คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ ๑๖ : หมายมั่นปั้นมือ
เมื่อกนกนุชกับมารดาซื้อของเสร็จก็กลับมาถึงบ้านประมาณหนึ่งทุ่มกว่า สองคนแม่ลูกถือข้าวของพะรุงพะรังเต็มไม้เต็มมือ เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบิดากนกนุช หญิงสาวกับมารดาจึงต้องซื้อของมาเตรียมไว้ไปทำบุญให้บิดานั่นเอง
ทั้งสองนำของทั้งหมดไปวางไว้ที่ห้องครัว เมื่อวางของเสร็จกมลวดีจึงเอ่ยขึ้นว่า
“หนึ่งปีนี่ผ่านไปเร็วจริงๆ เนอะยายนุช แม่คิดถึงพ่อของแกจัง ตั้งแต่เขาจากไปแม่ก็ไม่เคยลืมเขาเลย และจะไม่มีวันลืมแน่นอน”
“หนูก็ไม่เคยลืมคุณพ่อค่ะ...หนูเชื่อว่าคุณพ่อกำลังมองเราสองคนแม่ลูกอยู่ข้างบนนั้น” กนกนุชชี้ขึ้นไปบนหลังคาบ้านราวกับจะให้ทะลุไปถึงฟากฟ้า ส่งไปถึงบิดาที่อยู่บนนั้น
“และท่านจะยังคงอยู่ในใจของเราตลอดไป ท่านไม่ได้หายไปไหนค่ะ คุณพ่อจากไปแค่เพียงร่างกายเท่านั้นเอง แต่ความทรงจำของท่านยังอยู่กับเรา มันไม่มีวันเลือนหายไปไหนหรอกนะคะคุณแม่”
“ใช่ มันจะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจของเราสองคน” เธอเอ่ยอย่างเศร้าๆ
ผู้เป็นลูกสาวจับมือมารดาขึ้นมาแล้วเอ่ยปลอบใจ
“เราทำบุญให้คุณพ่อแล้วก็จะรู้สึกสบายใจขึ้นนะคะคุณแม่ คุณพ่อได้รับบุญที่เราทำให้ ส่วนเราก็จะมีความสุขกับการทำบุญค่ะ คุณแม่อย่าเศร้าไปเลยนะ ถ้าคุณพ่อมองลงมาเห็นเดี๋ยวท่านจะมีห่วงนะคะ”
“จ้ะ แม่จะไม่เศร้าอีกแล้ว แม่จะเข้มแข็งให้มากกว่านี้” กมลวดียิ้มจางๆ ให้ลูกสาว
อีกฝ่ายรู้สึกพอใจมาก
“ดีค่ะคุณแม่ ต้องยิ้มเข้าไว้นะคะ”
“จ้ะลูก” ผู้เป็นมารดาพยักหน้า “เอาละ แม่ว่าตอนนี้เรามาเตรียมของดีกว่านะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาทำเลย เราหั่นพวกผักกับเนื้อหมู แล้วก็แกะกุ้งไว้ แล้วไหนจะผลไม้อีก ทุกอย่างเราต้องเตรียมพร้อม เพราะไม่งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้มันจะไม่ทัน”
“ได้ค่ะคุณแม่ ว่าแต่…คุณแม่จะทำอาหารอะไรทำบุญให้คุณพ่อเหรอคะ”
“แม่จะทำเมนูกุ้งผัดพริกแกงกับหมูผัดพริกเผา สองเมนูนี้พ่อของแกชอบมากเลยละ ส่วนผลไม้ก็จะเป็นพวกแอปเปิล องุ่น ส้ม”
“คุณแม่ใส่ใจคุณพ่อแบบนี้ ไม่แปลกที่คุณพ่อจะรักคุณแม่มากขนาดนั้น”
“แม่เองก็รักพ่อของแกที่สุดเหมือนกัน”
“หนูรู้ค่ะ คุณแม่รักคุณพ่อมาก แล้วก็ดูแลคุณพ่อจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต แบบนี้ละค่ะที่เรียกว่ารักแท้”
“จ้า แต่ว่าตอนนี้เรามาเตรียมของดีกว่าเนอะ อย่ามัวแต่พูดอยู่เลย” ผู้เป็นมารดาว่า
กนกนุชพยักหน้ายิ้มๆ
“ค่ะ คุณแม่”
