ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๙ : สิ่งดีๆ ในชีวิต

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    “ผมขอเวลาคิดสักสี่วันนะครับ” กันต์บอกกับผู้ที่จะอุปการะเขา

    ชรัณกรพยักหน้า

    “ได้สิ...ก็ฉันบอกเธอแล้วไง ว่าฉันไม่ได้เอาคำตอบตอนนี้ ฉันให้เวลาเธอคิดก่อน”

    “แต่ถึงยังไงฉันก็ยังมีความหวังที่จะได้อุปการะเธอนะ และหวังว่าเธอจะตัดสินใจไปอยู่กับพวกฉันนะกันต์” ธมลวรรณเอ่ยกับเด็กวัดด้วยท่าทียิ้มแย้ม

    กันต์ส่งยิ้มจางๆ ให้ทั้งสอง

    “ครับ เดี๋ยวอีกสี่วันผมจะให้คำตอบพวกคุณ”

    “โอเค แล้วพวกฉันจะรอคำตอบนะ อ้อ ฉันขอให้มันจะเป็นคำตอบที่ดี” เธอว่า

    “ครับ”

    “ฉันเองก็รู้สึกถูกชะตากับเธอเหมือนกัน เธอเป็นคนดีมากๆ เลย ช่วยคนอื่นแบบไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ฉันว่าคนแบบเธอน่ะหายากมากเลยรู้มั้ย” ชรัณกรเอ่ยกับกันต์ยิ้มๆ

    ชายหนุ่มจึงบอกว่า

    “ผมช่วยแบบจริงใจครับ ผมไม่ได้ช่วยใครเพราะต้องการของตอบแทน”

    “นั่นละ ฉันถึงว่าเธอเป็นคนดีไง ที่เธอเป็นคนดีได้แบบนี้คงเป็นเพราะหลวงพ่อสอนมาอย่างดีเลยสินะ”

    หลวงตาจันส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า

    “โยมพูดผิดแล้ว อาตมาไม่ได้สอนอะไรเจ้ากันต์มากมายหรอก ที่เขาเป็นคนดีได้ก็เพราะตัวของเขาต่างหาก โยมเคยได้ยินคำนี้หรือเปล่าล่ะ ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว…ใครจะดีหรือจะชั่ว หรือใครทำตัวสูงทำตัวต่ำมันก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนๆ คนนั้น ต่อให้เขาคนนั้นถูกอบรมบ่มนิสัยมาดีแค่ไหน ถ้าเขาจะเลือกทำชั่วเขาก็ทำได้ เขาทำโดยไม่แคร์คนที่สอนเขามา อย่างเจ้ากันต์ก็เหมือนกัน อาตมาสอนเขาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ที่เขาเติบโตเป็นคนดีแบบนี้ก็เพราะตัวของเขาเอง เขาเลือกที่จะทำในสิ่งดีงาม อาตมาภูมิใจที่สุด”

    หลังจากที่หลวงตาเอ่ยจบชรัณกร ธมลวรรณ และกันต์ก็ยกมือสาธุพร้อมกัน

    “สาธุครับหลวงพ่อ จริงอย่างที่หลวงพ่อว่าครับ คนเราจะดีจะชั่วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนๆ นั้น ว่าจะเลือกทำในสิ่งใด…อย่างกันต์ ถือว่าเขาคิดถูกแล้วที่เลือกทำความดี” ขณะที่เอ่ยชรัณกรก็หันไปมองกันต์ด้วยความปลื้มใจ แล้วเขาก็ยกมือไหว้ท่วมหัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “ดั่งพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่เก้าทรงกล่าวไว้ว่า…การทำดีนั้นทำยากและเห็นผลช้า แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่ และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว ทุกคนจึงต้องตั้งใจและเพียรพยายามให้สุดกำลัง ในการสร้างเสริมและสะสมความดี”

    ธมลวรรณกับกันต์ก็ยกมือไหว้ท่วมหัวตาม ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงร.๙ อย่างหาที่สุดมิได้

    หลวงตาจันพยักหน้า

    “ใช่ โยมพูดถูก ในหลวงรัชกาลที่เก้าท่านทรงกล่าวไว้อย่างนั้น และมีพระราชดำรัสอีกหลายเรื่องที่ท่านทรงกล่าวไว้สอนคนไทยทุกคน”

