ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๗ : ดุจดาวเสียใจ

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    ดุจดาวโผเข้ากอดเพื่อนแล้วร้องไห้อย่างหนัก จนกนกนุชตกใจที่เห็นเพื่อนร้องไห้ขนาดนี้ ดุจดาวเป็นอะไรถึงมาหาเธอแล้วน้ำตาไหลพรั่งพรูเช่นนี้ ต่อมาหญิงสาวจึงเอ่ยถามอีกฝ่ายว่า

    “ยายดาว เธอเป็นอะไร แล้วทำไมเธอถึงร้องไห้หนักขนาดนี้ฮึ! ใครทำอะไรเธอเหรอ”

    “แม่กับพี่ณัทห้ามไม่ให้ฉันคบกับกันต์และต้นกล้า เพราะเห็นว่าพวกเขาเป็นแค่เด็กวัด ฐานะก็ต่ำต้อยกว่าเรา บอกว่ากันต์กับต้นกล้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าและไม่มีสกุลรุนชาติ แล้วแม่กับพี่...” ดุจดาวเอ่ยได้เท่านั้นก็หยุดแล้วร้องไห้ต่อ

    กนกนุชลูบหลังเพื่อนปลอบใจ เธอรู้สึกสงสารมากที่เห็นดุจดาวเป็นเช่นนี้

    “โถ! ยายดาวเอ๊ย ทำไมแม่กับพี่ชายเธอต้องกีดกันด้วย เธอกับฉันก็แค่คบกับนายกันต์และนายต้นกล้าเป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ได้คบเป็นแฟนซะหน่อย เอาเถอะๆ ฉันว่าเดี๋ยวเราเข้าไปคุยข้างในบ้านกันต่อดีกว่า เธอไม่ต้องร้องไห้นะยายดาว ไป!” แล้วจูงมือเพื่อนเดินเข้าไปข้างในบ้าน พาไปนั่งในห้องรับแขก

    เมื่อกมลวดีเห็นดุจดาวร้องไห้ก็ตกใจจนต้องเอ่ยถาม

    “หนูดาวเป็นอะไรจ๊ะ ร้องไห้ทำไมเหรอฮึ”

    “สวัสดีค่ะคุณน้า” เธอยกมือไหว้มารดาของเพื่อนทั้งที่ยังร้องไห้อยู่

    “จ้ะ เชิญนั่งลงก่อนสิจ๊ะ” อีกฝ่ายรับไหว้ ก่อนจะบอกให้นั่ง

    คนถูกเชิญทำตามที่เจ้าของบ้านบอกทันที

    แล้วต่อมากมลวดีก็เอ่ยถามเพื่อนของลูกสาวอีกว่า

    “หนูดาวพอจะบอกน้าได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูดาวถึงร้องไห้ หยุดร้องแล้วบอกน้ามา”

    ดุจดาวหยุดร้องไห้แล้วปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะตอบว่า

    “ก็คุณแม่กับพี่ชายของหนูน่ะสิคะคุณน้า พวกเขาห้ามไม่ให้หนูคบกับเพื่อนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า จะให้คบแต่กับคนระดับเดียวกัน ไฮโซเหมือนกัน ดาวรู้สึกว่าคุณแม่กับพี่ณัทจะห่วงหน้าตากับชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมากเลยนะคะ เพราะพวกเขาบอกว่าให้ดาวเลิกคบกับกันต์และต้นกล้าเพื่อรักษาชื่อเสียงของคุณพ่อและวงศ์ตระกูล แต่ดาวบอกเลยว่าดาวทำไม่ได้ค่ะ”

    “โถ หนูดาว น้าละสงสารหนูจริงๆ” เธอมองอีกฝ่ายด้วยความสงสาร

    “เท่านั้นยังไม่พอค่ะ คุณแม่ยังให้ดาวเลือกระหว่างเลิกคบกับเด็กวัดอย่างกันต์และต้นกล้าเพื่อรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลหรือจะคบกับพวกเขาต่อไปให้พ่อกับแม่ขายหน้า ดาวก็เลยบอกไปขอเลือกอย่างหลัง ต่อจากนั้นท่านก็ตบหน้าดาว อ้อ แล้วบอกอีกว่าถ้าเลือกคบกับเด็กวัดต่อไปท่านจะตัดดาวออกจากกองมรดกค่ะ” เอ่ยจบหญิงสาวก็ร้องไห้อีกครั้งด้วยความเสียใจ

    กมลวดีขยับเข้าไปใกล้ดุจดาวเพื่อกอดปลอบใจ ความสงสารที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้มีมากขึ้นไปอีก ยิ่งได้ฟังคำเล่าก็ยิ่งรู้สึกสงสารที่สุด เธอลูบศีรษะคนที่กำลังร้องไห้เบาๆ

