ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๓ : ทายาทของตระกูล(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 65


    นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าภรรยาตั้งท้องชรัณกรก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารการกินและเรื่องการเดินเหิน ไม่ว่าเธอจะเดินไปไหนเขาก็จะคอยประคองเธอตลอด เพราะกลัวจะเกิดอันตรายกับเธอและลูกในท้อง เรียกได้ว่าคนที่เห่อลูกที่สุดก็คงจะเป็นเขานี่ละ

    จนธมลวรรณอดขำกับความเห่อลูกของสามีไม่ได้ นี่ขนาดลูกยังอยู่ในท้องแล้วเขาเห่อขนาดนี้ แล้วถ้าลูกคลอดออกมาจะเห่อขนาดไหน ขนาดเธอเป็นแม่ยังไม่เห่อเท่าคนเป็นพ่ออย่างเขาเลย แต่ก็ดีแล้วละที่เขาดูแลเอาใจใส่เธอกับลูกในท้องได้ดีแบบนี้ เพราะไม่ว่าเธออยากจะทานอะไรเขาก็หาให้ทานได้หมด ขอเพียงแค่เธอบอกเขาเท่านั้นเขาก็จะหาให้ทันที

    อาหารที่ชรัณกรหามาให้ธมลวรรณทานล้วนแต่เป็นอาหารมีประโยชน์ทั้งนั้น เป็นอาหารบำรุงครรภ์ บำรุงลูกที่อยู่ในท้อง นี่ถ้าลูกคลอดออกมาคงจะน้ำหนักเยอะแน่ๆ เลย เพราะบิดาหาแต่ของที่มีประโยชน์มาให้มารดาทาน เด็กน้อยได้รับสารอาหารดีๆ ที่มารดาทานเข้าไปเต็มๆ เลยเชียวละ

    ท้องของธมลวรรณโตขึ้นเรื่อยๆ การเดินเหินก็ลำบากตาม ชรัณกรจึงต้องดูแลภรรยาอย่างใกล้ชิด ยิ่งใกล้คลอดก็ยิ่งดูแลมากขึ้น และด้วยความที่เขาเห่อลูกอย่างหนักเขาก็รีบพาภรรยาไปซื้อเสื้อผ้าและของใช้เด็กเตรียมไว้ ซื้อมาไว้เสียเยอะแยะเลย ทั้งที่ภรรยาบอกว่าอย่าซื้อเยอะแต่เขาก็ไม่ฟัง เกือบจะเหมาทั้งร้านก็ว่าได้ แต่ธมลวรรณก็มีความสุขที่เห็นสามีเป็นคนกระตือรือร้นขนาดนี้ เธอคิดไม่ผิดที่เลือกผู้ชายคนนี้ คนที่ดูแลเอาใจใส่เธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะก่อนท้องหรือตอนท้อง กระทั่งตอนใกล้คลอดเขาก็ยิ่งต้องดูแลเธอมากขึ้น เช่นเดียวกับความรักที่เธอมีเขาก็มากขึ้นเช่นกัน หาสามีที่ดีแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เธอช่างโชคดีเหลือเกินที่มีสามีอย่างเขา

    และแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง เป็นวันที่พิเศษสุดของตระกูล ‘พิศาลธำรงษ์’ เมื่อธมลวรรณได้ให้กำเหนิดทายาทคนแรกของตระกูลในประมาณหนึ่งทุ่ม เธอคลอดเอง ไม่ได้ผ่าตัด ชรัณกรดีใจมากที่ได้ลูกชาย เพราะในใจเขาก็อยากได้ลูกชายอยู่แล้ว เขาตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว ก็แน่นอนละ ก็เพิ่งจะได้เป็นพ่อคนก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา 

    เด็กชายชนกันต์เกิดมาก็มีปานแดงตรงเอวข้างซ้าย เป็นสัญลักษณ์ประจำของเด็กน้อย ชรัณกรกับธมลวรรณเห็นแล้วก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย เพราะมันเป็นธรรมชาติที่เด็กจะมีปานดำหรือปานแดงตอนแรกเกิด ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิดเดียว

    และไม่ใช่เพียงธมลวรรณคนเดียวเท่านั้นที่คลอดลูก แต่มยุรีเองก็คลอดลูกในวันเดียวกัน โรงพยาบาลเดียวกัน คุณหญิงกรองทิพย์ดีใจมากที่ได้หลานทีเดียวถึงสองคน

