ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ ๑๔ : หาเรื่อง

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 65


    เช้าวันใหม่

    กันต์กับต้นกล้าแต่งชุดนักศึกษาเดินลงบันไดมาชั้นล่างเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันเรียนปกติ เมื่อลงมาถึงชั้นล่างพวกเขาก็เจอกับฐากูรที่ดักรออยู่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะดักหาเรื่องโดยเฉพาะ

    “ไง! อยู่ในบ้านหลังใหญ่คงจะมีความสุขกันมากสินะ ก็แหงละ ก็คนมันเคยขลุกอยู่แต่ในวัดนี่ ไม่เคยได้อยู่ในที่ดีๆ แบบนี้ก็ต้องมีความสุขเป็นธรรมดา โธ่! เป็นคนกระจอกมานาน วันนี้ได้มาเป็น...”

    “ฐากูร...ฉันขอร้องล่ะ นายอย่ามาหาเรื่องพวกฉันเลย ถ้านายไม่ชอบพวกฉันเราก็แค่ต่างคนต่างอยู่ก็จบ นายอย่าพยายามมาระรานฉันกับต้นกล้าเลยนะ” กันต์เอ่ยอย่างขอร้อง

    อีกฝ่ายกอดอกและแค่นหัวเราะ พลางบอกว่า

    “ถ้าแกสองคนไม่อยากให้ฉันระรานก็เลิกยุ่งกับดุจดาวซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะคอยตามหาเรื่องพวกแกอยู่แบบนี้ละ”

    “ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ อะไรไม่ได้ดั่งใจก็โวยวาย คอยหาเรื่องคนอื่นตลอด ฉันถามนายหน่อยเหอะ เมื่อไหร่นายจะเลิกนิสัยแบบนี้สักที หา!” ต้นกล้าอดที่จะตอบโต้ไม่ได้เลย เพราะมันเหลืออดจริงๆ

    กันต์แตะไหล่เพื่อนเป็นเชิงห้าม พร้อมกับส่ายหน้า

    “ไม่เอาน่า นายกล้า พอเถอะ เราไปเรียนกันดีกว่า”

    “นายไม่เห็นเหรอว่านายกูรมันทำตัวไม่มีเหตุผล ทำตัวเหมือนเด็ก จะมาบอกให้เราเลิกยุ่งกับคุณดุจดาวแล้วจะหยุดระรานเรา โธ่เอ๊ย! เหมือนเอาสมองเด็กอนุบาลมาคิดเลยอะ”

    “มึง!!!” คนถูกต่อว่าชี้หน้าด้วยความไม่พอใจ

    แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องใหญ่โต ธมลวรรณก็เดินมาเห็นพอดี แล้วเธอก็เอ่ยถามหลานชายว่า

    “มีเรื่องอะไรกันฮึ! ทำไมถึงพูดจาหยาบแบบนี้”

    “ก็ไอ้กล้ามันมาว่าผมก่อนนี่ครับคุณอา” ฐากูรรีบฟ้องผู้เป็นอาทันที

    “แต่เท่าที่อาเดินมาได้ยิน เธอพูดจาหาเรื่องกันต์กับต้นกล้าก่อนนะ” เธอว่า

    อีกฝ่ายทำหน้าอึ้งไปเมื่อผู้เป็นอาไม่เข้าข้างตัวเอง

    “คุณอาเข้าข้างพวกมันทำไมครับ ผมเป็นหลานแท้ๆ ของคุณอานะครับ คุณอาต้องเข้าข้างผมสิถึงจะถูก”

    “อาไม่เข้าข้างคนที่ไม่มีเหตุผลและชอบระรานคนอื่น ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แพ้แล้วก็พาลคนอื่น อาบอกตามตรงว่าอาไม่ชอบเลยคนแบบนี้” ธมลวรรณเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความระอาในตัวหลานชายคนนี้เป็นที่สุด ก่อนจะหันไปพูดกับกันต์และต้นกล้า “เดี๋ยวพวกเธอไปที่ทานข้าวเช้าก่อนไปมหาวิทยาลัยนะ เขาถือว่าอาหารเช้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย มา! ตามฉันมานะ”

