ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๕ : ผมเป็นเด็กวัด

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    ๒๑ ปีผ่านไป

    ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ทั้งสิ่งแวดล้อม จิตใจของคน หรือแม้กระทั่งสังขารของมนุษย์เองก็ตาม

    ปีนี้หลวงพี่จันอายุ ๖๓ ปีแล้ว ปัจจุบันท่านกลายเป็นหลวงตาจันไปแล้ว สุขภาพของท่านนั้นก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตามประสาคนที่มีอายุเยอะ แต่ท่านก็ยังสู้กับอาการเจ็บป่วยไหว

    ส่วนเด็กผู้ชายวัยแบเบาะ ๒ คนที่หลวงตาจันเก็บไปเลี้ยงจากหน้าวัดเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ปัจจุบันทั้งสองโตเป็นหนุ่มแล้ว แถมอายุเท่ากันและหล่อเหมือนกันอีกต่างหาก ทั้งสองชื่อ กันต์ และ ต้นกล้า เป็นชื่อที่หลวงตาตั้งให้นั่นเอง

    หลวงตาเลี้ยงเด็กทั้งสองด้วยความรัก เลี้ยงดูเหมือนลูกแท้ๆ ของท่านเลย แล้วเด็กทั้งสองก็เลี้ยงง่ายอีกด้วย ให้กินอะไรก็กินไม่เคยเรื่องมาก ที่สำคัญ เมื่อกันต์กับต้นกล้าโตขึ้นก็กลายเป็นเด็กดีและกตัญญูรู้คุณหลวงตา ช่วยงานในวัดทุกอย่าง ทั้งกวาดลานวัด ล้างห้องน้ำ ตัดแต่งต้นไม้ ล้างจานชามและบาตร เรียกได้ว่าทั้งสองนั้นช่างเป็นคนขยันเสียจริงๆ ใครเห็นก็ชื่นชมกันทั้งนั้น

    แล้วทุกๆ เช้าสองหนุ่มจะเดินตามพระไปบิณฑบาต ช่วยถือย่ามใส่ของที่ได้รับจากชาวบ้านที่ใส่บาตรกัน แต่การเป็นเด็กวัดของพวกเขาก็มีความสุขดี ได้กินข้าวก้นบาตรที่แสนจะอร่อยกว่าข้าวทั่วไปอีกต่างหาก แล้วไม่เบียดเบียนใครด้วย เพียงเท่านี้มันก็เกินพอสำหรับพวกเขาแล้วละ

    นิสัยของทั้งสองคือ...

    กันต์นั้นมีนิสัยสุขุม ลุ่มลึก เงียบขรึม ขยัน พูดจาไพเราะ เขาทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน โดยไม่พึ่งเงินของหลวงตาเลยสักบาทเดียว ที่สำคัญ เขายังเป็นเด็กเรียนเก่งและชอบช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย เห็นใครเดือดร้อนไม่ได้เขาช่วยหมดเลย เขาช่างเป็นคนดีเสียจริงๆ เชียว

    ส่วนต้นกล้ามีนิสัยออกจะกวนๆ หน่อย ร่าเริงได้ทุกเวลาเลย แต่เขาก็ทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนเหมือนกับกันต์ เขากับกันต์นั้นเป็นเพื่อนรักกัน สนิทกันมากเพราะเติบโตมาด้วยกัน เขาก็เป็นคนดีเหมือนกับกันต์นั่นละ ชอบช่วยเหลือทุกคน

    ทั้งสองกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่เลือกเรียนคณะนี้ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นคนที่ชอบออกแบบอยู่แล้ว เมื่อเรียนจบพวกเขาจะไปเป็นวิศวกรออกแบบ ถ้าบริษัทไหนรับพวกเขาก็จะเข้าไปทำงานทันที นั่นคือสิ่งที่สองหนุ่มเลือกเรียนคณะนี้ เพราะว่ามีความชอบที่เหมือนกันนั่นเอง

    วันนี้ในช่วงสายๆ กันต์กับต้นกล้าช่วยกันกวาดลานวัดด้วยความขยันขันแข็ง แล้วยังมีเด็กวัดอายุประมาณสิบถึงสิบสองปีอีกสามคนช่วยกวาดด้วย

    ขณะที่เด็กวัดพากันกวาดลานวัดอยู่ หลวงตาจันก็เดินเข้ามาเอ่ยถามกันต์กับต้นกล้าว่า

    “เจ้ากันต์ เจ้ากล้า เอ็งสองไม่ได้ไปเรียนกันหรือไงวันนี้”

    ทุกคนวางไม้กวาดแล้วยกมือไหว้หลวงตา

    “อ้อ คือวันนี้ผมกับไอ้กล้ามีเรียนตอนบ่ายครับหลวงตา” กันต์ตอบยิ้มๆ

    “อย่างนั้นเองเหรอ” หลวงตาถามอีก

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ครับ หลวงตา”

    “เอ่อ แล้วนี่หลวงตาไม่ไปพักผ่อนเหรอครับ ยิ่งเดี๋ยวนี้หลวงตาเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ อยู่ด้วย ผมเป็นห่วงครับ” ต้นกล้าว่า

