ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔ : พรากลูกจากพ่อแม่(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 65


    วันนี้คุณหญิงกรองทิพย์กับชรัณกรเข้าไปทำงานที่บริษัท ธมลวรรณก็เลยอุ้มลูกน้อยมาเดินเล่นตรงสนามหญ้าหน้าบ้านเพราะไม่อยากพาลูกอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน พาลูกออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ในช่วงสายๆ หน่อยก็ดีเหมือนกัน

    “อากาศสดชื่นจังเลยเนอะลูก” ธมลวรรณเอ่ยกับลูกน้อยยิ้มๆ ลูกน้อยก็ได้แต่ทำปากมุบมิบเหมือนอยากจะเอ่ยออกมา แต่ว่าทำไม่ได้

    แล้วมยุรีก็เดินออกมาหาธมลวรรณ พลางถามว่า

    “อ้าว ยายวรรณ นี่เธอพาลูกออกมาเดินเล่นเหรอ”

    “ค่ะ วรรณพาลูกออกมาสูดอากาศสักหน่อย” ผู้เป็นน้องสามีตอบด้วยท่าทียิ้มแย้ม

    “ก็ดีแล้วละ อุดอู้อยู่แต่ในบ้านมากไปก็ไม่ดีนะ”

    “ค่ะ เอ่อ ว่าแต่พี่รีออกมาทำไมเหรอคะ แล้วตาหนูกูรล่ะคะ”

    “ตากูรเพิ่งหลับไปเมื่อสักครู่”

    “อ้อ...ค่ะ” เธอพยักหน้ารับรู้ แต่แล้วจู่ๆ เธอก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา “โอ๊ย เป็นอะไรเนี่ย มาปวดอะไรตอนนี้ ไปลูก เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำกับแม่”

    ธมลวรรณจะพาลูกน้อยไปเข้าห้องน้ำด้วยแต่มยุรีทักไว้

    “เดี๋ยวๆ ยายวรรณ เธอจะพาลูกไปเข้าห้องน้ำด้วยเหรอ แล้วเธอจะล้างก้นยังไงฮึ! เอางี้มั้ย ฝากตาหนูไว้กับพี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวพี่จะดูให้ ส่วนเธอก็รีบๆ ไปทำธุระส่วนตัวซะนะ”

    “เอ่อ ถ้าอย่างนั้นวรรณรบกวนพี่ช่วยดูแลตาหนูให้แป๊บเดียวนะคะ” เธอยื่นลูกน้อยให้พี่สะใภ้

    อีกฝ่ายรับเด็กน้อยมาอุ้มไว้

    “จ้ะ ได้จ้ะ”

    แล้วธมลวรรณก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำในบ้านทันที

    คล้อยหลังน้องสามีมยุรีก็ทำหน้ายักษ์ใส่เด็กชายชนกันต์ด้วยความเกลียดชัง

    “แกไม่มีวันได้เสนอหน้าอยู่ในบ้านหลังนี้อีกต่อไป ฉันจะพรากแกไปจากพ่อแม่ของแก ฉันจะไม่ยอมให้แกอยู่ที่นี่เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลหรอก คนที่จะได้สืบทอดกิจการของตระกูลต้องเป็นตากูรลูกชายของฉันเท่านั้น ส่วนแกจะไปเติบโตอยู่ที่ไหนหรือจะไปตายที่ไหนก็ไปเลย”

    เธอหันซ้ายแลขวามองหาว่ามีคนอยู่แถวนั้นไหม มองไปที่หน้าบ้านว่าธมลวรรณจะออกมาหรือยัง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นสักคนเธอก็เรียกใครบางคนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงพุ่มไม้

    “ออกมาได้แล้วค่ะ คุณวัฒน์”

    วิวัฒน์ที่ปลอมตัวใส่ไอ้โม่งก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ทันที เขายื่นมือไปหาภรรยาพลางบอกว่า

    “คุณส่งเด็กนั่นมาให้ผมเร็ว เดี๋ยวยายวรรณจะออกมาก่อน เร็วสิ!”