    “ร้องออกมาให้พอนะหนูดาว” เธอบอก “ร้องให้เต็มที่ไปเลยจ้ะ ให้สมกับความเสียใจที่หนูเพิ่งเจอมา น้าละไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคุณพี่ดาถึงต้องห้ามไม่ให้หนูดาวคบกับเพื่อนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่าด้วย เขาวัดคนที่ฐานะเองเหรอ น้าคิดว่าต่อให้เป็นคนชั้นต่ำหรือคนชั้นสูงมันก็คนเหมือนกันนั่นละ แต่ทำไมนะ ทำไมคุณพี่ดาต้องแบ่งชนชั้นวรรณะ ทั้งที่ค่าของความเป็นคนก็มีเท่ากัน น้าน่ะไม่เคยแบ่งหรอกนะ จะคนระดับไหนน้าก็คบหมดละ”

    “ดาวก็ไม่รู้ค่ะ ว่าทำไมคุณแม่กับพี่ณัทถึงชอบแบ่งชนชั้นวรรณะด้วย”

    “แล้วคุณพี่สิทธิ์ล่ะ เขาว่ายังไง”

    “ไม่รู้ค่ะ ตอนที่ดาวกลับจากมหาวิทยาลัยก็ไม่เห็นคุณพ่อแล้ว สงสัยท่านคงจะไปหาเพื่อนค่ะ แต่เท่าที่ดาวรู้คุณพ่อท่านเป็นคนยุติธรรม เป็นคนใจดีมีเมตตา ชอบทำบุญกับคนยากไร้ ท่านชอบช่วยเหลือคนเหล่านั้นค่ะคุณน้า”

    “ถ้าอย่างนั้นน้าคิดว่าบางทีคุณพี่สิทธิ์อาจไม่ห้ามหนูดาวเหมือนกับคุณพี่ดาและตาณัทก็ได้ ท่านอาจทำตามใจลูกสาว”

    “คุณน้าคิดแบบนั้นเหรอคะ” ดุจดาวรีบผละจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายแล้วปาดน้ำตาทิ้ง พลางเอ่ยถามอีกด้วย

    กมลวดีพยักหน้ายิ้มๆ

    “จ้ะ น้าคิดแบบนั้นนะ เพราะคุณพี่สิทธิ์เป็นคนจิตใจดีมีเมตตาต่อคนยากไร้ ดังนั้นท่านคงไม่ห้ามให้หนูดาวคบกับเพื่อนที่เป็นเด็กวัดหรอก แต่เอ๊ะ เท่าที่น้าเคยเห็นเด็กวัดสองคนนั่น…พวกเขาชื่ออะไรนะ”

    “กันต์กับต้นกล้าค่ะ”

    “นั่นละจ้ะ เท่าที่น้าเคยเห็นเด็กวัดที่ชื่อกันต์กับต้นกล้าก็เห็นว่าสองคนนั่นเป็นคนดีนะ แถมขยันด้วย”

    “หนูขอค้านค่ะ คุณแม่” กนกนุชยกมือขึ้นทันที

    “อะไรกันยายนุช ลูกจะค้านอะไรฮึ” ผู้เป็นมารดาถามลูกสาวอย่างแปลกใจ

    อีกฝ่ายจึงตอบว่า

    “ก็คุณแม่บอกว่าเด็กวัดสองคนนั่นเป็นคนดี แต่หนูคิดว่านายกันต์คนเดียวมั้งที่เป็นคนดี ส่วนนายต้นกล้าชอบสร้างภาพซะมากกว่า”

    “ตายจริง ทำไมลูกถึงไปว่าเขาอย่างนั้นล่ะ”

    “ก็หนูพูดเรื่องจริงนี่คะ คุณแม่…เวลาที่นายต้นกล้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขามักจะสร้างภาพให้คนอื่นเชื่อว่าเขาเป็นคนดี แต่ลับหลังใครจะไปรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”

    “คือยายนุชกับนายต้นกล้าไม่ถูกกันน่ะค่ะคุณน้า ทั้งสองคนก็เลยมีอคติต่อกัน” ดุจดาวบอก

    “ยายดาว…” กนกนุชท้วงติงเพื่อน

    “ฉันพูดเรื่องจริงย่ะ”

    “ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เก็บไว้ในใจบ้างก็ได้นะจ๊ะ”

    “อ้อ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้เองสินะ” กมลวดีพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหันไปทางลูกสาว “นี่! ยายนุช ถึงลูกจะไม่ชอบเขาก็ไม่ควรไปว่าเขาเสียๆ หายๆ นะ มันไม่ดี อ้อ แล้วคนที่รู้นิสัยใจคอเด็กวัดสองคนนั่นดีที่สุดก็คือหลวงตาที่เลี้ยงพวกเขามา ส่วนเรามันก็แค่คนนอก เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ดีเท่ากับท่านหรอกนะ”