    หลวงตาจันส่ายหน้าเบาๆ

    “หลวงตาก็อยากจะออกมาสูดอากาศบ้าง จะให้หลวงตาอยู่แต่ในกุฏิก็คงจะทำไม่ได้หรอก อึดอัดแย่ อ้อ แล้วหลวงตาก็ต้องขอบใจเอ็งมากเลยนะที่เป็นห่วงหลวงตา”

    “ก็หลวงตาเป็นคนที่เลี้ยงผมกับไอ้กันต์มาตั้งแต่เล็กจนโต ให้ข้าวให้น้ำกิน ให้ความรักกับพวกผม เลี้ยงผมกับไอ้กันต์เหมือนลูกคนหนึ่ง หลวงตาใจดีกับพวกผมมากเลยครับ อีกอย่าง หลวงตาก็คือญาติผู้ใหญ่ของพวกผมคนหนึ่งด้วย ผมกับไอ้กันต์ก็ต้องดูแลหลวงตาเพื่อตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงเราสองคนมาครับ อ้อ แล้วถ้าไม่มีหลวงตาชุบเลี้ยงเราสองคนในวันนั้นก็คงไม่มีกันต์กับต้นกล้าในวันนี้ครับ”

    “นายพูดซะยาวเหยียดเลยนะ ไอ้กล้า” กันต์อดที่จะแซวเพื่อนไม่ได้

    อีกฝ่ายจึงบอกว่า

    “ก็ฉันพูดจากใจจริงนี่หว่า ฉันพูดอย่างที่ใจฉันคิดโว้ย ถ้าไม่ได้หลวงตาเก็บฉันกับนายมาเลี้ยงก็คงไม่มีเราสองคนในวันนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องสำนึกบุญคุณหลวงตาให้มากๆ”

    “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ฉันก็สำนึกบุญคุณหลวงตาเหมือนกันละ เพราะหลวงตาเป็นผู้มีพระคุณของเราสองคน ข้อนี้ฉันรู้ดี”

    “หลวงตาดีใจนะที่เห็นเอ็งสองคนเป็นคนที่กตัญญูรู้คุณคน ไม่เสียแรงที่หลวงตาเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ แล้วเอ็งสองรู้มั้ย ตอนที่เอ็งสองคนถูกเอามาทิ้งที่หน้าวัดน่าจะเพิ่งคลอดยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำไป ตอนนั้นเอ็งสองคนน่าสงสารมาก ร้องอยู่นานเลย สงสัยจะพากันหิวน้ำหิวนม จนกระทั่งมีญาติโยมที่ใจดีเอานมมาบริจาคให้ ไม่อย่างนั้นหลวงตาเองก็ไม่รู้ว่าจะหานมมาจากไหนให้พวกเอ็งกิน” หลวงตาเอ่ยกับสองหนุ่มยิ้มๆ ท่านรู้สึกภูมิใจในตัวกันต์และต้นกล้าที่กตัญญูรู้คุณคนอย่างนี้

    “บุญคุณของหลวงตา ผมสองคนจะไม่มีวันลืมเลยครับ” ต้นกล้าบอก

    หลวงตาจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า

    “หลวงตาเลี้ยงเอ็งสองตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย แล้วทำไมหลวงตาจะไม่รู้ว่าเอ็งสองคนเป็นคนยังไง เอ็งสองคนน่ะเป็นเด็กดีมาก ใครที่เห็นต่างก็ชื่นชมกันทั้งนั้น”

    “ครับ หลวงตา ที่ผมกับไอ้กล้ามีวันนี้ได้ก็เพราะหลวงตานี่ละครับ” กันต์ยิ้ม

    “อืม ถ้าอย่างนั้นหลวงตาขออวยพรให้เอ็งสองคนนะ ไม่ว่าเอ็งสองคนจะไปที่ไหนก็ขอให้มีแต่คนรักและเมตตา อย่าได้มีศัตรูใดๆ เลย”

    “สาธุครับ หลวงตา” สองหนุ่มยกมือสาธุพร้อมกัน

    “อ้อ ไอ้เบื๊อก ไอ้ปอนด์ ไอ้จ๊อด เดี๋ยวเอ็งสามคนไปล้างห้องน้ำต่อนะ” หลวงตาบอกกับเด็กวัดอีกสามคน

    “ได้ครับ หลวงตา” เบื๊อก ปอนด์ และจ๊อดตอบพร้อมกัน แล้วก็พากันเดินออกไปทันที

    คล้อยหลังเด็กวัดทั้งสามหลวงตาก็บอกกับกันต์และต้นกล้าว่า

    “พวกเอ็งกวาดตรงนี้เสร็จก็ไม่ต้องทำอะไรต่อนะ เดี๋ยวพากันนั่งพักและอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปเรียนตอนบ่าย”

    “ไม่เป็นไรหรอกครับหลวงตา เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่า กว่าจะถึงบ่ายโมง พวกผมยังมีเวลาทำงานอย่างอื่นต่อได้อีกครับ” กันต์ว่า

    “เอ็งสองคนช่างขยันจริงๆ ขยันแบบนี้ใครๆ เขาก็ชอบทั้งนั้นละ”