    ธมลวรรณได้ลูกชาย ส่วนมยุรีเองก็ได้ลูกชายเช่นกัน นั่นยิ่งทำให้คุณหญิงกรองทิพย์รู้สึกปลื้มปิติมาก เมื่อโตขึ้นหลานทั้งสองจะได้ช่วยกันสืบทอดกิจการของตระกูล แต่ท่านหารู้ไม่ว่าลูกชายของธมลวรรณอาจไม่ได้อยู่สืบทอดกิจการเพราะวิวัฒน์มีแผนการที่จะขโมยเด็กทารกคนนี้ไปทิ้ง เพราะไม่ต้องการให้เด็กนี้อยู่เป็นเสี้ยนหนามของลูกชายตัวเอง เขาก็เลยคิดจะตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมนั่นเอง


    ธมลวรรณกับมยุรีนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลได้สองวันหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ทันทีที่มาถึงบ้านคุณหญิงกรองทิพย์ก็รับขวัญหลานชายทั้งสองด้วยสร้อยคอหนัก ๒ บาท เรียกได้ว่าท่านเองก็เห่อหลานไม่แพ้ลูกๆ ของท่านเลย

    “ว่าแต่แกสองคนตั้งชื่อลูกหรือยังฮึ! ตาวัฒน์...ยายวรรณ” คุณหญิงถามลูกชายกับลูกสาวขณะที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกหลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว

    วิวัฒน์จึงตอบมารดาว่า

    “ผมตั้งชื่อให้ลูกชายของผมเรียบร้อยแล้วครับ คุณแม่...ลูกชายของผมชื่อฐากูร แปลว่าที่เคารพและน่าเลื่อมใสครับคุณแม่ อีกอย่าง ผมกับคุณรีก็ชอบชื่อนี้ด้วยครับ ก็เลยตัดสินใจตั้งชื่อนี้ให้ลูก”

    “แม่ก็ว่าชื่อนี้มันเพราะดีนะ” ท่านว่า ก่อนจะหันไปทางลูกสาว “แล้วแกล่ะยายวรรณ แกตั้งชื่อให้ลูกของแกว่าอะไรฮึ!”

    “หนูกับคุณกรตั้งชื่อให้ลูกว่าชนกันต์ค่ะ ชนกันต์มีความหมายว่าเป็นที่รักของคนทั้งหลายค่ะคุณแม่” ธมลวรรณตอบมารดายิ้มๆ

    ประมุขของบ้านพยักหน้า

    “อืม หลานชายของแม่ทั้งสองคนชื่อเพราะจังเลย แม่คิดว่าเมื่อพวกเขาโตขึ้นพวกเขาจะช่วยกันสืบทอดกิจการของตระกูล ช่วยกันทำให้บริษัทเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ถึงตอนนั้นพวกเขาน่าจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไฟแรงนะ”

    สองคนพี่น้องตอบมารดาว่า

    “ค่ะ คุณแม่”

    “ครับ คุณแม่...เมื่อลูกชายของผมกับลูกชายของยายวรรณโตขึ้น พวกเขาจะช่วยกันสืบทอดกิจการของตระกูลครับ”

    แต่ในใจของวิวัฒน์ก็คิดไปอีกอย่าง

    ‘คงเป็นลูกของผมคนเดียวเสียมากกว่าที่จะได้ดูแลบริษัท ส่วนลูกของยายวรรณมันไม่มีวันได้อยู่เสนอหน้าในบ้านหลังนี้หรอกครับ ผมจะเอามันไปทิ้งให้ไกลๆ เลยละ’ พร้อมกับหัวเราะดังก้องในใจ

    “เอาละ พาลูกๆ ของพวกแกไปพักเถอะไป เด็กๆ คงจะหิวนมกันแล้ว” ท่านบอก

    วิวัฒน์กับธมลวรรณพยักหน้าให้มารดา

    “ครับ คุณแม่ ถ้างั้นผมกับคุณรีขอตัวพาลูกขึ้นไปบนห้องก่อนนะครับ”

    “หนูกับคุณกรขอตัวก่อนนะคะ คุณแม่”

    แล้วทั้งสี่ก็พาลูกชายของตัวเองขึ้นไปบนห้องทันที

    ผู้เป็นมารดามองตามหลังลูกชายและลูกสาวด้วยรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุด

