ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๖ : ต่างฐานะ...แต่เราคบกันได้

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    กันต์กับต้นกล้ามามหาวิทยาลัยในช่วงบ่าย เพราะวันนี้พวกเขามีเรียนในช่วงเวลานี้ เมื่อมาถึงเขาก็เจอกับดุจดาวและกนกนุช สองสาวไฮโซที่เรียนอยู่ที่นี่ด้วย แต่เรียนคนละคณะ พวกเขาสนิทกับสองสาวมาก เพราะดุจดาวกับกนกนุชชอบทำตัวติดดินและยังคบกับพวกเขาเป็นเพื่อนอีกด้วย พวกเธอไม่ได้คบคนที่ฐานะ ไม่ว่าฐานะไหนพวกเธอคบได้หมด แล้วก็ไม่เคยแบ่งชนชั้นวรรณะด้วย

    อีกอย่าง ที่พวกเธอยอมคบกับเด็กวัดอย่างกันต์และต้นกล้าเพราะเห็นว่าทั้งสองนั้นเป็นคนดี พูดจาไพเราะ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติผู้หญิง คนแบบนี้ละที่พวกเธออยากจะคบค้าสมาคมด้วย ถึงแม้เพื่อนๆ ไฮโซจะไม่เห็นด้วยกับการที่ดุจดาวกับกนกนุชคบกับเด็กวัดจนๆ แต่ทั้งสองกลับไม่สนใจคำพูดของเพื่อนๆ และทุกวันนี้ก็ยังคบค้าสมาคมกับกันต์และต้นกล้าเช่นเดิม

    ดุจดาวกับกนกนุชพากันนั่งพักอยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นจามจุรีใหญ่ที่แสนจะร่มรื่น ลมยามบ่ายพัดเย็นสบาย เมื่อเห็นสองหนุ่มฝ่ายแรกก็เอ่ยทัก

    “อ้าว! นายกันต์ นายกล้า ทำไมวันนี้นายสองคนพากันมาเรียนตอนบ่ายล่ะ”

    กันต์อ้าปากจะตอบ แต่ไม่ทันคนอย่างต้นกล้า อีกฝ่ายรีบชิงตอบก่อน

    “อ้อ พอดีวันนี้ผมสองคนมีเรียนตอนบ่ายน่ะครับ อาจารย์ท่านสอนในช่วงบ่าย”

    “งั้นเหรอ” หญิงสาวเอ่ยถามยิ้มๆ

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ครับ ใช่ครับ เอ่อ แล้วนี่คุณดุจดาวนั่งพักอยู่เหรอครับ”

    “ก็เห็นนี่ว่านั่งพัก ตาก็ไม่ได้บอด ก็ยังจะมาถามอีก” กนกนุชตอบแทนเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

    นั่นเป็นเพราะว่าเธอไม่ชอบหน้าต้นกล้าอยู่แล้ว ไม่ค่อยถูกชะตาเท่าไหร่ เห็นหน้าเขาแล้วพาให้เธออารมณ์เสียทุกครั้งไป ส่วนต้นกล้าเองก็ไม่ถูกชะตากับหญิงสาวเหมือนกัน เห็นหน้าเธอทีไรก็รู้สึกหมั่นไส้ทุกทีเลย สรุปแล้วเวลาทั้งสองเจอหน้ากันก็จะชวนทะเลาะเรื่อยไป ปะทะฝีปากตลอด เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ชอบขี้หน้ากัน ถ้าคงปล่อยให้ทั้งสองอยู่ใกล้กันตามลำพังไม่ได้หรอกมีหวังได้ฆ่ากันตายแน่ๆ

    “ใครพูดกับเธอไม่ทราบ ฉันถามคุณดุจดาวต่างหาก”

    “ฉันก็ไม่ได้พูดกับนายเหมือนกัน ฉันแค่พูดลอยๆ เท่านั้นเอง” เธอว่า

    “ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเธอไปพูดลอยๆ ที่อื่น เพราะฉันจะพูดกับคุณดุจดาวคนเดียว ส่วนเธออย่ามาพูดแทรก ยายปากตะไกร”

    “ถ้าฉันปากตะไกร นายก็ปากตะไกรเหมือนกันละ อ้อ ไม่ใช่สิ ฉันว่านายปากสวะซะมากกว่า”

    “นี่เธอ!” ต้นกล้ามองคู่ปรับสาวอย่างไม่พอใจ

    กันต์รีบห้ามเพื่อน

    “ใจเย็นๆ ก่อนสิวะ ไอ้กล้า ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน อย่าใช้อารมณ์”

    “นายไม่เห็นเหรอว่ายายนี่มาว่าฉันน่ะ”

    “แต่เท่าที่ฉันเห็นนายเป็นคนเริ่มว่าเขาก่อนนะ”

    “นายว่าอะไรนะ สรุปนายเป็นเพื่อนฉันหรือว่าเป็นเพื่อนยายนี่กันแน่ หา!”