จากนั้นสองคนแม่ลูกก็ช่วยกันตระเตรียมของไว้ทำอาหารในตอนเช้ามืดของวันพรุ่งนี้ เพื่อที่จะนำไปทำบุญให้พาสัน บิดาของกนกนุชที่วัดใกล้ๆ บ้าน ทั้งสองช่วยกันอย่างขะมักขะเม้นเพื่อให้เสร็จเร็วๆ จะได้นอนพักผ่อนกันต่อไป
คืนนี้ฐากูรหนีมาเที่ยวผับอีกเช่นเคย เพราะไม่อยากอยู่เห็นหน้ากันต์กับต้นกล้าที่บ้าน เห็นแล้วพาลให้อารมณ์เสียทุกที ชายหนุ่มจึงมาที่นี่เพื่อดับอารมณ์โมโหให้กลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมา แล้วมันก็ช่วยได้มากเลยทีเดียว
แต่คืนนี้ผิดจากทุกคืนที่ผ่านมา เพราะคืนนี้ข้างกายของชายหนุ่มไม่มีสาวๆ คนใดมานั่งด้วยเลยสักคน เนื่องจากเขาต้องการที่จะนั่งดื่มไวน์คนเดียวจึงไม่อยากให้ใครรบกวนนั่นเอง
“มานั่งคนเดียวไม่เหงาเหรอ” เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยถาม
ฐากูรเงยหน้าขึ้นมองคนที่ถาม เพราะใครคนนั้นได้เดินมายืนอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มก็ถึงกับทำหน้าแปลกใจ
“อ้าว! ภัค”
“ใช่ ฉันเองละ” ภคพรว่า
“แล้วนี่เธอก็มาคนเดียวเหมือนกันเหรอ” เขาถามอีกฝ่าย
เจ้าหล่อนพยักหน้า
“ใช่ ฉันมาคนเดียว ยายขวัญไม่ว่างก็เลยไม่ได้มาด้วย ว่าแต่…ฉันขอนั่งกับนายด้วยได้มั้ย”
“ได้สิ! เชิญ!” ผายมือเชิญให้นั่ง
เมื่อนั่งลงเสร็จภคพรก็เอ่ยถามอีกว่า
“นายนั่งคนเดียวไม่เหงาหรือไง แล้วทำไมไม่ชวนสาวๆ มานั่งด้วยล่ะ”
“ไม่ละ ฉันขอนั่งคนเดียวสักวันเถอะ”
“ดูสีหน้าของนายไม่สู้ดีเลยนะ นายเป็นอะไรหรือเปล่า” เธอสังเกตดูสีหน้าของเพื่อนที่ดูเครียดๆ
ฐากูรนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
“ฉันเครียดว่ะ เพราะไม่ว่าฉันจะทำดีกับดุจดาวเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่สนใจฉันเลย เขาเอาแต่ไปคลุกคลีอยู่กับไอ้คนกระจอกอย่างไอ้กันต์กับไอ้กล้า ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าพวกมันมีดีอะไรนักหนายายดาวถึงได้สนใจขนาดนั้น พวกมันก็แค่เด็กวัดจนๆ ไม่มีหัวนอนปลายเท้า สกุลรุนชาติก็ไม่มี แต่ทำไมยายดาวถึงยอมไปเกลือกกลั้วด้วย”
“อ้อ ที่แท้นายก็เครียดที่ดุจดาวไม่สนใจ นี่นายชอบยายดาวใช่มั้ย” ภคพรพอจะเดาออกว่าสาเหตุมาจากอะไร
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ใช่…แต่อย่าเรียกว่าชอบเลย เรียกว่ารักจะดีกว่า ฉันน่ะรักยายดาวมานานมากแล้ว รักตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้ากันแน่ะ ฉันก็เคยสารภาพกับเขาตั้งหลายครั้งนะ แต่เขาเอาแต่หลบหน้าฉันตลอด ไม่รู้จะรังเกียจอะไรฉันนักหนา ทีกับไอ้กันต์ไอ้กล้าไม่เห็นจะรังเกียจเลย”
“ฉันคิดว่ายายดาวน่าจะกำลังชอบนายกันต์ไม่ก็นายกล้าแน่นอน เพราะฉันเห็นคุยกันกะหนุงกะหนิงทุกวัน มันต้องมีคิดอะไรกันบ้างละ ถึงยอมไปเกลือกกลั้วกับพวกนั้น”