    “น่าเสียดายนะครับที่ตอนนี้พระองค์ท่านไม่อยู่แล้ว แต่ผมยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ท่านทรงเป็นแบบอย่างของคนไทยทั้งประเทศ หนึ่งในนั้นก็มีผมร่วมอยู่ด้วยครับหลวงตา” กันต์เอ่ยขึ้นยิ้มๆ

    “ก็ดีแล้วละ ที่เอ็งเห็นท่านเป็นแบบอย่าง เอ็งจะได้หมั่นทำดีต่อไป ใครจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง เอ็งทำไปเถอะ เมื่อเราทำดีก็จะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตเรา”

    “ผมยังจำคำสอนของหลวงตาได้ดีครับ หลวงตาพร่ำสอนให้ผมทำแต่ความดี เมื่อโตขึ้นผมก็ทำตามที่หลวงตาสอนผมไว้ ใครจะเห็นความดีของผมหรือไม่เห็นผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ขอแค่ผมได้ทำในสิ่งนี้ก็พอแล้วครับ”

    “ก็ดีแล้วที่เอ็งคิดแบบนี้ สักวันความดีจะนำพาให้เอ็งพบแต่สิ่งที่ดีงามนะ”

    “ครับ หลวงตา” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หลวงตา

    ชรัณกรจึงเอ่ยกับกันต์ว่า

    “นี่ถ้าพ่อแม่ของเธอรู้ว่าเธอเติบโตเป็นคนดีแบบนี้ก็คงรู้สึกเสียใจและเสียดายที่ตัดสินใจเอาเธอมาทิ้งตั้งแต่แบเบาะ ไม่ได้เห็นเธอเติบโต ถ้าฉันกับคุณวรรณเป็นพ่อและแม่ของเธอจะรู้สึกปลาบปลื้มใจมากๆ ที่เห็นเธอเป็นคนดีของสังคม น่าเสียดายที่ลูกของฉันถูกขโมยไปตั้งแต่แบเบาะ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะเติบโตเป็นคนดีเหมือนเธอละ”

    “ลูกของคุณสองคนถูกขโมยไปเหรอครับ” กันต์ตกใจเมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา โดยไม่รู้ว่าตัวเองนั่นละคือลูกของชรัณกรกับธมลวรรณที่ถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ใช่ ลูกชายของฉันถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันฉันก็ยังหวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ฉันยังตามหาเขาอยู่เรื่อยๆ และภาวนาให้พบเขาเร็วๆ”

    “ผมเอาใจช่วยให้คุณสองคนตามหาลูกชายพบเร็วๆ นะครับ”

    “ขอบใจจ้ะ” ธมลวรรณส่งยิ้มจางๆ ให้กันต์

    ชรัณกรก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วหันไปบอกกับหลวงตาว่า

    “เอ่อ นี่มันก็จะหกโมงแล้ว ผมกับภรรยาขอตัวกลับก่อนนะครับ”

    “อืม ขอให้โชคดีมีสุขนะโยม” หลวงตาจันว่า

    แล้วธมลวรรณก็เอ่ยกับผู้เป็นเด็กวัด

    “ฉันจะรอคำตอบจากเธอนะ…กันต์”

    “ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า

    แล้วสองสามีภรรยาก็ลากลับบ้านไปทันที แต่ก่อนจะไปชรัณกรได้ให้นามบัตรไว้ให้กันต์

    “นี่คือนามบัตรของฉันนะ ถ้าเธอตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็โทร. หาฉันเลยทันที”

    เมื่ออยู่กับกันต์สองคนหลวงตาก็เอ่ยถามเขาว่า

    “เอ็งจะตัดสินใจยังไงเจ้ากันต์”

    “ผมยังไม่รู้เลยครับหลวงตา” เขาตอบด้วยสีหน้าที่คิดหนักมากๆ

    หลวงตาตบไหล่เด็กวัดเบาๆ

    “ไม่ว่าเอ็งจะตัดสินใจยังไง หลวงตาขอบอกเอ็งไว้อย่างหนึ่งนะ เอ็งต้องนึกถึงอนาคตของตัวเองเข้าไว้ ถ้าเอ็งกับเจ้ากล้าได้ไปอยู่กับพวกเขาก็จะมีอนาคตที่ดี เพราะเขาสองคนดูจะเป็นคนดีและสนใจในตัวเอ็งมากๆ หลวงตาคิดว่าเขาสองคนคงจะดูแลเอ็งกับเจ้ากล้าได้เป็นอย่างดีเหมือนที่เคยให้สัญญาไว้กับหลวงตา”

    “หลวงตาคิดแบบนั้นเหรอครับ”

