คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ ๑๕ : ของขวัญจากผู้อุปการะ
“หา! นายว่าอะไรนะ ตอนนี้นายสองไม่ได้อยู่ที่วัดแล้วงั้นเหรอ แล้วก็มีคนรับอุปการะนายสองคนด้วยใช่มั้ย” ดุจดาวทำหน้าตกใจเมื่อกันต์เล่าให้ฟังว่าเขากับต้นกล้าไม่ได้อยู่ที่วัดแล้ว แต่ไปอยู่ที่บ้านของคนที่อุปการะพวกเขานั่นเอง
กันต์เล่าขณะที่นั่งเล่นในสวนสาธารณะใกล้มหาวิทยาลัยด้วยกัน มีเขา ดุจดาว ต้นกล้า และกนกนุช พากันมานั่งตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่แสนจะร่มรื่น โชคดีที่ขณะนี้เป็นเวลาเย็นแล้วก็เลยไม่มีแดดให้ต้องร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อย ทั้งสี่นั่งพูดคุยกันท่ามกลางบรรยากาศที่ดีที่สุด มีลมพัดเบาๆ จากต้นไม้
“ใช่ครับ ตอนนี้มีคนอุปการะเราสองคน และผมกับนายต้นกล้าก็เข้าไปอยู่ที่บ้านของเขาแล้ว อ้อ ที่สำคัญ เขาเป็นคนใจดีที่สุดเลยครับ” กันต์บอกยิ้มๆ
แล้วต้นกล้าก็เอ่ยขึ้นอีกคน
“ใช่ครับ เขาและสามีของเขาใจดีมากๆ เลยละครับ ใจดีจนผมกับนายกันต์คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันตอบแทนบุญคุณของเขาสองคนหมดหรอกครับ”
“รู้จักสำนึกบุญคุณซะด้วยแฮะ” กนกนุชอดที่จะแขวะใส่อีกฝ่ายไม่ได้
“นี่! เธอ!” ชายหนุ่มมองคู่ปรับสาวด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมเหรอ หรือฉันพูดอะไรผิดไป”
“ถ้าพูดอะไรๆ ดีๆ ไม่เป็นก็หุบปากไปซะ…หุบปากแล้วนั่งนิ่งๆ แล้วฟังพวกฉันพูดก็พอ”
“นายมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉันไม่ทราบ” เธอก็ไม่พอใจเขาเช่นกัน
ต้นกล้าจึงบอกว่า
“ก็สิทธิ์ของคนที่รำคาญเสียงของเธอไง โอเคอะป่าว จบนะ”
“พูดแบบนี้นายอยากเจอหมัดของฉันเหรอ หา!” ไม่เอ่ยเปล่า แต่ยังชูหมัดขึ้นขู่อีกต่างหาก
แต่อีกฝ่ายกลับลอยหน้าลอยตาเอ่ยว่า
“กลัวตายละ ยายลิงดีดกะโหลกเอ๊ย”
“ไอ้…”
ดุจดาวรีบห้ามทั้งสองทันที
“พอๆ หยุดทะเลาะกันสักที พวกเธอนี่เจอหน้ากันทีไรก็จ้องแต่จะทะเลาะกันทุกที ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“เบื่อสิ! ถ้าเลือกได้ฉันก็ไม่อยากเจอหน้านายนี่หรอก” กนกนุชว่า
ส่วนต้นกล้าแยกเขี้ยวใส่คู่ปรับ
“แล้วคิดว่าฉันอยากจะเจอหน้าเธอนักหรือไง คนอะไรก็ไม่รู้ปากมอมที่สุดเลยอะ”
“ทำยังกับตัวเองปากไม่มอมนักละ ฉันว่านายน่ะปากมอมยิ่งกว่าฉันซะอีก โธ่เอ๊ย!”
