ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สะดุดรักเจ้าชายเย็นชา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 58


    บทที่ 1

    ติ๋ง...ต๊อง เสียงออดดังสนั่นไปทั่วห้องเรียน ฉันได้แต่นั่งมองนักเรียนทั้งห้องที่ยืนขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเหนื่อยล้าบ้าง บ้างหระตือรือล้นเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน แถมวันนี้ก็เป็นวันศุกร์สุกสัปดาห์ ใครๆก็ต่างกระตือรือล้นจะกลับบ้านทั้งนั้นแหละ อ้อ...ลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อชานอ้อย เป็นนักศึกษาปีหนึ่งของมหาลัย J คณะเกษตรศาสตร์ 

    “ยัยชาน แกจะไปเดินห้างกันไหมวันนี้ ฉันพึ่งถูกล็อตเตอรี่ เลขท้ายได้ตั้งสองพันแหนะ”นั่นเสียงยัยลูกโป่ง เพื่อนฉันเอง ยัยนี่นักการพนันตัวแม่ แต่ไม่รู้ไปไงมาไง จับพลัดจับพลูมาเป็นเพื่อนสนิทฉันผู้เกลียดการพนันเป็นชีวิตจิตใจ...เพราะฉันรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการพนันมีแต่ทำให้คนเสีย คนเราไม่มีทางที่จะร่ำรวยเพราะการพนันหรอก

    “แกถามทำไม ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าฉันปฏิเสธของฟรีไม่เป็น แกเลี้ยงข้าวเย็นนะ”

    “หนอย..ฉันแค่บอกว่าฉันถูกล็อตเตอรี่ ไม่ได้พูดว่าจะเลี้ยงแกซะหน่อย”

    “น่านะ เพื่อนคนสวย ทั้งสวยทั้งใจดี ได้กำไรทั้งทีแบ่งปันเพื่อนไว้ มันยิ่งจะเพิ่มพูนความโชคดีขึ้นเรื่อยๆ”ฉันเก็บจองเสร็จ ก่อนจะนั่งทำตาปริบๆให้ยัยลูกโป่งคนสวยที่ยิ้มร่ากับคมชมฉัน

    “เออๆก็ได้ นี่เห็นว่าแกเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันนะ”

    “เย้ เพื่อนที่แสนดีของฉัน ฉันรักแกที่สดเลย”

     

    ภายในห้างหรู หลังจากยัยลูกโป่งลากฉันซื้อโน่นซื้อนี่ตามฉบับเจ้าแม่แบรนด์เนม ตามกระแสแฟร์ชั้นจยฉันเทื่อยขา กว่าฉันจะได้มานั่งในร้านอาหารญี่ปุ่นแบบนี้ ก็เกืบบสามชั่วโมง

    “ชานอ้อย...เอิ่ม.. ไหวไหมทำไมหน้าตาแกซีดๆเหงื่อออกแบบนี้ แอร์ไม่เย็นเหรอ”

    ฉันได้แต่ค้อนขวับให้ยัยลูกโป่ง ที่ถามฉันได้แบบหน้าตาใสซื่อ ก็แน่ละแม่พระคู๊ณ..คนที่ถือของถือถุงให้เธอนะมันฉันทั้งสิ้น ยัยลูกป่ละเอาแต่เดินเข้าออกร้านนั้นร้านนี้ ซื้ออะไรได้ก็ส่งถุงมาให้ฉันถือ เดินเกือบสามชั่วโมง จะไม่ให้ฉันเหนื่อยหอก็ให้ฉันเป็นอะไรที่อึดถึกกว่ามนุษย์เหอะ

    “เอาละ สายตาแบบนี้แปลว่าคงร้อนเฉยๆ เดี๋ยวฉันเลี้ยงไม่อั้นเลย สั่งเท่าไหร่ตามใจแก”เหมือนยัยลูกโป่งจะรู้แฮะว่าฉันอยู่โหมดใน เลยเอาของกินเข้ามาล่อ และก็จริง เพราะยัยนี่รู้ดีว่าของกินล่อฉันได้จริงๆ

    “งั้นฉันสั่งละนะ”ฉะนจิ้มเมนูนั่นนี่ บอกพนักงานพร้อมรอยยิ้มที่กลับมาประดับใบหน้าฉันอย่างรวดเร็ว แหมก็ทำไงได้ในเมื่อการกินที่ดี ต้องดินด้วยอารมณ์มีความสุขสิ เอิ่ม...ก็ได้ ฉันยอมรับก็ได้ว่าฉันเป็นคนเห็นแก่กิน

    “ชาน..ให้ตาย ฉันละอยากรู้นักว่าแกยัดของพวกนี้ลงไปในท้องได้ยังไงหมด”ลูกโป่งกลืนน้ำลายลงคอ จ้องอาหารบนโต๊ะอย่างทึ่ง

    “ไม่รู้สิ ฉันก็กินแบบี่แกเห็นนั่นแหละ ฉัยยักไหล่ ก่อนจะเริ่มรับประทานอาหารตรงหน้าอย่างเป็นงานเป็นการ โดยมียัยลูกโป่งนั่งกินสองสามคำ ก่อนจะปล่อนตะเกียบลงราวเกรงว่าฉันจะไม่อิ่ม

    “นี่แก เห็นไหมพวกเค้ามากินร้านนี้ด้วยอ่า...มากันครบสี่คนเลย ฉันเห็นแล้วอยากจะละลายลงพื้ยให้พวกเค้าเหยียบรองพื้นจัง อร้าย...คนอะไร อย่างกับเทพบุตรเทวดา”ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับเสียงระริกระหรี้จากโต๊ะข้างๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินต่ออย่างไม่ใส่ใจ

    “ชาน...แกเห็นไหม พวกวง PK เขาเดินเข้ามาในร้านนี้ด้วยละ แกไม่เป็นไรแน่นะ”เสียงตื่นตระหนกของยัยลูกโป่งทำให้การกินของฉันหยุดชะงักลงโดยอัตโนมัติ วง PK งั้นเหรอ ใช่ มันเป็นวงของกลุ่มหนุ่มสุดฮอตของมหาลัย เป็นวงดนตรีของสี่นุ่มผู้ทรงอิทธิพลในมหาลัยของฉันเลยแหละ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หนึ่งในนั้นมีผู้ชานที่ฉันเกลียดอยู่ด้วยนะสิ

    “แกว่าอะไรนะลูกโป่ง”ฉันเงยหน้าจากอาหารขึ้นมา ก่อนตัวจะแข็งทื่อ เมื่อสายตาไปปะทะกับร่างสูงสะดุดตาที่เดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้ ร่างสูงโปร่ง ใบหน้ากล่อเหลาอ่อนโยนชวนละลาย ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ใครเห็นก็ต้องอ่อนระทวย ฉันได้แต่มองผ่าน ก่อนจะหลุบตาลงต่ำไม่อยากพบไม่อยากเจอชายตรงหน้า

    แต่ก็เหมือนสวรรค์จะใจดีกับฉันนะ เมื่อร่างสูงที่ดูสะดุดตาเดินมาทางฉัน แต่ยิ่งกว่านั่นสิ่งที่ทำให้ฉันแข็งทื่อและแอบด่าตัวเองในใจเสมอ ใช่เหมือนฉันจะหวังลมๆแล้งๆเพราะเขาคนนั้นไม่เคยชายตามองฉันสักครั้ง ร่างสูงพีคหนุ่มหล่อแสนเย็นชาหากแต่หน้าตาอันชวนมอง เสน่ห์ที่ไม่มีใครเทียบได้นั่นสิที่ทำให้เหล่าสาวๆต่างกรูเข้ามารุมร้อน และพร้อมจะเล่นกับไปอย่างหมอนั่น แม้อีกใจฉันก็อยากให้เขาหันมามองบ้าง แต่อีกใจหนึ่งฉันก็อยากลืมและตัดใจจากเขาให้ได้เสียที...

