ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๘ : พ่อแม่ลูกเจอกัน

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    ถ้าธมลวรรณจะรู้สึกเช่นนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่ากันต์คือลูกชายของเธอที่ถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้วนั่นเอง ทำให้สายใยผูกพันของแม่ลูกเชื่อมโยงถึงกันและกลายเป็นความรู้สึกถูกชะตา โดยที่ยังไม่รู้ความจริงว่าเป็นแม่เป็นลูกกัน ธมลวรรณจึงทำได้แค่สงสัยเท่านั้น ถ้าวันหนึ่งเธอรู้ความจริงทุกอย่างก็จะกระจ่างเองว่าทำไมตัวเองถึงรู้แบบนี้ แล้วเมื่อถึงวันนั้นเธออาจดีใจที่สุดเลยละ

    กันต์อึ้งกับคำตอบที่ได้รับจึงเอ่ยถามว่า

    “คุณน้าว่าอะไรนะครับ”

    “น้าบอกว่าน้ารู้สึกถูกชะตากับพ่อหนุ่มจ้ะ น้าเหมือนเคยเจอพ่อหนุ่มมานานแสนนาน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าคลับคล้าคลับคลาเท่านั้นเอง” ธมลวรรณบอก

    “แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่เคยเจอคุณน้ามาก่อนแน่นอนครับ เพราะผมกับเพื่อนเป็นเพียงแค่เด็กวัดจนๆ ส่วนคุณน้าเป็นถึงไฮโซแล้วเราจะเคยเจอกันได้ยังไงครับ เราอยู่คนละระดับ” ชายหนุ่มว่า

    “อะไรนะ พ่อหนุ่มกับเพื่อนเป็นเด็กวัดอย่างนั้นเหรอจ๊ะ” เธออึ้งไปที่รับคำตอบจากอีกฝ่าย

    กันต์พยักหน้า

    “ครับ ผมกับเพื่อนเป็นเด็กวัด”

    “อยู่วัดไหนเหรอจ๊ะ วัดแถวนี้หรือเปล่าฮึ”

    “วัดพระแก้วครับ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็อยู่แถวนี้น่ะสิจ๊ะ”

    “ครับ ใช่ครับ”

    “เอ่อ อย่าหาว่าน้าละลาบละล้วงเลยนะ พ่อหนุ่มสองคนมีพ่อแม่หรือเปล่าจ๊ะ น้าขอโทษนะที่ถามแบบนี้”

    “ไม่มีหรอกครับ ผมสองคนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่เอาไปทิ้งที่วัด” คนที่ตอบคือต้นกล้าเอง

    ธมลวรรณมองเด็กวัดทั้งสองด้วยความสงสารที่สุด

    “โถ พ่อหนุ่มทั้งสองคนช่างน่าสงสารเหลือเกินนะจ๊ะ ทำไมคนเป็นพ่อเป็นแม่พวกเธอถึงใจร้ายจัง ทิ้งลูกได้ลงคอ”

    “เอ่อ ว่าแต่คุณน้าถามทำไมเหรอครับ” กันต์เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

    ในใจของชายหนุ่มก็รู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่เอ่ยออกมาเท่านั้นเอง ได้แต่เก็บความสงสัยไว้คนเดียว โดยที่เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้คือมารดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง เป็นผู้ที่ให้กำเหนิดเขาแต่ก็ไม่ได้เลี้ยงดูเพราะถูกขโมยไปเสียก่อน สองคนแม่ลูกเจอกันแล้วแต่ไม่รู้ความจริงว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร มีเพียงความรู้สึกผูกพันระหว่างสองคนเท่านั้น ถ้าฟ้าไม่ใจร้ายเกินไปสักวันพ่อแม่ลูกคงจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน และจะได้รู้ความจริงเสียที

    อีกฝ่ายส่ายหน้ายิ้มๆ

    “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ น้าแค่อยากจะรู้เท่านั้นเอง”

    “ถ้าอย่างนั้นผมกับเพื่อนขอตัวไปซื้อของไปให้หลวงตาก่อนนะครับ สวัสดีครับ” เขาว่า พลางยกมือไหว้หญิงวัยห้าสิบกว่าๆ

    ส่วนต้นกล้าก็ยกมือไหว้เช่นกัน

    “สวัสดีครับ คุณน้า”

    สองหนุ่มเด็กวัดหันหลังจะเดินไปที่ตลาดสดแต่ถูกธมลวรรณเรียกไว้

    “เดี๋ยวก่อนจ้ะ”

    ทั้งสองหันกลับมา

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” กันต์ถาม

    แล้วธมลวรรณก็ถามกลับว่า

    “พวกเธอชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”

    “ผมชื่อกันต์ครับ”

    “ส่วนผมชื่อต้นกล้าครับ” ทั้งสองแนะนำตัว

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “จ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

    กันต์กับต้นกล้ายิ้มตอบ

    “ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

    ธมลวรรณล้วงในกระเป๋าและดึงธนบัตรใบละพันออกมาจำนวนสามใบ แล้วยื่นให้เด็กวัดทั้งสอง

    “นี่จ้ะ ค่าตอบแทนที่พวกเธอช่วยตามเอากระเป๋าคืนมาให้น้าจนได้ รับไปเถอะจ้ะ”

    “พวกผมรับไม่ได้ครับ เพราะพวกผมไม่ได้ช่วยใครเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ที่ช่วยเพราะว่าอยากช่วยในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันครับ” กันต์ปฏิเสธเสร็จก็ดึงมือเพื่อนเดินออกไปทันที