    “ค่ะๆ” เธอรีบส่งเด็กน้อยให้สามี

    วิวัฒน์รับหลานชายวัยแบเบาะมาอุ้มแล้วหันหลังจะเดินออกไปเพราะกลัวน้องสาวจะออกมาเห็นเสีย แต่ภรรยาทักเขา

    “เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณต้องตบหน้าฉันเพื่อให้มีรอยแดง ให้ยายวรรณเห็นแล้วเชื่อว่ามีคนชิงลูกของเธอไปจากฉัน และตบหน้าฉัน ตบเร็วสิคะ ตบเสร็จคุณก็รีบเอาไอ้เด็กนี่ไปเลย”

    “มันจะดีเหรอคุณ” ผู้เป็นสามีลังเล

    มยุรีพยักหน้า

    “ดีสิคะ เร็วค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเจ็บ ฉันทนได้ ขอแค่ให้สมจริงก็พอ”

    “อืม” เขาตัดสินใจตวัดมือไปที่ใบหน้าของภรรยาอย่างแรงจนเธอล้มลงบนพื้นหญ้า พอดีกับที่ธมลวรรณออกมาจากบ้าน วิวัฒน์รีบอุ้มเด็กน้อยวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

    มยุรีเห็นน้องสามีก็แสร้งทำเป็นร้องไห้และลูบใบหน้า

    “ยายวรรณ...พี่ขอโทษ เมื่อกี้มีผู้ชายใส่ไอ้โม่งเข้ามาในบ้านแล้วจะชิงตัวตาหนูไปแต่พี่ไม่ยอม พอพี่ไม่ยอมมันก็เลยตบหน้าพี่จน...จน...ฮือๆๆ แล้วมันก็ชิงตัวตาหนูไปจนได้ พี่ขอโทษนะที่ไม่สามารถแย่งตาหนูกลับคืนมาได้...พี่ขอโทษจริงๆ” เธอแสร้งบีบน้ำตาเพื่อให้สมจริง

    เมื่อธมลวรรณได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ

    “ตาหนูกันต์ลูกแม่!!!” ธมลวรรณกรีดร้องสุดเสียงดั่งคนที่หัวใจแตกสลาย เมื่อลูกชายแบเบาะที่เกิดมาลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วันต้องถูกพรากไปจากอก ความเสียใจ จากความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ถาโถมเข้ามาเกินกว่าหัวใจของผู้เป็นมารดาจะแบกรับไหว พาให้ร่างกายถึงขั้นทรุดลงกับพื้น

    เธอร้องไหลน้ำตาไหลพรากแทบเป็นสายเลือดเมื่อคิดถึงลูกชายที่เพิ่งเกิดมาให้เธอและสามีได้เลี้ยงดูอุ้มชูได้แค่ไม่กี่วัน ป่านนี้ลูกจะเป็นอย่างไร จะถูกทอดทิ้งไว้ที่ไหน จะมีใครเอาเขาไปเลี้ยงไปดูแล หากลูกหิวจะมีใครป้อนนมเขาหรือไม่ หากป่วยไข้ลูกจะทำอย่างไร มากมายคำถามที่ประดังเข้ามาในจิตใจของผู้เป็นมารดา ยิ่งทำให้ธมลวรรณยากจะทานทนกับความทรมานอันเกิดจากความสูญเสียครั้งนี้ได้

    “ไม่ได้...จะปล่อยให้ตาหนูหายไปแบบนี้ไม่ได้” ธมลวรรณกัดฟันฝืนลุกขึ้น ในใจคิดเพียงแค่ว่าต้องหาคนมาช่วยตามหาลูกของเธอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา ต่อให้ใช้เวลานานทั้งชีวิต เธอก็จะตามหาเขาให้พบ

    แล้วธมลวรรณก็รีบวิ่งเข้าไปข้างในบ้าน วิ่งไปด้วยร้องไห้ไปด้วย

    มยุรีมองตามแล้วยิ้มเยาะ

    “มันคงสายไปแล้วละ ยังไงพวกแกก็หาไอ้เด็กนั่นไม่เจอหรอก เพราะคุณวัฒน์ไม่เอาทิ้งไว้แถวนี้หรอก...เชิญพวกแกหามันให้ตายเถอะ หายังไงก็ไม่มีวันเจอ โอ๊ย ฉันสะใจจริงๆ เลย ในที่สุดฉันกับคุณวัฒน์ก็ทำสำเร็จแล้ว ตากูรลูกชายของฉันได้เป็นที่หนึ่งของตระกูลแล้ว แม่ทำเพื่อลูกสำเร็จแล้วนะลูกกูร” เธอหัวเราะสะใจเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปข้างในบ้านเพื่อไปหาลูกชายตัวน้อยด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ

    ในที่สุดวิวัฒน์กับมยุรีก็ทำตามแผนสำเร็จ แผนกำจัดเสี้ยนหนามให้ลูกชายเพื่อให้ลูกชายเป็นหนึ่งเดียวของตระกูล เรียกได้ว่าทั้งสองเป็นคนที่เลือดเย็นมากๆ ที่ทำกับหลานในไส้ได้ขนาดนี้ แต่ก็อย่างว่าละ ความโลภมันไม่เข้าใครออกใครนี่นา!