    “คุณแม่คะ…คุณแม่เข้าข้างนายต้นกล้าเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้าบึ้งใส่มารดาเมื่อได้ยินสิ่งที่ท่านเอ่ยออกมา

    ผู้เป็นมารดาโบกมือไปมา

    “แม่พูดตามสิ่งที่แม่เห็นน่ะ พ่อกันต์กับพ่อต้นกล้าเขาก็ดูเป็นคนดีเท่ากันนะ ขยันเหมือนกันอีกต่างหาก แล้วแม่ก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าพ่อต้นกล้าเขาจะเป็นคนชอบเสแสร้งแกล้งทำอย่างที่ลูกบอก ยายนุชเอ๊ย ลูกกับเขาไม่ควรไปมีอคติต่อกันนะ โบราณว่าไว้ เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น ลูกระวังนะ…ถ้าลูกเกลียดพ่อต้นกล้าแล้วระวังว่าสักวันลูกจะได้เขาเป็นแฟน”

    “ไม่มีทางค่ะแม่” กนกนุชตอบทันควัน

    “เอาเถอะ แล้วแม่จะคอยดูนะ” ผู้เป็นมารดาอดที่จะยิ้มกับท่าทีตอบทันควันของลูกสาวไม่ได้เลย ก่อนจะหยุดยิ้มแล้วหันไปเอ่ยถามดุจดาวว่า “เอ่อ หนูดาวจ๊ะ แล้วนี่หนูทานอะไรมาหรือยังฮึ!”

    คนถูกถามส่ายหน้า

    “ยังเลยค่ะคุณน้า น้ำท่าหนูก็ยังไม่อาบเหมือนกันค่ะ เพราะมัวแต่ร้องไห้เสียใจแล้วก็พูดคุยกับคุณแม่”

    “อ้อ…จ้ะ ว่าแต่หนูจะกลับบ้านมั้ยจ๊ะ”

    “หนูขอค้างที่นี่สักคืนนะคะ เพราะขืนกลับบ้านไปมีหวังหนูได้ทะเลาะกับคุณแม่อีกแน่ๆ ค่ะ”

    “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ที่นี่เป็นบ้านของฉัน…บ้านของฉันก็เหมือนบ้านของเธอ เพราะฉะนั้นถ้าเธอจะมาค้างเมื่อไหร่ก็มาได้เลยนะจ๊ะเพื่อนรัก” คนที่ตอบกลับเป็นกนกนุช เพราะเธอดีใจที่เพื่อนจะมาขอนอนค้างที่บ้านด้วยจึงรีบชิงตอบแทนมารดานั่นเอง

    “นี่! ยายนุช หนูดาวเขาถามแม่นะ ไม่ได้ถามลูก เสียมารยาทจริงๆ เลยลูกคนนี้” ผู้เป็นมารดาตำหนิลูกสาว

    อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนๆ

    “ขอโทษค่ะแม่ พอดีหนูดีใจที่เพื่อนจะมานอนค้างด้วยก็เลยลืมนึกถึงมารยาทไปเลยค่ะ”

    “เอาเถอะๆ เดี๋ยวลูกพาหนูดาวไปอาบน้ำอาบท่าซะนะ ชำระล้างร่างกายให้สดชื่นสักหน่อย แล้วค่อยลงมาทานข้าวทานปลา เดี๋ยวแม่จะเป็นคนจัดอาหารไว้รอ”

    “ค่ะแม่” หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะบอกกับเพื่อนว่า “ปะ! ฉันจะพาเธอไปอาบน้ำนะ เดี๋ยวใส่เสื้อผ้าฉันไปก่อน อ้อ ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยว่าเสื้อผ้าของฉันไม่มีกระโปรงนะ มีแต่เสื้อกับกางเกงเท่านั้น”

    “กระโดกกระเดกแบบนี้จะมีกระโปรงใส่ได้ยังไง หาความเป็นกุลสตรีไม่มีเลยสักนิดเดียว” กมลวดีว่าลูกสาวแล้วหัวเราะเบาๆ

    “แม่ก็…จะพูดทำไมคะเนี่ย”กนกนุชค้อนมารดาแบบไม่จริงจังนัก

    “ก็แม่พูดจริงๆ นี่ ลูกสาวของแม่ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลย ชอบทำตัวห้าวๆ เหมือนผู้ชายแน่ะ”

    “ยายดาว ฉันว่าฉันรีบพาเธอไปอาบน้ำดีกว่า ขืนนั่งอยู่ต่อมีหวังฉันโดนแม่ล้ออีกเยอะเลย” เอ่ยจบเธอก็คว้าแขนเพื่อนให้ลุกขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะพากันเดินออกไปทันที

    ดุจดาวไม่วายหัวเราะกับสิ่งที่เพื่อนและมารดาพูดจาหยอกล้อกันเล่น เห็นภาพนี้แล้วหญิงสาวก็รู้สึกมีความสุขร่วมด้วย ถ้าครอบครัวของเธอได้สักครึ่งหนึ่งของครอบครัวเพื่อนก็น่าจะดี มารดากับพี่ชายไม่เข้าใจความรู้สึกของเธอเลย ต่างจากมารดาของกนกนุชที่เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวมาก ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งน้อยใจมารดากับพี่ชาย มันช่างเป็นอะไรที่น่าเศร้าจริงๆ

    กมลวดีมองตามสองสาวแล้วยิ้มมีความสุขที่สุด เธอกับครอบครัวของดุจดาวรู้จักกันและสนิทกันมากด้วย รู้จักกันในแวดวงสังคมไฮโซ แต่กมลวดีไม่ค่อยได้ออกงานที่ไหนก็เลยไม่ค่อยได้เห็นหน้านายพลณพสิทธิ์กับดาริยา แต่ถ้าคิดถึงกันไปหาถึงที่บ้านเลย เวลาไปหาทั้งทีก็มักจะมีของติดไม้ติดมือไปฝากด้วยตามมารยาท นั่นก็ถือว่าเป็นธรรมเนียมของคนไฮโซเขาทำกัน แต่มีอย่างหนึ่งที่เธอไม่เหมือนครอบครัวของนายพลณพสิทธิ์คือการแบ่งชนชั้นวรรณะ ถึงเธอจะเป็นคนรวยคนไฮโซแต่เธอก็ไม่เคยเหยียดคนที่ต่ำต้อยกว่า เธอกลับสงสารคนเหล่านั้นด้วยซ้ำไปที่เกิดมาจน แล้วทุกวันนี้ก็ยังไปช่วยเหลือคนยากจนอยู่บ่อยๆ ไม่เคยขาดสาย เรียกได้ว่ากมลวดีช่างเป็นคนไฮโซที่ใจดีมีเมตตาจริงๆ เลยเชียวละ

    แล้วเธอก็ลุกเดินออกไปจากห้องรับแขกเพื่อไปเตรียมอาหารรอดุจดาว หลังจากอาบน้ำเสร็จหญิงสาวจะได้ทานเลยทันที

     

    เมื่อกลับมาจากมหาวิทยาลัยในตอนเย็นกันต์กับต้นกล้าก็พากันทำงานวัด หลังจากทำงานเสร็จก็อาบน้ำเตรียมทำวัตรเย็นกับพระในวัด…กระทั่งถึงเวลานี้…เวลาสามทุ่มครึ่งก็ทำวัตรเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กันต์กับต้นกล้าจึงขึ้นไปที่ห้องนอนซึ่งอยู่บนกุฏิหลวงตาจัน พวกเขานอนอยู่ในกุฏินี้มาตั้งแต่แบเบาะแล้ว อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ดูแลหลวงตาไปในตัวอีกด้วย และยิ่งเดี๋ยวนี้ท่านเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ก็ยิ่งต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ให้คลาดสายตา เพราะท่านคือผู้มีพระคุณของพวกเขา ดังนั้นจึงต้องตอบแทนพระคุณท่านให้สมกับที่เลี้ยงพวกเขามาตั้งแต่แบเบาะเป็นอย่างดีทีเดียว

    กันต์กับต้นกล้าหยิบตำราเรียนมาอ่านคนละเล่ม ยิ่งใกล้สอบก็ยิ่งต้องขยันอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะเวลาสอบจะได้สอบผ่านฉลุย จะได้ไม่ต้องมีอะไรติดๆ ขัดๆ และทำได้สบายๆ

    “อีกสี่เดือนก็จะเรียนจบแล้วสิพวกเรา” ต้นกล้าเอ่ยขึ้น

    กันต์พยักหน้า

    “ใช่ อีกสี่เดือนก็จะจบแล้ว ฉันว่ามันเร็วไปนะ”

    “นายว่าเร็วเหรอ”

    “อืม ใช่…แป๊บๆ ผ่านมาสี่ปีแล้ว สี่ปีสำหรับฉัน ฉันว่ามันเร็วนะ”

    “ฉันก็คิดเหมือนนาย พอเรียนจบฉันก็คงไม่ได้เห็นหน้าคุณดาวอีกแล้ว น่าเสียดาย ไม่ได้การละ ก่อนจบฉันต้องสารภาพกับเขาว่าฉันชอบเขา ไม่อย่างนั้นอกฉันต้องแตกแน่ๆ ถ้าไม่ได้บอกความในใจกับเขา”

    “นี่นายยังไม่หยุดเพ้อฝันอีกเหรอวะ”

    “สำหรับนายอาจมองว่าฉันกำลังเพ้อฝัน แต่สำหรับฉัน…ฉันมองว่ามันคือเรื่องจริง และฉันจะต้องสารภาพกับคุณดาวให้ได้เลยคอยดู”

