคุณตื่นได้ไหมละ”นั่นไง! ไม่สำนึก ! ให้ตายสิ นี่เขาไม่ได้สำนึกเลยรึไงนะว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดน่ะ!!
“จะตอนไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ! ไปไหนก็ไปเลยไป ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีกยิ่งดีเลย”
“แล้วถ้าผมบอกว่าผมไม่ไปหละ?”ยัง ..ไอ้หมอบ้ามันยังไม่รู้สึกตัว
“หน้าด้าน!!”
“ด้านไหนก็น่ารัก? แหม่คุณ ถ้าจะชมก็ชมกันตรงๆสิ”กวน !! ประ !! สาท !!
“ไอ้.. ฮึ่ย!!”ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้า ผมก็เลยหยุดปากแค่นั้น ก่อนจะกอดอก ทำแก้มป่องแล้วสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง เพื่อให้มันรู้ว่า เออ กูงอนอยู่นะ ง้อกูด่วน!
และคุณหมอหนุ่มก็เหมือนจะรู้งาน เขาหัวเราะทิ้งท้ายต่ออีกสองสามที ก่อนจะรีบเดินเข้ามาชิดของเตียงแล้วโยกหัวคนขี้โมโหเบาๆเสียสองสามที
“โอ๋ๆ”เขาพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงง้อๆ ผมจำได้ว่าผมแค่เกลียดคำนี้มากๆ มันดูง๊องแง๊งแล้วก็ดูเด็กมากๆ แต่ไม่รู้ทำไม เวลาเซฮุนพูดทีไร ผมนี่ใจอ่อนทุกทีเลยสิน่า
“นายมันกวนประสาท”พอเห็นว่าเขาเริ่มยอม ก็ต่อว่าเขาไปอีกสักหนึ่งดอก แต่เซฮุนก็คือเซฮุนนั่นแหละ ไม่ได้สะทกสะท้านกับคำต่อว่าของผมเลยสักนิด หนำซ้ำเขายังหัวเราะแล้วยิ้มอีก
“ผมก็กวนแค่กับคุณคนเดียวนั่นแหละ”เอาอีกแล้ว ไอ้ประโยคชวนใจสั่นมาอีกแล้ว ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหมอนี่ถึงได้เก่งเรื่องปั่นหัวผมมากมายขนาดนี้ ชอบมาทำให้โมโห ชอบมาทำให้ง๊องแง๊ง ...ชอบมาทำให้ผมคิดถึง
“คนเจ้าชู้มันก็พูดอย่างงี้กันทุกคนนั่นแหละ”เอาจริงๆผมก็ยังไม่อยากเชื่อคำพูดของเขาเท่าไหร่ ถ้าไม่นับความเสมอต้นเสมอปลายของเขา ทุกอย่างที่เป็นเซฮุนก็คือเพลย์บอยดีๆนี่เอง.. หน้าตากระลิ้มกระเหลี่ย สายตาแพรวพราว คำพูดคำจา รูปร่าง ท่าทาง ทุกอย่างคือใช่อ่ะ ถ้าผมไม่รู้จักนี่จะถอยห่างให้ไวเลย ผมไม่อยากเข้าใกล้คนเจ้าชู้ ผมไม่อยากเสียใจ
“เอ้าคุณ ว่าไปนั่น ผมไปเจ้าชู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ผมยังไม่เห็นคุณหยุดเจ้าชู้ได้สักวันเลย”
“เนี่ยะ คุณก็คิดอย่างเงี้ย คนรักกันมันต้องเชื่อใจกันสิ”เขาพูดออกมาน้ำเสียงหนักแน่น แววตาท่าทางของเขาดูจริงจังมาก ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมาทำเอาผมโอนอ่อนเกือบหลงเชื่อคำพูดเขาไปแล้ว ถ้าไม่ติดที่สติสัมปชัญญะที่มีเหลืออยู่น้อยนิดถามแย้งขึ้นมาว่า ...เราไปเป็นคนรักกันกับมันตอนไหน!!