    “ถ้าจะให้ฉันมีเพื่อนแบบนายฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”

    “โธ่! แม่คุณไม้กระดาน แล้วใครอยากให้เธอเป็นเพื่อนไม่ทราบ”

    “นายว่าใครเป็นไม้กระดาน”

    “ว่าเธอนั่นละ” เขาลอยหน้าลอยตาตอบ “ก็มันเรื่องจริงทั้งนั้น ดูสิ หน้าองหน้าอกไม่เห็นมีเลย แบนเหมือนไม้กระดานแน่ะ แบบนี้คงหาแฟนไม่ได้หรอก”

    กนกนุชรีบเอามือปิดป้องหน้าอกแล้วมองหน้าคู่ปรับอย่างไม่พอใจที่มาว่าเธอเช่นนี้

    “ไอ้โรคจิต มายุ่งอะไรกับหน้าอกของฉัน มองหน้าอกคนอื่นนิสัยไม่ดี”

    “แบนแบบนี้ใครจะอยากมอง ทางที่ดีถ้าเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง…เดี๋ยวจะเป็นตากุ้งยิงเปล่าๆ” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะลั่น

    คนถูกว่าลุกพรวดขึ้นแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างโมโห พร้อมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

    “ไอ้ต้นไม้ ไอ้ปากหมา นายบังอาจมาว่าฉันแบบนี้ได้ยังไง หา!”

    “ฉันชื่อต้นกล้า กรุณาเรียกให้ถูกด้วย” เขาว่า “อ้อ แล้วทำไมฉันถึงว่าไม่ได้ ก็ในเมื่อมันแบนจริงๆ” ยังไม่วายหัวเราะกวนๆ ใส่อีก

    “ฉันว่าเรารีบไปเรียนกันเถอะ ไอ้กล้า ขืนอยู่ตรงนี้นานๆ มีหวังนายกับคุณนุชได้ฆ่ากันตายแน่” กันต์ดึงแขนเพื่อน แล้วหันไปบอกกับดุจดาวและกนกนุช “ผมสองคนขอตัวไปเรียนก่อนนะครับ ไว้เจอกันตอนเย็นอีกที”

    “ค่ะ” ดุจดาวพยักหน้ายิ้มๆ

    แล้วกันต์ฉุดกระชากแขนเพื่อนออกไปจากตรงนี้ทันที ก่อนที่ต้นกล้ากับกนกนุชจะฆ่ากันตายเสียก่อน

    กนกนุชมองตามคู่ปรับแล้วกำมือแน่นอย่างแค้นๆ ปากก็เอ่ยว่า

    “ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้ต้นไม้ ฉันจะเอาหมาออกจากปากของนายให้ได้”

    “ใจเย็นๆ ก่อนนะยายนุช ดื่มน้ำเย็นก่อนเผื่อว่าใจของเธอจะได้เย็นตามไง” ดุจดาวยื่นขวดน้ำเย็นให้เพื่อน

    อีกฝ่ายรับมาแล้วนั่งลง ก่อนจะบอกว่า

    “ฉันเย็นไม่ไหวหรอกย่ะยายดาว ก็นายนั่นมันว่าฉันไว้ตั้งเยอะ ให้ฉันทำใจเย็นเป็นแม่น้ำเหมือนเธอคงไม่ได้หรอกนะ มีหวังฉันอกแตกตายแน่ๆ”

    “เอาละๆ หายใจเข้าลึกๆ นะ เธอจะได้ไม่เครียด แล้วเดี๋ยวเราจะกลับเข้าไปเรียนต่อ เพราะเรามานั่งพักเกือบเป็นชั่วโมงแน่ะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้วด้วยสิ”

    “จริงด้วย” เธอก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วทำหน้าตกใจ ก่อนจะคว้ากระเป๋าพลางลุกขึ้น “ไปเข้าห้องเรียนกันเถอะ ป่านนี้อาจารย์ชัชชัยคงจะมาแล้ว”

    “แล้วเธอหายเครียดแล้วเหรอ”

    “อืม ฉันหายแล้ว”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไปสิ รอไรคะ” ดุจดาวคว้ากระเป๋าของตัวเองบ้าง เธอลุกขึ้นแล้วดึงแขนเพื่อนเดินออกไปทันที

    ทั้งสองเป็นเพื่อนรัก เรียนด้วยกันตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย เวลาไปเที่ยวที่ไหนก็จะไปด้วยกันเสมอ เรียกได้ว่าตัวติดกันอย่างกับกาวตราช้างเลยละ แต่นิสัยพวกเธอค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน ดุจดาวมีนิสัยที่เรียบร้อยอ่อนหวาน พูดจาไพเราะน่าฟัง ยิ้มง่ายทุกครั้ง ผิดกับกนกนุชที่มีนิสัยค่อนข้างจะเหมือนผู้ชาย ทำตัวห้าวๆ ปากจัดหน่อยๆ แต่ทั้งสองก็เข้ากันได้ดี ที่สำคัญ พวกเธอไม่เคยทะเลาะกันสักครั้งเดียว สองสาวช่างน่ารักเสียจริงๆ เชียว


    ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนประมาณห้าโมงเย็น กันต์ ต้นกล้า ดุจดาวและกนกนุชมาเจอกันที่ใต้ต้นจามจุรีเช่นเดิม ต้นกล้ากับกนกนุชไม่มองหน้ากัน เพราะเพิ่งจะมีเรื่องเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง

    ถึงแม้ต้นกล้าจะไม่สนใจคู่ปรับ แต่เขาก็พูดคุยกับดุจดาว คนที่เขาแอบชอบมานานแต่ไม่แสดงออกให้เธอเห็น เพราะเขาคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอกให้เธอรู้ รออีกสักหน่อยแล้วเขาจะบอกเธอแน่นอน

    “คุณดาวครับ เอ่อ แล้วนี่คุณดาวจะกลับบ้านเลยหรือเปล่าครับ” เขาเอ่ยถาม

    ดุจดาวจึงตอบว่า

    “อ้อ ฉันยังไม่กลับหรอก ว่าแต่พวกนายจะรีบกลับวัดเลยหรือเปล่าล่ะ ฉันว่าจะชวนพวกนายไปทานข้าวสักหน่อย”

    “ยายดาว ชวนนายกันต์คนเดียวก็พอนะ คนอื่นไม่ต้อง” กนกนุชบอกเพื่อนพร้อมกับปรายตามองคู่ปรับ

    เมื่อต้นกล้าได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า

    “ทำไมล่ะ ปกติฉันกับนายกันต์ก็กินข้าวในวัดด้วยกันสองคนนี่”

    “นั่นมันในวัด แต่ที่ยายดาวกำลังจะชวนไปทานคือร้านอาหารหรู คนอย่างนายไม่สมควรได้เข้าร้านอาหารหรูด้วยซ้ำไป”

    “เอ…แล้วคนแบบไหนเหรอถึงจะเข้าร้านอาหารหรูๆ ได้”

    “ก็คนที่นิสัยดี พูดจาเพราะไง”

    “แล้วเธอนิสัยดี พูดจาเพราะนักหรือไง คนอย่างเธอก็ไม่สมควรเข้าร้านอาหารหรูเหมือนกันนั่นละ อย่ามาว่าแต่ฉันคนเดียวเลย”

    “ฉันดีกว่านายก็แล้วกัน”

    “ดีตายละ”

    “นี่นาย!” หญิงสาวชี้หน้าคู่ปรับอย่างไม่พอใจมากๆ

    ดุจดาวรีบห้ามศึกที่กำลังจะเริ่ม

    “โอ๊ย สองคนนี้นี่ยังไงกันนะ เจอหน้ากันไม่ได้เลย จ้องแต่จะทะเลาะกันอยู่ร่ำไป ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

    “ก็นายนี่ชวนทะเลาะก่อน”

    “ใครชวนใครทะเลาะ หัดพูดให้มันดีๆ หน่อย เดี๋ยวจะสวย”

    “ฉันสวยอยู่แล้วย่ะ”

    “คนหนอคน พูดออกมาไม่อายปากตัวเองบ้างเลยหรือไง มองกระจกบานไหนเหรอถึงเห็นว่าตัวเองสวย”

    “นี่นาย นายพูดแบบนี้อยากเจ็บตัวเหรอ หา!”

    “ทำไม! เธอจะทำอะไรฉัน ยายไม้กระดาน” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างท้าทาย

    “สรุปแล้วพวกนายจะไปทานข้าวกับพวกฉันมั้ย หรือจะรีบพากันกลับวัด” ดุจดาวรีบถามสองหนุ่มเพื่อตัดปัญหาไม่ให้เพื่อนกับต้นกล้าทะเลาะกันใหญ่โต

    กันต์จึงบอกว่า

    “พอดีผมกับเพื่อนต้องรีบกลับวัด งานในวัดมีให้ทำมากมายเลยครับ”

    “งานอะไรวะ เมื่อเช้าเราทำเสร็จหมดแล้วนี่” ต้นกล้าถามเพื่อนอย่างงงๆ

    “มีก็แล้วกันน่า”

    “ถ้าอย่างนั้นนายก็กลับไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะไปทานข้าวกับคุณดาว”

    “เฮ้ย ไม่ได้ๆ”

    “ทำไมจะไม่ได้วะ”

    “ถ้าหลวงตาถามว่าทำไมนายไม่กลับไปพร้อมกับฉัน แล้วจะให้ฉันตอบว่าอะไรวะ”