    “คุณกรคะ ตามหาลูกของเราเจอไหมคะ” ธมลวรรณถามสามี เมื่อเขากลับมาจากตามหาลูกชายในตอนค่ำๆ แล้วนั่งคุยกันในห้องรับแขก โดยคุณหญิงกรองทิพย์ก็อยู่ด้วย

    ชรัณกรส่ายหน้าเศร้าๆ

    “ผมกับคุณตำรวจไปตามหาตาหนูหลายที่แต่ก็ไม่พบ ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้โจรมันเอาลูกของเราไปไว้ที่ไหน”

    “โธ่ ตาหนูลูกแม่” เธอกอดสามีแล้วร้องไห้โฮ “ไอ้โจรนั่นมันเอาลูกเราไปไหน แล้วทำไมมันต้องเอาลูกของเราด้วย...ไม่รู้ว่าป่านนี้ตาหนูจะเป็นยังไงบ้าง จะหิวนมหรือเปล่า ง่วงนอนหรือไม่ คงจะร้องงอแงแน่เลย ฉันกลัวเหลือเกินค่ะคุณ กลัวว่าไอ้โจรนั่นมันจะทำไม่ดีกับลูกของเรา”

    คำพูดพรั่งพรูออกจากปากของธมลวรรณด้วยความที่คิดถึงลูกชายดั่งดวงใจจะขาดรอนๆ เธอเป็นห่วงลูกชายมาก ไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กน้อยจะเป็นอย่างไรบ้าง ไอ้โจรมันจะทำอะไรกับลูกของเธอหรือเปล่า มีอีกหลายต่อหลายคำถามที่ประดังเข้ามาในความคิดของเธอ แล้วเธอก็หวังว่าสามีของเธอกับตำรวจจะช่วยกันตามหาลูกน้อยให้พบ 

    “ผมขอสัญญาว่าจะตามหาลูกของเราให้พบ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำ หรือต่อให้ตามหาลูกทั้งชีวิตผมก็จะทำอีกเหมือนกัน ผมมั่นใจว่าสักวันเราต้องได้พบเขาแน่นอน คุณไม่ต้องกังวลไปนะ คุณวรรณ” เขาปลอบใจภรรยา

    “ค่ะ ฉันจะรอเขา ฉันเชื่อว่าสักวันคุณจะต้องตามหาเขาเจอแน่นอน แล้วฉันก็ภาวนาอย่าให้เกิดอันตรายกับลูกของเราเลย ขอให้เขาอยู่รอดปลอดภัยค่ะ”

    “ตาหนูต้องอยู่รอดปลอดภัยแน่นอน” เขาบอกอย่างมั่นใจ

    “ตาหนูกันต์หลานยาย ป่านนี้หลานจะไปอยู่ที่ไหน ไอ้โจรนั่นมันจะทำอะไรกับหลานหรือเปล่า หรือมันเอาหลานของยายไปทิ้ง โธ่ หลานของยายคงจะหิวน้ำหิวนมแล้วใช่มั้ย” คุณหญิงกรองทิพย์ครวญคร่ำถึงหลานชนกันต์ด้วยความเป็นห่วง

    แล้วชรัณกรก็หันไปบอกกับแม่ยายว่า

    “ต่อให้เขาจะอยู่ตรงส่วนไหนในโลกผมก็จะต้องตามหาเขาของผมให้พบครับคุณแม่ ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหายไปนานหรอกครับ สักวันหนึ่งผมจะพาเขากลับมาที่บ้าน”

    “เธอสัญญากับแม่และยายวรรณแล้วนะว่าจะเอาตาหนูกันต์กลับมาบ้านให้ได้ แม่กับยายวรรณจะรอ แต่...แต่ตอนนี้แม่คิดถึงเขาเหลือเกิน”

    “หนูก็คิดถึงลูกชายของหนูเหมือนกันค่ะ คุณแม่...หนูได้เลี้ยงเขาแค่ไม่กี่วันเอง เลี้ยงยังไม่ทันได้พอใจเลย แล้ววันนี้ก็มีคนมาพรากเขาไปจากอกหนู หนูใจจะขาดอยู่แล้วนะคะ คุณแม่” ยิ่งเอ่ยธมลวรรณก็ยิ่งร้องไห้อย่างหนัก เพราะคิดถึงลูกชาย