“ฉันอยู่กับสองคนนี้ทีไรก็รู้สึกปวดหัวทุกที…นายคิดเหมือนฉันมั้ย นายกันต์” ดุจดาวหันไปถามกันต์
คนถูกถามพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงครับ ผมคิดเหมือนคุณ อยู่กับนายต้นกล้าและคุณกนกนุชแล้วรู้สึกปวดหัวมากๆ เลย ทางที่ดีสองคนนี้ไม่ควรอยู่ใกล้กัน เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่งอาจฆ่ากันตายได้”
“ไม่มีทาง!” ต้นกล้ากับกนกนุชตอบพร้อมกัน ก่อนจะสะบัดไปคนละทาง
ขณะที่ทั้งสองกำลังอารมณ์เดือดดาลก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นโทรศัพท์ของกนกนุชนั่นเอง เมื่อเห็นเบอร์โทรของมารดาปรากฏบนหน้าจอหญิงสาวรีบกดรับสายทันที
“ฮัลโหลค่ะคุณแม่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ยายนุช เมื่อไหร่ลูกจะกลับบ้านฮึ แม่ว่าจะชวนไปเลือกซื้อของที่ตลาดเพื่อเอามาไว้เตรียมทำอาหารนำไปทำบุญในวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบของการจากไปของพ่อแกน่ะ แกจำไม่ได้เหรอ” กมลวดีตอบกลับมา
“ตายจริง!” ผู้เป็นลูกสาวทำหน้าตกใจ ก่อนจะกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ว่า “หนูเกือบลืมเลยค่ะ แหม เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อตัวเองแท้ๆ ดันจะลืมซะนี่ หนูแย่จริงๆ เลย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูจะรีบกลับบ้านไปนะคะ ค่ะ สวัสดีค่ะ” แล้วหันไปทางเพื่อน “ยายดาว ฉันต้องรีบกลับบ้านแล้วละ แม่จะพาฉันไปซื้อของที่ตลาดน่ะ ต้องเตรียมของเอาไปทำบุญให้พ่อของฉันในวันพรุ่งนี้ เพราะเป็นวันครบรอบวันตายของพ่อฉัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันซะตรงนี้เลยนะครับ” กันต์บอก
ดุจดาวจึงเอ่ยถามว่า
“แล้วนายสองคนจะกลับกันยังไง”
“ตอนมาผมสองคนนั่งแท็กซี่มา เพราะฉะนั้นตอนกลับผมสองคนก็จะนั่งแท็กซี่กลับเหมือนเดิม”
“เดี๋ยวฉันไปส่งดีกว่า นายไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่หรอก”
“เอ่อ ไม่ต้องดีกว่าครับ ผมสองคนนั่งแท็กซี่กลับนั่นละดีที่สุดแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความเกรงใจ
“แต่…” หญิงสาวเกิดความลังเลขึ้นมา
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“คุณสองคนรีบกลับไปเถอะครับ เดี๋ยวแม่ของคุณนุชรอนานนะครับ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานมันไม่ดี”
“ใช่ เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณแม่ของฉันจะรอนาน” กนกนุชรบเร้า
ดุจดาวจึงพยักหน้า “โอเคจ้ะ ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะนะ”
“จ้ะ” เธอลุกขึ้น
ฝ่ายผู้เป็นเพื่อนลุกตาม แล้วเอ่ยกับกันต์และต้นกล้าว่า