    “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ คือผมไม่หิวน่ะครับ ผมกับต้นกล้าไปมหาวิทยาลัยเลยดีกว่า” กันต์รีบปฏิเสธ

    “ถ้าไม่ทานเดี๋ยวจะปวดท้องเอาได้ ไม่หิวก็ต้องทานสักหน่อย ให้ข้าวลงท้องสักนิดก็ยังดีนะ” บอกแกมบังคับ

    แต่ต้นกล้าโบกมืออีกคน

    “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับคุณธมลวรรณ เดี๋ยวผมกับนายกันต์จะไปซื้อข้าวเหนียวกับหมูปิ้งแถวมหาวิทยาลัยทานเองครับ”

    “พวกเธอนี่ดื้อจริงๆ”

    “แสร้งทำตัวเป็นคนดีเข้าไป น่าหมั่นไส้จริงๆ” ฐากูรแขวะใส่คู่อริ

    “ฐากูร…” ธมลวรรณดุหลานชาย

    “อย่ามองว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัวเองสิ” ต้นกล้าว่า ก่อนจะหันไปทางเพื่อน “เราไปกันเถอะนายกันต์”

    กันต์พยักหน้า ก่อนจะบอกกับธมลวรรณว่า

    “ผมสองคนไปเรียนก่อนนะครับ”

    “แล้วพวกเธอจะไปกันยังไง เดี๋ยวฉันจะให้นายวิทย์ขับรถไปส่ง”

    “ไม่ได้นะครับคุณอา ผมก็จะให้ลุงวิทย์ไปส่งที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน” ฐากูรรีบบอกทันที

    แต่ผู้เป็นอาก็บอกว่า

    “เธอก็ให้กันต์กับต้นกล้านั่งรถไปด้วยจะเป็นไรไปฮึ!”

    “ผมไม่อยากนั่งรถคันเดียวกับพวกมันครับคุณอา”

    “เธอนี่มันเหลือเกินจริงๆ ตากูร” เธอส่ายหน้าระอา ก่อนจะหันไปทางกันต์และต้นกล้า “ถ้าฐากูรเขาไม่อยากให้ไปด้วยเดี๋ยวฉันจะขับรถไปส่งเธอสองคนเอง ไปสิ!”

    “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกเราจะนั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่าครับ” กันต์ปฏิเสธ ก่อนจะพยักหน้าให้เพื่อน “ไปกันเถอะ”

    จากนั้นสองหนุ่มก็ยกมือไหว้ผู้ที่อายุเยอะกว่า ก่อนจะพากันเดินออกไปอย่างรีบเร่ง โดยไม่ให้ธมลวรรณได้ทักท้วงเลยแต่อย่างใด

    “อะไรกันเนี่ย จะรีบร้อนอะไรขนาดนั้น ฉันอาสาจะไปส่งก็ไม่ยอม เฮ้อ!”

    “พวกมันกำลังแสร้งทำตัวเป็นคนดีครับคุณอา ทำเป็นเกรงอกเกรงใจ แต่แท้จริงแล้ว…” ฐากูรจะใส่ร้ายป้ายสีกันต์กับต้นกล้า

    แต่ผู้เป็นอาโบกไม้โบกมือห้าม

    “ถ้าเธอจะพูดให้ร้ายกันต์กับต้นกล้าละก็ เงียบไปเลย อ้อ แล้วก็ไปเรียนได้แล้วละ อาขอตัวก่อน” เอ่ยจบก็เดินออกไปทันที

    ชายหนุ่มมองตามหลังผู้เป็นอาไปด้วยความหงุดหงิด เพราะผู้เป็นอาเอาแต่เข้าข้างเด็กวัดอย่างกันต์กับต้นกล้า ทั้งที่เขาเป็นหลานแท้แต่กลับไม่เข้าข้างเขาเลย คิดแล้วมันน่าโมโหนักเชียว

    “สักวันผมจะทำให้พวกมันกระเด็นออกไปจากบ้านหลังนี้ แล้วผมจะทำให้คุณอาเห็นสันดานที่แท้จริงของพวกมัน คอยดูเอาเถอะครับ!”