    “แม่เห็นพวกแกรักใคร่ปรองดองแบบนี้แม่นอนตายตาหลับแล้ว แถมยังมีหลานชายให้แม่ถึงสองคน แม่ได้เห็นหน้าหลานทั้งสองคนแม่ก็มีความสุขมากพอแล้วละ”

    ท่านรู้สึกอย่างที่ท่านเอ่ยออกมาจริงๆ ท่านเห็นหน้าหลานชายทั้งสองของท่านแล้วท่านก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะท่านรอเวลานี้มานานแล้ว วันที่ลูกชายและลูกสาวของท่านทั้งสองมีหลานให้ท่านได้ชื่นชม ท่านก็เลยมีความสุขเป็นพิเศษอย่างที่เห็นนี่ละ ต่อไปท่านจะไม่เหงาอีกแล้ว เพราะมีหลานถึงสองคนแน่ะ และบ้านหลังนี้ก็จะมีแต่ความครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน


    ชรัณกรอุ้มลูกชายเดินไปมาอยู่ภายในห้อง เขาเอ่ยกับลูกน้อยอย่างเอ็นดู ตอนนี้เขามีความบ้าเห่อลูกชายยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในท้องเสียอีก อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยมีลูกละมั้ง พอเขามีลูกคนแรกมันก็เลยทำให้เขาเห่อขนาดนี้นั่นเอง

    “เป็นไงครับลูกพ่อ ง่วงนอนหรือยังครับ อะๆ ทำตาแบบนี้แปลว่าง่วงแล้วใช่มั้ย ฮึ!”

    “คุณนี่ท่าจะเห่อลูกหนักเลยนะคะ ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องละ” ธมลวรรณแซวสามี

    อีกฝ่ายยิ้มให้ภรรยาแล้วบอกว่า

    “โธ่ คุณวรรณ ก็นี่คือลูกคนแรกของผม ผมก็ต้องเห่อเป็นธรรมดาสิ หรือว่าคุณไม่เห่อลูกล่ะ”

    “ฉันเห่อลูกเหมือนกันนั่นละค่ะ แต่ก็ไม่ได้เห่อหนักเท่าคุณเลย”

    “คนที่สองคนที่สามผมจะเห่อกว่านี้อีก”

    “เอาคนแรกให้รอดก่อนมั้ยคะ”

    “ก็ต้องรอดอยู่แล้วละ เพราะเราจะช่วยกันเลี้ยงไง...ใช่มั้ยครับลูก” ประโยคหลังเขาเอ่ยกับลูกชาย

    ขณะที่บิดาพูดด้วยลูกน้อยก็ทำตาบ้องแบ๊วใส่ นั่นจึงทำให้ชรัณกรถึงกับหัวเราะเบาๆ ด้วยความชอบใจ

    “ดูทำตาเข้าสิ น่าเอ็นดูจังลูกพ่อ แถมยังน่ารักเหมือนแม่อีกด้วย” เขาหันไปยิ้มหวานให้ภรรยา

    ธมลวรรณถึงกับหลบตาด้วยความเขิน แต่ปากก็เอ่ยไปว่า

    “แหม คุณละก็ พูดอะไรก็ไม่รู้ ฉันเขินนะ”

    “ก็ผมพูดจริงๆ นี่ คุณน่ะน่ารักที่สุด เพราะแบบนี้ไงผมถึงรักคุณมากมาย แล้วผมรักลูกด้วย” เอ่ยจบก็ก้มลงหอมลูกชายตัวน้อย

    “คุณนี่ก็ปากหวานจริงๆ เลยนะคะ”

    “คุณเคยชิมปากผมดูแล้วเหรอ ถึงได้รู้ว่าปากของผมหวานน่ะ”

    “ไม่ต้องชิมก็รู้ค่ะ ฟังจากการพูดก็รู้แล้ว”

    “คุณนี่ก็ช่างพูดช่างจาเสียเหลือเกิน” เขายิ้มให้ภรรยาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยกับลูกน้อย “ไงครับลูกพ่อ ชอบใจที่พ่อกับแม่พูดหยอกล้อกันใช่มั้ย ฮึ! ทำตาแบบนี้แปลว่าชอบ นั่นแน่ ชอบจริงๆ ด้วยแฮะ”

    “แหม คุณก็ช่างรู้ภาษาของเด็กดีจังนะคะเนี่ย”