    “ใช่…เพราะฉะนั้นถ้าเอ็งจะตัดสินใจก็ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ให้ถี่ถ้วนนะ”

    “ได้ครับ หลวงตา”

    “เอ็งไปอาบน้ำอาบท่าและหาอะไรกินเถอะไป ส่วนหลวงตาก็จะไปหาสรงน้ำเหมือนกัน เดี๋ยวก็จะได้เวลาทำวัตรเย็นแล้ว”

    “ครับ” แล้วกันต์ก็ลุกขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็เดินออกไปจากโบสถ์พร้อมกับหลวงตา


    “คุณคิดว่ากันต์เขาจะตัดสินใจยังไงคะ” ธมลวรรณเอ่ยถามสามีขณะหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยชรัณกรนั่งบนเตียงนอน

    คนถูกถามจึงตอบว่า

    “ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ผมเดา…ผมว่าเด็กวัดคนนั้นเขาต้องตัดสินใจที่จะมาอยู่กับเราแน่นอน”

    “อะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้นคะ” เธอหันไปถามสามี

    “ความรู้สึกของผมมันบอกแบบนั้น ผมก็เลยเชื่อตามความรู้สึกของตัวเอง แต่ผมว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่ผมคิดชัวร์”

    “คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

    “หรือว่าคุณไม่มั่นใจว่าเด็กวัดคนนั้นจะตัดสินใจที่จะมาอยู่กับเราล่ะฮึ”

    “ฉันก็มั่นใจเหมือนคุณนั่นละค่ะ”

    “แต่สีหน้าของคุณเหมือนไม่ค่อยมั่นใจเลย คุณกังวลอะไรหรือเปล่า คุณวรรณ” เขาสังเกตสีหน้าของภรรยาได้ เพราะภรรยาเอาแต่ทำหน้าเหมือนเป็นกังวลอะไรสักอย่างขณะที่เอ่ยออกมา เขาก็เลยอดที่จะถามเช่นนั้นไม่ได้

    “เอ่อ…” ธมลวรรณพยายามเก็บอาการไว้

    “คุณมีอะไรก็บอกผมมาเถอะ ผมพร้อมที่จะรับฟังคุณเสมอนะ”

    “ความจริงฉันไม่ได้กังวลอะไรหรอกค่ะ ฉันเพียงแค่รู้สึกแปลกใจอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง ว่าทำไมฉันถึงรู้สึกผูกพันและถูกชะตากับเด็กวัดคนนั้นเหลือเกิน จนอยากจะอุปการะเขา ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด” เธอบอกความรู้สึกให้สามีทราบทันที

    “คงไม่ใช่แค่คุณคนเดียวหรอกที่มีความรู้สึกแบบนั้น” ชรัณกรว่า

    “นี่หมายความว่าคุณเองก็รู้สึกเหมือนฉันเหรอคะ” ถามอย่างตื่นเต้น

    ผู้เป็นสามีพยักหน้า

    “ใช่ ครั้งแรกที่ผมเห็นเด็กวัดคนนั้นผมก็รู้สึกถูกชะตากับเขามาก ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนั้นไปได้ ทั้งที่ไม่เคยพบหน้าเขาเลยสักครั้ง”

    “แปลกจังนะคะ เราสองคนไม่เคยพบไม่เคยเจอเด็กวัดที่ชื่อกันต์เลยสักครั้ง แต่กลับรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้”

    “แล้วเราจะไปหาคำตอบได้จากที่ไหน”

    “สักวันเราจะหาคำตอบได้ค่ะ ว่าทำไมเราถึงถูกชะตากับเด็กคนนั้น” ธมลวรรณบอกอย่างมั่นใจที่สุด

    ชรัณกรพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร เขานั่งนิ่งราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ คิดบางเรื่องที่เขากำลังสงสัย…สงสัยเกี่ยวกับเด็กวัดที่ชื่อกันต์ เด็กคนนั้นมีอิทธิพลอะไรถึงทำให้เขากับภรรยาถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นเช่นนี้ ทั้งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย…เอาเถอะน่า สักวันเขาจะต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ได้!