    กันต์กับต้นกล้าลงจากรถแท็กซี่ตรงหน้ามหาวิทยาลัย แล้วจะพากันเดินเข้าไปด้านใน สองหนุ่มกำลังจะเดินไปก็ได้ยินเสียงบีบแตรรถจากด้านหลังของตัวเอง พวกเขารีบหันขวับไปมองทันที เมื่อเห็นว่าเป็นรถของใครก็ยิ้มออกอย่างดีใจ

    “อ้าว! คุณดุจดาว” ต้นกล้าเอ่ยทักเจ้าของรถที่กำลังนั่งจับพวงมาลัยไม่วางมือเลย พอละสายตาหันมามองฝั่งเบาะข้างคนขับก็ถึงกับหุบยิ้มเลยทันที เพราะเห็นกนกนุชนั่งอยู่ตรงนั้น

    เช่นเดียวกับเจ้าหล่อนที่หันหน้าไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ต้องการเห็นหน้าคนอย่างต้นกล้า

    แล้วดุจดาวก็เอ่ยถามสองหนุ่มว่า

    “พากันมามหาวิทยาลัยแต่เช้าเลยนะ ว่าแต่มากันยังไงเหรอ”

    “นั่งแท็กซี่มาครับ” ต้นกล้าตอบอีกเช่นเคย

    กนกนุชได้ยินก็แอบพึมพำกับตัวเอง แต่กะว่าอยากจะให้อีกฝ่ายได้ยินที่เธอพูดอีกด้วย

    “หน้าแบบนี้เนี่ยนะมีปัญญาจ่ายค่าแท็กซี่ โอ๊ย ฉันอยากขำ”

    “นี่ยายกนกหนู”

    “ฉันชื่อกนกนุชย่ะ กรุณาเรียกให้ถูกด้วย” เธอหันขวับไปมองเขาด้วยความไม่พอใจ

    “เออ นั่นละ เธอจะชื่ออะไรก็ช่าง แต่ที่เธอพูดเมื่อกี้ฉันได้ยินนะ” เขาบอก

    อีกฝ่ายเบะปากใส่

    “แล้วยังไง”

    “คุณชักจะดูถูกผมสองคนเกินไปแล้วนะ ถึงผมสองคนจะจนแต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเงินจ่ายค่าแท็กซี่นะ รู้ไว้ซะด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความไม่พอใจเช่นกัน

    “ใช่! ฉันดูถูกนาย แค่นายคนเดียวนะ นายกันต์ไม่เกี่ยวเลย”

    “ถ้าคุณดูถูกผมก็เท่ากับว่าคุณได้ดูถูกไอ้กันต์ด้วย เพราะผมกับมันมาด้วยกัน เป็นเพื่อนรักกัน”

    “จะเถียงกันทำไมเนี่ย เห็นมั้ยคนเพียบเลยน่ะ” กันต์บุ้ยปากไปทางกลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่หันมองมาดู ให้ต้นกล้ามองตาม

    เมื่อต้นกล้าเห็นก็เงียบไปทันที

    แล้วดุจดาวก็บอกกับทั้งสองว่า

    “เดี๋ยวฉันขอตัวเอารถไปจอด แล้วเตรียมตัวเข้าเรียนก่อนนะ อ้อ แล้วค่อยคุยกันต่อตอนเลิกเรียน”

    “ครับ” กันต์พยักหน้ายิ้มๆ

    จากนั้นดุจดาวก็ขับรถเข้าไปข้างในมหาวิทยาลัย ส่วนกันต์ก็จับไหล่เพื่อนพลางเอ่ยขึ้นว่า