    “โธ่ หลวงตาครับ เกิดมาเป็นคนทั้งที่ก็ขยันครับ ถ้าไม่ขยันก็จะเสียชาติเกิดเปล่าๆ เพราะฉะนั้นการที่เราขยันก็นับว่าเป็นเรื่องดี” ต้นกล้าเอ่ยกับหลวงตาด้วยท่าทียิ้มแย้ม

    “ไอ้กล้า ฉันว่านายเพิ่งจะพูดได้ดีก็วันนี้เองนะ”

    “โธ่ อะไรกันวะ นี่นายหมายความว่าที่ผ่านมาฉันพูดไม่ดีเลยหรือไง” เขาทำหน้าเซ็งๆ

    กันต์จึงบอกว่า

    “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น คือฉันหมายถึงว่าวันนี้นายพูดได้ดีกว่าที่ผ่านๆ มาน่ะ”

    “งั้นเหรอวะ”

    “อืม ใช่!”

    “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”

    “เดี๋ยวหลวงตาขอตัวไปนั่งพักบนกุฏิก่อนนะ” หลวงตาบอกกับสองหนุ่ม

    “ครับ หลวงตา” กันต์และต้นกล้าตอบพร้อมกัน

    แล้วหลวงตาก็เดินตรงไปยังกุฏิของท่านทันที โดยมีสองหนุ่มยอดกตัญญูมองตามพลางยิ้ม พวกเขารักหลวงตาที่เป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มีอยู่ เพราะบิดากับมารดาผู้ที่ให้กำเหนิดพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ที่รู้ๆ ก็คือตั้งแต่เติบโตมาก็เห็นแต่หลวงตาเท่านั้นที่เลี้ยงพวกเขา เลี้ยงอย่างดีเลยละ ให้กินข้าวกินน้ำและหานมให้ดื่มด้วย บุญคุณของหลวงตาชาตินี้ทั้งชาติก็ทดแทนไม่หมดหรอก และพวกเขาจะไม่มีวันลืมแน่นอน

    เมื่อได้อยู่สองคนต้นกล้าก็เอ่ยกับกันต์ว่า

    “แป๊บๆ เราก็จะจบแล้ว เรียนปีสุดท้ายแล้ว น่าใจหายนะ พอเรียนจบก็จะไม่ได้เจอเพื่อนที่มหาลัยอีกเลย”

    “ถึงเราจะต่างคนต่างเรียนจบและแยกย้ายกันไปทำงานตามที่ตนเองชอบ แต่สักวันหนึ่งยังไงพวกเราก็ต้องกลับมาเจอกันอยู่ดี”

    “โดยเฉพาะคุณดาว ฉันอยากเรียนอยู่ที่เดียวกับเขา ไม่อยากจบเลย เพราะฉันอยากเห็นหน้าเขาทุกวัน...ทุกวัน...แล้วก็ทุกวัน ถ้าเรียนจบแล้วฉันคงคิดถึงคุณดาวมาก” ต้นกล้าเอ่ยขึ้นราวกับคนที่กำลังฝันหวานอยู่

    กันต์จึงบอกว่า

    “เฮ้ยๆ ไอ้กล้า นายอย่าแม้แต่จะคิด นายก็รู้นี่ว่าเรากับเขาอยู่ในฐานะไหน เขาเป็นถึงดอกฟ้า ส่วนเราก็แค่หมาวัด ทำได้ก็แค่แหงนมองเครื่องบินเท่านั้นละ”

    “นั่นสินะ เขาอยู่ไกลเกินกว่าที่เราจะเอื้อมถึง แต่สักวันหนึ่งฉันจะเอื้อมดอกฟ้าอย่างคุณดุจดาวให้ถึง ต่อให้ต้องขึ้นบันไดสักร้อยขั้นฉันก็จะขึ้นไปเด็ดดอกฟ้าดอกนั้นให้ได้ เพราะฉันชอบเขาว่ะ”

    “นายเพ้อเจ้ออีกแล้ว ไร้สาระจริงๆ”

    “ใช่สิ ก็นายไม่เคยมีความรักนี่ นายก็เลยไม่เข้าจิต”

    “เข้าใจ!”

    “เออ นั่นละ นายก็เลยไม่เข้าใจว่าความรักมันเป็นยังไง แต่ฉันน่ะ ฉันแอบรักคุณดุจดาว แอบรักตั้งแต่เรียนอยู่ปีหนึ่งแล้ว”

    “ความรักที่เป็นไปได้”

    “เป็นไปได้สิ” ต้นกล้าเถียง “แล้วสักวันฉันจะทำให้นายรู้ว่าความรักที่ฉันมีต่อคุณดาวมันมีความเป็นไปได้ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อด้วย”

    “โอเคๆ ฉันจะคอยดูแล้วกันนะ ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้” กันต์รีบตัดบทเพราะไม่อยากทะเลาะกับเพื่อน