    วันถัดมา…วิวัฒน์กับมยุรีมาคุมงานที่ไซต์งานก่อสร้างคอนโดมิเนียมแถวถนนรามอินทรา โครงการนี้เขาได้รับการอนุมัติจากมารดาให้ดูแล หลังจากที่เขาอ้อนวอนมาตั้งหลายครั้งแล้ว สุดท้ายมารดาทนต่อการอ้อนวอนของเขาไม่ไหวจึงยอมอนุมัติทันที ซึ่งวิวัฒน์ก็รู้สึกพอใจมาก เพราะโครงการสร้างคอนโดมิเนียมแห่งนี้เป็นโครงการที่ใหญ่มาก ถ้าสร้างเสร็จเมื่อไหร่รับรองว่าขายได้หลายร้อยล้านเลยละ แล้วเขาก็จะได้รับคำชื่นชมจากมารดา อีกทั้งยังได้เงินอีกด้วย เพียงเท่านี้เขาก็ดีใจที่สุดแล้ว

    “ในที่สุดคุณแม่ก็ยอมอนุมัติโครงการนี้ให้คุณดูแลสักทีนะคะ มันเป็นโครงการที่ใหญ่มากเลยด้วย แบบนี้เงินก็เข้ากระเป๋าเราเต็มๆ เลยสิคะ” มยุรีเอ่ยกับสามีด้วยใบหน้าที่เบิกบานเป็นจานเชิง

    วิวัฒน์พยักหน้า

    “ใช่ เงินเข้ากระเป๋าเราเต็มๆ เลย แต่กว่าที่คุณแม่จะอนุมัติโครงการนี้ให้ผมดูแลได้ ผมต้องอ้อนวอนแทบเป็นแทบตายแน่ะ”

    “แต่สุดท้ายท่านก็อนุมัติ เพราะทนต่อคำอ้อนวอนของคุณไม่ไหว นี่ถ้าคอนโดฯ นี้สร้างเสร็จเมื่อไหร่ฉันว่ามันต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยล้านแน่เลยค่ะ”

    “มันก็ประมาณนั้นละ”

    “ถ้าได้พันล้านมันจะดีมากๆ เลยนะคะ” เธอเอ่ยอย่างคนโลภ ได้คืบจะเอาศอก

    “ตอนแรกผมก็คิดไว้แบบนั้นเหมือนกัน ก็ต้องรอดูว่ามันจะได้เท่าไหร่ แต่ถ้าได้เกินคาดก็ยิ่งดีเลย” วิวัฒน์คาดหวังไว้สูง

    ฝ่ายภรรยาจึงบอกอย่างมั่นใจว่า

    “ฉันคิดว่ามันต้องได้เกินเป้าแน่นอนค่ะ”

    “อืม มันก็ดีน่ะสิ”

    ตรงที่ทั้งสองยืนคุยกันมันอยู่หน้าคอนโดมิเนียม ซึ่งข้างบนชั้นสองคนงานกำลังทำงานกันอยู่ มีคนงานคนหนึ่งกำลังยกแผ่นปูนคนเดียว แต่ด้วยความที่แผ่นปูนหนักเกินกว่าที่จะยกคนเดียวได้ คนงานคนนั้นจึงเผลอปล่อยหลุดจากมือ แล้วแผ่นปูนก็ลอยละลิ่วจากชั้นบนมาชั้นล่างตรงกับที่วิวัฒน์และมยุรียืนอยู่พอดี

    เมื่อมยุรีเห็นแผ่นปูนจะหล่นใส่สามีเธอก็ตกใจและรีบบอกเขา

    “คุณวัฒน์…ระวังค่ะ แผ่นปูนจะหล่นใส่คุณ”

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นวิวัฒน์ก็รีบกระโดดหนีด้วยความตกใจ จนล้มลงกับพื้น พอดีกับที่แผ่นปูนหล่นลงมาถึงพื้น

    วิวัฒน์ได้สติรีบลุกขึ้นโวยวาย

    “ไอ้พวกคนงานบ้าเอ๊ย ทำงานสะเพร่าจริงๆ เกือบทำให้ฉันตายแล้วมั้ยล่ะ ไหน เมื่อกี้ใครทำแผ่นปูนหล่นลงมา หา!” เขาตะโกนขึ้นไปถามกลุ่มคนงานที่ชั้นสอง

    แล้วคนงานทุกคนก็ลงมาดูเหตุการณ์ด้วยความตกใจ โดยเฉพาะคนงานชายที่ทำแผ่นปูนหล่นลงมาเกือบโดนวิวัฒน์ เขารีบยกมือไหว้ขอโทษอย่างรู้สึกผิดทันที

    “ผมขอโทษครับ ผมเผลอทำแผ่นปูนหลุดจากมือเพราะว่ามันหนักมากครับ ผมจับคนเดียวไม่ไหว”