    ใช่...พอสักที หยุดมอง หยุดให้ความสนใจกับผู้ชายคนนั้นได้แล้ว ฉันคิด ก่อนจะลุกขึ้นอย่างแน่วแน่

    “ไปกันเถอะลูกโป่ง วันนี้ฉันคงกินไม่ลงแล้ว”ฉันพูด มือเริ่มถือถุงช็อปปิ้งของยัยลูกโป่ง เหมือนยัยลูกโป่งจะรู้สถานการณ์ดี หล่อนรีบโบกมือให้พนักงานมาเก็บเงิน ก่อนจะมาช่วยฉันถือของพะรุงพะรังพร้อมเดินตามฉันออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว

    พวกเราเดินมาถึงโรงจอดรถใต้ดิน ขณะที่ฉันยังคงปั้นหน้าเรียบไร้อารมณ์ แต่ใครจะรู้ว่าภายในความรู้สึกฉันนะมันมากมายผสมปนเปกันอยู่

    “ชานแกไม่เป็นไรแน่นะ”

    “อืม...น่าจะนะ”ฉันเอ่ยปัดๆไป ขณะเดินมาทางประตูรถข้างคนขับ

    “อะ...ว้าย..”ฉันสะดุ้งพรวดเมื่อได้ยินเสียงยัยลูกโป่งร้องกรี๊ดด้วยเสียงอันดังสนั่นเมือง ก่อนท้าวจะขยับตามชายชุดดำไป เมื่อรู้ว่าชายคนนั้นได้ฉุดกระเป๋าอันมีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่ในนั้น ตามสัญชาตญาณ ย้ำ!ตามสัญชาตญาณ เพราะเมื่อจิตสำนึกรู้ว่าเงินในกระเป๋ามันเยอะ แถมเป็นของเพื่อนรักตน มันทำให้ฉันอยู่เฉยๆไม่ได้จริงๆ

    “เฮ้ย ไอ้หัวขโมยหยุดนะ แกไม่หยุดได้เจอดีแน่”ฉันตะโกนลั่น ก่อนจะเร่งฝีเท่าขึ้น ตัวก็เอ็ยวหลบผู้คนไปมาอย่างชำนาญ

    “แฮกๆๆเสร็จฉันละไอ้หัวขโมย”ฉันพูดพร้อมปาดเหงื่อ เมื่อวิ่งต้อนหัวขโมยจนถึงทางตัน

    “นี่ยัยหนู ตัวก็เล็กหย่างกับอะไรดี คิดเหรอว่าจะมาสู้ฉันได้”คนร้ายยิ้มมาดร้าย แหม...เหมาะกับอีพเสียจริงนะ

    “นี่ลุง ฉันแค่มาเอากระเป๋าตังค์คืน คืนๆมาเถอะถ้ามาอยากเจอดี”ฉันยกมือสองมือมา ทำท่าหักนิ้ว บิดคอเตรียมพร้อมจะบู๊เต็มที่ วิชาคาราเต้ที่เรียนมาพยายามเคาะสนิมที่จับกันเขอะออก และงัดมาใช้ให้เป็นประโยชน์

    “อยากได้นักใช่ไหม๊กระเป๋านี่ งั้นก็เอาไปเลย”ตาลุงหัวขโมยนั่นพูด พร้อมโยนกระเป๋าแบรนเนมของยัยลูกโป่งให้

    “อะๆๆลุง..อย่ามาตุกติกน่า มือไวไม่เบานะ ของทั้งหมดไม่ได้อยู่ในกระเป๋านี่ก็บอก เพราะลงโกยเข้ากระเป๋าเป้แล้ว เอามาเสียดีๆ”ฉันยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน

    “อีหนู จะไปดีๆไม่ชอบ สงสัยอยากเจ็บตัว”หัวขโมยพูด พร้อมชัดมีดสั้นออกมา ก่อนสายตาจะแปรเป็นเหี้ยมเกรียมไร้แววสงสาร

    “คิดเหรอว่าฉันจะกลัว กะอีแค่มีกเล็กๆ ขอบอกเลยว่าฉันนะคาราเต้กับเทควันโดสายดำเชียวนะ ลุงเตรียมใจไว้เลย”ฉันก้าวถอยหลังสองก้าว แม้จะกลัวยังไงก็ขออวดไว้ก่อนละกัน เพราะฉันไม่ยอมเสียกระเป๋าไปพร้อมสมบัติเพื่อนแน่

    “หึหึหึ งั้นมาดูกัน แม่สาวน้อยนักบู๊”ตาลุงยิ้มเห็ยมเกรียมทำเอาขนในกายฉันลุกชันขึ้น ก็แหม...ปากฉันมันดันเก่งกว่าตัวนะสิ ขณะที่ฉันยืนอยู่นั้นตาลุงหัวขโมยวัยฉกรรจ์ก็วิ่งพุ่งมีกมาทางฉัน ฉันได้แต่ตั้งกราดรับเค้นสมองสำหรับวิชาต่อสู้ที่เคยเรียนมาสมัยมัธยมเสียไม่ได้

    ฉันฟาดขาใส่ท้องน่วมจนหัวขโมยทรุดลงกับพื้น เมื่อได้จังหวะก็ประสานมือทุบลงที่หลังไม่เบสหนัก ก่อนจะหยิบกระเป๋าที่คลุกฝุ่นมาถือไว้ พลางยิ้มอย่างยินดี หึ...เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับคนอย่างชานอ้อย

    แต่ขณะที่ฉันหมุนตัวเตรียมเดินกลับไปทางที่ฉันมานั้น ก้ปรากฏสองวัยรุ่นหนุ่มที่ถือไม้หน้าสาม มองมาทางฉันอย่างมีเลศนัย

    “หึๆสาวน้อย ร้ายไม่เบานี่ ซัดพ่อพวกเราซะหมอบเลย แต่อย่าหวังจะได้กระเป๋านั้นไป ทางที่ดีส่งมาให้พวกเราดีกว่า” นี่ฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรหนักหนาเนี๊ย ถึงได้ดวงซวยมาเจอหัวขโมยที่ยกพวกมาทั้งครอบครัวแบบนี้

    “ไอ้ลูกชาย อย่าปล่อยนังนั่นไปนะ มันซัดพ่อซะหมอบ ขอพ่อเอาคืนกันเสียฟอร์มซักหน่อย หนอยนังเด็กสาวอยู่ดีไม่ว่าดี วอนมาหาที่ตายซะแล้ว” เออ! ก็ฉันอยู่ดีไม่ชอบนี่ ฉันได้แต่คร่พครวญในใจ เมื่อตาลุงที่ฉันคิดว่าสลบไปแล้วเอ่ยพร้อมยันตัวขึ้น สายตามองมาทางฉันอย่างเคียดแค้น

    “หึหึ...”เสียงนั่นหัวเราะ ก่อนสองหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์สมกับภาพพจน์หัวขโมยจะมายืนขนาบฉันทั้งสองข้าง พร้อมทำท่าจะล็อกฉันไว้ ฉันรวบรวมความกล้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันเท้าไปถีบหน้าอกคนทางขวา หมุนเท้าทายันคางของคนทางซ้ายเต็มแรง แต่ก็เหมือนนายทางซ้ายจะรู้ศิลปะการต่อสู้อยู่ เพราะมันหลบเท้าฉัน ก่อนจะซัดกำปั้นลงท้องฉัน ความเจ็บปวดแผ่ลามจากหน้าท้องไปเรื่อยๆจนเกิดอาการจุกและเจ็บไปหมด ภาพเบลอๆและเลือนลางเพราะอาการมึนๆ ฉันเห็นเพียงว่าผู้เป็นพ่อของพวกนั้นถือมีดมาทางฉัน ยิ้มน่าเกลียดนั้นมันทำให้ฉันขนลุกไปทั้งกระดูก

    ไม่นะ...นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันยอมแลกชีวิตตัวเองกับอีแค่กระเป๋าเงิน โอ...พระเจ้า ฉันทำอะไรลงไป...