    ธมลวรรณมองตามเด็กวัดทั้งสองแล้วเอ่ยกับตัวเองว่า

    “ช่างเป็นคนดีจริงๆ ทำไมพ่อแม่ของเด็กสองคนนั้นทิ้งลูกได้ลงคอ ดูสิ โตขึ้นเป็นคนดีของสังคม ถ้าพ่อแม่ของพวกเขารู้ทีหลังคงเสียใจแย่เลยที่ตัดสินใจเอาลูกมาทิ้งตั้งแต่แบเบาะ คิดไปคิดมาฉันชักจะอยากอุปการะเด็กที่ชื่อกันต์แล้วละสิ ฉันรู้สึกถูกชะตากับเขาเหลือเกิน หรือว่าฉันกับเด็กวัดคนนั้นมีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอกนะ นี่ถ้ากลับไปถึงบ้านฉันต้องคุยกับคุณกรเรื่องนี้สักหน่อยแล้ว” เธอรู้สึกปลื้มใจแทนบิดามารดาของพวกเขามาก

    โดยเฉพาะเด็กวัดที่ชื่อกันต์ซึ่งเธอปลื้มใจเป็นพิเศษ ธมลวรรณเองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเช่นนี้ ในความเป็นจริงคือเธอกับกันต์เป็นแม่ลูกกัน แต่ด้วยความที่เธอไม่รู้จึงได้แค่สงสัยเท่านั้น คาดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวก็รู้เอง

    อีกหนึ่งสิ่งที่ธมลวรรณอยากจะทำก็คือ…เธออยากอุปการะเด็กวัดที่ชื่อกันต์ เพราะถูกชะตาเขาตั้งแต่แรกเห็นนั่นเอง ด้วยเหตุผลนี้เหตุผลเดียวที่ทำให้เธออยากทำในสิ่งนี้ แล้วเธอจะต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษาชรัณกร ถ้าเกิดเขาเห็นด้วยเธอก็จะพาเขาไปคุยกับหลวงตาในวัดที่กันต์อาศัยอยู่ เพื่อขออุปการะเด็กวัดคนนี้ต่อไป แล้วธมลวรรณก็เดินกลับไปที่รถทันที

     

    “ดูเหมือนว่าคุณน้าคนนั้นเขาจะสนใจอะไรในตัวนายนะโว้ย ไอ้กันต์” ต้นกล้าเอ่ยกับกันต์หลังจากกลับมาถึงวัดแล้ว เมื่อเอาของไปให้หลวงตาเสร็จก็พากันมานั่งเล่นตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่แสนจะร่มรื่นทีเดียว

    กันต์จึงเอ่ยถามเพื่อนอย่างสงสัยว่า

    “เขาจะสนใจอะไรในตัวฉันวะ ฉันก็แค่เด็กวัดหนึ่งเท่านั้น เอ๊ะ หรือว่านายคิดว่าเขา…”

    “ไม่ใช่ๆ ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้น” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธพัลวัน

    “แล้วนายคิดยังไง”

    “ก็ตอนแรกเขามองหน้านายอยู่นานสองนานราวกับทำตัวเป็นเครื่องสแกนอย่างนั้นละ แล้วยังพูดอีกว่ารู้สึกถูกชะตากับนาย ฉันก็เลยคิดว่าเขาคงจะสนใจอะไรบางอย่างในตัวของนายน่ะสิ เอ๊ะ หรือว่าเขาอาจเป็นแม่ของนายก็ได้ เขาก็เลยรู้สึกถูกชะตากับนายไง”

    “เหลวไหลใหญ่แล้วนาย มันเป็นไปไม่ได้หรอก”

    “แล้วถ้ามันมีทางเป็นไปได้ล่ะ”

    “ฉันขอยืนยันว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เลิกพูดสักทีเถอะ”

    “ทำไมนายต้องหงุดหงิดด้วยวะ นายไม่อยากเจอแม่ของนายหรือไง”

    “แล้วนายล่ะ…นายอยากเจอแม่ของนายหรือเปล่า” กันต์ย้อนถามเพื่อน

    ต้นกล้าพยักหน้า

    “อยากเจอสิ ฉันอยากเจอท่านมาก อยากตอบแทนพระคุณท่านที่ทำให้ฉันได้เกิดมาลืมตาดูโลก ถึงแม้…พอฉันคลอดท่านก็เอาฉันมาทิ้งที่นี่ก็ตาม แต่ถ้าไม่ได้พ่อกับแม่ฉันก็คงไม่ได้เป็นตัวเป็นตนแบบนี้หรอก”

    “แต่สำหรับฉัน…ฉันไม่อยากเจอทั้งพ่อและแม่ เกลียดพวกเขาที่ใจร้ายเอาฉันมาทิ้ง ถ้าแม่ไม่อยากให้ฉันเกิดมาแล้วทำไมเขาถึงไม่ทำให้ฉันตายตั้งแต่อยู่ในท้องเลยล่ะ เขาปล่อยให้ฉันเกิดมาทำไม…พอฉันเกิดก็เอาฉันมาทิ้ง ทำไมวะ” เอ่ยจบกันต์ก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ

    เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่รักไม่ต้องการเขาถึงได้เอาลูกอย่างเขามาทิ้ง โดยหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วมีคนขโมยเขามาทิ้งต่างหาก แล้วคนๆ นั้นก็คือลุงแท้ๆ ของเขาเอง พ่อแม่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเลย พวกท่านไม่ได้เป็นคนเอาเขามาทิ้ง แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงกันต์ก็ยังคงคิดเช่นนี้ต่อไปอีกนั่นละ

    ต้นกล้ามองเพื่อนด้วยความสงสารเป็นที่สุด ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

    “ฉันคิดว่าพ่อแม่ของนายกับฉันอาจไม่ได้ตั้งใจเอาเราสองคนมาทิ้งก็ได้นะโว้ย พวกท่านอาจมีความจำเป็นบางอย่าง”

    อีกฝ่ายปาดน้ำตาทิ้งพลางบอกว่า

    “แต่ฉันกลับไม่คิดเหมือนนาย ฉันคิดว่าพวกเขาเห็นแก่ตัวมากกว่า พอเห็นว่าเราสองคนคลอดออกมาแล้วรู้สึกว่าเลี้ยงไม่ได้ก็เลยเอามาทิ้งไง”

    “ตราบใดที่เรายังไม่รู้ความจริงก็อย่าไปว่าท่านอย่างเสียๆ หายๆ เลย มันบาปนะ”

    “แล้วที่พวกเขาเอาเรามาทิ้งมันไม่บาปกว่าหรือไง”

    “เอาเถอะ ฉันว่าเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า พูดไปก็เครียดเปล่าๆ เดี๋ยวเราไปเตรียมจัดอาหารเพลไว้ให้พระดีกว่า นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาฉันเพลแล้ว” ต้นกล้าก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วบอกกับเพื่อน

    กันต์พยักหน้า

    “อืม ถ้าอย่างนั้นก็ไปสิ”

    แล้วทั้งสองก็ลุกเดินออกไปจากม้าหินอ่อนทันที เพื่อไปเตรียมอาหารเพลไว้พระฉัน เพราะใกล้จะถึงสิบเอ็ดนาฬิกาแล้วนั่นเอง

     

    “คุณคะ ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาคุณค่ะ” ธมลวรรณเอ่ยกับสามีขณะกำลังจะเข้านอนแล้ว

    ชรัณกรมองหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถามว่า

    “คุณจะปรึกษาผม เรื่องอะไรเหรอ”

    “คือเมื่อเช้าฉันไปของที่ตลาดสดแล้วถูกโจรวิ่งราวกระเป๋าค่ะ แต่โชคดีที่ได้เด็กวัดสองคนไปช่วยตามเอากระเป๋าจากโจรมาคืนให้ฉันจนได้ พวกเขาชื่อกันต์กับต้นกล้า แล้วฉันก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กวัดที่ชื่อกันต์มากเลยค่ะ ครั้งแรกที่เจอเขาฉันรู้สึกคลับคล้าคลับคลาว่าเคยเจอพ่อหนุ่มคนนั้นมานานแสนนาน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน อ้อ แล้วตอนที่ฉันให้เงินค่าตอบแทนเขาก็ไม่รับอีกต่างหากนะคะ แต่ที่ฉันคิดว่าน่าสนใจมากที่สุดก็คือเขาชื่อเหมือนลูกชายของเราด้วยค่ะ” เธอเล่าเหตุการณ์ตอนที่ไปเดินซื้อของที่ตลาดสดให้สามีฟัง

    “นั่นสินะ ชื่อเหมือนลูกชายของเราจริงๆ ด้วย เอ่อ เดี๋ยวนะๆ เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณถูกวิ่งราวกระเป๋างั้นเหรอ”

    “ค่ะ ใช่ค่ะ แต่โชคดีที่เด็กวัดสองคนนั่นมาช่วยฉัน”

    “แล้วถ้าพวกเขามาช่วยคุณไม่ทันล่ะ คุณอาจสูญเสียทั้งกระเป๋าและอาจเจ็บตัวด้วย ไม่เอานะ คราวหน้าถ้าคุณจะไปซื้อของที่ตลาดคุณต้องพาละอองไปด้วยนะ ผมเป็นห่วงคุณรู้มั้ย”

    “ค่ะ คราวหน้าฉันจะพาละอองไปด้วยนะคะ”

    “อืม ดีครับ” เขายิ้มพอใจ “เอ้อ ว่าแต่เมื่อกี้คุณจะปรึกษาผมเรื่องอะไรฮึ”

    “อ้อ ถ้าฉันอยากจะขออุปการะเด็กวัดคนนั้นคุณว่าจะว่าอะไรมั้ยคะ”

    “คุณอยากอุปการะเด็กวัดคนนั้นจริงๆ เหรอ”

    “ค่ะ ฉันอยากอุปการะเขาจริงๆ”

    “ถ้าอย่างนั้นผมก็ตามใจคุณนะ คุณอยากจะทำอะไรผมก็เห็นด้วยทุกอย่าง และไม่ขัดใจคุณเลย”

    “คุณพูดจริงๆ เหรอคะ” เธอยิ้มดีใจ

    “ครับ” ชรัณกรพยักหน้า “จากที่ผมฟังคุณเล่ามาทั้งหมด…ผมรู้สึกได้ว่าเด็กวัดคนนั้นช่างเป็นคนดีจริงๆ คุณให้เงินค่าตอบแทนเขาก็ไม่รับ เขาช่วยคุณแบบฟรีๆ คนดีๆ แบบนี้หายากนะ”

    “ฉันก็คิดเหมือนคุณค่ะ”