    ชายหนุ่มรู้ดีว่าต้นกล้านั้นแอบชอบหญิงสาวไฮโซคนหนึ่งมากแค่ไหน หญิงสาวผู้นั้นทั้งสวยและน่ารักจนหนุ่มๆ หลายคนต่างแย่งกันขายขนมจีบให้เธอ หนึ่งในนั้นก็มีต้นกล้ารวมอยู่ด้วย ทว่าการที่ต้นกล้าแอบชอบหญิงสาวมันกลับไม่มีความเป็นไปได้ที่เธอชายตาแลมองเด็กวัดจนๆ อย่างเขา ทำได้เพียงแอบชอบเท่านั้น เพราะเขากับเธอนั้นเปรียบเสมือนฟ้ากับเหว โดยที่เธอเป็นฟ้าและเขาเป็นเหว ดังนั้นทั้งสองจึงไม่คู่ควรกันเลยสักนิด...ดอกฟ้ากับหมาวัด...แค่คิดมันก็เป็นไปได้แล้ว

    กันต์เองก็คอยเตือนเพื่อนเสมอว่าอย่าริอ่านปีนขึ้นไปเด็ดดอกฟ้า เพราะตกลงมามันไม่คุ้มเลย มันมีแต่จะเจ็บเสียมากกว่า แต่ต้นกล้ากลับไม่ฟัง ยังดื้อดึงอยากจะเด็ดดอกฟ้าให้ได้เลย กันต์ก็ปล่อยให้เพื่อนทำตามใจตัวเองไป เพราะขืนยิ่งห้ามเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้เขากับเพื่อนทะเลาะกันมากขึ้น ทางที่ดีคือต้องปล่อยนั่นละ ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น

    “แต่ฉันเชื่อว่ามันต้องมีทางเป็นไปได้แน่นอน” ต้นกล้าเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจที่สุด

    กันต์แอบทำหน้าหนักใจ แต่ปากก็เอ่ยกับเพื่อนว่า

    “ในเมื่อนายมั่นใจขนาดนี้ฉันก็คงห้ามอะไรนายไม่ได้แล้วละ ฉันก็ได้แค่อวยพรให้นายสมหวังกับคุณดุจดาวแล้วกัน”

    “ขอบใจมากนะเพื่อน ฉันขอบใจนายจริงๆ” ชายหนุ่มยิ้มดีใจที่เพื่อนอวยพรให้

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “อืม ไม่เป็นไร เอาละ ฉันว่าเรารีบกวาดต่อเถอะ เหลืออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว เดี๋ยวเสร็จจากตรงนี้เราก็จะไปช่วยไอ้เบื้อก ไอ้จ๊อด ไอ้ปอนด์ล้างห้องน้ำต่อ”

    “โอเค ได้เลยเพื่อน”

    แล้วจากนั้นสองหนุ่มก็ช่วยกันกวาดลานวัดต่อ เพราะเหลืออีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว เมื่อเสร็จจากตรงนี้พวกเขาก็จะไปช่วยเด็กวัดอีกสามคนล้างห้องน้ำต่อ กันต์กับต้นกล้าช่างขยันที่สุด ไม่เสียแรงที่หลวงตาสั่งสอนมาอย่างดี น่าภูมิใจแทนหลวงตาเสียจริงๆ


    วันเวลาผ่านไปยี่สิบเอ็ดปีแต่ชรัณกรก็ยังไม่หยุดที่จะตามหาลูกชายที่ถูกขโมยไป เขาตามหาเกือบทั่วทั้งกรุงเทพฯ แต่ก็ยังไม่พบเสียที อีกทั้งยังจ้างนักสืบให้ช่วยตามหาอีกแรง ทว่าทุกอย่างกลับดูริบหรี่ ไม่มีวี่แววว่าจะพบชนกันต์เลย แต่ผู้เป็นบิดายังไม่ยอมแพ้ ยังมุ่งมั่นที่จะตามหาลูกชายต่อไปให้พบ เขามั่นใจว่าสักวันต้องได้เจอลูกชายแน่นอน

    ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงยี่สิบเอ็ดปีแล้วแต่ยังตามจับตัวคนร้ายที่ขโมยเด็กชายชนกันต์ไม่ได้ ไม่รู้เลยว่ามันเป็นใคร แล้วมันทำไปเพราะอะไร ชรัณกรไปคาดคั้นเอาคำตอบจากปากของมยุรีว่าเธอจำหน้าของคนร้ายได้หรือเปล่า เธอก็ตอบแบบอึกอักว่าจำไม่ได้เพราะคนร้ายใส่ไอ้โม่ง ส่วนรูปพรรณสัณฐานของมันเธอก็จำไม่ได้อีกเช่นกัน การตามหาตัวคนร้ายให้พบจึงดูเป็นเรื่องที่ยากเกินไปสักหน่อย เพราะไม่มีหลักฐานอะไรเลยสักอย่าง จนกระทั่งชรัณกรรู้สึกท้อแท้กับเรื่องนี้มาก เขาจึงทุ่มเทกับการตามหาลูกชายมากกว่าเรื่องตามจับคนร้ายนั่นเอง