    ฉันได้แต่หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม ไม่อยากจะรับรู้สภาพตนในอนาคต เพราะรู้อยู่แล้วว่าฉันอาจจะถูกฆ่า เพราะมันคงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่

    “ผลั้ว ปั๊ก”ขณะที่ฉันยังคงหลับตาด้วยความกลัว และหวาดหวั้นอยู่นั้น เสียงดังเหมือนเนื้อแข็งๆกระทบกัน ยิ่งทำให้ฉันหลับตาปี๊ ด้วยด้วยความหกลัว

    เวลาผ่านไปหลายนาที ฉันยังคงไม่ลืมตา แต่เอ๊ะ ทำไมฉันได้ยินแค่เสียงหอมดังๆมาจากข้างๆแค่คนเดียวละ แล้วทำไมพวกนั้นยังไมฆ่าฉันละ เท่านั้นละดวงตาของฉันก็เปิดพรึ๊บอย่างข้องใจ และก็เหมือนภาพตรหน้าจะไขความเข้าใจฉันได้ง่ายๆ สามหัวขโมยที่จะฆ่าฉันไปแหมบๆนอนสลบราวตาย ใบหน้าพังยับเยิน ด้วยน้ำมือของ....

    “พีเค...ทำไม”ภาพชายหนุ่มหล่อเหลาที่นั่งยองย่อหอบน้อยๆเหงื่อไหลท่วมหน้า มุมปากช้ำและเลือดซึม หากใบหน้านั้นยังคงความหล่อ และเถื่อนไปอีกแบบ ไม่จริงสวรรค์! ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ได้

    “...เป็นผู้หญิงก็หัดระวังด้วย ไม่ใช่วิ่งตามโจรมาต้อยๆไม่กลัวตาย ผู้หญิงอะไรทั้งโง่ทั้งซื้อบื่อ”

    “...”ฉันได้แต่กระพริบตาปริบๆ ไม่มีอะไรจะต่อปากต่อคำ ตอนนี้ไม่อึ้งจนพูดไม่ออกกับผู้ชานตรงหน้า เอ๊ะ..แต่ว่าทำไมเขารู้ว่าฉันวิ่งตามโจรมา หรือว่าเขาตามเรามาตั้งแต่ร้านชูชินะ แค่คิดเท่านั้นละใบหน้าฉันก็เห่อแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ หลงลืมเหตุการณ์น่าระทึกขวัญและความเจ็บปวดเมื่อครู่ไป

    “นี่...เธอยังตัดใจจากฉันไม่ได้อีกเหรอ ขอบอกเลยฉันแค่เผอิญมาเข้าห้องน้ำ และเห็นเธอวิ่งตามโจรมา ใจจริงก็ไม่อยากช่วยอะไรหรอกนะ แต่ทำไงได้ เพราะฉันให้ใครตายต่อหย้าไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นเธอหยุดมองฉันด้วยสาบตาแบบนั้นได้แล้ว”ทั้งน้ำเสียงและสายตาแสนเย็นชานั้นมันทำให้ประกายความหวังมอดดับตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ฉันได้แต่หลุบตามองพื้น ก่อนจะหันมาทางคนที่ลุกยืนหันหลังเตรียมจะเดินจากไปอรกครั้ง

    “งั้นขอบคุณนะ ยังไงก็ขอบคุณพี่มาก ชานเอ่อ ฉันจะไม่ลืมบุญคุณเลย ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย พอจะตอบแทนพระคุณพี่ได้บอกได้เลยนะ”

    “ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันไม่อยากได้ และถ้าจะช่วยน่ะนะ ช่วยเลิกชอบฉันได้แล้ว มีแต่เธอจะเจ็บปวดเปล่าๆ”ฉันได้แต่มองร่างสูงที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกสันสนและอย่างอื่นผสมปนเปกัน ไม่รู้สิ จะอะไรก็แล้วแต่ ถึงรู้ว่าพีเคจะเย็นชาและปากร้ายมากแค่ไหน แต่ไม่รู้ทำไมดวงใจน้อยๆของฉันถึงไม่เคยเกลียดโกรธเขาได้นานเลย...ไม่รู้เป็นเพราะอะไร...?

     

    สองปีก่อน

    ฉันนั่งน้ำตาไหลเงียบๆอย่างสงบเสงี่ยมท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ในวัดแห่งหนึ่ง สายตาจดจ้องไปทที่รูปสองรูปืที่มีภาพชายหญิงอยู่ข้างๆกัน ใช่ภาพนั้นคือภาพพ่อแม่ของฉันนั่นเอง

    “หนูชาน อาเสียใจด้วยจริงๆ โถบาปกรรมอะไรกับเด็กสาวตัวน้อยๆอย่างหนูนะ”อาของฉันเอ่ยเสียงเศร้า ก่อนจะลูบไหล่ฉันเบาๆ

    “...”ฉันไม่พูดอะไร น้ำตาไหลรินลงมาอีกครั้งสมองหนักอื้อคิดอะไรไม่ออก จะตอบสนองอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งนิ่งเหม่อมองภาพพ่อแม่ที่อยู่หน้าโลงศพ อยากโกหกตัวเองว่าถาพข้างหน้าไม่เป็นจริง มันเป็นเพียงภาพลวงตาเสียให้ได้

    “โถ...หลานอาน่าสงสารเสียจริง”ภรรยาของอาก็เอ่ยกลับฉันเสียงเศร้า คุณอาเป็นญาติของฉันเพียงคนเดียว ครอบครัวพวกเราเกิดที่ต่างจังหวัด ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และพ่อก็มาเริ่มต้นชีวิตที่กรุงเทพกับพี่ชาย และลงหลักปักฐานอยู่กับแม่ซึ่งเป็นคนกรุงเทพ

    แต่เหตุการณ์ไม่น่าคาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพ่อและแม่ต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือ และเกิดอุบัติเหตุ รถยนต์พลิกคว่ำตกหน้าผา ฉันคิดไปคิดมาความเจ็บปวดยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ฉันนั่งอยู่ตรงหน้าโลงศพนั่นนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ

     

    “นี่ตาแก แล้วนังเด็กนั่นจะเอายังไง ทำไมทำอะไรไม่รู้จักรอบคอบ”

    “ก็ไม่ต้องเอายังไงนี่... เราก็แค่ฮุบสมบัติมันมาให้หมด เพราะนังเด็กนั่นมันก็อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ยังไงมันก็ต้องมีผู้จัดการทรัพย์สมบัติของพ่อแม่มันอยู่ดี แล้วพอเราได้สมบัติ เราก็แค่เฉดหัวนังเด็กนั่นออกไป ก็สิ้นเรื่อง”