    “การที่เราอุปการะเขาก็เท่ากับว่าเราได้ตอบแทนในสิ่งที่เขาเคยช่วยคุณนะ มันเป็นอีกหนึ่งวิธีของการตอบแทน ว่าแต่…ถ้าเราอยากจะอุปการะเขาแล้วเราต้องทำยังไงล่ะ หรือว่าเราต้องไปคุยกับหลวงพ่อที่วัดที่เขาอาศัยอยู่”

    “ใช่ค่ะ เราจะต้องไปคุยกับหลวงพ่อเพื่อขออุปการะเด็กวัดคนนั้น เขาเป็นลูกกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้อยู่ในวัดกับพระ ฉันเห็นแล้วก็อดที่จะสงสารเด็กวัดคนนั้นไม่ได้ แต่เขาก็ดูเหมือนจะเป็นคนดีและเป็นคนขยันมากเลยนะคะ”

    “แล้วเขาจะยอมมาอยู่กับเราเหรอ”

    “ก็ต้องลองไปคุยกับเขาดูค่ะ ถ้าเขาไม่ยอมก็ลองให้หลวงพ่อช่วยพูด”

    ผู้เป็นสามีพยักหน้า

    “โอเค ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นเราจะไปคุยกับหลวงพ่อกัน แล้วเด็กวัดคนนั้นเขาได้บอกคุณหรือเปล่าว่าเขาอยู่ที่วัดไหน”

    “วัดพระแก้วค่ะ”

    “งั้นก็ไม่ไกลจากบ้านเราเท่าไหร่”

    “ค่ะ ใช่ค่ะ ไม่ไกลจากบ้านเรามาก”

    “อืม ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เรานอนกันดีกว่า เพราะนี่มันก็ดึกแล้ว” เขาบอก

    “ค่ะ” ธมลวรรณยิ้มให้สามี ก่อนจะล้มตัวนอน

    แล้วชรัณกรก็ลุกเดินไปปิดไฟและเดินกลับมานอนพักผ่อนทันที

    พรุ่งนี้ทั้งสองจะไปคุยกับหลวงพ่อที่วัดที่กันต์อาศัยอยู่ เรื่องที่จะขออุปการะกันต์นั่นเอง แล้วก็หวังเหลือเกินว่าชายหนุ่มจะยอมมาอยู่กับชรัณกรและธมลวรรณ เพราะทั้งสองคือบิดากับมารดาของเขา และที่นี่คือครอบครัวของเขา หากกันต์ได้มาอยู่ในบ้านหลังนี้ก็เท่ากับได้มาอยู่กับพ่อแม่และยาย แล้วคาดว่าสักวันทุกคนจะได้รู้ความจริงเสียทีว่ากันต์คือทายาทของตระกูล ‘พิศาลธำรงษ์’ ซึ่งถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีแล้ว เมื่อถึงวันนั้นคุณหญิงกรองทิพย์ ชรัณกรและธมลวรรณคงจะดีใจและมีความสุขที่สุด และพ่อแม่ลูกจะได้อยู่พร้อมหน้ากันเสียที

     

    ต้นกล้าซื้อดอกกุหลาบสีขาวมาหนึ่งดอกกะว่าจะเอาไปให้ดุจดาวและสารภาพความในใจกับเธอ แต่เมื่อมาคิดอีกทีก็รู้สึกไม่กล้าพอจึงเปลี่ยนใจ แล้วพอดีเห็นกนกนุชนั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนใกล้กับต้นจามจุรีเขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอและยื่นดอกกุหลาบให้

    กนกนุชเบะปากใส่เจ้าของกุหลาบ ก่อนจะรีบปฏิเสธเพราะคิดว่าเขาจะให้ดอกกุหลาบเธอ

    “เอามาให้ฉันทำไม นายเอาคืนไปเลย ฉันไม่รับ”

    “โธ่ แม่คุณ ช่างหลงตัวเองจริงๆ ใครบอกว่าจะให้ดอกกุหลาบเธอไม่ทราบ ถ้าฉันจะให้เธอ…ฉันสู้เอาไปหมาในวัดยังจะดีกว่า” ชายหนุ่มว่า

    อีกฝ่ายลุกขึ้นประจันหน้ากับคู่ปรับ มองหน้าเขาแบบว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

    “นี่นาย…นายหาว่าหน้าฉันไม่สวยเหมือนหมาเหรอ หา!”

    “เธอสวยหรือหล่อกันแน่ เอาดีๆ”

    “ฉันจะหล่อหรือจะสวยมันก็เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของนาย อ้าว แล้วนี่นายจะยื่นดอกกุหลาบให้ฉันทำไมล่ะ ถ้านายไม่คิดที่จะให้ฉันน่ะ”

    “ฉันจะฝากเธอให้เอาไปให้คุณดาวหน่อย”

    “หา!” กนกนุชทำหน้าอึ้งๆ “ฉันไม่ใช่ไปรษณีย์นะ ไม่รับส่งให้ใครหรอก อ้อ แล้วอย่าคิดที่จะจีบเพื่อนฉันล่ะ ไม่งั้น…”

    “ไม่งั้น…ไม่งั้นอะไร หา ยายม้าดีดกะโหลก”

    “ไม่งั้นนายจะเจ็บตัวเพราะยายม้าดีดกะโหลกคนนี้แน่ อยากเจอดีก็ลองดูแล้วกัน”