    “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปทานข้าวกับฉันแล้วก็คุณดาว พอทานเสร็จก็กลับวัดพร้อมกัน โอเคมั้ย”

    “ก็ได้” ตอบตกลงอย่างง่ายดาย

    “ตกลงจะไปทานข้าวกับพวกฉันใช่มั้ย” ดุจดาวเอ่ยถามอีกครั้ง

    กันต์พยักหน้า

    “ครับ ไปก็ได้ครับ”

    “ดีเลยค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม

    ขณะที่ทั้งสี่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น

    “ดุจดาว เธอคิดอะไรอยู่ถึงได้ชวนไอ้เด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าไปทานข้าวที่ร้านอาหารหรู เธอไม่กลัวว่าจะอายลูกค้าที่ที่อยู่ในร้านหรือไง แต่ละคนไฮโซทั้งนั้นเลยนะ”

    คนที่พูดเดินมาถึงตรงหน้าทั้งสี่ คนๆ นั้นก็คือฐากูร พิศาลธำรงษ์ ลูกชายของวิวัฒน์กับมยุรีนั่นเอง ชายหนุ่มโตขึ้นก็หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่เสียอย่างเดียวคือนิสัยไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก เขาชอบเที่ยวเตร่ทุกวัน ขี้โวยวาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าถูกบิดากับมารดาเลี้ยงมาแบบตามใจ ทำให้เขากลายเป็นคนนิสัยเสียอย่างที่เห็นนี่ละ

    ต้นกล้ามองคนที่พูดอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะเอ่ยถามว่า

    “เป็นเด็กวัดแล้วมันยังไง หา เด็กวัดก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน มีหัวใจแล้วก็มีความคิด ถึงฉันสองคนเป็นแค่เด็กวัดนายก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกกันแบบนี้”

    “ทำไมวะ ก็ฉันอยากดูถูกน่ะ แกมีปัญหาเหรอ เอ๊ะ หรือว่าแกไม่พอใจที่ฉันดูถูกแกสองคน นี่ไง แสดงสีหน้าแบบนี้ก็แปลว่าโกรธ” ฐากูรยิ้มเยาะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าราวกับโกรธเขามากมายเลย

    “นายอย่าทำให้ฉันหมดความอดทนแล้วกัน”

    “ทำไม ถ้าฉันทำให้แกหมดความอดทนแล้วแกจะทำอะไรฉัน หา ไอ้กระจอก ไอ้พวกเด็กวัดไม่มีสกุลรุนชาติ ปัดโธ่เอ๊ย”

    “แล้วนายเป็นผู้ดีประเภทไหนเหรอถึงได้เที่ยวดูถูกคนอื่นแบบนี้น่ะ แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าผู้ดีหรอก เรียกว่าอันธพาลเสียมากกว่า”

    “ไอ้ต้นกล้า มึง!” เขาชี้หน้าต้นกล้าอย่างไม่พอใจ

    แล้วดุจดาวก็บอกกับสองหนุ่มเด็กวัดว่า

    “พวกเรารีบไปทานข้าวกันเถอะ อย่ามัวเสวนากับคนที่ชอบดูถูกคนอื่นเลย มันเสียเวลาเปล่าๆ”

    “ดุจดาว นี่เธอเข้าข้างไอ้เด็กวัดสองคนนี้เหรอ” เอ่ยถามอย่างอึ้งๆ ไป

    คนถูกถามพยักหน้า

    “ใช่! ฉันเข้าข้างนายกันต์กับนายต้นกล้า เพราะพวกเขาเป็นคนดีกว่าคนบางคนที่เรียกตัวเองว่าผู้ดี แต่กลับชอบดูถูกคนอื่น แบบนี้มันใช้ไม่ได้เลย”

    “เธอคบกับไอ้คนพวกนี้แล้วเธอไม่อายบ้างหรือไง”

    “อายทำไม แล้วทำไมต้องอาย นายกันต์กับนายต้นกล้าไม่ใช่ผู้ร้ายที่เคยก่อคดีฆ่าคนตายสักหน่อย แต่นี่พวกเขาเป็นคนดี ฉันควรดีใจมากกว่าที่จะอายเมื่อได้คบกับคนดีๆ” หญิงสาวตอบไปอย่างเหลืออดเต็มทนแล้ว ก่อนจะหันไปเอ่ยกับกันต์และต้นกล้า รวมทั้งกนกนุชว่า “เรารีบไปทานข้าวกันเถอะ อยู่ตรงนี้นานๆ เดี๋ยวจะพาลอารมณ์เสียจนทานอะไรไม่ลง” แล้วเดินนำหน้าไป