“ฉันกับยายนุชกลับก่อนนะ ความจริงฉันก็อยากอยู่คุยกับพวกนายต่อ เพราะเรายังคุยกันไม่จบ”
“เดี๋ยวไว้คุยกันต่อวันอื่นนะครับ” กันต์บอก
“อืม โอเค ฉันไปละ” เอ่ยจบหญิงสาวกับกนกนุชก็เดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ไม่ไกล จากนั้นรถก็แล่นออกไป
เมื่ออยู่กันสองคนกันต์ก็เอ่ยกับเพื่อนหนุ่ม
“ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ”
“ว่า?” ต้นกล้าเลิกคิ้วสูงถามด้วยความแปลกใจ
“นายคิดว่านายจะตัดใจจากคุณดุจดาวได้จริงๆ ใช่มั้ย”
“ทำไมนายถึงถามแบบนั้นล่ะ”
“เอ่อ ฉันก็แค่อยากรู้เท่านั้นเอง” กันต์ตอบอย่างมีพิรุธ
แต่โชคดีที่ผู้เป็นเพื่อนไม่ได้สงสัยอะไร
“ฉันจะตัดใจทีละนิด ทีละนิด สักวันฉันจะต้องตัดขาดแน่นอน เพราะฉันรู้ตัวเองดีว่าฉันกับเขาอยู่กันคนละชั้น เราไม่คู่ควรกันหรอก ขืนดันทุรังจีบเขาต่อไปฉันอาจต้องเจ็บจนจุก เพราะเขาไม่ได้มีท่าทีสนใจฉันเลยสักนิด เฮ้อ!” ว่าแล้วก็ถึงกับคอตกด้วยความเซ็ง
อีกฝ่ายจึงตบไหล่ให้กำลังใจ
“ฉันเชื่อว่าสักวันนายจะต้องตัดใจจากคุณดาวได้แน่นอน เราควรเจียมตัวไว้หน่อยก็ดี รู้ว่าเขาอยู่ชั้นไหน แล้วเราอยู่ชั้นไหน การหักห้ามใจไม่ให้รักไม่ให้ชอบเขาต่อไปมันจะเป็นผลดีกับตัวเรา ที่สำคัญ เราจะได้ไม่เจ็บด้วย”
“รู้แล้วน่า นายอย่าตอกย้ำได้มั้ย ตอนนี้ฉันยิ่งรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจอยู่ด้วย”
“โอเคๆ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้ ปะ! เราไปหาแท็กซี่นั่งกลับบ้านดีกว่า” กันต์ยิ้มให้เพื่อน
ต้นกล้าพยักหน้า
“อืม ไปสิ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน
ต่อจากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปจากสวนสาธารณะเพื่อไปโบกแท็กซี่ที่ถนนใหญ่ซึ่งอยู่ไกลนัก เพื่อนั่งกลับบ้านไป
เมื่อกันต์กับต้นกล้ามาถึงบ้านก็เจอกับคุณหญิงกรองทิพย์ ชรัณกรและธมลวรรณที่นั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ทั้งสองยกมือไหว้ผู้มีพระคุณทั้งสามท่านด้วยท่าทางอ่อนน้อม จนผู้ใหญ่ทั้งสามท่านอดที่จะยิ้มด้วยความปลื้มไม่ได้เลยทีเดียว
“วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ธมลวรรณเอ่ยถามทันที
“ก็ดีครับ ยิ่งใกล้สอบยิ่งต้องติวเข้ม วันนี้แทบไม่ได้เรียนเลยครับ เพราะอาจารย์มัวแต่ติวหนังสือให้” กันต์เป็นคนตอบ
อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้
“ก็ดีแล้วละ ขยันติวจะได้สอบผ่าน จะได้เข้าคณะที่ตัวเองชอบได้”
“กันต์ ต้นกล้า พวกเธอนั่งลงก่อนสิ” ชรัณกรบอก
ด้วยความที่สองหนุ่มเป็นคนขี้เจียมตัวจึงปฏิเสธ
“เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”
“เป็นสิ” คุณหญิงกรองทิพย์ว่า “ผู้ใหญ่บอกให้นั่งก็นั่งเถอะ ขัดใจผู้ใหญ่มันไม่ดีนะรู้มั้ย พวกเธอนั่งลงเลยจ้ะ”