    ชรัณกรกอดปลอบใจภรรยาอีกครั้ง

    “ไม่เป็นไรนะคุณวรรณ ถ้าคุณอยากจะร้องไห้ก็ร้องออกมาเลย ผมเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ว่ารู้สึกยังไงเมื่อลูกถูกพรากไป แล้วผมเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าคุณเลย แต่ผมพยายามทำตัวให้เข้มแข็งและจะออกตามหาลูกชายของเราให้พบ ผมจะทำตามที่ให้สัญญาไว้กับคุณแล้วก็คุณแม่”

    “ค่ะ ฉันจะรอนะคะ”

    “แต่ตอนนี้เราไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะ เพราะพรุ่งนี้ผมจะออกไปตามหาลูกพร้อมกับคุณตำรวจแต่เช้าเลย”

    “ค่ะ” เธอปาดน้ำตาทิ้งไป

    “ผมกับคุณวรรณขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ คุณแม่” เขาบอกกับแม่ยาย

    คุณหญิงกรองทิพย์พยักหน้าและปาดน้ำตาทิ้งไป

    “จ้ะ แม่เองก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนอนหลับหรือเปล่า เพราะแม่เป็นห่วงหลานเหลือเกิน”

    “หนูก็เหมือนกันค่ะคุณแม่ หนูไม่รู้ว่าคืนนี้จะนอนหลับหรือเปล่า ใจของหนูเป็นห่วงลูกมากเลยค่ะ” ผู้เป็นลูกสาวบอก

    ชรัณกรบีบมือภรรยาเบาๆ พลางบอกว่า

    “คุณต้องข่มตานอนให้หลับ ทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรอลูกของเรานะ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ”

    “ค่ะ ฉันจะพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรอลูกของเรา ฉันหวังเหลือเกินว่าสักวันต้องได้พบเขาแน่นอนค่ะ”

    “ดีครับ” เขาพอใจกับคำพูดของภรรยา

    แล้วประมุขของบ้านก็ลุกขึ้นยืนพลางบอกกับลูกสาวและลูกเขยว่า

    “เราแยกย้ายกันไปนอนได้แล้วละ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่อีกที”

    “ครับ คุณแม่...เราไปกันเถอะคุณวรรณ” จากนั้นเขาก็ประคองภรรยาให้ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปด้วยกัน

    ส่วนคุณหญิงกรองทิพย์ก็เดินตามหลังไป

    ตอนนี้ทั้งสามรู้สึกเป็นห่วงเด็กชายชนกันต์มาก กลัวว่าเจ้าโจรจะทำอันตรายกับเด็กน้อย เป็นห่วงว่าเด็กน้อยจะหิวน้ำหิวนมหรือเปล่า จะร้องงอแงหรือไม่ คนเป็นพ่อแม่และยายก็ได้แต่เป็นห่วงสารพัด แต่ชรัณกรก็ให้สัญญากับภรรยาและแม่ยายแล้วว่าเขาจะตามหาลูกชายตัวน้อยให้พบ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาเขาก็จะทำ ขอให้ได้พบลูกชายก็พอ


    วิวัฒน์รอจนถึงกลางดึกแล้วตัดสินใจขับรถไปจอดตรงหน้าวัดแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ที่ที่ไกลจากบ้านของเขามากเลยละ

    เมื่อจอดรถเสร็จเขาก็อุ้มหลานชายตัวน้อยลงจากรถ หันไปมองรอบๆ อย่างกลัวว่าจะมีคนมาเห็น พอแน่ใจว่าไม่มีคนเขาก็วางเด็กน้อยที่ห่อด้วยผ้าขนหนูสีขาวบริสุทธิ์ลงตรงประตูทางเข้าวัด แล้วเอ่ยกับเด็กน้อยว่า

    “ลุงลาก่อนนะหลานรัก ขอให้แกโชคดีนะ” พร้อมกับหัวเราะสะใจ ก่อนจะรีบขึ้นรถและขับออกไปเพราะกลัวจะมีคนมาเห็นเสียก่อน

    วิวัฒน์ขับรถออกไปไม่นานนักเด็กน้อยก็ร้องจ้า ที่เด็กร้องก็อาจหิวนมก็เป็นได้

    เสียงเด็กร้องดังไปถึงข้างในวัด จนทำให้หลวงพี่ท่านหนึ่งในวัยสี่สิบกว่าๆ ชื่อว่าหลวงพี่จัน ต้องมาตามเสียงร้องของเด็ก กระทั่งเดินมาถึงหน้าวัดก็เห็นว่ามีเด็กน้อยวัยแบเบาะถูกทิ้งตรงประตูทางเข้า ท่านจึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาพลางพูดว่า