    “โอ๊ะ ฉันชักอยากจะเจอดีแล้วละสิ” เขายิ้มอย่างท้าทาย

    “นาย…” หญิงสาวชี้หน้าอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจมากๆ

    ต้นกล้าหันไปเห็นดุจดาวกำลังเดินมาพอดี เขารีบเดินไปหาเธอทันที พร้อมกับยื่นดอกกุหลาบให้

    “ผมให้ดอกกุหลาบคุณครับ”

    กนกนุชรีบวิ่งเข้ามากระชากดอกกุหลาบจากมือของคู่ปรับ

    “ไม่ได้! นายจะให้ดอกกุหลาบยายดาวไม่ได้เด็ดขาด ฉันบอกนายเมื่อตะกี้นี้ นายหูหนวกหรือไง หา! ฉันบอกนายว่าอย่าคิดที่จะจีบยายดาว ไม่งั้นนายจะเจ็บตัว หรือว่านายอยากลองดี”

    “หา! นายกล้าจะจีบฉันเหรอ” เมื่อดุจดาวได้ยินที่เพื่อนเอ่ยก็ถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว

    ต้นกล้าพยักหน้ายิ้มๆ

    “เอ่อ ใช่ครับ ผมจะ…”

    “แต่ฉันบอกนายนี่ไปแล้วว่าอย่าคิดที่จะจีบเธอเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะทำให้เจ็บตัวเลยคอยดู” เธอมองหน้าอีกฝ่ายแบบว่าจะเอาเรื่องอีกครั้ง

    “ทำเป็นหวงเพื่อน เธอคิดอะไรกับคุณดาวหรือเปล่าเนี่ย เอ๊ะ หรือว่าเธอมีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน ต้องใช่แน่ๆ เธอเป็นทอมชัวร์” อีกฝ่ายว่า

    หญิงสาวกำหมัดแน่นอย่างโมโห แล้วขว้างดอกกุหลาบทิ้งไป

    “หือ! ฉันขอต่อยปากนายหน่อยเถอะ ยังไงวันนี้ฉันจะต้องเอาเลือดออกจากปากของนายให้ได้ ไอ้ปากมอม” พร้อมกับยื่นหมัดออกไปจะต่อยปากคู่ปรับ แต่อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหลบทัน พลางแลบลิ้นล้อเลียนอีกต่างหาก

    “เรื่องอะไรฉันจะยอมให้เธอต่อยง่ายๆ ถ้าฉันยอมก็โง่เต็มทนแล้วละ” แล้วหัวเราะเย้ย

    ดุจดาวรีบห้ามทั้งสอง

    “โอ๊ย! หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ฉันปวดหัว”

    “เห็นมั้ย เธอทำให้คุณดาวปวดหัว”

    “นายนั่นละ”

    แล้วต้นกล้ากับกนกนุชก็เถียงกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร

    ขณะนั้นเองฐากูรก็เดินเข้ามาพร้อมกับเพื่อนชายอีกสองคน วิทย์กับยอร์ช เมื่อเห็นต้นกล้ากับกนกนุชกำลังเถียงกันก็เอ่ยกับเพื่อนทั้งสองว่า

    “เฮ้ย! ไอ้วิทย์ ไอ้ยอร์ช นายสองคนเห็นหมากัดกันแถวนี้มั้ยวะ”

    “เห็นสิวะ หมาตัวผู้กับหมาตัวเมียกัดกันไง” ยอร์ชตอบพลางหัวเราะสะใจ

    “กัดกันแบบนี้ใครจะชนะวะ” วิทย์เอ่ยขึ้นลอยๆ และหัวเราะอีกด้วย

    ฐากูรจึงบอกว่า

    “ปัดโธ่ ไม่เห็นต้องถามเลย ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับความเก่งกล้าสิวะ ถ้าตัวไหนเก่งกล้าก็จะสามารถเอาชนะศัตรูได้ แล้ว…”

    “ฉันไม่ใช่หมา!” ต้นกล้ากับกนกนุชตอบพร้อมกันอย่างไม่พอใจ

    “อ้าวเหรอ ฉันก็นึกว่าพวกแกเป็นหมา ก็เห็นว่ากัดกันอยู่ได้” อีกฝ่ายยิ้มเยาะ “ว่าแต่…กัดกันเรื่องอะไรล่ะ”

    “โธ่โว้ย! ก็แล้วไงว่าไม่ใช่หมา” ต้นกล้าจะพุ่งเข้าไปต่อยคนพูด

    แต่ดุจดาวห้าม

    “หยุดๆ อย่ามีเรื่องกันได้มั้ย ฉันขอร้องล่ะ”

    “ถ้าเธอขอร้องฉันจะยอมก็ได้” ฐากูรว่า

    แล้วยอร์ชมองเห็นดอกกุหลาบที่หล่นอยู่กับพื้นจึงสะกิดบอกเพื่อน

    “ไอ้กูรๆ นายดูนั่นสิวะ”

    “อะไรวะ”

    “ดอกกุหลาบสีขาวไง ทำไมมันมาตกอยู่แถวนี้ได้ หรือว่า…”

    “ดอกกุหลาบของฉันเองละ” ต้นกล้าบอก

    เมื่อได้ยินเช่นนั้นฐากูรก็หัวเราะเยาะ

    “หา! กุหลาบดอกนี้ของแกเองเหรอ แกซื้อมาให้ใครล่ะ อย่าบอกนะว่าซื้อมาให้ดุจดาว”