“ฉันจะไม่ยอมเสียยายดาวให้พวกมันแน่นอน” ชายหนุ่มประกาศออกไปทันที
“ถ้านายไม่อยากเสียยายดาวให้นายกันต์กับนายกล้าละก็ นายก็ต้องทำอะไรสักอย่างสิ อย่างเช่นให้พ่อกับแม่ของนายไปสู่ขอยายดาวไว้ก่อน พอเรียนจบก็จะได้แต่งงานกันเลยไง” ภคพรแนะนำ
ผู้เป็นเพื่อนยิ้มพอใจ
“เออ จริงสิ ปัดโธ่! ทำไมฉันคิดไม่ถึงเรื่องนี้นะ ฉันขอบใจเธอมากเลยนะที่แนะนำฉัน เธอเป็นเพื่อนที่ดีของฉันจริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะต้องให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปสู่ขอดุจดาวซะแล้วละ รอช้าไม่ได้…เดี๋ยวหมาคาบไปกินก่อน”
“ใช่! นายจะรอช้าไม่ได้ นายต้องรีบจัดการเลย”
“โอเค” เขาพยักหน้า “เออ ยายภัค ถ้าเธออยากดื่มอะไรก็สั่งได้เลยนะ เธอไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ถือซะว่าฉันเลี้ยงตอบแทนที่เธอช่วยฉันคิด”
“มันจะดีเหรอ”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ สั่งเลยๆ”
“ก็ได้จ้ะ” เจ้าหล่อนยิ้มให้เขา ก่อนจะหันไปเรียกบริกรชายมารับออเดอร์ “พี่คะ มารับออเดอร์หน่อยค่ะ” เมื่อบริกรเดินมาถึงเธอก็สั่งว่าจะเอาอะไรบ้าง หลังจากรับออเดอร์เสร็จอีกฝ่ายก็เดินออกไป
รอไม่นานนักของที่ภคพรสั่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เป็นไวน์ชั้นดีที่มาไกลจากประเทศอิตาลี ราคาค่อนข้างที่จะแพงมากเลยทีเดียว แต่สำหรับคนรวยคนไฮโซเขาจะถือว่าไม่แพง จะถือว่าถูกที่สุดเลยก็ว่าได้
หญิงสาวเทไวน์ใส่แก้วของตัวเองและแก้วของฐากูร จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นและยื่นไปตรงหน้าเขา
“ชนแก้วกันหน่อย ฉลองให้กับนายล่วงหน้า”
“เอ้า! ชน!!!” ฐากูรยกแก้วขึ้นเช่นกัน แล้วเขาก็ชนแก้วกับผู้เป็นเพื่อนสาว
ฉลองที่เขาจะไปสู่ขอดุจดาวในวันพรุ่งนี้ โดยที่ยังไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะตอบรับเขาหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องดีใจไว้ก่อนล่วงหน้า
วันต่อมา…
กันต์ตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย ยืดแขนยืดขาที่หน้าบ้านแต่เช้า ส่วนต้นกล้ายังไม่ตื่น ชายหนุ่มจึงลงมาคนเดียว ขณะที่ออกกำลังกายอยู่นั่นเอง เขาก็มองเห็นสุวิทย์กำลังกวาดใบไม้อยู่ตรงสวนหย่อม เขารีบเดินไปหาสุวิทย์ทันที แล้วยังบอกอีกว่า
“เดี๋ยวผมช่วยนะครับลุง”
“หา! เธอว่าอะไรนะ” ชายวัยหกสิบกว่าถามอย่างอึ้งๆ
กันต์จึงบอกอีกครั้ง
“ผมขออาสาช่วยลุงกวาดใบไม้ครับ ตอนผมกับเพื่อนอยู่ที่วัดก็กวาดลานวัดทุกวันเลย”
“แต่ที่วัดกับที่นี่มันไม่เหมือนกัน” เสียงหนึ่งดังขึ้น
