ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑ : ข่าวดีของตระกูล ‘พิศาลธำรงษ์’ (รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 65


    คฤหาสน์ของตระกูล ‘พิศาลธำรงษ์’ เป็นคฤหาสน์หรูสไตล์ยุโรปตั้งอยู่ในซอยนวมินทร์๔๒...ด้านหน้าคฤหาสน์ปลูกต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์เพื่อสร้างความร่มรื่น ส่วนตรงกลางก็มีน้ำพุวงเวียน ทรง ๓ ชันตั้งตระหง่านจึงทำให้ที่นี่ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

    ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์คือคุณทะนง พิศาลธำรงษ์ ท่านเป็นทั้งเจ้าของคฤหาสน์หรูแห่งนี้และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ชื่อว่า ‘พิศาลธำรงษ์ เฮ้าส์ ไทยแลนด์’ เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการสร้างคอนโดฯ หรือบ้านทาวน์เฮาส์ให้คนทั่วไปได้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยกัน แต่ปัจจุบันคุณทะนงเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง คนที่รับช่วงดูแลบริษัทต่อก็คือคุณหญิงกรองทิพย์ ผู้เป็นภรรยาของท่านเอง

    คุณทะนงกับคุณหญิงกรองทิพย์มีลูกชายกับลูกสาวด้วยกันสองคน คนโตเป็นลูกชายชื่อว่าวิวัฒน์ ส่วนลูกสาวชื่อว่าธมลวรรณ ลูกทั้งสองเป็นคนดี บิดากับมารดาจึงรักและห่วงมากที่สุด แต่วิวัฒน์กับธมลวรรณนั้นได้แต่งงานมีภรรยาและสามีกันไปเรียบร้อยแล้ว

    วิวัฒน์มีภรรยาชื่อว่ามยุรี ทั้งสองแต่งงานมาได้ห้าปีแล้วแต่ยังไม่มีลูก เพราะพวกเขายังไม่อยากมีลูก ที่ยังไม่อยากมีก็เพราะว่าไม่พร้อม แล้วถ้าพร้อมเมื่อไหร่พวกเขาจะปรึกษาเรื่องมีลูกกันอีกที

    ส่วนธมลวรรณก็แต่งงานกับชรัณกรมาได้ ๓ ปีกว่าแล้วแต่ยังไม่มีลูก ฝ่ายภรรยามีลูกยาก แต่ชรัณกรไม่ละความพยายาม เขาจะมีลูกให้ได้ เขาพาภรรยาไปพบคุณหมอหลายต่อหลายครั้ง ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้มีลูกสมใจปรารถนาให้ได้ ต้องมีสักวิธีที่จะทำให้มีลูกได้สิ ทั้งสองมั่นใจอย่างนั้น

    แล้ววันนี้ชรัณกรกับธมลวรรณก็ได้นั่งปรึกษากันเรื่องมีลูกที่ศาลาหลังบ้าน พูดคุยกันอย่างเคร่งเครียดเลยทีเดียว โดยเฉพาะผู้เป็นภรรยาที่เอาแต่ทำหน้าเครียดตลอดเวลาที่พูดคุยกัน

    “ผมเชื่อนะคุณวรรณ ผมเชื่อว่าสักวันฟ้าจะต้องส่งเทพบุตรหรือเทพธิดาตัวน้อยๆ มาเกิดเป็นลูกของเรา คุณอย่าเพิ่งท้อนะคุณวรรณ” ชรัณกรจับมือภรรยาบีบเบาๆ ให้กำลังใจ

    ธมลวรรณพยักหน้าเบาๆ

    “ค่ะ ฉันจะไม่ท้อ ฉันจะรอว่าสักวันจะมีเด็กสักคนมาเกิดเป็นลูกของเรา ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงฉันก็พร้อมที่จะเลี้ยงเขาค่ะ”

    “คุณยิ้มหน่อยสิคุณวรรณ ไหนคุณบอกว่าจะไม่ท้อไง แต่ทำไมคุณถึงยังทำหน้าเครียดอยู่อีกล่ะ ยิ้มหน่อยนะ”

    “ค่ะ” เธอยิ้มให้สามี

    “นั่นละ มันต้องแบบนี้สิ” เขารู้สึกพอใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของภรรยา

    เพราะช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยได้เห็นรอยยิ้มของภรรยาเลย เห็นแต่ร่องรอยของความเครียดที่ปรากฏบนใบหน้าเธอเท่านั้น ที่เธอเครียดก็เพราะเรื่องมีลูกยากนี่ละ อยากมีลูกมากแต่ก็ไม่มีเสียที พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีเด็กคนไหนมาเกิดเป็นลูกของเขาและเธอเสียที จนเกือบจะท้อหลายต่อหลายครั้ง แต่ชรัณกรยังเชื่อว่าต้องมีสักวันที่จะมีเด็กสักคนมาเกิดเป็นลูกของเขาและภรรยา...สักวันหนึ่งละนะ

    “คุณกรคะ ตอนนี้ฉันรู้สึกอยากทานของเปรี้ยวๆ ค่ะ คุณช่วยไปหาให้ฉันทานทีได้มั้ยคะ” ธมลวรรณบอกกับสามี

    เมื่อได้ยินที่ภรรยาบอกชรัณกรก็อดที่จะทำหน้าแปลกใจไม่ได้เลย

    “แปลก! ปกติคุณไม่เคยชอบทานของเปรี้ยวนี่ แล้วทำไมจู่ๆ ตอนนี้คุณถึงอยากทานขึ้นมาล่ะ”

    ฝ่ายภรรยาส่ายหน้า

    “ฉันเองก็ไม่รู้สิคะ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกค่ะ มันจู่ๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะทานขึ้นมาทันที คุณอย่าเพิ่งถามอะไรฉันเลย คุณรีบไปหามาให้ฉันทานเถอะนะคะ”

    “ได้สิ” เขาพยักหน้า แล้วบังเอิญจิตใจ ซึ่งเป็นคนรับใช้เดินผ่านมาพอดีเขาจึงเรียก “จิตใจๆ มานี่หน่อยสิ”

    จิตใจเดินเข้ามาหาเจ้านายทันที

    “มีอะไรให้จิตใจรับใช้คะคุณชรัณกร”

    “เดี๋ยวเธอช่วยไปหาของเปรี้ยวๆ มาให้คุณวรรณทานหน่อยนะ จะเอามะม่วงหรืออะไรก็ได้ รีบไปเอามาเลย” เขาบอกกับคนรับใช้

    จิตใจพยักหน้ารับทราบ

    “ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

    “รีบๆ ล่ะ คุณวรรณเธอหิวแล้ว”

    “ค่ะ” แล้วคนรับใช้วัยกลางคนก็รีบเดินออกไปทันที

    เมื่อคนรับใช้เดินออกไปแล้วชรัณกรก็บอกกับภรรยาว่า

    “รอหน่อยนะคุณวรรณ จิตใจกำลังไปเอาของเปรี้ยวๆ มาให้”

    “ค่ะ” ธมลวรรณตอบยิ้มๆ

    ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งคุยกันอยู่คุณหญิงกรองทิพย์ก็เดินเข้ามาหาลูกสาวและลูกเขย ท่านยิ้มให้ทั้งสอง

    “พากันมานั่งอยู่ที่นี่เอง”

    “เอ่อ คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ” ผู้เป็นลูกสาวเอ่ยถามมารดาด้วยความแปลกใจ

    ผู้เป็นมารดานั่งลงใกล้กับลูกสาวและลูกเขย ก่อนจะเอ่ยว่า

    “ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะ แม่แค่อยากจะถามว่าเมื่อไหร่แกสองคนจะมีหลานให้แม่อุ้มสักที แม่กลัวจะไม่ได้อุ้มหลานก่อนตาย ถ้าเป็นอย่างนั้นแม่คงนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ เลย”

    “ไม่เอาสิคะคุณแม่ คุณแม่อย่าพูดถึงความตายอีกนะคะ หนูฟังแล้วรู้สึกใจคอไม่ดีเลยค่ะ คุณแม่น่ะยังอยู่กับหนูและพี่วัฒน์อีกนาน” ธมลวรรณว่า

    “เอาแน่เอานอนกับชีวิตของคนไม่ได้หรอก วันนี้เห็นยังดีๆ อยู่ แต่ใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ความตายน่ะมันไม่ได้บอกเราล่วงหน้าหรอกนะ แต่มันอยู่ใกล้เราแค่เอื้อมนี่เอง เราจะตายวันไหนยังไม่รู้เลย แต่ก่อนตายขอให้แม่ได้อุ้มหลานก่อนเถอะนะ” ท่านบอกยิ้มๆ