    ชรัณกร ธมลวรรณและคุณหญิงกรองทิพย์ก็ยังมีความหวังที่จะได้พบเด็กชายชนกันต์ ทั้งสามคิดว่าอีกไม่นานต้องพบแน่นอน เพียงแค่รอเวลาสักหน่อยเท่านั้นเอง อีกอย่าง ชรัณกรก็เคยบอกไว้ว่าต่อให้พลิกแผ่นดินหาเขาก็จะทำ ดังนั้นทุกคนเชื่อใจเขาได้ ว่าสักวันเขาจะตามหาลูกชายพบ ป่านนี้ชนกันต์คงโตเป็นหนุ่มแล้ว หน้าตาก็คงจะหล่อเหลาไม่เบาเลยละ แล้วอายุก็คงจะประมาณยี่สิบเอ็ดปีได้ คนเป็นพ่อแม่และยายคิดอย่างนั้น

    “คุณคิดว่าลูกของเราจะมีความเป็นอยู่ยังไงคะคุณกร เขาจะถูกคนดีๆ เก็บไปเลี้ยงมั้ย แล้วตอนนี้เขากำลังลำบากหรือเปล่า ฉันเป็นห่วงลูกจังเลยค่ะ” ธมลวรรณเอ่ยถามสามีขณะนั่งอยู่ในห้อง

    อีกฝ่ายจึงบอกว่า

    “ผมเชื่อว่าลูกของเราจะต้องมีชีวิตที่สุขสบาย ไม่ลำบากแน่นอน แล้วเขาก็น่าจะเติบโตเป็นคนดี คงได้คนดีๆ เก็บไปเลี้ยง อ้อ ที่สำคัญ ผมคิดว่าเขาคงหน้าตาหล่อเหลานะคุณวรรณ อายุของเขาตอนนี้ก็คงจะยี่สิบเอ็ดปีแล้ว”

    “ฉันก็คิดเหมือนคุณค่ะ ฉันคิดว่าลูกของเราจะต้องเติบโตเป็นคนดีแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ก็ตาม แต่ฉันเชื่อเหลือเกินค่ะ ฉันเชื่อว่าคงจะมีคนดีๆ เก็บตาหนูกันต์เอาไปเลี้ยงและสอนเขาเป็นอย่างดี”

    “ใช่!” ผู้เป็นสามีพยักหน้า “แล้วผมเชื่ออีกอย่างนะ ผมเชื่อว่าสักวันเรากับเขาต้องได้พบกันแน่นอน เพราะผมจะต้องตามหาเขาให้พบ อีกไม่นานหรอกนะ ผมให้สัญญากับคุณไว้ตรงนี้เลย”

    “ฉันเชื่อคุณค่ะ เพราะตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาคุณเองก็พยายามตามหาลูกของเรามาโดยตลอด ตามหาจนแทบไม่ได้ทำงานทำการเลย กระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ก็ไม่ยังไม่มีวี่แววว่าจะพบเขาเลย แต่คุณเองก็ไม่ย่อท้อ คุณยังตามหาลูกต่อไป แล้วฉันก็คิดว่าถ้าเรากับเขายังมีวาสนาต่อกันสักวันเรากับเขาต้องได้เจอเขาค่ะ” ขณะพูดเธอก็แสดงสีหน้าเศร้าๆ พลันหยาดน้ำใสๆ ก็ไหลออกจากดวงตา

    ชรัณกรจับมือภรรยาบีบเบาๆ เพื่อปลอบใจ

    “ไม่เอาน่าคุณวรรณ อย่าร้องไห้สิ คุณต้องไม่อ่อนแอ คุณต้องเข้มแข็งเพื่อรอลูกของเรา แล้วคุณรู้มั้ย เดี๋ยวนี้คุณซูบผอมลงไปมากเลยนะ ข้าวน่ะทานเยอะๆ หน่อยจะได้มีน้ำมีนวล สมมุติถ้าวันหนึ่งเราเจอลูกชายของเราเขาจะได้เห็นว่าแม่ของเขาหุ่นดี ไม่ใช่ผอมเหมือนที่ผมเห็นอยู่ตอนนี้”

    “ก็ฉันคิดถึงลูกนี่คะ คิดถึงจน…”

    “คิดถึงจนทานอะไรไม่ลง” เขาชิงพูด “ผมได้ยินคุณพูดแบบนี้มาซ้ำๆ หลายครั้งตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ได้ยินจนเบื่อแล้ว…คุณวรรณ คุณคิดถึงลูกได้แต่คุณก็ไม่ควรทำร้ายตัวเองด้วยการทานข้าวเหมือนแมวดมแบบนี้ จนสภาพคุณในทุกวันนี้เหมือน…”

    “เหมือนซากศพที่เดินได้ใช่มั้ยคะ”

    “เอ่อ…”

    “ถ้าคุณจะคิดอย่างนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกค่ะ เพราะฉันก็รู้ตัวเองดีว่าสภาพของฉันในตอนนี้ก็เหมือนซากศพที่เดินได้จริงๆ แล้วฉันก็ยอมรับด้วยนะคะว่าฉันคิดถึงลูกจนทานอะไรไม่ลง แม้แต่จานข้าวก็ยังไม่อยากจะมองเลย”

    “โธ่ คุณวรรณ คุณคิดถึงลูกเกินไปจริงๆ คิดถึงจนทำร้ายตัวเอง”