ทั้งสองหันไปมองทางต้นเสียงซึ่งอยู่หน้าบ้าน เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือใครก็ถึงกับตกใจจนอุทานพร้อมกัน
“คุณธมลวรรณ”
ธมลวรรณทำหน้าขรึมเดินมาหาสองคนต่างวัย แล้วเอ่ยกับกันต์ว่า
“ฉันรับเธอมาอุปการะ รับมาดูแล ไม่ใช่รับเธอมาเป็นคนสวนหรือคนใช้ของบ้านฉัน ฉันขอให้เธอคิดเสียใหม่เถอะนะ”
“แต่ถ้าจะให้ผมอยู่เฉยๆ ผมจะกลายเป็นง่อยเอาได้นะครับ ให้ผมทำงานเถอะครับ ถ้าผมไม่ได้ทำผมคงเบื่อแย่เลย” ชายหนุ่มให้เหตุผล
“เดี๋ยวเรียนจบเธอกับเพื่อนของเธอก็จะได้ทำงานสมใจแน่นอน ไม่ต้องกลัวนะ คุณกรก็บอกกับเธอไปแล้วนี่” เธอบอก
“แต่…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น”
“คือ…”
“ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนขยัน เธอชอบทำงาน ตอนอยู่ที่วัดเธอกับเพื่อนก็ทำงานในวัด แต่เธอกับเพื่อนมาอยู่ที่บ้านฉันไม่ต้องทำงานในบ้านหรอกนะ เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนสวนกับคนใช้ แต่เธอสองไม่ใช่ทั้งคนสวนและคนใช้”
“ผม…”
“กันต์…เธอเปรียบเสมือนลูกของฉันคนหนึ่งนะ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ยอมให้ลูกของฉันลำบากหรอก ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจว่าฉันรักและหวังดีกับเธอ รวมถึงเพื่อนของเธอมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รับพวกเธอมาอุปการะหรอก” ธมลวรรณบอกให้อีกฝ่ายเข้าใจ
กันต์นิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“ต่อไปนี้ผมจะเชื่อฟังคุณธมลวรรณครับ เพราะคุณธมลวรรณคือผู้มีพระคุณของผมกับเพื่อน ผมจะไม่มีวันทำให้คุณเสียใจเด็ดขาดครับ”
“ดีจ้ะ” เธอยิ้มพอใจ “เอ่อ แล้ววันนี้เธอไม่มีเรียนเหรอ”
“ไม่มีครับ”
“อ้อ…จ้ะ” พยักหน้ารับรู้ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะจ๊ะ”
“ผมก็จะไปออกกำลังกายต่อครับ”
“โอเคจ้ะ ตามสบายนะ” เอ่ยจบธมลวรรณก็เดินกลับเข้าไปข้างในบ้าน
แล้วกันต์ก็หันมาบอกคนสวนของบ้านว่า
“ผมขอตัวไปออกกำลังกายต่อนะครับ”
“อืม ตามสบายเลยพ่อหนุ่ม” สุวิทย์ยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างไมตรี
จากนั้นกันต์ก็กลับไปออกกำลังกายต่อด้วยการวิ่งตามทางรถแล่นเข้ามายังคฤหาสน์ ที่คล้ายรูปวงรี ชายหนุ่มวิ่งออกกำลังกายอย่างขยันขันแข็งโดยไม่มีเหงื่อไหลเลยสักเม็ด แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอีกด้วย
“คุณพ่อครับ คุณแม่ครับ ตอนบ่ายว่างมั้ยครับ” ฐากูรเข้ามาหาบิดากับมารดาในห้องพร้อมกับเอ่ยถาม
วิวัฒน์พยักหน้าให้ลูกชาย
“ก็ว่างอยู่นะลูก ตอนบ่ายพ่อกับแม่อยู่บ้าน ไม่มีธุระที่ไหน”