    “แต่ว่าเราไม่ทำเกินไปเหรอ เราไม่ควรไปตัดสายเบรกของพ่อแม่นังเด็กนั่น ถึงขนาดตายเชียวนะ ตาแก่ ฉันกลัว”

    “หึ..ไม่หรอก เธอก็รู้ว่ามันเคยทำกับพวกเราไว้ขนาดไหน มันเก็บเงินของพ่อแม่ฉันไว้คนเดียว แล้วเอาไปสร้างธุรกิจ แต่ให้ฉันเป็นแค่ลูกจ้าง ทั้งที่ฉันควรมีหุ้นปันผล แต่นี่อะไร... ถ้าฉันไม่รู้ก่อนตายพ่อแม่ทิ้งเงินก้อนโตไว้ให้ ฉันก็คงไม่รู้ว่าฉันถูกเอาเปรียบแค่ไหน มันทำกับฉันขนาดนี้ สมควรตายๆไปเสียสิ้นๆก็ยิ่งดี”

    ฉันยืนหน้าชาชะงักงัน เมื่อได้ยินบทสนทนาของอาแท้ๆกับภรรยา เหมือนฟ้าผ่าลงมาใส่ไม่บันยะบันยัง มันเวรกรรมอะไรกัน นี่ชาติก่อนฉันทำบาปมากมายขนาดไหนกัน เมื่อมารู้ว่าอาแท้ๆที่พึ่งสุดท้ายของฉันเป็นนฆาตรกรที่ฆ่าพ่อแม้ตนเอง

    “ฮึก...ฮือ...”ฉันปิดปากสะอื้นไห้ตัวโยน ก่อนจะทรุดฮวบลงกับพื้น แข้งขาอ่อนแรงไปหมด ทำไม...ทำไม..และทำไม เรื่องเลวร้าบพวกนนี้ถึงเกิดขึ้นกับฉัน... ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ทำไม...

    พลัน...ฟ้าฝนก็กะหน่ำลงมาเสือนจะซ้ำเติมให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายขึ้น ฉันลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไปอย่างไร้จุดหมาย บนฟุตบาทฉันเดินเหม่อท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา ร่างกายด้านชาไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาวภายนอก แต่ในใจกับเหน็บหนาวไปทั่วถึงกระดูก

    เอี๊ยด...

    เสียงแตรบีบดังลั่น ปลุกฉันให้ออกจากโลกมืดอันโหดร้าย ฉันหันไปทางต้นกำเนิดเสียง ก่อนจะหลับตาปี๊ด้วยความตกใจ ในความคิดบอกอย่างเดียวว่าฉันไม่อยากตาย และขากลับสมองกลับไม่สั่งงานให้หลบออกจากถนน ความกลัวกับความเหนื่อยผสมปนเปกัน ราวทำให้สมองฉันหยุกชะงักและสติของฉันก็ดับวูบไป

     

    เฮือก...

    ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ปรากฎภาพห้องสีเหลี่ยมสีขาวขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่สายน้ำเกลือที่เจาะอยู่กับข้อมือฉันทำให้รู้ว่าตอนนี้ฉันน่าจะอยู่โรงพยาบาล

    โรงพยาบาล...โรงพยาบาลเหรอ? แล้วทำไมฉันถึงอยู่โรงพยาบาล ใครพาฉันมากัน?

    ก่อนฉันไม่ปะติดปะต่อเรื่องรางได้ ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งที่เดินตามหลังมา ฉันนั่งมองคนทั้งสองอย่างแปลกใจ

    “เอ่อ..พวกคุณเป็น...”

    “เธอไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร ก่อนอื่นฉันขอถามเธอหน่อย อยากตายนักหรือไงถึงได้เดินร่าเริงไปขวางหน้ารถคนอื่นเขานะ”เสียงของชายหนุ่มคนนั้นเอ่ย ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์แต่กลับไม่ทำให้ความหล่อของเขาลดลงเลยนะ

    แต่เอ๊ะ? นี่ฉันจะไปหลงเคลิ้มเอากับความหล่อเขาได้ยังไง เพราะตอนนี้ฉันกำลังถูกด่าอยู่นะ ตาบ้า! ใครเขาจะไปเดินร่าเริงขวางหน้ารถได้ละ อย่างน้อยตอนนั้นฉันก็เศร้าสุดๆเลยนะ เศร้าจนแทบอยากให้ตัวเองตายไปเสียด้วยซ้ำ ยิ่งคิดไปความเจ็บปวดก็เริ่มถาโถมกลับมาใส่ฉันไม่ยั้ง โอย...ให้ฉันตายเสียดีกว่ารับรู้เรื่องราวเลวร้ายที่ผ่านมา

    “ขอโทษคะ ตอนนั้นฉันผิดเองที่ไม่ระวัง ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน”แม้ฉันจะถูกต่อว่าใส่ แต่ฉันก็คงโกรธไม่ได้ เมื่อฉันเป็นคนผิดเต็มๆ

    “ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตู ก่อนหมอจะเปิดประตูเข้ามา พร้อมพยาบาลทำให้บทสนทนาชะงักลงไป ฉันเห็นเขาค้อมตัวน้อยๆเคารพหมอราวคนรู้จัก ก่อนจะหลีกทางให้หมอเดินเข้ามาตรวจคนไข้ซึ่งก็คือฉัน

    “เป็นยังไงครับ เจ็บหรือปวดตรงไหนหรือเปล่า”

    “ไม่คะ ปวดหัวนิดหน่อย”

    “ครับ เท่าที่ดูอาการแล้วไม่เป็นไร เพียงแค่พักผ่อนไม่เพียงพอ สุขภาพจิตใจย่ำแย่ แล้วมาเกิดตกใจจนช็อก อาการไม่เป็นอะไรมาก แค่ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ และกินยาตามที่หมอจัดให้นะครับ”

    “คะ ขอบคุณคะ”ฉันยิ้มบางๆให้คุณหมอ

    “ถ้างั้นเชิญพักผ่อนตามสบาย เดี๋ยวบ่ายๆไปรับยาตามนี้นะครับ”

    หมอบอกก่อนจะยื่นใบสั่งยาไปให้คุณปู่ที่ยืนเงียบอยู่มุมห้อง ก่อนจะขอตัวไปตรวจคนไข้รายต่อไป

    “งั้นก็คงหมดเรื่องหมดราว ลุงรามผมฝากต่อด้วยนะ”ชายหนุ่มผู้ที่ฉันไม่รู้แม้แต่ชื่อเอ่ย ก่อนจะเดินจากไป ไม่แยแสหรือแม้แต่จะหันมามองฉันเลย โหย...พ่อคุณ ทั้งหยิ่งทั้งเย็นชาเลยนะ

    “คุณหนูอย่าไปถือสาเลยนะครับ คุณชายเขาก็เป็นแบบนี้แหละ แต่ที่จริงทั้งใจดีและเมตตาต่อคุณมากนะครับ เมื่อคืนก็เป็นคุณชายที่เป็นคนอุ้มคุณหนูและบอกให้พามาจนถึงโรงพยาบาล”เหมือนคุณปู่ เอ้ย! ต้องเรียกคุณลุงสินะ..ท่านจะเห็นฉันทำหน้าเศร้าเหงาหงอย ท่านจึงชวนคุยน้ำเสียงอ่อนโยน แถมยังชื่นชมผู้ชายปากร้ายคนเมื่อกี้เสียดิบดี แต่ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ ทั้งเย็นชาทั้งปากร้ายขนาดนั้นจะเป็นคนอุ้มฉันขึ้นรถพามาโรงพยาบาล ดีไม่ดีอาจจะบอกให้ขับรถถอยหนีซ้ำกระมัง