    ทั้งสามรีบเดินตามดุจดาวไปทันที

    ฐากูรมองตามทั้งสี่อย่างเจ็บใจ ก่อนจะตะโกนบอกดุจดาวว่า

    “แล้วสักวันเธอจะเสียใจที่ตัดสินใจคบกับเด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าและไร้สกุลรุนชาติ อ้อ แล้วเธอคอยดูเถอะ สักวันฉันจะทำให้เธอมาเป็นของฉันให้ได้ เธอจำคำของฉันไว้เลย”

    ที่ชายหนุ่มว่ากันต์ออกไปเช่นนั้นเป็นเพราะเขายังไม่รู้ความจริงว่ากันต์คือลูกพี่ลูกน้องของเขาที่บิดาของเขาขโมยไปทิ้งเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แต่ถึงจะรู้เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาสนใจแค่ดุจดาวคนเดียวเท่านั้น เพราะเขาชอบเธอมานานแล้วแต่เธอกลับทำเป็นไม่สนใจ เอาแต่ไปคบค้าสมาคมกับเด็กวัดจนๆ อย่างกันต์กับต้นกล้า แต่สักวันเขาจะเอาชนะหัวใจเธอให้ได้เลยคอยดู แล้วจะเอาชนะเด็กวัดอย่างสองคนนั่นด้วย ไม่มีวันยอมแพ้หรอก ถ้าแพ้ก็อย่ามาเรียกเขาว่าฐากูรเลย


    “ไง! ยายดาว พี่ได้ข่าวว่าแกพาเด็กวัดไปทานข้าวที่ร้านอาหารหรูมาเหรอ หา!” ทันทีที่ดุจดาวกลับมาถึงบ้านหลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็ถูกณัทธร ผู้เป็นพี่ชายของเธอยิงคำถามใส่

    “ใครบอกพี่ณัทคะ” หญิงสาวเอ่ยถามพี่ชายอย่างสงสัย

    อีกฝ่ายโบกมือปฏิเสธเพราะไม่ต้องการบอก

    “ใครจะบอกฉันแกก็ไม่ต้องอยากรู้หรอก มันสำคัญตรงที่ว่าทำไมแกต้องพาไอ้เด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าไปทานข้าวในร้านอาหารหรูด้วยฮึ!”

    “ก็แค่ทานข้าวค่ะ”

    “ฉันรู้ว่าแค่ทานข้าว แต่ถ้ารู้ถึงไหนก็อายถึงนั่น แล้วชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลจะเป็นยังไงถ้าสังคมรู้ว่าลูกสาวของนายพลณพสิทธิ์ไปเกลือกกลั้วกับเด็กวันจนๆ ไม่มีสกุลรุนชาติ เป็นแค่ลูกกำพร้า แล้ว…”

    “นี่พี่ณัทห่วงแค่ชื่อเสียงเองเหรอคะ” ดุจดาวถึงน้ำตาร่วงเผาะเมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ชายเอ่ยออกมา พี่ชายห่วงแค่ชื่อเสียงเท่านั้นเองหรือ?

    ณัทธรพยักหน้า

    “ใช่ ฉันห่วงแค่ชื่อเสียง คุณพ่อของเราเป็นถึงนายพลนะ เพราะฉะนั้นแกก็ควรที่จะช่วยคุณพ่อรักษาชื่อเสียงบ้าง ด้วยการ…”

    “ด้วยการให้ดาวเลิกคบกับกันต์และต้นกล้างั้นเหรอคะ ถ้าจะให้ดาวทำแบบนั้นดาวก็คงทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพวกเขาเป็นคนดี จะให้ดาวเลิกคบคนดีดาวไม่ทำค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็วิ่งร้องไห้ขึ้นบันไดไปด้วยความเสียใจกับคำพูดของพี่ชายที่คิดจะห้ามไม่ให้เธอคบกับกันต์และต้นกล้า เธอคงทำไม่ได้แน่นอน

    ผู้เป็นพี่ชายจึงตะโกนขึ้นไปตามหลังน้องสาว

    “ยายดาว แกอย่าวิ่งหนีฉันสิ ฉันยังพูดไม่จบนะ…ยายดาว”

    สรุปแล้วน้องสาวไม่ยอมฟังเขาเลย ดุจดาวยังอยากที่จะคบกันต์กับต้นกล้าต่อไป ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เชื่อฟังพี่ชายอย่างเขา ยิ่งห้ามเท่าไหร่เธอยิ่งดื้อดึง แต่ความจริงที่เขาห้ามส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงน้องสาวด้วยละ เขาไม่ไว้ใจเด็กวัดสองคนนั่น เพราะทั้งสองเป็นลูกกำพร้าที่ถูกเอาไปทิ้งในวัดให้พระเลี้ยง หัวนอนปลายเท้าก็ไม่มี สกุลรุนชาติก็ไม่มี แล้วอย่างนี้จะเชื่อใจและไว้ใจได้อย่างไรกัน ถึงแม้ว่าดุจดาวจะบอกว่าสองคนนั้นเป็นคนดีแต่เขาไม่มีทางเชื่อหรอก อย่างไรก็ต้องให้บิดากับมารดาช่วยห้ามอีกแรง เพราะลำพังเขาคนเดียวน้องสาวไม่มีทางฟังแน่นอน แต่ถ้าเป็นบิดากับมารดาน้องสาวอาจฟังบ้าง เขาคิดเช่นนั้น!