    “เข้าไปข้างในกันเถอะนะ”

    “อืม โอเค” ต้นกล้าตอบรับ

    แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินกอดคอกันเข้าไปยังมหาวิทยาลัยด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลยทีเดียว


    “แม่จะทำยังไงดีนะ ให้ยายดาวเลิกยุ่งกับไอ้เด็กวัดกระจอกๆ สองคนนั่น” ดาริยานั่งปรึกษากับลูกชายในห้องรับแขกด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่ากำลังคิดหนักอยู่ สังเกตได้จากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเธอ

    ณัทธรจึงบอกกับมารดาว่า

    “คุณแม่ต้องพูดให้เด็ดขาดกับยายดาวไปเลยครับ บอกกับมันว่าถ้าไม่เลิกยุ่งกับไอ้เด็กวัดสองคนนั่นจะตัดแม่ตัดลูก เพียงแค่นี้ยายดาวมันก็ยอมทำตามคุณแม่แล้วละครับ”

    “แม่กลัวว่ามันจะไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ แม่รู้ดีว่ายายดาวมันดื้อรั้นแค่ไหน ถ้าจะให้มันเลิกยุ่งกับไอ้คนพวกนั้นมันคงไม่ง่ายหรอก แม่เคยพูดกับมันแล้วแต่มันไม่ยอม ยายดาวมันยืนยันที่จะคบกับไอ้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าต่อไป ตอนนี้แม่มืดแปดด้านแล้ว แม่ไม่รู้จะทำยังไง” เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    “ถ้างั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะจัดการให้เองครับ”

    “ลูกจะทำยังไง”

    “ในเมื่อห้ามยายดาวไม่ได้ ผมก็จะไปจัดการกับไอ้เด็กวัดสองคนนั่น เอาเงินฟาดหัวพวกมันสักหนึ่งแสนเพื่อให้เลิกยุ่งกับยายดาว รับรองว่าพวกมันไม่มีวันปฏิเสธแน่นอนครับคุณแม่”

    “นั่นสินะ โธ่ ลูกของแม่ช่างฉลาดจริงๆ เอาเลยลูก เอาเงินไปฟาดหัวพวกมันเลย เสียเงินหนึ่งแสนดีกว่าเสียยายดาวให้พวกมัน แค่นี้แม่ยอมได้” ผู้เป็นมารดาเห็นด้วยกับความคิดของลูกชาย

    ณัทธรพยักหน้ายิ้มๆ

    “ครับคุณแม่…คุณแม่เชื่อผมเถอะครับ ว่ามันสองคนจะรับเงินหนึ่งแสนของเรา เพราะมันสองคนไม่มีปัญญาที่จะมีเงินมากมายขนาดนี้หรอกครับ”

    “ใช่ คนจนๆ อย่างพวกมันจะมีเยอะแยะแบบนี้ได้ยังไง ต้องคนรวยๆ อย่างพวกเราสิถึงจะมีได้”

    “ถูกต้องครับคุณแม่”

    ขณะที่สองคนแม่ลูกกำลังคุยกันอยู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าห้อง

    “ดีแต่ใช้เงินฟาดหัวคนอื่น อย่างอื่นน่ะทำเป็นมั้ย”

    ดาริยากับณัทธรหันขวับไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูดก็ถึงกับหน้าซีดด้วยความตกใจ และอุทานพร้อมกัน

    “คุณสิทธิ์”

    “คุณพ่อ”

    ณพสิทธิ์เดินเข้ามานั่งบนโซฟาแล้วเอ่ยถามภรรยากับลูกชายว่า

    “ยายดาวมันจะคบกับเด็กวัดจนๆ แล้วมันเป็นยังไงเหรอ หา! คนจนก็ใช่ว่าจะเป็นคนชั่วคนเลวไปหมดทุกคนเสียเมื่อไหร่ หัดเปิดใจคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ก่อนจะตัดสินใจอะไร ไม่ใช่หลับหูหลับตาว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ”