    “เออ ใช่ แล้วทำไมวะ”

    “ก็ไม่ทำไมหรอก ถ้าฉันรู้ว่ากุหลาบดอกนี้แกเป็นคนซื้อให้ดุจดาว ฉันก็จะ…” ชายหนุ่มใช้เท้าเหยียบดอกกุหลาบแล้วขยี้อย่างสะใจ

    ต้นกล้ามองหน้าคนที่เหยียบดอกกุหลาบของเขาด้วยความโกรธแค้น จนต้องเข้าไปผลักอีกฝ่ายอย่างแรง

    “นายไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้กับดอกกุหลาบของฉัน”

    “ฉันนึกว่าแกทิ้งแล้วไง ฉันก็แค่เหยียบมันเล่นๆ เท่านั้นเอง” ลอยหน้าลอยตาเอ่ยออกมาอย่างไม่รู้สึกผิดอะไร

    “ได้! ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะต่อยแกเล่นๆ บ้างก็แล้วกัน” พูดจบเขาจะพุ่งเข้าไปต่อยหน้าฐากูรด้วยความโมโห

    ทว่ากลับมีเสียงของใครบางคนห้ามไว้

    “หยุด! หยุดเลยไอ้กล้า นายอย่าทำแบบนั้น” เป็นเสียงของกันต์นั่นเอง

    เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงตัวของเพื่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า

    “ถ้านายต่อยฐากูรแล้วเรื่องนี้ไปถึงหูของผอ. นายลองคิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น บางทีนายอาจถูกไล่ออกเลยก็ได้ ก่อนจะทำอะไรหัดคิดให้รอบคอบซะก่อน”

    “นายก็ดูที่มันทำกับฉันสิ มันเหยียบดอกกุหลาบที่ฉันตั้งใจซื้อมาให้คุณดาว แล้วไอ้กูรมัน…” ต้นกล้าว่า

    “แค่กุหลาบดอกเดียวเอง ซื้อเอาใหม่ก็ได้นี่หว่า ไป! ไปเข้าเรียนกันดีกว่า” เขาดึงแขนเพื่อนออกไปจากตรงนั้นทันที

    แล้วฐากูรก็ตะโกนตามหลังอีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย

    “ปัดโธ่! นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็ป๊อด”

    “ปากนายน่ะเก็บไว้แทะกระดูกเถอะ ไม่ใช่เอาไปไล่กัดคนอื่นแบบนี้ ถ้าฉันเป็นเจ้าของนายนะ…ฉันจะล่ามโซ่ไว้ที่บ้านเลย” กนกนุชบอกฐากูรอย่างเหลืออดเต็มทน ก่อนจะเอ่ยกับเพื่อนสาว “เราไปเรียนกันเถอะยายดาว อย่าอยู่ตรงนี้อีกเลย เดี๋ยวหมาแถวนี้มันจะกัด”

    “อืม ไปสิ” ดุจดาวพยักหน้า

    จากนั้นสองสาวก็เดินออกไป ปล่อยให้ฐากูรตะโกนตามหลัง

    “ดาว…ดาวกลับมาก่อน ฉันไม่ได้สารภาพกับเธอเลยว่าฉันชอบเธอ ยายดาว” สุดท้ายคนที่เขาเรียกไม่เห็นกลับมามอง นั่นทำให้เขาถึงกับทำหน้าเซ็งๆ เลยทีเดียว “ปัดโธ่โว้ย! เธออย่าคิดนะว่าฉันจะยอมแพ้เธอ ฉันจะเอาชนะใจเธอให้ได้เลยคอยดู”

    “เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นายกูร เมื่อตะกี้ยายนุชมันว่านายเป็นหมาหรือเปล่าวะ” วิทย์ถาม

    อีกฝ่ายมองเพื่อนอย่างไม่พอใจ

    “เออ แล้วนายก็ไม่พูดย้ำได้มั้ย คิดแล้วมันน่าเจ็บใจชะมัด ที่ยายกนกนุชบังอาจมาว่าฉันเป็น…”

    “เป็นหมา” ยอร์ชว่า

    “แล้วนายจะพูดอีกทำไมวะ ฉันยังเจ็บใจไม่หาย”

    “โทษทีว่ะเพื่อน ฉันปากไม่ดีไปหน่อย”

    ฐากูรไม่พูดอะไร เขารีบเดินออกไป วิทย์กับยอร์ชมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนไป

    ด้วยความที่ฐากูรไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ ในเมื่อเขาอยากครอบครองหัวใจดุจดาวเขาก็จะต้องเอาชนะเธอให้ได้ และต้องกำจัดผู้ชายทุกคนที่คิดจะมาคู่แข่งกับเขา คนที่จะได้เป็นแฟนดุจดาวต้องเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น คนอื่นอย่าหวังเลย

    ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องเอาด้วยคาถา!