    เมื่อดุจดาวเข้ามาในห้องก็เอาหน้าฟุบกับเตียงนอนและร้องไห้อย่างเสียใจกับสิ่งที่พี่ชายเอ่ยออกมา

    ‘ใช่ ฉันห่วงแค่ชื่อเสียง คุณพ่อของเราเป็นถึงนายพลนะ เพราะฉะนั้นแกก็ควรที่จะช่วยคุณพ่อรักษาชื่อเสียงบ้าง’

    ที่พี่ชายเอ่ยออกมาเช่นนั้นเหมือนว่าเขาห่วงแค่ชื่อเสียงเท่านั้น โดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอเลย ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร เขาห่วงแค่สิ่งนั้นสิ่งเดียว หญิงสาวไม่เข้าใจเลยว่าถ้าคบกับคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ฐานะเดียวกันและไม่มีสกุลรุนชาติแล้วมันน่าอายจนต้องเอาปี๊บคลุมหัวมากขนาดนั้นเลยหรือ เธอคิดว่าถ้าจะคบคนระดับไหนมันก็คนเหมือนกันนั่นละ ทำไมนะ ทำไมพี่ชายของเธอถึงต้องแบ่งชนชั้นวรรณะด้วย เป็นคนจนแล้วไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึกหรืออย่างไร เธอก็ไม่เข้าใจพี่ชายเช่นกัน

    “พี่ณัทห่วงแค่ชื่อเสียง แต่พี่ไม่เคยนึกถึงจิตใจของดาวเลย พี่พูดออกมาแบบนั้นแล้วไม่คิดบ้างเลยหรือไงว่าดาวจะรู้สึกยังไง ดาวก็แค่คบค้าสมาคมกับเด็กวัด แต่พี่ทำเหมือนว่าดาวไปคบกับฆาตกรต่อเนื่องอย่างนั้นละ ถ้าพี่จะให้ดาวคบกับเพื่อนที่ดีอย่างนายกันต์และนายต้นกล้าก็คงทำไม่ได้หรอกค่ะ” ยิ่งเอ่ยเธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ

    กระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูหญิงสาวรีบปาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนจะลุกนั่ง แล้วต่อมาก็ได้ยินเสียงคนพูด

    “ยายดาว แม่ขอเข้าไปข้างในนะลูก” เสียงของมารดาเธอเอง

    เจ้าของห้องจึงตอบไปว่า

    “เข้ามาได้เลยค่ะคุณแม่ ดาวไม่ได้ล็อกประตู”

    ดาริยาเปิดประตูเข้ามาในห้อง เธอเดินเข้ามาใกล้ๆ ลูกสาว เมื่อเห็นตาของลูกแดงๆ เธอจึงเอ่ยถาม

    “ยายดาว นี่ลูกร้องไห้เหรอฮึ!”

    “เปล่าค่ะคุณแม่ แค่ฝุ่นมันเข้าตาดาวน่ะค่ะ” หญิงสาวโกหกมารดา

    “อย่าโกหกแม่ แม่รู้นะว่าแกแอบร้องไห้ ไม่ต้องมาอ้างว่าฝุ่นเข้าตาหรอก” ดาริยารู้ทันลูกสาว

    “เอ่อ แล้วนี่คุณแม่มาหาดาวมีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

    ผู้เป็นมารดานั่งลงข้างๆ ลูกสาวพลางบอกว่า

    “ก็ตาณัทน่ะสิบอกแม่ว่าแกลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับเด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีสกุลรุนชาติ เท่านั้นยังไม่พอ แกยังพาพวกนั้นไปทานข้าวที่ร้านอาหารหรูอีก แม่ถามแกหน่อยเถอะยายดาว แกคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้”

    “ดาวก็แค่อยากเลี้ยงข้าวเพื่อน…มันผิดตรงไหนคะคุณแม่” ขณะพูดน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินที่มารดาเอ่ยกับเธอ ท่านเอ่ยเหมือนพี่ชายของเธอเลย สงสัยณัทธรคงฟ้องมารดาเสียแล้วละ ไม่เช่นนั้นท่านคงไม่มาเอ่ยถามอย่างนี้หรอก

    “ผิดสิ” มารดาว่า “ผิดที่แกพาไอ้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าไปทานข้าวในร้านอาหารหรู ทั้งที่เพื่อนไฮโซของแกก็มีตั้งมากมายแต่แกเลือกที่จะไม่ชวนไปทาน ถึงตอนที่แกไปกับพวกมันทานจะมีหนูนุชอยู่ด้วยก็เถอะ แต่มันก็ไม่สมควรอยู่ดี”

