คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : บทที่ ๑๗ : ไม่ยินยอม (๑)
ภคพรกับขวัญจิรามาทานข้าวที่ร้านอาหารหรูในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บนโต๊ะมีอาหารหลายอย่าง โดยภคพรอาสาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงข้าวเพื่อน ดังนั้นคนที่มาด้วยจึงรู้สึกสบายกระเป๋าไปเลย
ระหว่างทานข้าวภคพรก็เอ่ยถามเพื่อนว่า
“เอ้อ ขวัญ...นี่เธอรู้ข่าวของนายฐากูรกับยายดุจดาวหรือยัง”
“ยังนะ” ขวัญจิราส่ายหน้าแรง “ว่าแต่ข่าวอะไรเหรอ ทำไมดูเธอตื่นเต้นจัง”
“ก็นายกูรน่ะสิ บอกฉันว่าบ่ายวันนี้จะให้พ่อกับแม่ไปสู่ขอยายดาวให้ เพราะรอช้าไม่ได้เดี๋ยวถูกหมาคาบไปกินก่อน” เธอเล่าให้ฟังทันที
หลังจากได้ฟังเรื่องราวแล้ว อีกฝ่ายก็ถึงกับทำหน้าตกใจ
“หา! เธอว่าอะไรนะ”
“เธอฟังไม่ผิดหรอก นายกูรบอกกับฉันแบบนั้นจริงๆ” ยืนยันให้ชัดเจน
“อุ๊ยๆ ดีจัง นายกูรกับยายดาวน่ะเหมาะสมกันมากๆ เหมือนผีเน่ากับโลงผุแน่ะ”
“เห็นยายดาวแล้วน่าหมั่นไส้จริงๆ ให้มันมีผัวน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ต้องมีผู้ชายคนไหนมองมัน ให้ผู้ชายหันมามองฉันบ้าง”
“นั่นสิ ให้ผู้ชายหันมามองฉันกับเธอบ้าง ที่ผ่านมามีคนมองยายดาวคนเดียว ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่ายายดาวมันมีดีตรงไหนผู้ชายถึงสนใจแต่มัน หน้าตาน่ะเหรอก็งั้นๆ ละ ไม่เห็นจะสวยสู้เราสองคนได้เลย” ขวัญจิราเอ่ยเข้าข้างตัวเองกับเพื่อนเห็นๆ
ภคพรพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงย่ะ ฉันกับเธอสวยกว่ามันตั้งเยอะ แต่ทำไมผู้ชายถึงตาถั่วไม่มองเราสองคน เออ ฉันว่าแปลกมากนะยะ”
“นั่นสินะ ฉันก็คิดเหมือนเธอ เพราะถ้าผู้ชายทุกคนไม่ตาถั่วก็ต้องมองเราสองคนบ้างแล้วละ”
“ฉันว่ายายดาวมันต้องทำเสน่ห์แน่ๆ เลย ยายขวัญ”
“อันนี้น่าคิดนะ เพราะถ้ามันไม่ทำเสน่ห์ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนสนใจมันหรอก หาความสวยไม่เจอเลยสักนิด”
“พรุ่งนี้ไปมหาวิทยาลัยเราก็ต้องแสดงความยินดีกับเพื่อนสักหน่อยนะ”
“ใช่ๆ ต้องแสดงความยินดี…ยินดีที่เพื่อนมีผัว” เอ่ยจบหญิงสาวก็หัวเราะสะใจ แต่เผลอหัวเราะเสียงดังไปหน่อยทุกคนที่นั่งทานข้าวอยู่ในร้านจึงหันมามองเธอเป็นสายตาเดียวกัน
ภคพรรีบสะกิดเพื่อน
“เธอจะหัวเราะเสียงดังทำไมยะ เห็นมั้ยเห็นมองมาที่โต๊ะเราเป็นสายตาเดียวกันเลยน่ะ”
อีกฝ่ายเห็นสายตาของทุกคนที่มองตัวเองก็รีบหยุดหัวเราะทันที ก่อนจะยิ้มแหยๆ พลางบอกกับเพื่อนว่า
“เราทานข้าวกันต่อเถอะนะ อย่ามัวแต่พูดอยู่เลยเนอะ”
“โอเคจ้ะ” เธอพยักหน้า
แล้วสองสาวเพื่อนซี้ก็ลงมือทานข้าวกันต่อไป เนื่องจากมัวแต่พูดคุยกันจึงไม่ได้ทานแบบจริงๆ จังๆ เสียที จนอาหารจะเย็นและกลายเป็นหมันอยู่แล้วเชียว
กนกนุชกับมารดามาทำบุญให้บิดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่วัดใกล้บ้าน วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่บิดาจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แต่ท่านยังอยู่ในความทรงจำของลูกสาวกับภรรยาตลอดไป และจะไม่มีวันลบเลือนแน่นอน