    “ฉันกลัวว่าถ้านายสารภาพไปแล้วมันจะทำให้นายผิดหวังน่ะสิ ฉันกลัวว่าคุณดาวเขาจะ…”

    “นายอย่าแช่งฉันแบบนี้สิเพื่อน นายต้องให้กำลังใจฉันถึงจะถูก”

    “ก็ฉันพูดตามตรงนี่หว่า ฉันกลัวว่านายจะผิดหวังแล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า”

    “ไม่เอาละ ฉันไม่คุยกับนายแล้ว ฉันนอนดีกว่า” ต้นกล้าไม่ยอมรับความหวังดีของเพื่อน เขารีบเข้ามุ้งไปนอนทันที

    กันต์มองตามเพื่อนเข้าไปในมุ้งแล้วถอนหายใจดังๆ อย่างเซ็งๆ ที่เพื่อนไม่เห็นค่าความหวังดีของเขา อีกอย่าง เขาก็เตือนต้นกล้าหลายครั้งแล้ว เพราะกลัวอีกฝ่ายจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนจะไม่ฟัง ยังดื้อดึงที่จะเดินหน้าจีบดอกฟ้าอย่างดุจดาวต่อไป กันต์จึงรู้สึกอ่อนใจกับเรื่องนี้แล้ว ในเมื่อเพื่อนไม่ฟังเขาก็ต้องปล่อยไป และทำนิ่งเสียก็ดี รอดูอย่างเดียวว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างเท่านั้นเอง

    แล้วชายหนุ่มก็วางตำราเรียนลงบนโต๊ะพลางเอื้อมมือไปกดปิดโคมไฟบนหัวนอน ก่อนจะเข้าไปในมุ้งเพื่อพักผ่อนต่อไป

     

    ฐากูรนั่งไขว้ห้างเล่นเกมในห้องรับแขกอย่างสบายใจเฉิบ เปิดเสียงดังลั่น เช้านี้ชายหนุ่มไม่ไปเรียนเพราะขี้เกียจ วันไหนที่เขาขี้เกียจมากๆ ก็จะไม่ไป เขาทำเช่นนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จนถูกผู้เป็นย่าต่อว่าอย่างเอือมระอา แต่ฐากูรไม่สนใจ เพราะชีวิตนี้เป็นของเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ คนอื่นไม่เกี่ยว ที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าถูกบิดามารดาเลี้ยงมาแบบผิดๆ เมื่อโตขึ้นจึงกลายเป็นคนนิสัยเสีย เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ แล้ววิวัฒน์กับมยุรีก็ไม่เคยต่อว่าลูกชายด้วย ปล่อยให้ทำตามอำเภอใจ ฐากูรจึงไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้น แม้แต่ย่ากับอาธมลวรรณเขาก็ไม่กลัว ยกเว้นบิดากับมารดาที่เขาพอจะกลัวๆ อยู่บ้าง นอกนั้นเขาไม่เคยสนใจเลย

    บนโต๊ะกระจกมีของทานเล่นวางอยู่มากมาย ซึ่งฐากูรไปซื้อมา มีขนมชนิดต่างๆ ล้วนแต่เป็นของที่เขาชอบทั้งสิ้น ส่วนขนมไหนที่มีเปลือกเขาก็จะทานแล้วคายทิ้งไว้แถวๆ นั้น รอให้คนใช้มาเก็บกวาดตาม ตอนนี้เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคุณชายเลย ชอบทำอะไรให้คนอื่นเก็บตาม โดยไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองสักนิด ในอนาคตถ้าเกิดมีภรรยาก็คงจะให้ภรรยาทำทุกอย่างให้แทนกระมัง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครที่ได้ฐากูรเป็นสามีก็คงจะเป็นคนดวงซวยที่สุดเลยละ

    คุณหญิงกรองทิพย์เดินเข้ามาในห้องรับแขกกะว่าจะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เล่นๆ แต่พอเห็นหลานชายนั่งไขว้ห้างเล่นเกมอย่างสบายใจท่านก็หมดอารมณ์ที่จะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์แล้ว และท่านก็เอ่ยถามว่า

    “ตากูร ทำไมวันนี้ไม่ไปเรียนฮึ อีกสี่เดือนก็จะจบแล้วนะ ขยันๆ เรียนหน่อยสิ”

    ปรากฏว่าฐากูรไม่ได้ยินที่ผู้เป็นย่าถาม เพราะเสียงเกมดังกว่าเสียงคนถามเสียอีก เมื่อหลานชายทำเฉยประมุขของบ้านจึงกัดฟันอย่างโมโห ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาและกระชากโทรศัพท์ออกจากมือ