    “นี่คุณแม่คงจะห่วงหน้าตาและชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเหมือนพี่ณัทใช่มั้ยคะ”

    “ฉันก็ห่วงตัวของแกด้วยนั่นละ ฉันกลัวว่าไอ้เด็กวัดพวกนั้นมันจะมาหลอกแก กลัวพวกมันจะทำให้แกเสียใจ เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าไอ้เด็กวัดมันมีนิสัยใจคอเป็นยังไง บางทีมันอาจจะมีนิสัยเลวๆ ก็ได้ใครจะไปรู้”

    “ทำไมคุณแม่ถึงมองว่าคนที่ต่ำต้อยกว่าเราจะเป็นคนชั่วคนเลวไปซะทุกคนเลยคะ เป็นคนจนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเลวเสมอไปนะคะ ดาวว่าคุณแม่เปลี่ยนทัศนคติใหม่เถอะค่ะ อ้อ แล้วอีกอย่าง กันต์กับต้นกล้าก็เป็นคนดีทั้งสองคนเลย ดาวคบพวกเขามานานจนรู้นิสัยใจคอของเขาแล้วด้วย”

    “บางทีพวกมันอาจแสร้งทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าแก แต่พอลับหลังพวกมันอาจ…”

    “ไม่จริงค่ะ พวกเขาไม่ใช่คนอย่างที่คุณแม่คิดเลยสักนิด” ดุจดาวเผลอขึ้นเสียงใส่มารดา เพราะไม่พอใจที่มารดาไปว่ากันต์กับต้นกล้าเช่นนั้น

    “นี่ยายดาว แกหลงไอ้เด็กวัดพวกนั้นจนกล้าขึ้นเสียงใส่แม่เลยเหรอ หา!” ดาริยาก็ไม่พอใจที่ลูกสาวขึ้นเสียงใส่เช่นกัน

    ผู้เป็นลูกสาวยกมือไหว้มารดาพลางเอ่ยทั้งน้ำตาว่า

    “ดาวขอโทษค่ะคุณแม่ แต่ดาวไม่ชอบเลยที่เห็นคุณแม่ไปดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่าเรา ทั้งที่พวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน มีเลือดเนื้อมีหัวใจเหมือนกับเรา ต่างกันก็แค่ฐานะกับชาติตระกูล แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ค่ะ”

    “สำคัญสิ สำคัญมากด้วย”

    “แต่ดาวมองว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีไว้ประดับเพื่อให้ตัวเองดูดีเท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้วมันไม่สำคัญหรอกค่ะ”

    “ยายดาว แกอย่ามัวยืดเยื้อกับฉันนะ แกบอกฉันมาเลยว่าแกจะเอายังไง จะเลิกคบกับไอ้เด็กวัดสองคนนั่นเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลหรือว่าจะเดินหน้าคบกับพวกมันเป็นเพื่อนต่อไปให้พ่อแม่ขายหน้า หา!”

    “ดาวขอเลือกอย่างหลังดีกว่าค่ะ” ดุจดาวประกาศอย่างชัดเจน

    สิ้นสุดคำพูดของลูกสาวดาริยาตวัดมือไปที่ใบหน้าสวยๆ ของลูกอย่างแรงด้วยความโมโห จนได้ยินเสียงดังฟังชัด เผียะ! จนหน้าของดุจดาวหันไปอีกทาง

    “แกมันเลวมากที่ไปเลือกไอ้เด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แทนที่จะเลือกรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ไม่รู้ละ ยังไงฉันก็ขอยื่นคำขาดว่าให้แกเลิกยุ่งกับพวกนั้นซะ ไม่อย่างนั้นฉันกับพ่อของแกจะตัดแกออกจากกองมรดก” เธอยื่นคำขาด

    ดุจดาวค่อยๆ หันกลับมามองมารดาอย่างเสียใจ น้ำตาร่วงเผาะอีกครั้ง แต่ปากก็ประกาศไปว่า

    “ไม่มีทางค่ะ ดาวไม่มีวันเลิกเป็นเพื่อนกับกันต์และต้นกล้าเด็ดขาด พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะฉะนั้นดาวทำตามที่คุณแม่ขอไม่ได้หรอกค่ะ ดาวขอโทษนะคะ ถ้าคุณพ่อกับคุณแม่อยากตัดดาวออกจากกองมรดกก็เชิญเลย”

    “ยายดาว นี่แกเห็นว่าไอ้คนพวกนั้นมันสำคัญกว่าชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลงั้นเหรอ หา!” ดาริยามองลูกสาวอย่างอึ้งๆ ไป ไม่คิดว่าลูกสาวจะเอ่ยออกมาเช่นนั้นเลย