    “พ่อแม่สมัยนี้เป็นอะไรถึงได้ใจร้ายเอาลูกมาทิ้งแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้เขาเกิดมาก็น่าจะรู้จักคิดสักหน่อย ว่าควรต้องทำยังไง แต่นี่ปล่อยให้ท้องแล้วคลอด จากนั้นก็เอามาทิ้งที่วัด ช่างไม่กลัวบาปกลัวกรรมเลยจริงๆ วันก่อนก็มีเด็กถูกเอามาทิ้งหนึ่งคนละ แล้ววันนี้ก็ถูกเอามาทิ้งเพิ่มอีกหนึ่งคน เห็นวัดเป็นสถานสงเคราะห์เด็กหรือยังไง” ท่านบ่นเสร็จก็ก้มเอ่ยกับเด็กน้อย “พ่อแม่ของเอ็งไม่ต้องการเอ็งก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะเลี้ยงเอ็งเอง ข้าจะเลี้ยงเอ็งกับเจ้าต้นกล้าให้เป็นคนดีและมีคุณธรรม ไม่เบียดเบียนใคร อยู่ในวัดนี่ละดีที่สุดแล้ว...ว่าแต่เอ็งจะชื่ออะไรดี” 

    ท่านเปิดผ้าขนหนูออกเล็กน้อยเพื่อดูว่าเด็กน้อยเป็นเพศอะไรกันแน่ 

    “เอ...นี่เอ็งเป็นเด็กผู้ชายนี่ ถ้างั้นข้าจะเรียกเอ็งว่าเจ้ากันต์ เพราะดูจากผิวพรรณของเอ็งน่าจะดี โตขึ้นน่าจะมีคนรักมากมายนะ เอ็งจะได้โตพร้อมกับเจ้าต้นกล้า”

    ‘เจ้าต้นกล้า’ ที่หลวงพี่จันเอ่ยถึงคือเด็กทารกเพศชายที่ถูกเอามาทิ้งหน้าวัดเมื่อวันก่อน ท่านเก็บเอาไปเลี้ยงและตั้งชื่อให้ว่า ‘ต้นกล้า’ นั่นเอง

    “ไป! เดี๋ยวข้าจะพาเอ็งไปหานมกินแล้วก็จะได้นอน สงสัยเอ็งจะง่วงนอนแล้ว” หลวงพี่เอ่ยกับเด็กน้อย ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยเดินเข้าไปข้างในวัด

    นับว่าเป็นโชคดีของเด็กน้อยที่ได้คนดีๆ อย่างหลวงพี่จันเก็บเอาไปเลี้ยง หลวงพี่จันคงจะสั่งสอนให้เด็กคนนี้เป็นคนดีได้ไม่ยากแน่นอน


    “ตาวัฒน์ เมื่อวานแกไปไหนมา ไม่รู้หรือไงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้านบ้าง” คุณหญิงกรองทิพย์เอ่ยถามลูกชายขณะนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน

    ธมลวรรณไม่ยอมลงมาทานอาหารเช้าเพราะมัวแต่เศร้าเรื่องที่ลูกถูกขโมยไป เธอเอาแต่ร้องไห้อย่างเสียใจ ชรัณกรก็เลยต้องคอยปลอบใจภรรยาอยู่เสมอ แต่ไม่มีทีท่าว่าธมลวรรณจะหยุดเศร้าได้เลย ก็แน่ละ ลูกหายไปทั้งคนใครจะทำใจได้ง่ายๆ แล้วลูกของเธอก็เพิ่งจะคลอดด้วย ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ

    “เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้นในบ้านเหรอครับ คุณแม่” วิวัฒน์แกล้งทำเป็นถามมารดา

    ผู้เป็นมารดาจึงบอกว่า

    “ก็เมื่อวานน่ะมีคนมาชิงตัวตาหนูลูกชายยายวรรณ คือยายวรรณไปเข้าห้องน้ำแล้วฝากลูกไว้กับยายมยุรี แล้วก็มีคนบุกเข้ามาในบริเวณบ้านและชิงตัวตาหนูกันต์ แล้วมันยังทำร้ายยายมยุรีด้วย”

    “อะไรนะครับ คุณแม่” เขาแกล้งทำเป็นตกใจ “นี่มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกันครับ แล้วใครกันที่มันบังอาจมาชิงตัวหลานของผมไป เอ่อ แล้วนี่ไปแจ้งความหรือยังครับคุณแม่”