    “อ้อ แกเองเหรอที่ทำแผ่นปูนหล่นมาเกือบโดนหัวฉัน” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความโมโห

    “แกนี่ทำงานสะเพร่าจริงๆ ถ้าแผ่นปูนหล่นใส่คุณวิวัฒน์แล้วแกจะทำยังไง หา!” มยุรีตำหนิคนงานคนนั้น

    คนถูกตำหนิรีบยกมือไหว้ขอโทษอีกครั้ง

    “ผมขอโทษอีกครั้งครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

    “นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจ แล้วถ้าตั้งใจมันจะขนาดไหน ต่อแต่นี้ไปแกไม่ต้องมาทำงานก่อสร้างที่นี่แล้ว เพราะฉันจะไล่แกออก” วิวัฒน์ประกาศออกไปทันที

    อีกฝ่ายเบิกตาโตด้วยความตกใจ

    “คุณวิวัฒน์ว่าอะไรนะครับ”

    “แกได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันขอไล่แกออก เพราะแกทำงานสะเพร่า จ้างให้ทำงานต่อไม่ได้แล้ว”

    “แต่คนที่จะไล่ผมออกได้คือหัวหน้าผู้รับเหมาเท่านั้นครับ”

    “เอ้า ว่ายังไงคุณประทีป คุณจะไล่ไอ้คนงานคนนี้ออกจากทีมหรือจะให้ผมเลิกจ้างทีมรับเหมาของคุณดี คุณเลือกเอาเลยนะ” เขาถามหัวหน้ารับเหมาก่อสร้าง

    คนถูกถามทำหน้ากระอักกระอวน อีกคนก็ลูกน้องที่ทำงานด้วยกันมานาน ส่วนอีกคนก็ผู้ว่าจ้าง เขาถึงกับเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว

    “เอ่อ ผม…”

    “คุณจะเอายังไงก็ว่ามา” เร่งเอาคำตอบให้ได้

    แล้วคนงานที่ทำแผ่นปูนหล่นก็โพล่งขึ้นว่า

    “ไม่ต้องไล่ผมออกหรอกครับ ผมจะออกเอง ให้ผมทนทำงานกับคนที่ไม่มีเหตุผลอย่างคุณผมก็ไม่ไหว คนอะไรขี้หงุดหงิด ขี้โวยวาย เรื่องแค่นี้ก็ถึงกับต้องไล่ออก” แล้วหันไปยกมือไหว้หัวหน้า “ผมขอโทษนะครับหัวหน้า ผมคงทนทำงานอยู่กับหัวหน้าและทุกคนที่นี่ไม่ได้จริงๆ เพราะผมทนกับผู้ว่าจ้างที่ไม่มีเหตุผลแบบนี้ไม่ไหวครับ”

    “นี่แกว่าฉันเหรอ” วิวัฒน์ไม่พอใจมาก

    อีกฝ่ายไม่ตอบแต่มองคนพูดด้วยแววตาแค้นเคือง ก่อนจะเอ่ยกับหัวหน้าผู้รับเหมาและเพื่อนๆ คนงานทุกคนว่า

    “ผมไปก่อนนะครับทุกคน ผมขออวยพรให้ทุกคนทนทำงานให้ผู้ว่าจ้างที่งี่เง่าคนนี้จนเสร็จนะครับ แต่สำหรับผม ผมไม่ขอทนอยู่กับคนแบบนี้ ผมไปล่ะครับ” เอ่ยจบเขาก็เดินออกไปทันที

    แล้ววิวัฒน์ก็ตะโกนไล่หลังอย่างโมโห

    “แกกล้าดียังไงมาว่าฉันงี่เง่า กลับมาขอโทษฉันเดี๋ยวนี้นะโว้ย กลับมาสิวะ”

    “ผมต้องขอโทษแทนนายชินด้วยนะครับ ที่ไปว่าคุณวิวัฒน์แบบนั้น” ประทีป ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้รับเหมารีบขอโทษขอโพยแทนลูกน้อง

    อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยว่า

    “คนที่ควรขอโทษผมมันควรจะเป็นไอ้คนงานคนนั้นเสียมากกว่า แต่นี่อะไร มาว่าผมเสร็จแล้วก็เดินหนีไปเลย ผมถามคุณประทีปหน่อยเถอะครับ คุณรับลูกน้องแบบนั้นเข้ามาร่วมทีมของคุณได้ยังไงกัน”

    “เอ่อ นายชินเขาเป็นคนดีครับ”