     “จริงเหรอคะ ไม่อยากจะเชื่อเลย”ฉันพูดกลั้วหังเราะ

    “จริงสิครับ คุณหนูพูดอย่างนี้คุณหนูไม่เชื่อใช่ไหมละครับ”

    “เอ่อ...ลุงคะ ไม่ต้องเรียกหนูว่าคุณหนูก็ได้ หนูชื่อชานอ้อย เรียกชานเฉยๆก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องใช้คัรับกับหนูก็ได้ หนูรู้สึกยังไงก็ไม่รู้ แหะๆ”

    “อ้อ ได้ๆหนูชานใช่ไหม”

    “คะ คุณลุง”ฉันเอ่ยพลางยิ้มกว้าง

    “หิวไหม เดี๋ยวลุงไปหาซื้ออะไรมาให้ทาน”

    “ไม่ละคะ หนูกินข้าวของโรงพยาบาลอิ่มแปล้แล้ว ตอนนี้รู้สึกง่วงหน่อยๆ”ฉันยกมือลูบท้อง ตาเริ่มปรอยๆสงสัยฤทธิ์ยากำเริบแล้ว ง่วงนอนจังเลย

    “งั้นเชิญหนูชานพักผ่อน เดี๋ยวเที่ยงๆลุงจะมาหาใหม่นะ แต่เอ๊ะ ลุงลืมถามอย่างหนึ่ง...อ้าวหลับซะแล้ว ยาโรงพยาบาลนี่แรงจริงๆ เลยไม่ได้ถามว่าพ่อแม่อยู่ไหน จะได้โรมารับถูก...เฮ้อ เรานี่แก่แล้วชักขี้หลงขี้ลืม”

     

    ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนสายตาจะเหลือบไปมองนาฬิกา ที่ชี้บอกเวลาเกือบบ่ายแล้ว

    “ตื่นแล้ว ก็รีบลุกไปเปลี่ยนชุดซะ นี่ชุดเอาไป.. จะได้รีบรับยา กลับบ้าน คอยเป็นภาระคนอื่นเขาอยู่ได้”

    นี่ฉันยังตื่นไม่เต็มตา ก็ถูกรัวใส่เป็นชุดๆจนไม่ทันตั้งตัว อะไรกัน คุณชายเย็นชาคนนี้ทำไมปากถึงได้ร้ายนักนะ ไหนเห็นคุณลุงว่าใจดีนักใจดีหนา

    “คะๆ ฉันจะรีบแต่งตัวและจะได้รีบไป จะได้ไม่รบกวนคนแถวนี้จนเกินไป”ฉันว่าฉันจะไม่ต่อปากต่อคำแล้วนะ แต่ปากดันชอบหาเรื่องและหยุดไม่ได้อีกต่างหาก ฉันเผลอหันไปสบตาคู่คมนั้น ดวงตาสีดำประกายเขียวดึงดูดผู้คนนั้นทำเอาฉันชะงัก ก่อนจะรีบเบนหนี คนอะไรแค่สบตาก็ทำเอาประหม่าได้ ผู้ชายคนนี้มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ

    “รู้ตัวก็ดี จะได้ไม่ต้องพูดอะไรมาก”

    “คะ”ฉันพูดเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะหยิบชุดที่ถูกโยนมา เดินเข้าห้องน้ำไปฃ

    หลังจากรับยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินออกมาจากโรงพยาบาลที่พึ่งรู้ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชนหรูซึ่งมีแต่คนรวยๆระดับเศรษฐีเท่านั้นที่มาใช้บริการได้ ถึงพอจะรู้ว่าชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเป็นคุณชายพอมีฐานะอยู่บ้าง แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเขาจะรวยขนาดนี้ เพอร์เฟ็กต์ครบ เสียอย่างเดียว...นิสัยเสีย!

    “หนูขอบคุณคุณลุงมากนะคะ แล้วก็เอ่อ...นาย..ขอบคุณ”เมื่อเดินออกมาถึงหน้าถนนแล้ว ฉันก็หันมาขอบคุณทั้งสองจากใจจริง แม้คนหลังจะกระดากปากอยู่บ้าง แต่ยังไงเขาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณอยู่ดี

    “ไม่เป็นไรครับหนูชาน ดูแลตัวเองด้วยนะครับ”

    “คะ ลาก่อนคะ”ฉันโบกมือให้ ก่อนจะหันหลังจากไป ก่อนจะสูดลมหายจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมกำลังใจ เอายังไงต่อชานอ้อย กลับก็ไม่ได้แล้ว แล้วฉันจะไปไหนต่อดีละ

    ฉันยังคงเดินย่ำเท้าต่อไปข้างหน้า แม้ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ก็ขอเดินคิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เฮ้อ...ทำไมชีวิตฉันมันรันทดอย่างนี้นะ แม้แต่ที่จะกลับก็ไม่มี ยิ่งฉันคิดน้ำตายิ่งเอ่อคลอที่หน่วงตาอย่างห้ามไม่อยู่ ลำคอรู้สึกตีบตันจนหายใจไม่ออก

    ปี๊น......

    เสียงบีบแตรรถทำเอาฉันสะดุ้ง แต่เท้าเล็กๆของฉันก็เดินต่อไปไม่สนใจ สายตาฉันยังเหม่ออกไป อาการเดิมที่พึ่งหายไปวันนี้เริ่มกลับมา พ่อจ๋า...แม่จ๋า...ทำไมทิ้งชานอ้อยไว้คนเดียว ทำไมไม่เอาชานไปกับพ่อแม่ด้วย

    แว่วๆเหมือนฉันจะได้ยินเสียงเรียกชื่อฉันดังมาแต่ไกลๆ คงเป็นพ่อกับแม่สินะ ตอนนี้ฉันไม่รู้อะไรแล้ว สิ่งที่ปราถนาเพียงหนึ่งเดียว อยากกลับบ้าน...อยากกลับไปหาพ่อแม่..

    “นี่ยัยบ้า เอ๊ะ ร้องไห้เหรอ”แรงฉุดแขนทำให้ฉันหลุดออกมาจากความคิดแสนเจ็บปวดอีกครั้ง

    “นี่นาย มาได้ยังไง”

    “แล้วทำไมเธอยังเดินเหม่ออยู่อีกละ หรืออยากตายอีกหรอบ บ้านช่องไม่มีเหรอ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวพ่อแม่ก็เป็นห่วง”เสียงทุ้มเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนมันเจือแววห่วงใยในน้ำเสียงนั้นด้วย

    “ฮึกๆฮือ....”แค่เพียงได้ยินคำว่าบ้าน กับพ่อแม่ น้ำตาที่ยังไม่เหือดหายจากใบหนาของฉันก็รินไหลลงมาอีก ตอนนี้ฉันไม่อายใครแล้ว ก็มันห้ามน้ำตากับความเจ็บปวดไม่ได้จริงๆ

    “เฮ้อ...เป็นอะไรละเนี๊ย”คนที่จับแขนฉันไว้เอ่ยพร้อมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะฉุดแขนฉันดึงเข้าไปหา อ้อมกอดอบอุ่นอ้อมแขนที่โอบกอดฉันราวปกป้องฉันจากความทุกข์และภัยอันตรายนั่น มันทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นอบ่างน่าใจหาย ซักพักเมื่ออารมณ์กลับมาได้ที่แล้ว ฉันได้แต่สะอื้นฮักๆอยู่ในอ้อมกอดเขา

    “ไปขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวเรื่องร้ายๆก็จะผ่านไป เชื่อฉัน..”เขาพูดน้ำเสียงอ่อนลง ฉันไม่รู้ว่าสีหน้าเขาเป็นแบบไหน เพราะสายตาฉันยังอยู่ระดับอกของเขา ไม่กล้าสบตาเพราะทั้งอายทั้งเขินและเกรงใจมันผสมปนเปกันไปหมด ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ขณะที่ร่างสูงกับอ้อมกอดอบอุ่นจากไปแล้ว

    ...หรือเมื่อกี้มันคือความฝันกันนะ....