    นั่นคือสิ่งที่ฐากูรคิดไว้ในใจ ชายหนุ่มคิดว่ามันต้องมีสักวิธีที่จะทำให้ชนะใจของคนที่เขาหมายปองได้ มันไม่ยากเกินไปหรอกน่า ระดับฐากูรแล้วทำได้แน่นอน

     

    ในช่วงเย็นหลังเลิกงานชรัณกรก็พาธมลวรรณไปที่วัดพระแก้ว ซึ่งเป็นที่ที่กันต์อาศัยอยู่นั่นเอง ที่ทั้งสองมายังวัดแห่งนี้ก็เพราะว่าอยากจะคุยกับหลวงตาเรื่องที่อยากขออุปการะกันต์ และหวังเหลือเกินว่าชายหนุ่มจะยอมไปอยู่กับพวกตน

    เมื่อมาถึงก็เจอกับเด็กวัดคนหนึ่งที่กำลังกวาดลานวัด ชรัณกรจึงเอ่ยถามเด็กวัดคนนั้นว่า

    “เอ่อ หนูๆ หลวงพ่ออยู่มั้ย”

    “หลวงพ่อไหนครับ ในวัดมีหลวงพ่อหลายท่านเลยครับ” ปอนด์ว่า

    “หลวงพ่อที่เป็นเจ้าอาวาสของวัดนี้จ้ะ” ธมลวรรณตอบยิ้มๆ

    เด็กวัดที่ชื่อปอนด์พยักหน้าเข้าใจ

    “อ้อ หลวงตาท่านนั่งอยู่ในโบสถ์น่ะครับ เดี๋ยวผมไปบอกท่านให้นะครับ ว่าคุณสองคนมาหา”

    “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวฉันกับภรรยาไปหาหลวงพ่อเอง ขอบใจหนูมากนะ” ชรัณกรบอก

    “ครับ” ปอนด์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะกวาดลานวัดต่อไป

    “เราไปหาหลวงพ่อกันดีกว่านะคะคุณ” ธมลวรรณบอกกับสามี

    ผู้เป็นสามีพยักหน้า

    “ครับ” แล้วเขาก็เดินตรงไปยังโบสถ์กับภรรยา

    เมื่อเดินมาถึงหน้าโบสถ์ก็พากันเข้าไปด้านใน เห็นหลวงตากำลังนั่งสมาธิอยู่ ชรัณกรกับธมลวรรณนั่งลงและกราบหลวงตาสามครั้ง

    “โยมสองคนมาหาอาตมา…มีอะไรหรือเปล่า” ท่านเอ่ยถามทั้งที่ยังหลับตาทำสมาธิอยู่ ราวกับรู้ว่าที่สองสามีภรรยามาหาเพราะมีเรื่องบางอย่าง แล้วท่านก็ลืมตามองสองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า

    ชรัณกรกับธมลวรรณยกมือไหว้หลวงตา ก่อนที่ฝ่ายสามีจะเอ่ยขึ้นว่า

    “เอ่อ ที่ผมกับภรรยามาหาหลวงพ่อในวันนี้ก็เพราะมีเรื่องอยากจะปรึกษาครับ คือเมื่อวานภรรยาของผมไปเดินซื้อของที่ตลาดแล้วถูกโจรวิ่งราวกระเป๋า แต่โชคดีที่ได้เด็กวัดที่ชื่อกันต์เห็นเหตุการณ์จึงช่วยตามเอากระเป๋ากลับคืนมาจนได้ ซึ่งทราบมาว่าเขาอาศัยอยู่ในวัดแห่งนี้ครับ แล้วภรรยาของผมก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กวัดคนนั้นด้วย เธอก็เลยอยากจะขออุปการะครับ”

    “อ้อ เรื่องมันเป็นแบบนี้เอง” หลวงตาพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าเป็นเรื่องที่จะขอรับอุปการะเจ้ากันต์ อาตมาคงให้คำตอบกับโยมสองคนไม่ได้หรอกนะ คงต้องให้เจ้ากันต์มันคนตัดสินใจเอง”

    “ครับ หลวงพ่อ”

    “เอ่อ หลวงพ่อคะ ดิฉันขออนุญาตถามอะไรหน่อยนะคะ” ธมลวรรณตัดสินใจเอ่ยกับหลวงตาจัน

    “ได้สิ” ท่านอนุญาต

    อีกฝ่ายจึงเอ่ยถามว่า

    “หลวงพ่อคะ เด็กวัดที่ชื่อกันต์กับต้นกล้าเป็นลูกกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทิ้งเหรอคะ”

    “อ้อ ใช่ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วตอนที่เจ้ากันต์กับเจ้ากล้ายังแบเบาะมีคนใจร้ายเอามันสองคนมาทิ้งที่หน้าวัด ตอนนั้นเหมือนมันสองคนยังออกจากท้องแม่ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำไป อาตมาสงสารก็เลยรับเลี้ยงไว้และส่งพวกมันเรียน”

    “ชีวิตของพวกเขาช่างน่าสงสารมากเลยนะคะ ถูกคนใจร้ายเอามาทิ้ง โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร ยิ่งรู้แบบนี้ดิฉันก็ยิ่งอยากจะอุปการะเด็กวัดที่ชื่อกันต์ค่ะ ถ้าดิฉันเอาเขาไปอยู่ด้วยดิฉันสัญญาว่าจะทำให้เขามีอนาคตที่ดี จะไม่ให้เขาต้องลำบากเลยค่ะ” เธอให้สัญญากับหลวงตาจัน

    ผู้เป็นเจ้าอาวาสของวัดนี้จึงถามว่า

    “แล้วทำไมโยมไม่รับอุปการะเจ้าต้นกล้าด้วยล่ะ เพราะว่ามันกับเจ้ากันต์เติบโตมาด้วยกันและเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากเลยนะ”

    “ได้ค่ะ ดิฉันจะรับอุปการะต้นกล้าด้วย” อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