    “ดูจากการทำหน้าก็รู้แล้ว เนี่ย คุณดูสิ”

    “ค่ะ” เธอมองค้อนสามีแบบไม่จริงจังนัก

    แล้วชรัณกรก็พาลูกน้อยไปนั่งบนเตียงนอนกับภรรยา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า

    “คุณวรรณ...เราจะเลี้ยงด้วยความรักนะ เราจะไม่เลี้ยงเขาด้วยเงินๆ ทองๆ เพราะโตขึ้นเขาจะกลายเป็นคนนิสัยเสีย ไม่รู้จักทำงาน ที่สำคัญ เราจะสอนให้เขาเป็นคนดี สอนให้เขาช่วยเหลือเจือจานคนที่ด้อยกว่าเรา”

    “อ้อ ฉันขอแถมอีกนิดนะคะ เราจะสอนให้เขาไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่า และสอนให้เขารู้จักมัธยัสถ์ด้วยค่ะ” ธมลวรรณว่า

    ผู้เป็นสามีพยักหน้ายิ้มๆ

    “ครับ...เราจะช่วยกันสอนให้ลูกเป็นคนดี เราจะมอบแต่ความรักและความสุขให้กับเขา”

    “ค่ะ เราจะมอบแต่สิ่งดีๆ ให้กับเขา”

    แล้วทั้งสองก็ต้องหยุดพูดคุยกันเมื่อได้ยินเสียงลูกน้อยร้องจ้า สงสัยจะหิวนมหรือง่วงนอนก็มิอาจทราบได้

    “สงสัยลูกคงจะง่วงนอนแล้ว เดี๋ยวคุณให้ลูกกินนมนอนดีกว่านะ” ชรัณกรยื่นลูกน้อยให้ภรรยา

    ธมลวรรณรับลูกน้อยมาอุ้มพลางยิ้มให้ด้วยความรัก

    “ลูกชายของแม่น่าเกลียดน่าชังจังเลย โตขึ้นลูกจะต้องเป็นเด็กดีของพ่อแม่นะ แม่รักลูกมากนะ เอาละ มากินนมนอนดีกว่านะ” เอ่ยจบเธอก็เปิดเสื้อให้ลูกน้อยกินนม ส่วนลูกน้อยก็ดูดนมแม่อย่างหิวจัด

    ชรัณกรกับธมลวรรณมองลูกน้อยที่กำลังดูดนมอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความรักที่มีมากมายเกินคำบรรยาย เป็นความรักความผูกพันของสายใยพ่อแม่ลูก ตอนนี้ทั้งสองมีโซ่ทองคล้องใจสมปรารถนาแล้ว ต่อไปก็จะมีแต่ความสุขมากขึ้นทุกวันๆ ไม่มีวันหยุดแน่นอน

    แต่ทั้งสองหารู้ไม่ว่าลูกชายที่เป็นดังแก้วตาดวงใจคนนี้อาจไม่ได้อยู่ให้พวกเขาเลี้ยงจนเติบโต เพราะวิวัฒน์มีแผนที่จะขโมยเด็กน้อยคนนี้ไปทิ้ง และเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้นก็คือไม่ต้องการให้เด็กน้อยคนนี้อยู่เป็นเสี้ยนหนามของลูกชายตัวเอง เพราะต้องการให้ลูกชายของตัวเองเป็นที่หนึ่งของตระกูลนั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอดูอีกทีว่าวิวัฒน์จะสามารถทำตามแผนที่ตัวเองวางไว้สำเร็จหรือไม่!


    “ผมจะทำตามแผนที่วางไว้ สบโอกาสเมื่อไหร่พร้อมลงมือทันทีเลย” วิวัฒน์บอกกับภรรยาหลังจากที่ลูกน้อยนอนหลับปุ๋ยแล้ว

    มยุรีพยักหน้า

    “ค่ะ ฉันพร้อมจะช่วยคุณกำจัดเสี้ยนหนามให้ตากูรลูกชายของเรา ตากูรจะต้องเป็นที่หนึ่งของตระกูลนี้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังที่จะมาแย่งอันดับหนึ่งไปจากลูกชายเรา”

    “ทั้งสมบัติทั้งบริษัทจะต้องเป็นของเราเท่านั้น เราจะไม่แบ่งให้ใครทั้งสิ้น”

    “ถ้าเราแบ่งเราก็โง่เต็มทีแล้วค่ะคุณวัฒน์ ทางที่ดีไม่ควรแบ่งเลยจะดีกว่า”