    “นี่ จะขึ้นรถไหมนั่น ยัยทึ่ม”

    “....”ฉันยังคงเงียบ เมื่อสมองมันยังประมวลผลไม่ออก เอ๋...? เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?

    “เฮ้อ นี่ฉันทำอะไรอยู่เนี๋ย”เขาเอ่ยเบาๆก่อนจะสาวเท้ามาทางฉัน ก่อนจะฉุดแขนฉันจับหยุดเข้าไปในรถไม่เบาแรง

    ภายในรถเงียบกริบ ฉันได้แต่นั่งเงียบสายตายังเหม่อลอย ใช่! สมองฉันยังทำงานไม่เป็นปกตินัก เพราะฉันยังงงกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่หาย แต่เมื่อนึดถึงภาพงานศพพ่อแม่ขึ้นมาทุกอย่างก็พลลันดับลงไป พร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอีกครั้ง

    พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าทิ้งชานอ้อยไปเลยนะ คุณลุงฆ่าพ่อแม่ชานอ้อทำไมยิ่งคิดความเจ็บปวดยิ่มโถมทวี ฉันได้แต่สะอึกสะอื้น ฉันร้องไห้ไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ก่อนจะรับรู้ว่ารถยนต์มาจอดสถานที่แห่งหนึ่ง เท่านั้นสติที่หายไปกลับหลับมาอย่างรวดเร็ว

    “นี่นายเองเหรอ หือ?”ความทรงจำเมื่อครู่พัดเขามาในหัว ใช่อ้อมกอดอบอุ่น มือที่คอยกุมมือฉันไว้ เป็นของเขานั่นเอง ผู้ชายที่ฉันคิดว่าทั้งเย็นชา หยิ่งและปากร้าย แต่กลับเป็นคนที่ช่วยฉันไว้อีกครั้ง

    “ที่ไหน?

    “ถ้าไม่มีที่ไป อยู่ที่นี่ซักวันสองวัน พอคิดอะไรออกค่อยๆแก้ปัญหาก็ได้”

    เฮ้อ...น้ำเสียงก็ยังทั้งเย็นชา ทั้งห่างเหินไร้เศษเสี้ยวของความห่วงใย แต่ลึกๆของฉันเหมือนจะรับรู้ว่า คนตรงหน้านั้นเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ผู้ชายอะไรใจดีได้แม้กระทั่งคนแปลกหน้า

    “ขอบคุณนะ...ขอบคุณจริงๆ”แม้ฉันอยากที่จะปฏิเสธ แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆว่าจะทำอะไรต่อไปได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับความหวังดีจากชายแปลกหน้า(ผู้น่าไว้วางใจ)อีกครั้ง

    “เอ่อ...ว่าแต่นายชื่อ...”

    “เรียกฉันว่าพีเค งั้นฝากลุงรามด้วยนะ ผมต้องไปธุระต่อ”นายพีเคพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งตามสไตล์ ใบหน้าเรียบสนิทก่อนจะเดินขึ้นรถยนต์แล้วขับออกไป

    “ขอโทษที่ต้องรบกวนนะคะ”หลังจากรถยนต์คันหรูลับห่ยไปจากสายตา ฉันจึงหันมาเอ่ยกับคุณลุงรามด้วยความเจียมเนื้อเจียมตัว

    “ไม่เป็นไรหรอกครับหนูชาน ดีเสียอีกบ้านนี้จะได้เหงาน้อยลง เพราะมีคนมาอยู่เพิ่ม บ้านออกใหญ่โตมีแค่คุณชายกับคนใช้ไม่กี่คน ลุงเองก็สงสารบ้านเหมือนกัน”ลุงรามพูดยิ้มๆ

    “เชื่อลุงแล้วไหมละ ถึงคุณชายจะดูเย็นชาแต่ก็เป็นคนดีคนหนึ่งเชียวละ ว่าตาหนูชานมีเรื่องอะไร ลุงเหมือนเห็นหนูชานร้องไห้ราวเผชิญปัญหาใหญ่หลวงมาก มีอะไรปรึกษาลุงได้นะ”

    ฉันงียบไปพักหนึ่ง จะให้พูดว่าอย่างไรละ ก็ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันจุกอยู่ลำคอจนพูดไม่ออก ฉันกลั้นสะอื้นไว้เมื่อน้ำตาที่แห้งเหือดไปกลับไหลรินลงมาอีก

    “ไปหนูชาน เข้าไปข้างในก่อน”คุณลุงรามเอ่ยน้ำเสียงห่วงใย ก่อนจะแตะไหล่ฉันเบาๆประคองเข้าไปในบ้านที่ใหญ่โตราวคฤหาสถ์ ลุงรามพาฉันมานั่งที่ห้องรับแขดที่ใหญ่โตเท่าชั้นล่างของบ้านฉัน ก่อนจะสั่งสาวใช้ให้เอาน้ำมาเสิร์ฟ

    ฉันนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นนารสองนาน ก่อนจะจะเริ่มเล่าเรื่องราวให้ลุงรามที่ยังยชคงยืนเงียบอยู่ข้างๆฉันจนจบ ก่อนจะปิดปากร้องให้อีกครั้ง ก็คนมันเศร้านิ ยกเว้นเรื่อง

    “ลุงเสียใจด้วยนะหนูชาน ยังไงเราก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ ลุงเป็นกำลังใจให้”
                    “ขอบคุณมากคะ ขอบคุณจริงๆตอนนี้หนูไม่รู้จะทำอะไรแล้ว หนูคิดอะไรไม่ออกจริงๆ”

    “ไม่เป็นไรหรอกหนูชาน ถ้าจะขอบคุณจริงๆต้องไปขอบคุณคุณพีเคโน้น ที่เป็นคนให้ผมขับรถตามคุณหนูมา”

    “เอ๊ะ? จริงเหรอคะ”แม้ฉันจะอดแปลกใจนิดๆ แต่ฉันก็เหมือนจะเชื่อนะ เพราะกลิ่นน้ำหอมจางๆกับความอบอุ่นของอ้อมกอดนั้นยังไม่เลือนหายไปจากความทรงจำ

    ลุงรามเห็นฉันเอ่ยนอย่างนั้น กลับไม่ตอบอะไร แต่กลับหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู พร้อมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียกคนรับใช่ให้ไปจัดห้องให้ฉัน

    และคืนวันนั้น นายพีเคก็ไม่กลับมาที่บ้าน ฉันไม่เห็นแม้กระทั่งพ่อและแม่ของเขา ทำให้อดแปลกใจไม่ได้