หญิงสาวไม่ได้มากับมารดาแค่สองคนเท่านั้น แต่เธอยังชวนดุจดาวมาทำบุญด้วยกัน เพราะผู้เป็นเพื่อนเองก็ชอบทำบุญ อีกฝ่ายจึงตอบรับทันทีเมื่อถูกชวน
กมลวดีนำอาหารใส่ปิ่นโตมาสองชุด แล้วซื้อสังฆทานมาอีกสองชุด วันนี้เธอกับลูกสาวตั้งใจทำบุญให้ผู้เป็นสามีที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจว่าจะหมดเงินไปเท่าไหร่ ขอเพียงให้สามีได้รับบุญที่เธอกับลูกทำให้ก็พอ เท่านั้นเธอก็มีความสุขที่สุดแล้ว
หลังจากทำบุญถวายสังฆทาน ถวายอาหารเพลให้พระ และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พาสันเสร็จทั้งสามก็ไปทำบุญปล่อยปลาลงแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่ติดกับวัด เป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ที่สุด…กมลวดี กนกนุชและดุจดาวซื้อปลาดุกมาคนละถุง เป็นถุงใหญ่ มีปลาอยู่ในนั้นประมาณยี่สิบตัวเห็นจะได้ เป็นตัวเล็กๆ หน่อย
เมื่อปล่อยปลาเสร็จแล้วกมลวดีก็เอ่ยกับลูกสาวด้วยท่าทีที่มีความสุข
“วันนี้แม่ได้ทำบุญให้พ่อของแกแล้วแม่รู้สึกมีความสุขที่สุดเลย ป่านนี้พ่อของแกคงได้รับบุญที่เราสามคนทำให้แล้วละ”
“ค่ะ คุณแม่ นุชเชื่อนะคะว่าคุณพ่อได้รับบุญที่เราทำให้แล้ว แล้วนุชก็ขอให้วิญญาณของคุณพ่อไปสู่สุคติ ไม่ต้องเป็นห่วงคุณแม่ เพราะนุชจะเป็นคนดูแลคุณแม่เองค่ะ” ผู้เป็นลูกสาวบอกยิ้มๆ
ฝ่ายมารดาพยักหน้า
“จ้ะ ขอบใจมากนะลูก ที่บอกว่าจะดูแลแม่”
“ไม่เป็นไรค่ะ ก็นุชมีคุณแม่อยู่คนเดียวนี่คะ ถ้าไม่ให้นุชดูแลคุณแม่แล้วจะให้นุชดูแลใคร จริงมั้ยคะ”
“จริงจ้ะ”
“เธอเป็นอะไรยายดาว ทำไมเธอเงียบจัง เธอไม่มีความสุขที่ได้ทำบุญเหรอฮึ!” เมื่อเห็นว่าดุจดาวเงียบไปกนกนุชก็อดที่จะถามไม่ได้
คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มจางๆ
“เปล่าจ้ะ ฉันมีความสุขกับการทำบุญดี แต่…”
“แต่ดูเธอเศร้าๆ ไปนะ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า บอกฉันกับแม่ได้”
“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร ฉันก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ดุจดาวตอบแบบเลี่ยงๆ แต่ความจริงแล้วมีบางอย่างที่เก็บซ่อนอยู่ในใจและบอกใครไม่ได้
แล้วกนกนุชก็เชื่อที่เพื่อนบอก
“แล้วไป ฉันนึกว่าเธอเป็นอะไรซะอีก”
“นี่เราก็ทำบุญเสร็จแล้ว ดาวว่าเราไปทานข้าวเที่ยงกันต่อดีกว่านะคะคุณน้า ดาวเลือกร้านไว้แล้วค่ะ อยู่ใกล้ๆ แถวนี้เอง” หญิงสาวบอกกับกมลวดี
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มแย้ม
“ได้จ้ะ ไปสิจ๊ะ”
“โห! ยายดาว เธอชวนได้ถูกเวลาเลย ฉันกำลังหิวข้าวอยู่พอดี แหม เธอช่างรู้ใจฉันซะจริงๆ เชียว” กนกนุชว่า
ดุจดาวหัวเราะเบาๆ กับท่าทางการพูดจาของเพื่อน
“จ้า ถ้าหิวก็รีบไปกันเลย เดี๋ยวไส้ของเธอจะขาดซะก่อน”
“ไปสิๆ”
แล้วทั้งสามก็เดินออกไปจากตรงนั้น เพื่อไปทานข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารใกล้ๆ แถววัดอย่างที่ดุจดาวบอก เพราะเวลานี้ก็ถึงเที่ยงแล้วนั่นเอง
ความคิดเห็น