“โอ้โห มั่วได้ตลอด แถได้ตลอด สีข้างคุณถลอกแล้วไปทำแผลซะนะ”
“โหยคุณ ที่ผมพูดมานี่ความจริงทั้งน๊านนนนนน”
“ความจริงจอมปลอมสิยะ ...เมื่อไหร่คุณจะกลับเนี่ย ผมง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว”หลังจากเสียน้ำลายพูดกับคนเจ้าชู้ไปหลายประโยค ประโยคเอ่ยไล่ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาจนได้
“คุณก็นอนไปสิ วันนี้ผมคิดว่าผมจะมานอนเฝ้าคุณ ผมถึงได้กลับมานี่ไง”
“เดี๋ยวก่อนนะ ..ใครอนุญาตให้คุณมานอนเฝ้าผมไม่ทราบ”
“ตัวผมเอง”
“หน้าด้านชะมัด นี่คุณเป็นหมอภาษาอะไรเนี่ยถึงได้เอาแต่ใจขนาดนี้”
“ผมไม่ได้เอาแต่ใจนะ ถ้าผมเอาได้ ...ผมเอาคุณแน่”
โอ้ย !! คำพูดมันบาดหูมาก ถ้าลุกขึ้นได้แทบอยากจะเอาเฝือกไปฟาดหัวมันสักสองสามที โทษฐานที่กวนประสาทมากนัก หลังจากแจกค้อนใส่มันไปหลายที ผมก็พลิกตัวนอนหันหลังให้ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวเราะโอเว่อร์ของมัน
เหมือนมันก็รู้งาน ไม่ได้แกล้งอะไรผมอีก มันเดินไปปิดไฟแล้วก็ล้มตัวนอนที่โซฟา แปปเดียวเสียงก็เงียบไปแล้ว คงจะเหนื่อยมากหละมั้ง
ถึงจะไม่ได้นอนใกล้กัน แค่นอนอยู่ห้องเดียวกันก็ทำเอาผมใจสั่นไปหมดแล้ว พยายามจะข่มตานอนให้หลับเท่าไหร่ก็ไม่หลับสักที ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองตื่นเต้นอะไร ได้แต่นอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างงั้น
“กู๊ดไนท์คิสสักหน่อยไหมคุณ จะได้นอนหลับสบาย”เสียงกวนๆของเขาทำเอาผมสะดุ้งเบาๆ ถึงตอนนี้ห้องจะมืดแค่ไหน แต่ผมก็นึกหน้าหมอนี่ตอนพูดออก
“กู๊ดไนท์กับผีนู่น”
“ฮ่าๆ นอนหลับฝันดีนะคุณ”ผมปรับไม่เคยทันโหมดของเขาสักที เมื่อกี้เพิ่งกวนประสาทมาหยกๆ แต่อยู่ดีๆก็ดันมาบอกฝันดีเสียงอบอุ่นซะงั้น ...แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมสบายใจขึ้นมากแค่ไหน
“อื้อ.. ฝันดีนะไอ้หมอบ้า”
80 %
ช่วง; เพชรเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง
อื้อหืออออ มาตอนนี้นี่มดกัดกันเป็นแถบๆ
อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยค้า ไอ้หมอฮุนมันก็กวนประสาทจริงๆ
เห็นเขาหลับก็ทำเป็นพูดดี ฝันดีนะเด็กน้อยยยย จ้าาา
แหมะ พอเขาตื่นนี่กวนได้ตลอดเวลาจริงๆ
พี่ลู่ก็ใช่ย่อยนะค้า เห็นนางเหวี่ยงๆ ก็รอหมอฮุนมาหานะเออ
ยังไงเนี่ยยังไงสองคนนี้ จะเป็นไงติดตามต่อนะคะ
รอบต่อไปรอบสุดท้ายเลย แต่ขอสปอย
บอกเลยรอบหน้ามาม่าเต็มชาม ใครชอบเส้นอืดๆนุ่มๆห้ามพลาดนะคะ
เป็นกำลังใจให้กันต่อด้วยนะะ จุ้บๆ
ผลงานอื่นๆ ของ *Black_Badpig ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ *Black_Badpig
ความคิดเห็น