    “ดาวต้องขอโทษคุณแม่อีกครั้งนะคะ ดาวทำตามที่คุณแม่ขอไม่ได้จริงๆ ค่ะ” หญิงสาวขอโทษมารดาอีกครั้ง

    ผู้เป็นมารดาสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างโกรธๆ แต่ปากก็เอ่ยออกมาว่า

    “ฉันไม่รับ…จนกว่าแกจะรับปากกับฉันว่าแกจะเลิกยุ่งกับคนที่ไม่มีสกุลรุนชาติสักที ถึงตอนนั้นแล้วฉันจะยกโทษให้แก”

    “จะให้ดาวพูดอีกกี่ครั้งดาวก็ยังพูดเหมือนเดิม ว่าดาวไม่มีวันเลิกคบกับสองคนนั่นเด็ดขาด ทำไมคุณแม่ถึงยังไม่เข้าใจสักทีคะ”

    “ฉันไม่เข้าใจแกหรอก แกจะพูดยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ”

    “ถ้าอย่างนั้นเราก็คงไม่มีอะไรที่จะต้องคุยกันอีกแล้วค่ะ ดาวขอตัวก่อนนะคะ” เอ่ยจบดุจดาวก็ลุกเดินออกไปจากห้องทันที ขืนอยู่กับมารดาต่ออีกมีหวังเธอคงได้เถียงกันจนบ้านแตกแน่ๆ หรือบางทีอาจทำให้จากคนที่เรียบร้อย ไม่เคยมีปากมีเสียงเปลี่ยนเป็นคนก้าวร้าวขึ้นมาก็ได้ ดังนั้นทางที่ดีคือต้องเลี่ยงไปก่อน ไปที่ไหนก็ได้

    ดาริยาตะโกนตามลูกสาว

    “ยายดาว…ยายดาว…แกกลับมาคุยกับแม่ให้รู้เรื่องก่อนนะ แกจะเดินหนีแม่แบบนี้ไม่ได้ ยายดาว”

    สรุปแล้วดุจดาวไม่กลับมา นั่นทำให้ผู้เป็นมารดาอารมณ์เสียมากๆ เมื่อไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง แต่คนอย่างเธอไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ เธอจะต้องกีดกันไม่ให้ลูกสาวไปเกลือกกลั้วกับเด็กวัดพวกนั้น เพราะเธอไม่ชอบคนจน แล้วดุจดาวก็ต้องเลิกยุ่งกับคนจนที่ไม่มีสกุลรุนชาติด้วย ถ้าไม่ฟังเธอจำเป็นต้องใช้วิธีขั้นเด็ดขาด ถึงตอนนั้นจะมาว่ามารดาใจร้ายก็คงไม่ได้!


    กนกนุชอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ลงมานั่งเล่นในห้องรับแขกกับมารดา ขณะนี้เป็นเวลาสามทุ่มแล้วแต่สองคนแม่ลูกยังไม่นอน เพราะยังไม่ง่วง นั่งคุยเล่นกันไปก่อน ง่วงเมื่อไหร่ก็ค่อยไปนอนแล้วกัน

    หญิงสาวอยู่ในบ้านหลังนี้กับมารดากันสองคน ส่วนบิดาเสียชีวิตแล้วเมื่อปีที่แล้ว ถึงจะอยู่กันแค่นี้แต่ก็มีความสุขดี แถมยังอบอุ่นมากด้วย

    “อีกสี่เดือนนุชก็จะเรียนจบแล้วนะคะคุณแม่” เธอบอกกับมารดา

    “จริงเหรอจ๊ะ แม่ว่าเร็วมากเลยนะลูก” กมลวดีเอ่ยถามลูกสาวยิ้มๆ

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ใช่ค่ะ นุชก็ว่ามันเร็วเหมือนกัน นี่นุชยังคิดอยู่เลยนะคะว่านุชเพิ่งจะเข้าเรียนวันนั้นๆ เอง“

    “ก็พูดไป”

    “นุชพูดจริงค่ะ”

    “จ้ะ แม่เชื่อลูกก็ได้” เธอยิ้มให้ลูกสาว

    ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ก็ได้ยินเสียงรถของใครก็ไม่รู้แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างงงๆ

    “เอ๊ะ ใครกันที่มาเวลานี้นะ” ฝ่ายมารดาเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย

    กนกนุชจึงบอกกับผู้เป็นแม่ว่า

    “เดี๋ยวนุชไปดูให้นะคะ”

    “จ้ะ” เธอพยักหน้า

    แล้วผู้เป็นลูกสาวก็รีบลุกเดินออกไปจากห้องรับแขก

    เมื่อออกมาถึงหน้าบ้านก็เจอดุจดาวยืนร้องไห้อยู่ กนกนุชจึงถามเพื่อนว่า

    “อ้าว! ยายดาว แกมาทำอะไรเวลานี้ฮึ!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×