    “ฉันพูดเรื่องจริงทั้งนั้น” ผู้เป็นภรรยาเถียง

    “อะไรคือเรื่องจริงของคุณ”

    “ไอ้เด็กวัดสองคนนั่นมันไม่มีหัวนอนปลายเท้า พ่อแม่ก็ไม่มี เป็นแค่เด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง แล้วนิสัยใจคอที่แท้จริงก็ไม่รู้เป็นยังไง แล้วแบบนี้คุณยังจะไว้วางใจให้พวกมันคบกับลูกของเราอยู่อีกเหรอคะ แต่ฉันไม่ยอมหรอกนะคะ”

    “ผมก็ไม่ยอมให้น้องไปเสี่ยงกับพวกมันเหมือนกันครับ”

    “ที่พูดกันมานี่เคยไปรู้จักตัวตนของเด็กสองคนนั่นแล้วเหรอฮึ! ก่อนที่จะพูดอะไรก็หัดไปสืบหาความจริงซะก่อนนะ ไม่ใช่สักแต่จะพูดเพียงเพราะมีอคติกับคนๆ นั้น โดยที่ไม่รู้ว่าความจริงมันเป็นแบบไหนน่ะ”

    “เอ๊ะ คุณสิทธิ์ นี่คุณจะมาว่าฉันกับลูกทำไม หา” เธอไม่พอใจสามี

    “ทำไมผมจะว่าไม่ได้ ที่ผมพูดน่ะเรื่องจริงทั้งนั้น คุณกับลูกน่ะไม่เคยเห็นหน้าสองคนนั่นเลย แล้วจู่ๆ ก็ไปว่าเขาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าตัวตนของพวกเขาเป็นยังไง”

    “แล้วคุณรู้นักหรือไงคะ”

    “ผมไม่รู้…แต่ผมก็ไม่เคยไปว่าใครสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนคุณกับตาณัท ต้องให้เห็นกับตาก่อนผมถึงพูด เพราะไม่งั้นอาจโดนเขาว่ากลับได้”

    “คุณพ่อเข้าข้างพวกมันเหรอครับ ลูกหลานก็ไม่ใช่สักหน่อย” ณัทธรรู้สึกไม่พอใจที่บิดาไปเข้าข้างกันต์กับต้นกล้ามากๆ

    ณพสิทธิ์ลุกพรวดด้วยท่าทางอารมณ์เสีย ก่อนจะเอ่ยว่า

    “ฉันไปดีกว่า คุยกับแกและแม่ของแกแล้วมันทำให้ฉันอารมณ์เสีย คนอะไรก็ไม่รู้ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย แย่จริงๆ” แล้วก็เดินออกไปทันที

    ดาริยามองตามหลังสามีไปด้วยความไม่พอใจ แล้วหันกลับมาทางลูกชาย

    “แกดูสิ ตาณัท พ่อของแกมาว่าเราสองคนแล้วก็เดินหนีไป แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ”

    “คุณพ่อเลือกที่จะเข้าข้างไอ้พวกที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า แทนที่จะเข้าข้างเราสองคนนะครับคุณแม่”

    “นั่นสิ พ่อของแกทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง” ผู้เป็นมารดาว่า

    “ผมว่าผมจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วละครับคุณแม่” ชายหนุ่มยิ้มร้ายอย่างมีแผน

    ดาริยาจึงเอ่ยถามลูกชายอย่างสงสัยว่า

    “ลูกจะทำอะไร ตาณัท”

    ณัทธรไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มให้มารดาเท่านั้น ขณะนี้เขามีแผนบางอย่างที่เก็บซ่อนอยู่ในใจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าแผนนั้นคืออะไร แต่สักวันเขาจะเอามันออกมาใช้แน่นอน!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×