    “ตากรไปแจ้งความเรียบร้อยแล้วละ ตำรวจบอกว่าจะช่วยตามหาลูกชายให้ ส่วนตากรก็บอกว่าจะไปตามหาลูกให้เจอ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาเขาก็จะทำ”

    “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะช่วยตามหาหลานอีกแรงนะครับคุณแม่ ผมจะตามหาหลานให้เจอครับ” แกล้งอาสาจะช่วยตามหาเด็ก ทำตัวเป็นคนดี

    ประมุขของบ้านดีใจที่ลูกชายเอ่ยเช่นนั้น

    “แกพูดจริงเหรอตาวัฒน์”

    “จริงสิครับคุณแม่ หลานของผมหายไปทั้งคนผมจะนิ่งดูดายอยู่ได้ยังไงกันล่ะครับ”

    แต่ในใจก็พูดไปอีกอย่าง

    ‘ผมไม่ช่วยตามหาให้โง่หรอกครับ คุณแม่ ปล่อยให้ไอ้เด็กนั่นมันอยู่ที่อื่นน่ะดีแล้ว ถ้ามันอยู่ที่นี่เดี๋ยวมันจะแย่งทุกอย่างไปจากตากูร ซึ่งผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่นอน’

    “แม่ดีใจจังที่ได้ยินแกพูดแบบนี้ แกเป็นคนดีจริงๆ” ท่านหลงเชื่อคำพูดโกหกของลูกชาย

    “เอ่อ แล้วเรื่องที่ผมขอคุณแม่ยังไม่ได้ให้คำตอบผมเลยนะครับ”

    “เรื่องอะไรล่ะ”

    “ก็เรื่องที่ผมอยากจะดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวถนนเอกมัยไงครับคุณแม่ คุณแม่ลืมแล้วเหรอครับ”

    “อ้อ แม่ยังไม่ลืมหรอก แต่เดี๋ยวตามหาหลานเจอก่อนแล้วให้คำตอบนะ”

    “โอ๊ย อีกนานกว่าจะเจอครับ”

    “แกรู้ได้ยังไงว่าอีกนานกว่าจะเจอ”

    “เอ่อ ผมเดาเอาน่ะครับคุณแม่”

    “แกรอไม่ได้หรือไงฮึ!”

    ‘ผมรอมานานแล้ว คุณแม่ก็ชอบบ่ายเบี่ยงตลอด ผมชักจะเบื่อกับการปั้นหน้าเป็นคนดีต่อหน้าคุณแม่และยายวรรณเต็มทนแล้ว อย่าให้ผมต้องกลายเป็นคนใจร้ายก็แล้วกันครับ’  วิวัฒน์คิดในใจอย่างไม่พอใจ

    แต่ปากก็พูดไปอีกอย่าง

    “ผมรอได้ครับ นานแค่ไหนผมก็จะรอ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วละ เอาละ ทานข้าวกันต่อเถอะ อย่ามัวแแต่ชวนแม่พูดเลย” ท่านบอก

    ผู้เป็นลูกชายพยักหน้า

    “ครับ คุณแม่”

    จากนั้นสองคนแม่ลูกก็ลงมือทานอาหารกันต่อ โดยระหว่างทานอาหารสีหน้าของฝ่ายลูกชายไม่สู้ดีเท่าไหร่ เพราะรู้สึกไม่พอใจที่มารดาไม่ยอมอนุมัติให้เขาดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวถนนเอกมัยเสียที ท่านจะบ่ายเบี่ยงไปถึงเมื่อไหร่กัน จะให้เขารอไปอีกนานแค่ไหน 

    อย่าให้เขาต้องร้ายแล้วกัน ถึงวันนั้นทุกคนจะรู้สึก!


    หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ววิวัฒน์ก็ขึ้นไปหาภรรยากับลูกชายตัวน้อยที่บนห้อง ขณะนี้ลูกชายนอนหลับแล้ว วิวัฒน์ยิ้มมีความสุขที่ได้กำจัดเสี้ยนหนามให้ลูกชายจนสำเร็จ ต่อไปทุกอย่างก็จะเป็นของลูกชายเขา เขามั่นใจมากที่สุด

    “คุณรู้มั้ย คุณรี...ผมนี่โคตรจะมีความสุขที่สุดเลย ที่ได้กำจัดเสี้ยนหนามให้ตากูรสำเร็จแล้ว พอตากูรโตขึ้นก็จะไม่มีใครมาแย่งทุกอย่างไปจากตากูรได้อีกแล้ว ผมจะทำให้คุณแม่ยกทุกอย่างให้ตากูรให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหรือบริษัทก็ตาม” เขาเอ่ยกับภรรยาอย่างสะใจ