    “ผมไม่โง่แบ่งหรอกน่า”

    “ค่ะ ฉันเชื่อใจคุณเสมอ ถ้าคุณจะให้ฉันช่วยฉันทำอะไรก็บอกมาได้เลยค่ะ ฉันพร้อมช่วย”

    “รอมีโอกาสที่เหมาะๆ ก่อนแล้วผมจะบอกคุณอีกทีว่าจะต้องทำอะไรบ้าง”

    “ค่ะ ฉันหวังว่าคงไม่นานเกินไปนะคะ เพราะถ้านานฉันกลัวว่ามันจะโตก่อน” มยุรีว่า

    วิวัฒน์ส่ายหน้า

    “ไม่หรอกน่า คาดว่าน่าจะหนึ่งถึงสองวันนี้ละ ผมไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานแน่นอน”

    “ฉันละอยากจะกำจัดไอ้เด็กนั่นเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยค่ะ”

    “ใจเย็นก่อนคุณรี รับรองว่าเราได้กำจัดมันสมใจแน่นอน แต่รอสบโอกาสก่อน”

    “ค่ะ ฉันจะรอ”

    “เราจะสอนให้ตากูรรู้จักประจบสอพลอคุณย่าให้มากๆ เพื่อที่คุณย่าจะได้ยกบริษัทให้ดูแล เผลอๆ บางทีท่านอาจจะมอบทรัพย์สินเงินทองให้อีกมากมายด้วยซ้ำ ผมต้องการแบบนั้นละ”

    “ค่ะ เราจะสอนลูกเหมือนอย่างที่คุณพูด เมื่อทุกอย่างตกเป็นของเราแล้วเราก็จะสบายเลยค่ะ ส่วนธมลวรรณก็จะไม่ได้อะไรเลย” มยุรีเอ่ยอย่างสะใจ

    วิวัฒน์จึงบอกว่า

    “ยายวรรณน่ะได้อะไรจากคุณแม่เยอะแล้ว แต่ผมนี่สิไม่ค่อยได้อะไรจากคุณแม่เลย จนผมก็อดคิดไม่ได้เลยว่าคุณแม่ท่านลำเอียงมากแค่ไหน”

    “คุณแม่ของคุณก็ลำเอียงจริงๆ นั่นละค่ะ อะไรๆ ก็เรียกหาแต่ลูกสาว ลูกชายอยู่ทั้งคนไม่เห็นเรียกหาบ้างเลย โธ่!”

    “เพราะแบบนี้ไงผมถึงต้องกำจัดลูกของยายวรรณ เพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องอยู่เป็นผู้สืบทอดกิจการของตระกูล ขอให้ตากูรเป็นผู้สืบทอดคนเดียวก็พอ ไม่ต้องการให้ใครมายุ่ง”

    “คุณคิดถูกแล้วค่ะที่ทำแบบนี้ เราไม่ได้ทำเพื่อใคร ที่เราทำก็เพื่อลูกของเราทั้งนั้น เราทำแบบนี้ไม่ผิดค่ะ”

    “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

    “ฉันละอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง วันที่กำจัดไอ้เด็กนั่นไปให้พ้นทาง”

    “เดี๋ยวก็ถึงละ อดใจรอไม่นานนะคุณรี”

    ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเรื่องกำจัดเด็กชายชนกันต์อีกแล้ว ในสมองของทั้งสองมีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น โดยอ้างว่าที่ทำทั้งหมดก็เพื่อลูก แต่ลึกๆ คงจะไม่ได้ทำเพื่อลูกอย่างเดียว แต่ทำเพื่อตัวเองด้วย เพียงแต่เอาคำว่าลูกกั้นตรงกลางไว้เท่านั้นเอง และที่ทั้งสองทำส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความโลภด้วยละ โลภเพราะอยากได้ของทุกอย่างมาเป็นของตัวเอง โดยไม่คิดเผื่อแผ่ใครทั้งสิ้น ตอนนี้ความโลภกำลังเข้าครอบงำทั้งสองสามีภรรยาอยู่จึงมองไม่เห็นความผิดชอบชั่วดีเลยสักนิด อะไรที่ทำให้ตัวเองมีความสุขทั้งสองก็ไม่สนหรอก ขอให้ได้มาอย่างเดียวก็พอ อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×