“ลูกถามพ่อกับแม่แบบนี้มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” มยุรีถามลูกชายด้วยความแปลกใจ
ผู้เป็นลูกชายยิ้มให้บิดากับมารดาด้วยท่าทางตื่นเต้นและดีใจ
“คือผมอยากจะให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปทาบทามดุจดาวให้ผมหน่อยครับ”
“หา! ลูกว่าอะไรนะ” สองคนสามีภรรยาอุทานพร้อมกันด้วยความตกใจ
“คุณพ่อกับคุณแม่ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ ผมจะให้คุณพ่อกับคุณแม่ไปเจรจาทาบทามดุจดาวให้ผมจริงๆ ครับ” เขายืนยันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
วิวัฒน์จึงเอ่ยถามลูกชายว่า
“พ่อเข้าใจว่าแกชอบหนูดาวมากจนอยากจะแต่งงานด้วย แต่พ่ออยากจะให้ใจเย็นกว่านี้ เพราะเรื่องทาบทามมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”
“แต่ผมจะช้าไม่ได้นะครับ เพราะถ้าช้าเดี๋ยวหมาบางตัวจะคาบไปทาน แล้วผมจะอด”
“หมาบางตัว?” ผู้เป็นมารดาทำหน้าฉงนยิ่งนัก
ฝ่ายลูกชายจึงบอกว่า
“ก็ไอ้กันต์กับไอ้ต้นกล้าไงครับคุณแม่ พวกมันคือหมาสองตัวที่จ้องจะคาบดุจดาวไปจากผม และผมจะไม่มีวันยอมแน่นอนครับ”
“ดีเลยลูก อย่าไปยอมพวกมัน ลูกก็ชอบหนูดุจดาวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นหนูดุจดาวจะต้องเป็นของลูกคนเดียว เดี๋ยวพ่อจะช่วยลูกเอง”
“แล้วหนูจะยอมเหรอลูก” มยุรีถามลูกชาย
“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะพี่ณัทรับปากกับผมแล้วว่าจะช่วยให้ผมสมหวังกับดุจดาว…เชื่อเถอะครับว่าดุจดาวไม่มีทางปฏิเสธพี่ชายของเขาได้ พี่ณัทน่ะเขาอยากได้ผมเป็นน้องเขยจะตายครับคุณพ่อคุณแม่” ชายหนุ่มว่า
“ตกลงจ้ะ เดี๋ยวบ่ายโมงพ่อกับแม่จะไปทาบทามหนูดุจดาวให้ รับรองเลยว่าลูกจะต้องได้หนูดุจดาวสมใจแน่นอน ใช่มั้ยคะคุณ” เขาหันไปถามสามี
วิวัฒน์พยักหน้า
“อ้อ ใช่ๆ ลูกของพ่อจะไม่มีวันแพ้ใครหน้าไหน แม้แต่ตัวของดุจดาวลูกก็จะต้องได้มาครอบครอง พ่อขอให้ลูกเชื่อมั่นพ่อกับแม่เถอะนะ”
“ผมขอขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่มากนะครับที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อผม ขอบคุณจริงๆ ครับ” ชายหนุ่มยกมือไหว้บิดากับมารดาเป็นการใหญ่
ผู้เป็นบิดาโบกไม้โบกมือ
“ไม่เป็นไรๆ เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยมากลูก พ่อกับแม่ทำให้ลูกได้สบายอยู่แล้ว ลูกเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวหลังจากเรียนจบได้เลย” เอ่ยจบก็หัวเราะชอบใจ
ฐากูรกับมารดาหัวเราะผสมโรงกับบิดาด้วยความชอบอกชอบใจมากมายเลยทีเดียว เพราะมั่นใจว่าดุจดาวไม่มีทางปฏิเสธตนได้แน่นอน
ความคิดเห็น