    เจ้าของโทรศัพท์มองคนที่กระชากอย่างไม่พอใจ

    “โอ๊ย! อะไรเนี่ยครับคุณย่า ผมจะเล่นเกม เอาโทรศัพท์ของผมคืนมาครับ เดี๋ยวเกมมันจะตายก่อน คุณย่าเอาโทรศัพท์ให้ผมเถอะนะ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามย่ามาก่อน” ท่านว่า

    “ถามมาได้เลยครับ ก่อนที่เกมของผมจะตาย” ชายหนุ่มบอกอย่างรำคาญ

    คุณหญิงกรองทิพย์จึงเริ่มต้นคำถาม

    “ทำไมวันนี้แกถึงไม่ไปเรียน”

    “ขี้เกียจครับ” ตอบง่ายๆ สั้นๆ

    “แล้วทำไมเวลาเล่นเกมถึงขยัน”

    “โอ๊ย มันคนละอย่างกันครับ…เรียนมันน่าปวดหัว แต่เล่นเกมมันผ่อนคลายสมอง ผมขอร้องเถอะครับคุณย่า เอาโทรศัพท์มาให้ผมเถอะนะครับ”

    “แล้วนี่ล่ะ เปลือกขนมทำไมทานแล้วคายทิ้งไว้แบบนี้ หา ไม่มีความเป็นผู้ดีเลยสักนิด” ท่านยังไม่ยอมจบคำถาม เมื่อเห็นเปลือกขนมถูกคายทิ้งเกลื่อนกลาดเกือบทั่วห้อง ท่านเห็นแล้วลมแทบจับเลยทีเดียว

    ฐากูรทำหน้าแบบรำคาญมากที่ถูกต่อว่า

    “มันจะอะไรกันนักกันหนาครับคุณย่า มันก็แค่เปลือกขนมน่ะ เดี๋ยวก็ค่อยให้คนใช้มาเก็บกวาดก็ได้ คุณย่าจะมาต่อว่าผมทำไมเนี่ย”

    “แกหัดมีความรับผิดชอบต่อตัวเองบ้าง ไม่ใช่รอให้คนอื่นทำตามคำสั่งแกอย่างเดียว…ตากูร แกโตพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วนะ แต่ทำไมแกถึงไม่รู้ฮึ! นี่ละผลที่พ่อแม่ของแกเลี้ยงแกมาแบบตามใจ อยากได้อะไรก็หามาประเคนให้ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง พอแกโตขึ้นก็กลายเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้ไง”

    “อย่ามาลามปามถึงคุณพ่อกับคุณแม่ของผมนะครับ ผมไม่ชอบ” ชายหนุ่มไม่พอใจที่ผู้เป็นย่าเอ่ยถึงบิดากับมารดาของเขาเช่นนั้น เขาพร้อมจะปกป้องท่านทั้งสองเสมอ

    “ทำไมฉันถึงจะว่าพ่อกับแม่ของแกไม่ได้ ก็ในเมื่อทั้งสองคนเป็นลูกชายกับลูกสะใภ้ของฉัน แล้วที่ฉันพูดมันก็เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น หรือว่าแกโกรธแทนพ่อแม่ของแกฮึ” ท่านว่า

    ฐากูรไม่ตอบ แต่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ผู้เป็นย่า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วกระชากเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของท่านคืนมา

    “ผมขอตัวก่อนนะครับ” แล้วก็เดินออกไปทันที

    คุณหญิงกรองทิพย์มองตามหลานชายแล้วทำท่าจะเป็นลม จากนั้นท่านก็นั่งพักบนโซฟา ปากก็ตะโกนเรียกหาคนใช้

    “จิตใจเอ๊ย จิตใจ แกอยู่ไหนจิตใจ เอายาดมมาให้ฉันดมทีสิ ฉันจะเป็นลม”

    สักพักคนที่ถูกเรียกหาก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ

    “ดิฉันมาแล้วค่ะ คุณท่าน”

    “เอายาดมมาให้ฉันดมที ฉันจะเป็นลม” ท่านบอก

    “ค่ะๆ ได้ค่ะ เอ่อ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย ทำไม…” จิตใจชี้ไปที่เปลือกขนมที่หล่นเกลื่อนกลาดแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

    ประมุขของบ้านโบกมือ

    “แกอย่าเพิ่งถามอะไรเลย ตอนนี้เอายาดมมาให้ฉันดมก่อน”

    “ค่ะ คุณท่าน” แล้วคนใช้วัยห้าสิบกว่าๆ ก็เอานาดมจ่อที่จมูกของคุณหญิงกรองทิพย์ทันที พลางบอกว่า “หายใจเข้าลึกๆ นะคะคุณท่าน ไม่ต้องเครียดค่ะ”

    “ไม่ให้ฉันเครียดได้ยังไง แกดูสิ่งที่ตากูรทำไว้สิ” ท่านชี้ไปที่เปลือกขนม

    “อ้าว เปลือกขนมพวกนี้เป็นของคุณกูรเหรอคะ”