    ผู้เป็นลูกสาวทำหน้าเศร้าเมื่อมารดาเอ่ยถึงความตาย เธอไม่อยากให้คนที่รักต้องจากไป เธออยากให้คนที่เธอรักทุกคนอยู่กับเธอไปนานๆ นานเท่าที่จะนานได้ มารดามักจะเอ่ยกับเธอทุกวันๆ ว่าอยากจะอุ้มหลาน เธอเองก็อยากจะมีลูกมากเหมือนกัน แต่ทำไมนะทำไมถึงไม่มีเด็กคนไหนอยากจะมาเกิดในท้องของเธอเลย หรือว่าคนอย่างเธอมันเป็นคนบาปจึงไม่มีเด็กคนไหนอยากมาเกิดเป็นลูกเธอ แต่เธอก็ไปเข้าวัดทำบุญทุกวันและขอพรจากพระประธานโบสถ์ว่าขอให้เธอมีลูกสมปรารถนาเสียที แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีลูกเลย เธอกับชรัณกรเคยไปปรึกษาหมอมาแล้ว หมอบอกเพียงว่าให้เธอดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงแล้วถ้าเด็กอยากจะมาเกิดเป็นลูกเธอเดี๋ยวเขาก็มาเอง แต่ถ้านานเกินไปจนรอไม่ไหวก็คงต้องทำกิ๊ฟท์แล้วละ เธอก็เลยต้องรอจนถึงวันนี้นั่นเอง

    “หนูคงเป็นคนไม่มีบุญมั้งคะคุณแม่ ก็เลยไม่มีเด็กคนไหนอยากจะมาเกิดเป็นลูกของหนู หนูมันบาปค่ะคุณแม่” เอ่ยจบธมลวรรณก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ และนึกสมเพชตัวเองที่ไม่มีลูกเสียที

    คุณหญิงกรองทิพย์ขยับเข้าไปใกล้ลูกสาวและกอดปลอบใจ ลูบศีรษะลูกสาว ท่านก็พลอยร้องไห้ตามลูกสาวด้วย

    “อย่าว่าตัวเองแบบนี้สิลูก ลูกของแม่ไม่ใช่คนบาปอะไรหรอก เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เด็กสักคนจะมาเกิดเป็นลูกของแก เชื่อแม่เถอะนะว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เด็กคนนั้นจะมาเกิดเป็นลูกของแก แกอย่าเพิ่งท้อนะยายวรรณ อดทนรอหน่อยนะลูก นะ...เชื่อแม่นะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไม่ต้องเสียใจไปหรอก”

    “ค่ะ คุณแม่” เธอรีบปาดน้ำตาทิ้งไป

    ผู้เป็นมารดาเองก็ปาดน้ำตาทิ้งเช่นกัน ท่านยิ้มให้ลูกสาว

    “ดีมากเลยลูก แกต้องทำตัวให้แข็งแรงเพื่อรอเด็กสักคนมาเกิดเป็นลูกของแกนะ”

    “ค่ะ” ธมลวรรณพยักหน้ายิ้มจางๆ

    แล้วจิตใจก็เอามะม่วงเปรี้ยวที่จัดใส่จานอย่างสวยงามมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้ม

    “จิตใจหาได้แต่มะม่วงค่ะ จิตใจเอาแค่มะม่วงมาเสิร์ฟคุณธมลวรรณ”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันทานแค่มะม่วงก็ได้ ฉันทานพอแต่ให้มันหายหิวเท่านั้น”

    “ค่ะ” แล้วจิตใจก็เดินออกไปทันที

    คุณหญิงกรองทิพย์มองลูกสาวสลับกับจานมะม่วงด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยว่า

    “แม่ว่ามันชักจะยังไงๆ อยู่นะ เพราะจู่ๆ แกก็อยากทานของเปรี้ยวๆ ขึ้นมา”

    “หนูเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันค่ะคุณแม่ จู่ๆ วันนี้หนูก็รู้สึกอยากจะทานของเปรี้ยวๆ ซะอย่างนั้น ทั้งที่หนูไม่เคยจะชอบทานของพวกนี้เลยค่ะ” ผู้เป็นลูกสาวว่า