“เอ่อ ครับ” กันต์พยักหน้าและนั่งลงพร้อมกับต้นกล้าตรงโซฟาอีกตัว
ทันทีที่สองหนุ่มนั่งลงแล้วชรัณกรก็ยื่นถุงผ้าสีขาวสองใบให้
“รับไปสิ”
“อะไรครับ” ทั้งสองถามอย่างแปลกใจ
“รับไปเปิดดูแล้วพวกเธอจะรู้เอง” อีกฝ่ายว่า
กันต์กับต้นกล้าจำต้องรับมาทั้งที่รู้สึกงงระคนเกรงใจอยู่นิดๆ และไม่อยากให้ชรัณกรเสียน้ำใจจึงต้องรับของนั่นเอง แล้วก็พากันเปิดถุงผ้าดูของที่อยู่ในนั้น พวกเขาเห็นว่าเป็นกล่องโทรศัพท์ไอโฟนรุ่นล่าสุด
“นี่มันโทรศัพท์” กันต์เอ่ยอย่างอึ้งๆ ไป
ส่วนต้นกล้าก็อึ้งเช่นกัน
“โทรศัพท์จริงๆ ด้วย เป็นรุ่นล่าสุดที่เพิ่งออกมาใหม่”
“แพงขนาดนี้ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ เอาคืนไปเถอะครับ” อีกฝ่ายยื่นถุงผ้าคืนให้เจ้าของทันที
แต่ชรัณกรส่ายหน้าปฏิเสธไม่รับคืน
“ฉันให้พวกเธอแล้วมันก็ต้องเป็นของพวกเธอ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่รับคืนเด็ดขาด อ้อ แล้วถ้าพวกเธอไม่รับโทรศัพท์ที่ฉันซื้อให้ละก็ ฉันจะถือว่าพวกเธอเกลียดฉัน” เขาบอกแกมบังคับ
กันต์โบกมือพัลวัน
“ไม่ใช่นะครับ ผมสองคนไม่ได้เกลียดคุณชรัณกรและจะไม่มีวันคิดแบบนั้นด้วยครับ คุณชรัณกรกับคุณธมลวรรณ แล้วก็คุณหญิงกรองทิพย์คือผู้มีพระคุณของผมสองคน ให้ที่อยู่ที่กินพวกเรา…”
“ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่สามารถทดแทนบุญคุณของท่านทั้งสามคนไม่หมดหรอกครับ” ต้นกล้าเอ่ยอีกคน
คุณหญิงกรองทิพย์จึงบอกว่า
“ถ้าอยากทดแทนบุญคุณของพวกฉันก็รับโทรศัพท์นั่นไป แล้วอย่าได้ปฏิเสธสิ่งที่พวกฉันหยิบยื่นให้ เพราะพวกฉันหวังดีกับพวกเธอถึงได้ทำแบบนี้”
“เอ่อ…” สองหนุ่มเกิดความลังเลใจ
“รับไปเถอะจ้ะ อย่าคิดนานสิ เดี๋ยวคุณชรัณกรจะเสียน้ำใจเอานะ เพราะเขาตั้งใจซื้อให้พวกเธอจริงๆ นะจ๊ะ” ธมลวรรณรบเร้าให้ทั้งสองรับของ
กันต์จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ความจริงคุณชรัณกรไม่เห็นต้องซื้อของแพงๆ ให้พวกผมเลยนะครับ เพราะการที่คุณชรัณกรกับคุณธมลวรรณรับพวกผมมาอุปการะ ให้ที่ซุกหัวนอนมันก็เกินพอแล้วละครับ เราสองคนไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกแล้ว”
“อย่าคิดแบบนั้นสิ ที่ฉันซื้อโทรศัพท์แพงๆ ให้พวกเธอก็เพราะว่าฉันรักเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง ฉันให้พวกเธอก็เหมือนฉันให้ลูกของตัวเอง…กันต์ ต้นกล้า พวกเธอรับมันไปเถอะนะฉันขอร้อง” ชรัณกรถึงขั้นเกลี้ยกล่อมเลยทีเดียว
อีกฝ่ายนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ายอมรับของ
“ก็ได้ครับ ผมสองคนจะรับโทรศัพท์ที่คุณชรัณกรซื้อให้ ขอบคุณนะครับ” พร้อมทั้งยกมือไหว้ขอบคุณอีกต่างหาก