    ขณะนั้นเองกันต์ก็เดินเข้ามาหาหลวงตาพอดี เมื่อชายหนุ่มเห็นชรัณกรกับธมลวรรณก็ทำหน้าแปลกใจแต่ไม่พูดอะไร เขาเดินไปนั่งตรงหน้าหลวงตาจันและกราบท่านและพระประธานในโบสถ์ ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้มาเยือนทั้งสอง

    “สวัสดีครับ”

    ชรัณกรกับธมลวรรณรับไหว้ยิ้มๆ

    แล้วหลวงตาก็เอ่ยถามกันต์ว่า

    “มีอะไรหรือเปล่าเจ้ากันต์”

    “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากมานั่งเล่นกับหลวงตาเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มตอบ

    “อ้อ” ท่านพยักหน้ารับรู้ แล้วบอกกับผู้เป็นเด็กวัด “เอ้อ เจ้ากันต์ โยมสองคนนี้เขาอยากจะมาขออุปการะเอ็ง แล้วเอ็งจะว่ายังไงล่ะ”

    “หา หลวงตาว่าอะไรนะครับ” เขาตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    ชรัณกรจึงเอ่ยกับชายหนุ่มว่า

    “ฉันขอบใจเธอมากนะ ที่เมื่อวานเธอช่วยตามเอากระเป๋าจากโจรมาให้ภรรยาของฉันจนได้ คุณวรรณเล่าให้ฉันฟังว่าเธอช่วยเขา แล้วเขาก็ให้เงินเธอแต่ว่าเธอไม่รับ เธอช่างเป็นคนดีจริงๆ เลย ช่วยคนอื่นแบบไม่หวังสิ่งตอบแทน คนแบบเธอหายากมากเลยนะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีช่วยเพื่อนมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว และช่วยแบบไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเลย เรื่องแค่นี้เรื่องเล็กมากครับ” กันต์บอกยิ้มๆ

    แล้วธมลวรรณก็เอ่ยกับกันต์บ้าง

    “กันต์…เธอไปอยู่กับฉันเถอะนะ ฉันอยากอุปการะเธอจริงๆ เธอรู้มั้ยว่าเมื่อวานที่ฉันเจอเธอครั้งแรกก็ถูกชะตาเลยทันที ฉันรู้สึกเหมือนว่าเธอมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉัน จนฉัน…”

    “จะเป็นไปได้ยังไงครับ ในเมื่อผมเป็นแค่เด็กวัดจนๆ คนหนึ่งและไม่มีหัวนอนปลายเท้า แล้วผมจะไปมีความเกี่ยวข้องกับคุณได้ยังไงกันครับ แค่คิดมันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”

    “แต่ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ” เธอยืนยัน

    “ถ้าอย่างนั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าเธอไปอยู่กับพวกฉัน พวกฉันสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีเลย แล้วจะให้งานดีๆ ทำด้วย ว่าแต่ตอนนี้เธอกำลังเรียนอยู่ปีอะไรเหรอ” ชรัณกรเอ่ยถาม

    กันต์จึงตอบว่า

    “ผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้วครับ คณะวิศวกรรมศาสตร์ และอีกสี่เดือนก็จะจบแล้วด้วย”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย…ถ้าเธอเรียนจบฉันให้งานเธอทำ รับรองเงินเดือนดีแน่นอน ยิ่งเธอเรียนจบวิศวะฉันยิ่งต้องการตัวเธอไปทำงานในบริษัท เอาเป็นว่าถ้าเธอยอมไปอยู่กับพวกฉันแล้วเธอจะได้งานดีๆ ทำ อ้อ ฉันอนุญาตให้เธอพาเพื่อนไปอยู่ด้วยได้นะ”

    “เอ่อ ผมไปไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่มีใครอยู่ดูแลหลวงตา”

    “ไม่เป็นไรหรอก เอ็งไปเถอะเจ้ากันต์ เพื่ออนาคตที่ดีของเอ็ง ในวัดมีเด็กวัดอีกตั้งหลายคนแน่ะ เดี๋ยวเด็กพวกนั้นจะดูแลหลวงตาเอง เอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหลวงตาเลย” หลวงตาจันว่า

    “เอ่อ ผม…” ชายหนุ่มลังเล

    “ฉันไม่เร่งเอาคำตอบตอนนี้หรอก เธอเก็บเอาไปคิดก่อนก็ได้นะ” ชรัณกรบอก

    กันต์มองหน้าผู้ที่จะอุปการะตนทั้งสองคนสลับมองหลวงตาอย่างใช้ความคิด ใจหนึ่งก็อยากไปอยู่กับชรัณกรและธมลวรรณเพื่อที่อยากจะได้งานดีๆ ทำหลังจากเรียนจบ จะได้เอาเงินมารักษาหลวงตาด้วย แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงหลวงตาเหลือเกิน ถึงแม้ท่านจะบอกว่าเดี๋ยวเด็กวัดคนอื่นๆ ก็จะช่วยกันดูแลท่านเอง แต่ชายหนุ่มก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยห่างหลวงตาไปอยู่ที่อื่นเลย แล้วนี่ถ้าเขาจะไปอยู่กับผู้ที่จะอุปการะเขาทั้งสองก็ต้องคิดหนักคิดนานหน่อยแล้วละ แม้ว่าตัวของเขาเองจะรู้สึกถูกชะตากับทั้งสองท่านนี้แต่ก็เกิดความลังเลในใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและต้องบอกให้ชรัณกรกับธมลวรรณได้รับทราบ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×