    “ดียังไง ดีที่มาว่านายจ้างอย่างผมฉอดๆ น่ะเหรอ”

    “เอ่อ…”

    “เอาเถอะ ในเมื่อคุณคิดหาคำแก้ตัวไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณพาลูกทีมของคุณไปทำงานเถอะ เดี๋ยวงานจะเสร็จช้า”

    “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” แล้วผู้เป็นหัวหน้ารับเหมาก็พาเหล่าลูกน้องกลับไปทำงานต่อทันที

    เมื่ออยู่กับภรรยาสองคนวิวัฒน์ก็เอ่ยออกมาว่า

    “ผมยังโมโหไอ้ลูกน้องของคุณประทีปคนนั้นไม่หาย มันมาว่าผมไว้ซะเยอะแยะเลย แล้วมันก็หนีไป”

    “นั่นสิคะ ทั้งที่คุณเกือบตายเพราะมันแท้ๆ แต่มันกลับมาว่าคุณ มันใช้ไม่ได้เลยนะคะ” มยุรีโมโหแทนสามี

    “อย่าให้ผมเจอหน้ามันอีกแล้วกัน ไม่อย่างนั้นผมเอาเรื่องมันแน่ อย่าคิดนะว่าผมจะยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ เพราะคนอย่างผมไม่ชอบให้ใครมาด่ามาว่าแบบนี้” แม้จะเป็นเรื่องจริงแต่เขาก็จะไม่ยอมรับหรอก

    “ถ้าเจอมันอีกก็เอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดเลยค่ะ” ผู้เป็นภรรยาสนับสนุน

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “แน่นอน มันไม่รอดแน่”

    “คุณคะ เรากลับกันดีกว่านะคะ ฉันรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงไม่รู้ค่ะ สงสัยจะแพ้ฝุ่นมั้ง”

    “อืม กลับก็กลับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปบอกคุณประทีปก่อนนะ” เขาบอก

    มยุรีพยักหน้า

    “ได้ค่ะ”

    แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปด้านในคอนโดมิเนียมที่กำลังก่อสร้างเพื่อไปบอกหัวหน้าผู้รับเหมาว่าจะขอกลับบ้านก่อน


    “คุณสิทธิ์คะ คุณต้องช่วยฉันกับตาณัทห้ามไม่ให้ยายดาวไปเกลือกกลั้วกับไอ้พวกเด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีสกุลรุนชาติ ถึงแม้จะคบเป็นเพื่อนก็เถอะ แต่มันก็ไม่สมควร” ดาริยาเข้ามาเอ่ยกับสามีเรื่องลูกสาวในห้องทำงานของเขา

    “ถ้าคุณนึกถึงหน้าตาและชื่อเสียงของคุณ คุณต้องห้ามยายดาวนะคะ เพราะฉันกับตาณัทช่วยกันห้ามแล้วแต่ยายดาวมันไม่ฟัง ทีนี้ก็ถึงทีคุณต้องพูดกับลูกแล้วนะคะ” เธอบอก

    นายพลณพสิทธิ์ปิดแฟ้มเอกสารที่กำลังเซ็นอยู่ ก่อนจะมองหน้าภรรยาอย่างเบื่อหน่าย พลางโบกมือ

    “ผมไม่ห้ามลูกหรอก ลูกจะคบกับใคร ฐานะไหนก็ตามใจลูก ขอให้เพื่อนที่ลูกคบด้วยเป็นคนดีก็พอ จะจนหรือจะรวยมันก็ไม่ได้สำคัญอะไร”

    “คุณคะ ทำไมคุณพูดแบบนี้คะ” เธออึ้งไปเมื่อได้ยินสิ่งที่สามีเอ่ยออกมา “คุณไม่สนใจหน้าตากับชื่อเสียงของคุณและวงศ์ตระกูลบ้างหรือไง ถ้าสังคมรู้ว่าลูกสาวของเราไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำ ไม่มีสกุลรุนชาติแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนคะ”

    “เอาไว้ที่เดิมนั่นละ” ผู้เป็นสามีบอก “อ้อ แล้วทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้สนใจหน้าตากับชื่อเสียงอะไรหรอกนะ เพราะมันไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสักนิด มันมีไว้แค่ประดับเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้น แต่เนื้อแท้ข้างในต่างหากที่จะบ่งบอกได้ว่าเราเป็นคนแบบไหน เป็นคนดีหรือคนเลว ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่ภาพที่เราสร้างขึ้นมา คนเราถ้ามันจะดีมันต้องดีทุกอย่าง ไม่ใช่ดีแค่เปลือกนอกเพียงอย่างเดียวนะ”