    มยุรีพยักหน้าพอใจ

    “ฉันมั่นใจว่าคุณจะต้องทำได้อย่างแน่นอน จะไม่มีใครได้อะไรทั้งนั้น นอกจากลูกกูรของเรา”

    “เมื่อตอนทานข้าวเช้ากับคุณแม่ ผมก็พูดเรื่องขอดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวถนนเอกมัย แต่คุณแม่ก็บ่ายเบี่ยงอีกแล้ว บอกว่าเดี๋ยวตามหาไอ้เด็กนั่นเจอก่อนแล้วท่านจะให้คำตอบ ผมนี่หงุดหงิดที่สุดเลย”

    “เป็นฉันก็หงุดหงิดเหมือนกันค่ะ” ภรรยาว่า “ก็คุณขอท่านตั้งหลายครั้งแล้วนะคะ แต่ท่านก็บ่ายเบี่ยงตลอด ฉันคิดว่าถ้าท่านจะอนุมัติท่านก็คงจะอนุมัติตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณขอแล้วละค่ะ แต่นี่อะไร ท่านเล่นตัว เหมือนท่านไม่อยากให้คุณดูแลโครงการนั้นอย่างนั้นละ”

    “เหมือนคุณแม่ท่านไม่ไว้ใจผมอย่างนั้นละ เพราะถ้าท่านไว้ใจผมท่านคงอนุมัติโครงการนี้ให้ผมดูแลไปตั้งนานแล้ว แต่นี่อะไร ท่านบ่ายเบี่ยงผมมาโดยตลอด จนผมแอบน้อยใจ คุณแม่ทำเหมือนผมไม่ใช่ลูก ทีกับยายวรรณคุณแม่อนุญาตให้ทำอะไรได้ตามใจ ส่วนผมต้องผ่านการอนุมัติจากท่านก่อน”

    “แบบนี้ก็เห็นชัดแล้วนะคะ ว่าคุณแม่ของคุณน่ะลำเอียงแค่ไหน แค่นี้ก็รู้แล้วค่ะว่าคนไหนลูกรักคนไหนลูกชัง...คุณน่ะลูกชัง ส่วนยายวรรณน่ะลูกรัก แบบนี้...”

    “ผมพยายามทำดีให้คุณแม่เห็นมาโดยตลอด เพราะผมคิดว่าสักวันเผื่อท่านจะอนุมัติสักโครงการในบริษัทให้ผมดูแลบ้าง แต่เปล่าเลย ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าความดีของผมจะไม่เข้าตาคุณแม่เลย”

    “ถ้าท่านไม่เห็นความดีของคุณ คุณก็อย่าไปทำอีกเลยค่ะ” มยุรีบอกกับสามี

    อีกฝ่ายจึงเอ่ยขึ้นว่า

    “รออีกสักหน่อยก่อน ผมจะทนทำดีไปอีกหน่อย ต้องมีสักวันสิที่ท่านจะอนุมัติโครงการนี้ให้ผมดูแล”

    “นี่คุณยังหวังว่าท่านจะอนุมัติให้คุณอีกเหรอคะ ถ้าคุณทำดีแล้วมันอึดอัดคุณก็ไม่ต้องไปฝืนทำหรอกค่ะ”

    “ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะทนทำดีอีกสักหน่อย ผมเชื่อว่าต้องมีสักวันที่คุณแม่จะเห็นความดีของผม” เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะทำดีต่อไป เพราะหวังว่าสักวันมารดาจะเห็นความดีของเขา

    “คุณอย่าโง่ไปหน่อยเลยค่ะ คุณแม่ของคุณไม่มีวันเห็นความดีของคุณหรอกค่ะ”

    “แต่ผมจะทำอย่างที่ผมพูด”

    “ก็ตามใจคุณค่ะ เชิญคุณทำดีต่อไปให้ตายเถอะค่ะ จำคำพูดของฉันไว้เลยนะคะ ว่าไม่มีที่คุณแม่ของคุณจะเห็นความดีของคุณหรอก โน่น! ท่านเห็นความดีของลูกคนโปรดท่านโน่น” 

    วิวัฒน์นิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรภรรยาอีกเลย นั่นจึงทำให้มยุรีรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาจะโง่ไปถึงไหนกัน ทำดีให้ตายก็ไม่มีวันที่มารดาจะเห็นหรอก สู้ทำความชั่วแล้วยังได้ประโยชน์กว่าเยอะ นั่นคือสิ่งที่เธอคิดเอง