    “แม่พอจะรู้แล้วละว่าสาเหตุที่ทำให้แกอยากทานของเปรี้ยวมาจากอะไร” ท่านยิ้มราวกับรู้อะไรบางอย่าง

    อีกฝ่ายทำหน้างงๆ

    “สาเหตุมาจากอะไรเหรอคะคุณแม่”

    “แม่ว่าแกท้องชัวร์เลยยายวรรณ แม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็น เพราะคนท้องเขาชอบทานของเปรี้ยวๆ เหมือนตอนที่แม่ตั้งท้องแกแม่ก็ชอบทานของเปรี้ยว แล้วแม่เองก็ทานเยอะด้วย เยอะจนพ่อของแกหาให้ทานแทบไม่ทันแน่ะ”

    “หา! จริงเหรอครับคุณแม่” ชรัณกรรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินที่แม่ยายบอก

    คนถูกถามพยักหน้า

    “จริงสิ แม่ไม่โกหกแกสองคนหรอก แม่น่ะอาบน้ำร้อนมาก่อนแกสองคน แม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แกเชื่อแม่เถอะตากร ยายวรรณท้องแน่นอน แกพายายวรรณไปตรวจกับหมอเลยจะได้รู้ผลจริงๆ สักที”

    แล้วจู่ๆ ธมลวรรณก็ทำท่าจะอาเจียน นั่นยิ่งทำให้ผู้เป็นมารดามีความรู้สึกมั่นใจว่าลูกสาวกำลังจะตั้งครรภ์จริงๆ

    “แบบนี้มันยิ่งทำให้แม่มั่นใจว่าแกท้องแน่นอน ไปให้คุณหมอตรวจเถอะ ถ้าแกท้องจริงๆ ก็นับว่าเป็นข่าวดีของแม่เลยละ เพราะนั่นก็หมายความว่าแม่กำลังจะได้หลานคนแรก”

    ธมลวรรณทนนั่งพะอืดพะอมไม่ไหวอีกแล้ว เธอรีบลุกไปอาเจียนตรงพุ่มไม้ทันที แล้วอาเจียนออกเยอะด้วย ชรัณกรรีบลุกตามไปลูบหลังภรรยา

    “ดีขึ้นหรือเปล่าคุณวรรณ”

    “ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” ผู้เป็นภรรยาบอก ก่อนจะลุกขึ้น แต่ขณะที่กำลังจะลุกเธอก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะจะล้มลง

    ผู้เป็นสามีรับภรรยาไว้ไม่ให้ล้ม

    “คุณเป็นอะไรเหรอคุณวรรณ”

    “ฉันรู้สึกเวียนหัวค่ะ” เธอตอบ

    คุณหญิงกรองทิพย์จึงลุกเดินไปบอกลูกเขยว่า

    “ตากร แม่ว่าแกรีบพายายวรรณไปหาคุณหมอก่อนดีกว่านะ ไปให้คุณหมอตรวจเช็คให้ละเอียดอีกทีว่าเป็นอะไรกันแน่ ท้องหรือว่าเป็นอะไร แต่สำหรับแม่แล้วแม่ว่ายายวรรณท้องชัวร์ แต่ถึงยังไงก็ต้องฟังจากปากของคุณหมออีกที”

    “ครับ คุณแม่” ชรัณกรพยักหน้า แล้วก็บอกกับภรรยาว่า “เดี๋ยวผมจะพาคุณไปหาหมอนะ”

    ผู้เป็นภรรยายิ้มให้สามี

    “ค่ะ คุณกร”

    “ถ้างั้นผมขอตัวพาคุณวรรณไปหาคุณหมอก่อนนะครับคุณแม่” เขาบอกกับแม่ยาย

    คุณหญิงกรองทิพย์พยักหน้ายิ้มๆ ให้ลูกเขย

    “จ้ะ รีบพายายวรรณไปเถอะ”

    “ไปครับคุณวรรณ” ผู้เป็นสามีประคองภรรยาเดินออกไปจากตรงนั้นทันที

    ประมุขของบ้านมองตามหลังลูกสาวและลูกเขยพลางยิ้มมีความหวัง ท่านเอ่ยว่า

    “แม่หวังว่าแม่จะได้รับข่าวดีนะ”


    ณ แผนกสูตินรีแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนอันมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในประเทศ...