    “อ๊าย! คุณสิทธิ์ นี่คุณว่าฉันเหรอคะ” ผู้เป็นภรรยาปรี๊ดแตก

    อีกฝ่ายส่ายหน้า

    “เปล่า ผมไม่ได้ว่าคุณเลย ผมแค่เตือนสติคุณเท่านั้น คุณเลิกเถอะนะ ไอ้นิสัยห่วงหน้าตากับชื่อเสียง แล้วก็เลิกสร้างภาพด้วย มันไม่ได้ส่งผลดีกับตัวคุณเองเท่าไหร่นักหรอก ถ้ามีคนรู้ทีหลังว่าคุณเป็นคนยังไงเขาจะเอือมระอาคุณได้นะ อ้อ แล้วก็เลิกกีดกันยายดาวด้วย ลูกจะคบเพื่อนแบบไหนก็ให้คบไป ขอให้เพื่อนคนนั้นเป็นคนดีก็พอ”

    “ให้ฉันทำใจกว้างแบบคุณฉันคงทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะคนอย่างฉันต้องคบคนในระดับเดียวกันเท่านั้น ส่วนไอ้คนที่ต่ำต้อยฉันไม่ยอมคบให้เสียเวลาหรอกนะ เดี๋ยวโดนเพื่อนไฮโซล้อ แล้วทีนี้ฉันก็คงจะอายจนต้องเอาปี๊บคลุมหัวเลยละ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญคุณกอดหน้าตากับชื่อเสียงไป คุยเรื่องนี้กับคุณแล้วปวดหัวจริงๆ ผมไม่คุยกับคุณแล้วดีกว่า” เอ่ยจบนายพลณพสิทธิ์ก็ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ประตูเตรียมจะออกไปข้างนอก

    แล้วดาริยาก็ถามสามีว่า

    “นั่นคุณจะไปไหนน่ะ คุณสิทธิ์”

    “ไปไหนก็ได้ ที่ไหนสามารถทำให้ผมหายปวดหัวผมก็ไปที่นั่นละ” ตอบเสร็จเขาก็เปิดประตูเดินออกไปจากห้องทำงานทันที

    “อ๊าย! คุณจะเดินหนีฉันแบบนี้ไม่ได้นะคุณสิทธิ์ คุณกลับมาคุยกับฉันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ คุณสิทธิ์…ไอ้คุณสิทธิ์” เธอเรียกสามีด้วยความโมโห ปรากฏว่าเขาไม่กลับมาเลย นั่นยิ่งทำให้ผู้เป็นภรรยาอย่างดาริยารู้สึกโมโหมากขึ้นไปอีก

    สุดท้ายเมื่อเธอทนไม่ไหวจึงเดินตามสามีออกไป เพราะหวังจะคุยเรื่องลูกสาวต่อให้จบ เมื่อกี้ยังคุยไม่เสร็จ อย่างไรเธอจะตื๊อให้สามีไปห้ามลูกสาวไม่ให้คบกับเพื่อนต่างฐานะและชาติตระกูลให้ได้เลยคอยดู


    หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จชรัณกรกับธมลวรรณก็มานั่งพูดคุยกับคุณหญิงกรองทิพย์ต่อที่ห้องรับแขก ส่วนวิวัฒน์กับมยุรีขึ้นห้องไปเรียบร้อยแล้ว ฐากูรก็ออกไปข้างนอกยังไม่กลับบ้านเลย

    แล้วธมลวรรณก็เริ่มต้นบทสนทนาทันที

    “เอ่อ คุณแม่คะ หนูมีเรื่องอยากจะเรียนให้คุณแม่ได้ทราบค่ะ”

    “เรื่องอะไรจ๊ะ” คุณหญิงกรองทิพย์ถามลูกสาวยิ้มๆ

    อีกฝ่ายจึงตอบว่า

    “คือหนูตัดสินใจที่จะรับอุปการะเด็กวัดคนหนึ่งค่ะคุณแม่ เพราะหนูรู้สึกถูกชะตากับเด็กวัดคนนั้นมาก อ้อ วันนั้นที่หนูไปเดินซื้อของที่ตลาดสดแล้วถูกโจรวิ่งราวก็ได้เขานี่ละค่ะวิ่งตามไปแย่งเอากระเป๋าจากโจรมาคืนให้หนูจนตัวเองเจ็บตัว แถมหนูให้เงินค่าตอบแทนเขาก็ไม่รับอีกด้วยนะคะ เขาบอกว่าเขาไม่ได้ช่วยใครเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ที่ช่วยเพราะว่าอยากช่วยในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”