    ธมลวรรณก็เอาแต่นั่งเศร้าเสียใจอยู่ในห้อง เสียใจที่ลูกชายคนเดียวถูกพรากไป นี่ก็ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่ตำรวจกับสามีของเธอก็ยังตามหาลูกชายไม่พบเลย ไม่รู้ว่าไอ้โจรมันเอาลูกชายของเธอไปไว้ที่ไหน ลูกชายของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง เธอได้แต่ภาวนาว่าให้ทุกคนตามหาลูกน้อยของเธอให้เจอ เธออยากได้เขามากอดแล้ว และเธอสัญญาว่าถ้าได้ลูกกลับมาสู่อ้อมอกเธอจะไม่ยอมให้ใครพรากเขาไปจากเธอได้อีกแน่นอน

    “โธ่ ตาหนูกันต์ลูกแม่ นี่ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วแต่ยังไม่พบลูกเลย ป่านนี้ลูกของแม่ไปอยู่ที่ไหน จะเป็นยังไงบ้าง แม่เป็นห่วงลูกเหลือเกิน”

    ขณะที่ธมลวรรณกำลังนั่งครวญคร่ำเพราะคิดถึงลูกชาย ชรัณกรก็เปิดประตูเข้ามา เธอรีบเอ่ยถามสามีทันที

    “เป็นยังไงบ้างคะคุณ ตามหาลูกชายของเราเจอมั้ย”

    “ยังไม่เจอเลย และไม่มีเบาะแสว่าลูกของเราถูกไอ้โจรนั่นมันเอาไปไว้ที่ไหน” เขาให้คำตอบภรรยา

    เมื่ออีกฝ่ายได้รับคำตอบจากสามีก็ถึงกับร้องไห้โฮเลยทีเดียว ปากก็เอ่ยถามสามีว่า

    “แล้วเมื่อไหร่คะ เมื่อไหร่เราจะได้เจอลูกของเราสักที ฉันใจจะขาดอยู่แล้วนะคะคุณ ฉันคิดถึงลูก”

    “ผมเองก็คิดถึงลูกเหมือนกัน ผมขอสัญญานะ ขอสัญญาว่าผมจะตามหาลูกของเราให้เจอ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำทั้งนั้น ขอให้เจอลูกของเราก็พอ” เขาให้สัญญากับภรรยา

    แต่ธมลวรรณก็ยังไม่หยุดร้องไห้อยู่ดี เธอเอาแต่ร้องไห้จนน้ำตาแทบจะไหลออกมาเป็นสายเลือดเลย ผู้เป็นสามีจึงนั่งลงกอดปลอบใจภรรยา

    “คุณไม่ต้องร้องไห้นะ คุณต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อรอลูกของเรา อีกไม่นานผมจะตามหาเขาให้เจอแล้วพาเขากลับมาหาคุณให้ได้ ผมขอสัญญาอีกครั้ง”

    ผู้เป็นภรรยาพยักหน้า

    “ค่ะ ฉันจะทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรอลูกชายของเรา ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานคุณจะตามหาเขาจนเจอแล้วพาเขากลับมาได้” เธอปาดน้ำตาทิ้งไป

    “ครับ ผมจะตามหาลูกของเราให้เจอ คุณอย่ากังวลไปเลยนะ”

    “ค่ะ ฉันจะพยายามทำตัวเข้มแข็งและไม่กังวลค่ะ”

    “ดีมากครับ” เขายิ้มพอใจ “ว่าแต่คุณทานอะไรหรือยัง”

    “ยังเลยค่ะ”

    “เราออกไปหาอะไรทานข้างนอกมั้ย คุณจะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาด้วย อยู่แต่ในบ้านเดี๋ยวคุณจะเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก” เขาชวน

    ธมลวรรณพยักหน้ายิ้มบางๆ

    “ก็ได้ค่ะ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” 

    “ค่ะ” เธอหันไปหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียง ก่อนจะลุกขึ้น

    ผู้เป็นสามีลุกตาม แล้วจากนั้นก็โอบไหล่ภรรยาเดินออกไปจากห้องทันที

    ทั้งสองยังมีความหวังว่าสักวันจะได้เจอลูกชายที่ถูกขโมยไป แล้วชรัณกรเองก็สัญญาว่าจะตามหาลูกชายให้เจอ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาเขาก็จะทำ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ลูกน้อยกลับคืนมา อีกไม่นานต้องเจอแน่นอน เขามั่นใจเช่นนั้น...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×