    ชรัณกรกับธมลวรรณสองสามีภรรยากำลังนั่งรอผลตรวจการตั้งครรภ์อย่างใจจดจ่อ พวกเขาสองสามีภรรยาแต่งงานกันมานาน หวังว่าจะมีทายาทสืบสกุลสักคน แต่ดูเหมือนสวรรค์ไม่เคยเข้าข้างเลยสักครั้ง จนกระทั่งถึงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานหลายปีก็ไม่มีวี่แววว่าจะสมหวังสักครั้ง

    ทว่าชรัณกรกับธมลวรรณไม่เคยละความพยายาม พวกเขาทำทุกวิถีทางที่จะได้ทายาทผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขมาเลี้ยง แม้ต้องยอมจ่ายเงินหลักแสนในการทำกิ๊ฟท์ก็ตาม

    “หมอขอแสดงความยินดีกับคุณสองคนด้วยนะคะ ตอนนี้คุณธมลวรรณตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วค่ะ”

    “จริงเหรอครับคุณหมอ ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย” ชรัณกรเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ สีหน้าเขาแทบเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่

    “จริงค่ะ นี่คือเอกสารยืนยันผลการตรวจ” แพทย์หญิงผู้ดูแลรับผิดชอบแผนกการมีบุตรยากยื่นเอกสารฉบับหนึ่งไปให้

    ชรัณกรรับมาดู เขาอ่านข้อความในเอกสารกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะส่งให้ภรรยาดูบ้าง ใบหน้าแสดงออกว่าทั้งดีใจและตื่นเต้น

    “ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้ว ผมสมหวังแล้ว ไชโย!” ชรัณกรดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ จนลืมไปว่าตอนนี้อยู่ในห้องตรวจครรภ์ แม้กระทั่งธมลวรรณเองก็อดที่จะร้องไห้ด้วยความดีใจไม่ได้

    “หมอขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะคะ คุณต้องดูแลเอาใจใส่ภรรยาของคุณให้เป็นอย่างดีค่ะ ทั้งเรื่องอาหารการกินและระวังเรื่องการเดินเหินให้มากๆ เพราะในช่วงสองสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์เป็นช่วงที่มีอัตราความเสี่ยงในการแท้งสูง ถึงวันนัดตรวจครรภ์ก็ให้มาตามนัดอย่าได้ขาด หากมีปัญหาอะไรสามารถโทร. มาปรึกษาแพทย์ที่แผนกของเราได้ทุกเมื่อนะคะ”

    “ขอบคุณค่ะ คุณหมอ”

    “ขอบคุณมากครับ ผมจะดูแลเอาใจใส่ภรรยาของผมให้ดีที่สุด” ทั้งสองไหว้ขอบคุณพร้อมกัน

    “ดีแล้วค่ะ การเอาใจใส่มารดาที่ตั้งครรภ์ ใครก็ไม่ดีเท่าสามี ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณทั้งสองไปรับยาบำรุงครรภ์ที่เคาน์เตอร์ก่อนแล้วกลับบ้านได้เลยนะคะ”

    “ครับ ถ้างั้นผมกับภรรยาขอตัวก่อนนะครับ”

    “ค่ะ สวัสดีค่ะ”

    “สวัสดีครับ”

    “สวัสดีค่ะ คุณหมอ”

    ชรัณกรกับธมลวรรณยกมือไหว้ทั้งกล่าวลาแพทย์หญิง ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง โดยผู้เป็นสามีประคองภรรยาเดินไปตลอดทาง

    ในที่สุดก็มีเด็กสักคนมาเกิดเป็นลูกของพวกเขาเสียที อีกไม่กี่เดือนบ้านก็จะครึกครื้นไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว เพราะว่ามีเด็กน้อยมาสร้างความสุขในบ้าน หากคุณหญิงกรองทิพย์รู้ว่าลูกสาวกับลูกเขยกำลังจะมีหลานให้ท่านได้เลี้ยงดูอุ้มชู ท่านคงจะดีใจมาก เพราะท่านเองก็เฝ้ารอวันนี้มานานแล้วเช่นกัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×