ต้นกล้าก็ยกมือไหว้เช่นกัน
“ผมก็ต้องขอบคุณคุณชรัณกรเช่นกันครับ ขอบคุณจริงๆ คุณชรัณกรเป็นคนที่ใจดีมากๆ เลยครับ”
“ไม่เป็นไรๆ เรื่องเล็กน้อยน่า ถ้าเธอสองคนอยู่กับฉันนานๆ ก็อาจจะได้มากกว่านี้นะ” ว่าแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วครับ ไม่ต้องให้อะไรพวกเราอีกหรอกครับ”
“ใช่ครับ แค่นี้ก็พอแล้วละครับ มันคุ้มเกินคุ้มจริงๆ”
“จ้ะ” ธมลวรรณยิ้มให้สองหนุ่มด้วยความเอ็นดู “เอาละ เดี๋ยวพวกเธอขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาทานอาหารค่ำกัน”
“ครับ ถ้างั้นผมสองคนขอตัวก่อนนะครับ” กันต์รีบลุกขึ้นทันที
ส่วนต้นกล้าก็ลุกตาม จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องรับแขกพร้อมกัน
คุณหญิงกรองทิพย์ ชรัณกรและธมลวรรณมองตามหลังสองหนุ่มแล้วยิ้มมีความสุขที่สุด ทั้งสามรู้สึกถูกชะตาและรู้สึกผูกพันกับกันต์และต้นกล้าอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายนักเชียว
“เด็กสองคนนั่นสามารถทำให้แม่มีความสุขได้ แม่ว่ามันไม่ธรรมดาเลยนะยายวรรณ ตากร” คุณหญิงกรองทิพย์เอ่ยกับลูกสาวและลูกเขย
ผู้เป็นลูกสาวก็เลยบอกว่า
“ถ้าเป็นไปได้วรรณก็อยากจะให้เด็กหนึ่งในสองคนนั่นเป็นลูกแท้ๆ ของวรรณกับคุณกรค่ะ เพราะวรรณรู้สึกถูกชะตากับพวกเขาเหลือเกิน”
“ถ้ามันเป็นไปได้ก็คงดี แต่คุณอย่าลืมว่าความจริงมันก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย” ชรัณกรว่า
อีกฝ่ายทำหน้าเศร้า
“นั่นสิ ความจริงมันก็คือความจริง เฮ้อ!”
“อย่าเศร้าไปเลยคุณวรรณ อีกไม่นานก็จะเจอลูกชายของเราแล้ว นักสืบที่ผมจ้างให้ช่วยตามหาลูกเขาโทร.มาบอกว่าได้เบาะแสแล้วว่าลูกอยู่ที่ไหน อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว”
“จริงเหรอคะ นี่คุณไม่ได้หลอกให้ฉันดีใจเล่นใช่มั้ย” เธอถามอย่างตื่นเต้น
ผู้เป็นสามีจับมือภรรยาแล้วยิ้มให้เธอ
“จริงสิ ผมไม่ได้หลอกคุณหรอก นักสืบเพิ่งจะโทร.มาบอกผมเมื่อเช้านี่เอง”
“ฉันตื่นเต้นจังเลยค่ะคุณ”
“แม่ก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แม่ใกล้จะได้เจอหลานของแม่แล้ว” คุณหญิงกรองทิพย์บอกอย่างตื่นเต้นและดีใจที่สุด
“อีกไม่นานครับคุณแม่ ได้เจอแน่นอนครับ”
“จ้ะ แม่จะรอ”
“ฉันก็จะรอค่ะ”
สองคนแม่ลูกต่างก็เอ่ยว่าจะรอลูกกับหลานที่ถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีที่ก่อน เพราะชรัณกรบอกว่าได้เบาะแสของลูกชายแล้ว โดยหารู้ไม่ว่าลูกชายของตัวเองก็คือกันต์คนที่พวกเขารับมาอุปการะนั่นเอง แต่สักวันทุกคนจะได้รู้ความจริง เมื่อถึงวันนั้นรับรองได้ว่าคุณหญิงกรองทิพย์กับธมลวรรณ และชรัณกรจะต้องดีใจมากแน่นอน แถมยังเซอร์ไพร้ส์อีกด้วยต่างหาก
ความคิดเห็น