    “ลุงรามคะ หนูไม่เห็นพ่อกับแม่ของพีเคเขาเลย”หรือเขาจจะอยู่กับลุงรามนะ

    “อ๋อคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายท่านไม่ค่อยอยู่บ้านครับ ท่านไปทำงานที่ต่างประเทศ หลายๆเดือนจะกลับครั้งหนึ่ง ท่านเดินทางบ่อยไปประเทศโน้นประเทศนี้  เพราะธุระกิจของท่านขยายสาขาไปหลายประเทศ

    “อ๋อคะ แล้วพีเคเขาจะไม่ค่อยกลับบ้านใช่ไหมคะ ป่านนี้ยังไม่เห็นหน้าเลย”แม้ฉันไม่อยากถาม แต่ความอยากรู้มันห้ามแกไม่ได้จริงๆ

    “คุณพีเคปกติก็กลับครับ ยกเว้นบางวันที่คุณชายไม่กลับบ้าน บางทีก็ปสังสรรค์กับเพื่อนจนดึกดื่นนะครับ”บางทีก็ไปสังสรรค์กับแฟนด้วยสินะ ยิ่งคิดฉัยยิ่งอยากให้บ้า ให้ตายทำไมฉันชอบวกเข้าไปเรื่องแบบนั้นด้วยนะ

    “อิ่มแล้วเหรอครับหนูชาน”

    “คะ”ฉันตอบรับลุงรามเมื่อดื่มน้ำเสร็จ

    “งั้นเดี๋ยวให้ขนมหวานไปส่งหนูที่ห้องนอนนะ”ลุงชานเอ่ย หันไปพูดกับสาวใช้ที่ยืนอยู่มุมหนึ่งในห้องทานอาหาร ฉันพยักหน้าพลางหันไปมองสาวน้อยไม่สิเพราะอายุก็อาจจะเท่าหรือมากกว่าฉัน

    “คุณเป็นญาติกับคุณชายหรือคะ ทำไมถึงได้มาพักที่นี่”คนที่ชื่อขนมหวานถามฉัน ขณะที่เดินนำไปยังห้องนอน

    “เอ่อ..ฉันเป็นญาติห่างๆของลุงรามนะ”ฉันพูดปดออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร ในเมื่อจะบอกว่าเขาให้มาอยู่ฟรีๆก็ไม่ได้

    “อ้าว...แล้วทำไมถึงมีสิทธิ์มาพักที่นี่ละ ในเมื่อคุณรามก็เป็นแค่พ่อบ้านที่นี่”เสียงขนมหวานบ่นอุบอิบคนเดียว แต่มีหรือหูระดับฉันจะไม่ได้ยิน นี่นายพีเคเป็นคุณชายที่นี่ แถมลุงรามยังเป็นแค่พ่อบ้าน มิน่าถึงทำตัวนอบน้อมกับนายพีเคขนาดนั้น

    เมื่อมาถึงห้องนอนแล้ว ฉันก็อดตะลึงกับภาพตรงหน้าไม่ได้ โอ้..พระเจ้า อะไรจะเลิศเลอเพอร์เฟ็กขนาดนี้ ห้องกว้างที่มองไปเห็นเตียงนอนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง หน้าต่างประดับด้วยผ่าม่านสีสวย ห้องโทนสีน้ำเงินขาวดูเรียบหรู เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งไม่มาก แต่ดูมีระดับจนฉันแทบอยากจะหันหลังและออกจากตรงนั้นเสียให้ได้

    ฉันกลืนน้ำลาย ก่อนจะเดินสำรวจทั่วๆห้อง ห้องน้ำที่มีอุปกรณ์ครบครับ ขณะที่มีฝักบัว อ่างอาบน้ำ และโถส้วมที่สะอากเอี่ยมอ่อง ราวไม่เคยใช้งานมา

    “ก๊อกๆๆ”เสียงเคาะประตู ทำให้ฉันหยุดสำรวจห้อง ก่อนจะเดินออกมาเปิดประตู

    “นี่เสื้อผ้าที่พ่อบ้านบอกให้จัดมาให้คะ เชิญตามสะบายนะคะ”ขนมหวานบอกเสียงเรียบ แต่สายตาประกายเป็นมิตรพอดู ฉันยิ้มให้ก่อนจะเอ่ยขอบคุณ พร้อมถือเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไป

     

    ...ตื๊ด....ตื๊ด...

    เสียงโทรศัพท์ดังตอนเช้า ขณะที่ฉันได้แต่ควานมือหาโทรศัพท์ด้วยความงัวเงีย เมื่อพบแล้ว ฉันยังไม่ลืมตาอ่านชื่อ ก็กดรับสายเลย

    “ฮํลโหล สวัสดีคะ”

    “หนูชานรึเปล่าจ๊ะ”

    “ใช่คะ ใครคะ”

    “หนูชาน นี่ป้าเองนะ หนูจำป้าได้ไหม ป้าสายใจ คนที่เคยไปหาหนูที่กรุงเทพวันสงกรานต์เมื่อห้าปีก่อน หนูจำป้าได้ไหม”

    “อ๋อ...แล้วใครคะ”ฉันยังมึนๆไม่หาย เปลือกตาเริ่มปรือขึ้นอย่างงัวเงีย

    “โถหนูชาน ป้ารู้เรื่องพ่อแม่เราแล้วนะ ป้าเสียใจด้วยจริงๆ”

    “หือ?”ใครนะ ทำไมถึงได้พูดแบบนี้ ทั้งที่ฉันแม่ฉันไม่เคยบอกฉันว่ามีพี่สาวที่ไหน แล้วใครมาแทนตัวเองว่าป้ากับฉัน

    “ป้าไหนคะ แล้วรู้เรื่องพ่อแม่หนุได้ยังไง”

    “โถ...หนูชาน ป้าเอง ป้าสายสมรเองนะ”เสียงปลายสายเอ่ยเสียงอ่อนอดอ่อนใจ ป้าสายสมรเหรอ เฮ้ย! ใช่จริงด้วย ป้าแสนใจดีของฉันเอง ทำไมฉันไม่นึกถึงป้าคนนี้นะ

    “ป้าสมรเหรอคะ ป้าจริงๆด้วย”ตอนนี้ความง่วงงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้ง ฉันผุดลุกนั่งที่เตียงอย่างตื่นเต้น ก็แหงแหละเวลาคนพบทางออกของชีวิตหลังจากเผชิญเรื่องเลวร้ายมามากมาย ใครจะรู้ว่ามันยินดีแค่ไหน

    “หลานป้า ไม่เป็นไรนะ มาอยู่กับป้านะ ตอนนี้ป้ามาถึงกรุงเทพแล้ว กำลังอยู่ในสนามบิน”

    “เดี๋ยวหนูไปหานะคะ รอที่นั่นก่อน”ฉันบอก เพราะถ้าป้าออกมาจากสนามบิน ป้าสายสมรก็ต้องมุ่งหน้าไปบ้านฉันอยู่ดี และอาจจะเจอสองคนเลวนั่น ฉันอยากอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ก่อน

    “จ๊ะ งั้นป้าจะรอที่สนามบิน....”ป้าสายสมรบอกชื่อสนามบิน ก่อนฉันจะรีบตัดสายไป

    หลังจากวางสายแล้ว ฉันก็รีบลุกจากเตียงนอนสปริงแบบดี ที่ทำเอาฉันนอนแล้วหลับสบายลืมเรื่องเลวร้ายไปพักนึง ฉันแอบดูยี่ห้อเตียงตัวเนื้อเผื่อฉันจะไปซื้อมานอนมากก็ปรากฎว่ามันเป็นแบรนด์จากต่างประเทศ ทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ แล้วเด็กกำพร้าอย่างฉันจะไปมีปัญญาซื้อได้ไง ก็ในเมื่อตอนนี้กำลังเรียนมัธยมศึกษาปีที่ห้าอยู่ อีกตั้งห้าหกปีแหนะกว่าฉันจะมีงานทำ เฮ้อ...!