    “แต่สำหรับฉัน ฉันว่ามันไม่เกินไปหรอกค่ะ เพราะคนเป็นแม่ก็ต้องคิดถึงลูกเป็นธรรมดา ยิ่งตาหนูถูกพรากไปจากอกฉันก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและคิดถึงมาก อีกอย่าง ฉันเพิ่งจะเลี้ยงตาหนูได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำไป แล้วจู่ๆ มีคนมาพรากเขาไปจากฉัน…ฉันอดคิดถึงเขาไม่ได้หรอกนะคะ” ยิ่งเอ่ยออกมาน้ำตาของเธอก็ยิ่งไหล เธอรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว มันเจ็บปวดเกินคำบรรยายจริงๆ

    ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแต่เธอก็ยังไม่คลายจากความเศร้าโศกเสียใจที่ลูกชายคนเดียวถูกพรากไปจากอกตั้งแต่ยังแบเบาะ หัวอกของคนเป็นมารดาก็ต้องเสียใจและเศร้าใจเป็นธรรมดา แล้วอีกอย่าง มันยากที่จะทำใจได้จริงๆ ใครที่ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบที่เธอเคยเจอก็คงไม่มีวันรู้เลยว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน นอกเสียจากคนที่เคยเจอเหตุการณ์แบบเดียวกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ แล้วถึงแม้จะมีสามีคอยให้กำลังใจอยู่ทุกวันแต่เธอก็ยังคงทำใจไม่ได้อยู่ดี แต่สิ่งหนึ่งที่เธอทำได้ก็คือภาวนาให้พบลูกชายเร็วๆ เธอต้องการเท่านี้จริงๆ อย่างอื่นไม่สนใจทั้งนั้น

    “ผมเองก็คิดถึงลูกไม่น้อยไปกว่าคุณเลยนะคุณวรรณ แต่ผมก็สัญญากับคุณแล้วไงว่าผมจะต้องตามหาลูกของเราให้พบ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำ แล้วทำไมคุณยังไม่เลิกร้องไห้สักทีล่ะ คุณต้องเข้มแข็งบ้างนะ อย่าอ่อนแอจนเกินไป คุณมีผมอยู่ตรงนี้ทั้งคน ผมอยู่เคียงข้างคุณทุกเวลา คุณอย่าได้กังวลอะไรเลย” ชรัณกรกอดปลอบใจภรรยาด้วยความรักที่แสนยิ่งใหญ่

    ผู้เป็นภรรยาจึงพยักหน้าพลางปาดน้ำตาทิ้งแล้วเอ่ยว่า

    “ค่ะ ฉันจะเลิกร้องไห้และทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรอตาหนูลูกของเรา ฉันหวังว่าอีกไม่นานเราจะพบเขา อ้อ แล้วฉันก็สวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกคืนว่าให้พบลูกชายของเราเร็วๆ ฉันคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องช่วยเราได้แน่นอนค่ะ”

    “ครับ แน่นอนครับ” เขายิ้มให้ภรรยา “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะคุ้มครองคนดี ถ้าลูกของเราเป็นคนดีท่านจะคุ้มครอง คุณรู้อย่างนี้แล้วก็อย่ากังวลไปเลย ข้าวปลาก็ทานให้เยอะๆ หน่อยนะ”

    “ค่ะ ฉันจะพยายามทานข้าวให้ได้เยอะๆ นะคะ”

    “ผมไม่ชอบเลยที่เห็นคุณทุกข์แบบนี้ ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาผมก็แทบจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของคุณเลย ต่างจากธมลวรรณคนเดิมที่ผมเคยเห็น”

    “คุณก็รู้นี่คะ ว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นับตั้งแต่วันที่…”

    “ผมรู้…แต่คุณก็ไม่ควรทำร้ายตัวเองด้วยการทานข้าวเพียงน้อยนิด ทานเพียงสองถึงสามคำก็บอกว่าฉันอิ่มแล้วค่ะ ผมว่ากว่าที่คุณจะได้พบลูกคุณคงได้…”

    “ฉันยังตายไม่ได้หรอกค่ะ ตราบใดที่ฉันยังไม่พบลูกฉันก็ยังคงมีชีวิตอยู่เพื่อรอลูกค่ะ”

    “รู้แบบนี้แล้วคุณก็อย่าอ่อนแอสิ”

    “ได้ค่ะ ต่อไปฉันจะไม่อ่อนแออีกแล้ว ฉันจะต้องเข้มแข็งเพื่อรอลูกของเรา”

    “ดีครับ มันต้องอย่างนั้นละ คุณยิ้มหน่อยสิ” เขาบอกภรรยา

    ธมลวรรณยิ้มจางๆ ให้สามี เพราะตอนนี้เธอยังปรับตัวให้เข้มแข็งไม่ได้ ถึงกระนั้นเธอก็จะพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อรอลูกชายเหมือนอย่างที่สามีบอกให้ได้ แม้ว่ามันจะยากสักเท่าไหร่เธอก็จะทำ

    “ผมได้เห็นรอยยิ้มของคุณสักที ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มจางๆ ก็เถอะ แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้เห็นมัน” ชรัณกรยิ้มพอใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของภรรยา

    อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มจางๆ อีกครั้ง

    “ค่ะ ต่อไปฉันจะพยายามยิ้มให้มากขึ้นนะคะ”

    “ดีครับ มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เอาละ ในเมื่อคุณสบายใจแล้วเราก็ลงไปข้างล่างดีกว่า”

    “ฉันขอไปคุมโครงการสร้างคอนโดฯ แถวถนนรังสิตกับคุณได้มั้ยคะ ถ้าฉันอุดอู้อยู่แต่ในบ้านฉันกลัวว่าตัวเองจะเศร้าอีกค่ะ”

    “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ผู้เป็นสามีพยักหน้า

    “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเลยมั้ยคะ”

    “ไปครับ” เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนพร้อมกับภรรยา

    แล้วจากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปจากห้องทันที ที่ธมลวรรณขอไปคุมโครงการกับสามีก็เพราะว่าไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน เพราะกลัวว่าจะเศร้าอีก เธอก็เลยอยากไปกับเขาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย แล้วมันก็จะเป็นผลดีกับตัวเธอด้วยละ จะได้ไม่ต้องคิดเรื่องลูกวนๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างที่เป็นอยู่เช่นนี้


    “ผมคิดว่าถ้ากำจัดไอ้เด็กคนนั้นไปให้พ้นทางแล้วคุณแม่จะยกบริษัทกับสมบัติของตระกูลให้กับตากูร แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่ผมคาดหวัง เวลาผ่านมานานถึงยี่สิบเอ็ดปีคุณแม่ก็เฝ้ารอแต่ไอ้หลานคนนั้น” วิวัฒน์ระบายความอัดอั้นตันใจกับภรรยาขณะขับรถอยู่บนถนน กำลังพากันไปที่บริษัท

    “ทั้งที่ตากูรก็เป็นหลานของท่านคนหนึ่ง แถมยังเกิดวันเดียวกับไอ้เด็กนั่นด้วย แต่…แต่ท่านกลับไม่สนใจ โธ่โว้ย!”

    ถึงเวลาจะผ่านมานานหลายปีแต่ความอิจฉาและความทะเยอทะยานไม่ได้จางหายไปจากใจของวิวัฒน์กับมยุรีได้เลย ทั้งสองอยากได้อยากมีกับของที่ไม่ใช่ของตัวเอง ทั้งที่คุณหญิงกรองทิพย์ก็แบ่งเงินทองให้ใช้ตั้งมากมายแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นที่พอใจของสองสามีภรรยาเลย ความโลภคงครอบงำจิตใจของพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ได้คืบก็อยากจะเอาศอก เรียกง่ายๆ ก็คืออยากจะได้มากกว่าที่เคยได้ อยากได้อยากมีแบบไม่มีที่สิ้นสุด

    ที่สำคัญ คุณหญิงกรองทิพย์ก็ยังไม่รู้ธาตุแท้ของลูกชายกับลูกสะใภ้ เพราะทั้งสองไม่แสดงออกมาให้ผู้เป็นมารดาเห็น ยังแสร้งปั้นหน้าเป็นคนดีต่อไปเพื่อหวังผลประโยชน์มหาศาล หรืออาจมีแผนที่จะฮุบทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง ก็แน่ละ คนอย่างวิวัฒน์กับมยุรีทำได้ทุกอย่าง โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันจะถูกหรือว่าจะผิดอย่างไร ขอแค่ได้สิ่งๆ นั้นมาก็พอใจแล้ว

    “จะผ่านมากี่ปีๆ คุณแม่ของคุณก็ยังลำเอียงเหมือนเดิมเลยนะคะ ปากก็บอกว่าไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง แต่การกระทำมันตรงข้ามกันเห็นๆ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ ท่านรักลูกไม่เท่ากัน คุณอย่าไปยอมนะ” มยุรีเอ่ยขึ้นคล้ายกับจะทำให้สามีเกลียดมารดาของตัวเองอย่างนั้นละ หรือนั่นคือสิ่งที่เธอต้องการ?

    “เรื่องอะไรผมจะยอม” ดูเหมือนคำยุยงของภรรยาจะได้ผล เพราะวิวัฒน์ทำหน้าตาขึงขังเมื่อรู้สึกไม่พอใจกับความลำเอียงของมารดา เขาหลงเชื่อคำพูดของภรรยาโดยหารู้ไม่ว่าเธอจงใจทำให้เขาเกลียดมารดาและน้องสาว

    “ถ้าไม่ยอมแล้วคุณจะทำอะไรได้คะ” เธอแกล้งถาม

    อีกฝ่ายจึงบอกว่า

    “ผมก็จะหว่านล้อมให้คุณแม่เซ็นโอนทุกอย่างให้เป็นชื่อของตากูรคนเดียวไง”

    “แล้วคุณจะทำได้เหรอคะ”

    “คุณคอยดูก็แล้วกัน”

    “ค่ะ ฉันจะคอยดู แต่สำหรับฉัน ฉันเชื่อนะคะว่าคุณต้องทำได้แน่นอน เพราะคนอย่างคุณเก่งได้ในทุกๆ ด้าน ฉันช่างภูมิใจจริงๆ ที่มีสามีอย่างคุณ”