    “อืม เด็กวัดคนนั้นช่างเป็นคนดีจริงๆ เชียว ช่วยคนอื่นแล้วไม่หวังสิ่งตอบแทน คนแบบนี้หายากนะแม่ว่า”

    “ผมก็คิดเหมือนคุณแม่ มันหายากมากคนที่ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน คนดีสมัยนี้หายากเต็มทนแล้วครับ หาแทบไม่มีเลย เด็กวัดที่ชื่อกันต์เขาเป็นคนดีจริงๆ เราหาคนดีเจอแล้วหนึ่งคนครับคุณแม่” ชรัณกรบอกกับแม่ยาย

    ประมุขของบ้านพยักหน้าให้ลูกเขย ก่อนจะเอ่ยถามลูกสาวว่า

    “ที่แกบอกว่าแกถูกชะตากับเด็กวัดนั่น แล้วเพราะอะไรแกถึงถูกชะตากับเขาล่ะ”

    “เอ่อ หนูเองก็บอกคุณแม่ไม่ถูกเหมือนกันค่ะ เพราะตั้งแต่หนูเจอเด็กวัดคนนั้นครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตากับเขา เหมือนเคยเจอเขามานานแสนนาน แต่พอคิดไปคิดมาก็ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ หนูกับเด็กวัดคนนั้นคงไม่เคยเจอกันหรอกค่ะ เพราะถ้าเคยเจอหนูก็ต้องจำได้สิคะ หนูไม่ใช่คนที่ความจำสั้นขนาดนั้น” ธมลวรรณเอ่ยกับมารดาด้วยท่าทีคลางแคลงใจกับเด็กวัดที่ชื่อกันต์ ว่าทำไมถึงถูกชะตากับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เธอสงสัยในข้อนี้มาก

    “แปลกนะ คนที่ไม่เคยเจอหน้าค่าตากันแต่กลับถูกชะตากัน มันจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันสักอย่างสิ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถูกชะตากันหรอก” ท่านว่า

    “นั่นสิคะคุณแม่ หนูก็คิดเหมือนคุณแม่ แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่างที่ทำให้หนูกับเด็กวัดคนนั้นถูกชะตากัน ตอนนี้หนูรอลุ้นมากกว่าค่ะ ลุ้นว่าเขาจะยอมมาอยู่กับเราหรือเปล่า”

    “ผมหวังว่าเขาจะให้คำตอบที่ดีกับเรานะครับ ผมเองก็ลุ้นเหมือนคุณนะ คุณวรรณ” ชรัณกรเอ่ยกับภรรยายิ้มๆ

    อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มตอบ

    “ค่ะ ฉันก็ภาวนาให้มันแบบนั้น”

    “แม่ชักจะอยากเห็นหน้าเด็กวัดนั่นซะแล้วสิ” คุณหญิงกรองทิพย์ว่า

    “วันที่เขามาอยู่ในบ้านของเราคุณแม่ได้เห็นแน่นอนค่ะ แล้วหนูรับรองได้เลยค่ะ ว่าคุณแม่จะต้องถูกชะตาเด็กคนนั้นเหมือนที่หนูกับคุณกรรู้สึก”

    “จ้ะ แม่จะรอดูนะจ๊ะ ว่าเด็กคนนั้นจะทำให้แม่ถูกชะตากับเขาได้มั้ยนะ”

    “ค่ะ คุณแม่”

    “เอาละ เดี๋ยวแม่ขอตัวขึ้นไปบนห้องก่อนนะ แม่ชักจะง่วงแล้วละ” ท่านบอกยิ้มๆ พลางลุกขึ้นยืน

    ผู้เป็นลูกสาวพยักหน้า

    “ค่ะ คุณแม่ หนูก็จะขึ้นห้องเหมือนกันค่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นไปพร้อมกันเลยสิจ๊ะ”

    “ได้ค่ะ” ธมลวรรณตอบรับ ก่อนจะเอ่ยกับสามีว่า “ขึ้นห้องกันค่ะ คุณกร”

    “ครับ ไปครับ” ชรัณกรยิ้มให้ภรรยา

    แล้วทั้งสามก็เดินออกไปจากห้องรับแขกพร้อมกัน เพื่อที่จะขึ้นไปบนห้องนอนและพักผ่อนกันต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×