    “ก็ใช่น่ะสิ” ท่านพยักหน้า “มหาวิทยาลัยก็ไม่ไป มัวแต่เล่นเกมอย่างเพลิดเพลิน เท่านั้นยังไม่พอ ยังทานขนมแล้วคายเปลือกทิ้งเกลื่อนกลาดอย่างที่แกเห็นนี่ละ มันเป็นเวรกรรมอะไรของฉันก็ไม่รู้ ที่มีหลานอย่างตากูร มันช่างไม่มีความรับผิดชอบต่อตัวเองเลยสักนิด มันกะว่าจะให้คนอื่นทำแทนมันทุกอย่างเลยหรือยังไงเนี่ย”

    “นี่ถ้าลูกของคุณธมลวรรณกับคุณชรัณกรยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนดีและมีนิสัยดีมากแน่ๆ เลยนะคะคุณท่าน”

    “แกคิดแบบนั้นเหรอ”

    “ค่ะ ดิฉันคิดแบบนั้นละค่ะ”

    “แต่ฉันเชื่อว่าหลานชายของฉันอีกคนยังมีชีวิตอยู่ แล้วเขาก็มีชีวิตที่สุขสบายด้วย”

    “คุณท่านรู้ได้ยังไงคะ ว่าคุณชนกันต์เธอจะมีชีวิตที่สุขสบาย” จิตใจถามด้วยความแปลกใจ

    “มันเป็นความเชื่อของฉัน แกไม่ต้องรู้หรอก” ท่านว่า

    คนใช้จึงต้องเงียบและไม่ถามอะไรเจ้านายอีกเลย มือก็ถือยาดมจ่อที่จมูกของท่าน ส่วนประมุขของบ้านก็คิดถึงหลานชนกันต์ของท่าน และคิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ยากลำบาก โตขึ้นเขาน่าจะเป็นคนดี แล้วนิสัยก็คงจะดีตามไปด้วย เมื่อท่านคิดเช่นนั้นมันก็ทำให้ท่านรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ก็ยังคิดถึงชนกันต์อยู่อีก และหวังว่าสักวันจะได้เขากลับมาสู่วงศ์ตระกูล ท่านภาวนาทุกวันว่าขอให้ชรัณกรตามหาหลานชนกันต์ของท่านให้พบ ดังนั้นไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งพระจะต้องช่วยตามหาจนพบแน่นอน ท่านมั่นใจอย่างนั้น

     

    ธมลวรรณให้คนขับรถส่งมาซื้อของที่ตลาดสดแห่งหนึ่ง วันนี้เธอรู้สึกอยากทานผลไม้ก็เลยตัดสินใจมาซื้อด้วยตัวเองและเดินเลือกดูของอย่างอื่นด้วย เลือกอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งของเต็มไม้เต็มมือ แล้วเธอก็เดินกลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่หลังตลาด

    ทว่ายังเดินไปไม่ถึงรถก็มีโจรใส่ไอ้โม่งคนหนึ่งเดินมากระชากกระเป๋าสตางค์ของธมลวรรณแล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เธอตกใจจึงตะโกนเรียกให้คนช่วย

    “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ฉันถูกโจรวิ่งราวกระเป๋าค่ะ…ช่วยด้วย”

    แล้วก็มีชายหนุ่มสองคนวิ่งเข้ามา เป็นกันต์กับต้นกล้านั่นเอง พวกเขามาซื้อของให้หลวงตาในตลาดสดแล้วได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือก็เลยวิ่งตามเสียงมา

    “โจรมันวิ่งไปทางไหนครับ” กันต์เอ่ยถาม

    “ทางนั้นค่ะ…ทางนั้น” ธมลวรรณชี้ไปยังทิศทางที่โจรวิ่งไป

    ชายหนุ่มพยักหน้า

    “ถ้าอย่างนั้นคุณน้ารออยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมกับเพื่อนจะวิ่งตามไปเอากระเป๋ามาคืนให้คุณน้าเอง”

    “จ้ะ ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม” เธอยิ้มให้พ่อหนุ่มคนนั้น

    “ไอ้กล้า เดี๋ยวเราแยกกันไปคนละทาง ฉันจะไปทางนั้น ส่วนนายก็ไปทางโน้น เพราะฉันคิดว่ามีสองทางที่โจรจะวิ่งไป ตกลงตามนี้นะ” กันต์เอ่ยกับเพื่อน พลางชี้ไปยังทางหนึ่ง

    ต้นกล้าพยักหน้า

    “อืม โอเค ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปกันเถอะ”

    แล้วพวกเขาก็พากันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับนักกีฬาทีมชาติก็ไม่ปาน สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือต้องเอากระเป๋ามาคืนเจ้าของให้ได้ เพราะทั้งสองเป็นคนดีที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น และนี่ก็คือผลงานความดีของพวกเขาอีกอย่างหนึ่ง

    แล้วไม่น่าเชื่อว่าคนที่จะวิ่งไปถึงตัวเจ้าโจรร้ายได้ก่อนคือกันต์ เพราะชายหนุ่มเป็นคนที่ค่อนข้างว่องไว ฉะนั้นแล้วใครที่คิดว่าตัวเองเร็วก็ไม่เร็วเท่ากันต์หรอก เขาวิ่งไปสกัดหน้าโจรพลางบอกมันว่า

    “ส่งกระเป๋ามาให้ฉันซะดีๆ ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัว เร็ว!”