    “ผมก็ดีใจที่มีภรรยาอย่างคุณ” เขายิ้มให้ภรรยา “คุณอดทนอีกนิดนะ พอผมทำให้ทุกอย่างเป็นของเราแล้วเราก็จะสบายกันไปทั้งชาติเลย อีกไม่นานหรอกนะ ขอให้คุณเชื่อใจผมได้เลย”

    “ค่ะ ฉันเชื่อใจคุณเสมอ”

    “ขอบคุณนะที่เชื่อใจผม”

    มยุรียิ้มให้สามี แต่ไม่ได้เอ่ยอะไรเลย เธอซ่อนความไม่พอใจไว้ใต้รอยยิ้ม แล้วยังคิดในใจด้วยว่า

    รอ…รอ…แล้วก็รอ คำนี้ฉันได้ยินคุณบอกกับฉันจนเบื่อเต็มทนแล้ว ฉันอยู่กับคุณมายี่สิบกว่าปีก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้นเลย คุณบอกว่าจะทำให้คุณแม่ยกบริษัทกับสมบัติของตระกูลให้ตากูร แต่ก็ไม่เห็นว่าคุณจะทำได้อย่างที่พูดเอาไว้ หรือความจริงแล้วคุณมันดีแต่พูด ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่มาแต่งงานกับคุณเนี่ย’

    นั่นคือความไม่พอใจของเธอที่เก็บมานานถึงยี่สิบกว่าปีเลยทีเดียว เมื่อยี่สิบปีที่แล้ววิวัฒน์บอกว่าจะทำให้มารดายกบริษัทกับสมบัติของตระกูลให้ฐากูรคนเดียว แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่ได้อย่างที่พูดเลยสักนิด ผู้เป็นภรรยาอย่างมยุรีจึงไม่พอใจแต่ก็ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในใจและอดทนจนมาถึงทุกวันนี้ แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันก็ยังเหมือนเดิม แล้วเมื่อไหร่เล่า…เมื่อไหร่ที่วิวัฒน์จะทำได้อย่างที่พูดเสียที เธอรอจนเบื่อแล้ว เขาจะปล่อยให้เธอรอไปอีกนานเท่าไหร่กันนะ และนี่คือสิ่งที่เธอยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย ก็ได้แต่ท่องคำว่ารอ รอ แล้วก็รอเท่านั้นพอ…รอว่าสักวันเขาจะทำให้ทุกอย่างตกเป็นของลูกชายคนเดียว เธอจะลองเชื่อใจเขาดูอีกสักครั้ง แล้วหวังว่าครั้งนี้เขาจะทำได้อย่างที่พูดเสียที ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะหมดความอดทนแล้วเหมือนกัน

    แล้ววิวัฒน์ก็เอ่ยขึ้นว่า

    “แต่นี่ยังดีนะที่คุณแม่อนุมัติให้ผมได้ดูแลโครงการสร้างคอนโดฯ แถวถนนรามอินทรา”

    “แค่ท่านอนุมัติให้คุณดูแลโครงการเดียวคุณก็พอใจแล้วเหรอคะ” มยุรีเอ่ยถามสามีอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

    อีกฝ่ายส่ายหน้า

    “ไม่ใช่ว่าผมพอใจอะไรนักหรอกนะ แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยคุณแม่ก็ยังเห็นว่าผมเป็นลูกคนหนึ่ง ท่านถึงอนุมัติให้ผมดูแลโครงการนี้”

    “หึ! คุณก็เลยซึ้งใจอย่างนั้นสิ”

    “ผมไม่ได้ซึ้งใจ แต่…”

    “แต่อะไรฉันไม่สน ฉันสนแค่ว่าคุณต้องทำยังไงก็ได้ให้คุณแม่ยกทุกอย่างให้เป็นของตากูร แล้วคุณก็ต้องทำให้ได้ด้วย”

    “เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมบอกคุณแล้วไงว่าให้เชื่อใจผม หรือว่าตอนนี้คุณไม่เชื่อใจผมแล้ว”

    “ไอ้เชื่อใจฉันก็เชื่อใจอยู่หรอกนะคะ แต่…”

    “ในเมื่อคุณเชื่อใจผมคุณก็ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น อีกไม่นานคุณเตรียมปรบมือให้ผมได้เลย เพราะผมจะให้สำเร็จ คุณคอยดูแล้วกัน” วิวัฒน์บอก

    “ค่ะ ฉันจะคอยดู” มยุรีพยักหน้ายิ้มจางๆ

    แล้วจากนั้นทั้งสองก็เงียบ ฝ่ายสามีตั้งใจขับรถอย่างเดียว ส่วนภรรยาก็มองไปข้างหน้าอย่างสนใจรถราที่ขับอยู่บนถนน สองสามีภรรยาต่างคนต่างเงียบ หรือความจริงพวกเขาอาจกำลังคิดอะไรอยู่ในใจก็เป็นได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าความคิดของทั้งสองคืออะไรกันแน่!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×