    หลังจากเสร็จธุรส่วนตัวแล้ว ฉันก็รีบหอบเสื้อผ้าใส่ถุงย่ามที่ฉันเห็นในตู้เสื้อผ้าที่ว่างเปล่าในห้องนอน ห่อนจะรีบลงมาข้างล่าง

    “อ้าว..หนูชาน ตื่นแล้วเหรอครับ พอดีเลยกำลังตั้งโต๊ะอาหารเสร็จพอดี”เสียงลุงรามเอ่ย ทำให้ฉันหยุดเดิน ก่อนจะยิ้มน้อยๆให้

    “คะ หนู ไม่ทานนะคะ หนูรีบ”

    “จะไปไหนละ เห็นเมื่อวานร้องไห้อย่างกับคนไม่มีที่ไป”เสียงเรียบๆนิ่งๆแต่คำพูดเสียดแทงอย่างเจ็บแสบนั้นไม่ให้เดา ฉันก็รู้แน่ว่าเป็นใคร ฉันเผลอยิ้มค้างก่อนจะหันมาทางต้นเสียง ภาพชายหนุ่มที่สวมชุดนักศึกษา กางเกงยีนเนื้อดีกำลังนั่งบนเก้าอี้ ปากก็ทานข้าวไป สายตาจับจ้องเพียงอาหารตรงหน้าทำเอาฉันพูดไม่ออก

    อา...ขนาดตอนกินข้าวยังดูดี

    เฮ้ย...ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฉันคิดเองอดหน้าแดงไม่ได้ นี่ฉันเป็นคนบ้าผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!

    “ทานเลย และขอบคุณจริงๆนะ สำหรับความมีน้ำใจของนาย ฉันจะไม่ลืมบุญคุณนายจริงๆ”

    “ฉันถามว่าจะไปไหน”นายพีเคถามฉันน้ำเสียงเรียบ ขณะหน้าก็ไม่หันมามองฉัน นี่นายกำลังถามอาหารตรงหน้าใช่ไหมเนี่ย ฉันอดค่อนแคะในใจไม่ได้

    “เอ่อ...ไปสนามบินนะ พอดีญาติ..คือป้ามาหา ตอนนี้อยู่สนามบิน ฉันขอตัวก่อนนะ ขอบคุณจริงๆ”

    “กินข้าวก่อน  เดี๋ยวฉันให้คนขับรถไปส่ง”

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่หิวและนายก็ไม่ต้องลำบากหรอก ฉันไปเองได้”ฉันพูดอย่างเกรงใจ แค่บุญคุณที่ผ่านมาฉันก็ชดใช้ไม่หมดแล้ว

    “ถ้าอยากขอบคุณจริงๆละก็ มาทานข้าวเป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันก็ไม่ลำบากที่จะคนขับรถไปส่งเธอ”

    ฉันมองคนหน้านิ่ง ให้ตายสิ! ฉันเดาใจหมอนี่ไม่ถูกจริงๆ เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ นายเป็นห่วงฉันรึเปล่า หรือแค่ใจดีกับฉันเพราะฉันน่าสงสารเฉยๆ แต่ที่แน่ๆฉันรู้ว่านายพีเคทแม้จะเย็นชาและปากร้ายเท่าไหร่ แต่ก็เป็นคนที่ใจดีสุดๆคนหนึ่งละกัน

    “คะ”ฉันรับปากอย่างเสียไม่ได้ ก่อนเดินมานั่งตรงข้ามกับนายพีเค ขณะที่สาวใช้คนอื่นที่ฉันไม่รู้จักชื่อเพราะฉันรู้จักอแค่ขนมหวานคนเดียวเดินมาตัดข้าวให้ ฉันก้มหัวขอบคุณตามมารยาท ก่อนจะเลียบๆเคียงๆตักอาหารกิน ในใจอดประหม่าและเกรงใจคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ได้

    หลังจากทานอาหารเสร็จ นายพีเคก็บอกให้ลุงรามเตรียมรถ พร้อมให้ไปส่งฉันก่อนจะปส่งหมอนั่นที่มหาลัยตามลำดับ

     

    เมื่อมาถึงสนามบินแล้ว หลังจากนั่งเงียบเพราะไม่รู้จะทำหน้ายังไง หลังจากที่ฉันนั่งร่วมรถกับพีเคก็เอาซะฉํนหายใจติดขัด ปกติฉันจะมีอาการแพ้หนุ่มหล่อนะ แต่ยกเว้นหมอนั่นที่เกิดมาเกินกว่าจะเรียกว่าหล่อ เพราะหน้าตาระดับเทพบุตรชัดๆ เฮ้อ...ฉันถอนหายใจ ตากรอกขึ้นข้างบนหักใจลืมได้แล้ว แม้ฉันได้รับเพียงเศษเสี้ยวความห่วงใยของนายพีเค แต่ทำเอาใจฉันสั่นไม่หยุดหย่อน แล้วแบบนี้ฉันจะลืมเขาลงไหมนะ?

    ลืมไม่ลง....ก็คงต้องลืมให้ลงสินะ...

    ก็ในเมื่อเราไม่มีโอกาสมาพบกันอีกแล้ว...หรือจะพบก็คงแค่เดินผ่าน...แต่ก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกัน

    โอเค! ชานอ้อย เธอเลิกเพ้อได้แล้ว  ฉันพยายามรวบรวมความคิดที่เตลิดไปเที่ยวไหนต่อไหนกลับมาที่เดิม ก่อนขาจะเริ่มก้าวเดินเข้าไปในสนามบิน

    “ชานอ้อย หนูชาน..”เสียงแหบแต่เต็มไปด้วยความสดใสเสียงหนึ่งตะโกนขึ้น ฉันหันไปทางต้นเสียง ก่อนจะเผยยิ้มกว้างอย่างยินดี

    “คุณป้าสมร”ฉันร้องขึ้น อ้าแขนกว้ามโผซบอกผู้ที่ฉันเคารพรักเท่ามารดาอีกคน

    “เป็นไงบ้างหลานป้า ป้าขอโทษนะที่ไม่มางานศพพ่อแม่หนู ป้าพึ่งรู้จริงๆ”เสียงป้าฟังดูทั้งเศร้าทั้งสำนึกผิด ฉันเห็นป้าเอามือไปเช็ดน้ำตา พร้อมสะอื้นเบาๆ

    “ป้า...หนู”

    “เราคงมีเรื่องพูดกันยาว ไปหาร้านทานข้าวก่อนดีกว่า ป้ายังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลย”


     

    ยาวเวิ่นเว้อ.....
    แหะๆ มันจะยาวเฉพาะตอนนี้แหละคะ
    ถ้าคำผิดเยอะ ช่วยดูด้วยนะคะ
    ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นนิสัยของนักอ่านอยู่แล้ว ใช่ไหมคะ

    รักนักอ่านคะ
    พัชเพชร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×