    “ถ้าส่งให้แกฉันก็โง่เต็มทีแล้ว เงินในกระเป๋าใบนี้น่าจะมีอยู่เยอะเลย” เจ้าโจรมันว่า

    “ได้! แกไม่ส่งให้ฉันดีๆ ใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องเจ็บตัว” กันต์ไม่พูดเปล่าแต่พุ่งเข้าไปต่อยเจ้าโจรโดยที่มันไม่ทันตั้งตัว จนมันล้มลงไปกองกับพื้น ส่วนกระเป๋าก็กระเด็นไปอีกทาง

    กันต์จะเดินไปเอากระเป๋าแต่เจ้าโจรชักมีดออกมาจะแทงเขา แต่โชคดีที่เขาเห็นก่อนก็เลยเตะมีดให้หลุดจากมือมัน แล้วต่อจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร เพียงไม่กี่นาทีเจ้าโจรร้ายก็แพ้ราบคาบ เมื่อเห็นว่าสู้กันต์ไม่ได้มันก็รีบวิ่งหนีไปก่อนที่จะถูกจับส่งตำรวจ

    กันต์มีแผลบนใบหน้าจากการถูกต่อยนิดหน่อย ไม่มากเท่าไหร่ แค่นี้เขาไม่เจ็บหรอก ถ้าเทียบกับการที่ได้กระเป๋าเอาไปคืนให้เจ้าของมันก็คุ้มแสนคุ้มทีเดียว แล้วเขาก็เดินหยิบเอากระเป๋าที่หล่นอยู่และจะเดินออกไป แต่ต้นกล้าก็เดินมาพอดี

    “ไงวะ ไอ้กันต์ ได้กระเป๋าคืนแล้วใช่มั้ยวะ” ต้นกล้าถาม

    กันต์พยักหน้าพลางชูกระเป๋าใบขนาดปานกลางให้ดู

    “อืม นี่ไง”

    “เฮ้ย! นายโคตรเจ๋งเลยว่ะ ที่สามารถตามเอากระเป๋าจนได้” เขาเอ่ยชมเพื่อน

    “เรารีบเอากระเป๋าไปคืนผู้หญิงคนนั้นเถอะ”

    แล้วสองหนุ่มก็เดินออกไปทันที

    เพียงไม่นานกันต์กับต้นกล้าก็เดินมาถึงตัวของธมลวรรณ โดยฝ่ายแรกยื่นกระเป๋าให้เจ้าของ

    “นี่ครับ กระเป๋าของคุณน้า”

    “ขอบใจมากเลยนะจ๊ะพ่อหนุ่ม ที่อุตส่าห์ตามไปเอากระเป๋าให้น้าจนได้ เอ๊ะ ทำไมใบหน้าพ่อหนุ่มถึงได้ฟกช้ำล่ะ หรือว่าถูกโจรทำร้าย” ธมลวรรณรับกระเป๋าคืนมาแล้วสังเกตเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของกันต์ เธอก็เลยถาม

    กันต์ส่ายหน้ายิ้มๆ

    “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณน้า ผมเจ็บไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าดีที่ได้กระเป๋าคืนกลับให้คุณน้าได้”

    “แต่เธอก็ต้องเจ็บตัว”

    “ผมเจ็บแค่นี้เอง ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ” ชายหนุ่มยืนยัน

    ต้นกล้าจึงเอ่ยกับหญิงวัยห้าสิบกว่าๆ ว่า

    “เพื่อนผมมันอึดมันทนครับ เจ็บแค่นี้ไกลหัวใจมันเยอะเลย”

    “พูดเยอะไปแล้วนะนาย” กันต์ว่าเพื่อน

    อีกฝ่ายยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

    ส่วนธมลวรรณก็ได้แต่มองหน้ากันต์อย่างพินิจพิจารณา ราวกับกำลังสงสัยหรืออาจรู้สึกคุ้นหน้าเขาก็ไม่รู้

    จนกระทั่งกันต์รู้สึกว่าถูกมองหน้านานเกินไปแล้วจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้

    “หน้าของผมมีอะไรติดอยู่เหรอครับคุณน้า”

    “เปล่าจ้ะ น้าแค่รู้สึกถูกชะตากับพ่อหนุ่มเหลือเกิน” เธอตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเองทันที

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×