ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒ : ความโลภของคนเป็นพี่(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 16 ส.ค. 65


    “คุณหมอว่ายังไงบ้างตากร ยายวรรณ” คุณหญิงกรองทิพย์เอ่ยถามลูกเขยและลูกสาวเมื่อทั้งสองกลับมาถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยพากันไปนั่งในห้องรับแขก

    ชรัณกรจึงตอบแม่ยายว่า

    “เป็นอย่างที่คุณแม่สงสัยจริงๆ ครับ คุณหมอบอกว่าคุณวรรณท้องได้สองเดือนแล้วครับ”

    “จริงเหรอ นี่แม่กำลังจะได้เป็นยายคนแล้วใช่มั้ย โอ๊ย ความฝันของแม่เป็นจริงแล้ว” ท่านรู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินที่ลูกเขยบอก

    ธมลวรรณพยักหน้ายิ้มๆ ให้มารดา

    “ค่ะ คุณแม่ ตอนนี้หนูกับคุณกรมีลูกสมใจแล้วค่ะ ส่วนคุณแม่ก็ได้หลานสมใจเหมือนกัน”

    ชรัณกรจับมือภรรยาขึ้นมาพลางเอ่ยว่า

    “ผมดีใจที่เรามีลูกด้วยกันนะคุณวรรณ คุณรู้มั้ย ผมน่ะรอเวลานี้มานานมาก ในที่สุดเราก็มีลูกสมปรารถนาสักที”

    “ฉันก็รอเวลานี้มานานเหมือนกันค่ะ เวลาที่เราจะได้มีลูกด้วยกัน อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก แค่คิดฉันก็รู้สึกอบอุ่นแล้วค่ะ” เธอยิ้มให้สามี

    “ผมจะดูแลคุณกับลูกเป็นอย่างดีเลยนะ ผมให้คำสัญญาต่อหน้าคุณแม่ตรงนี้เลย”

    “ฉันเชื่อว่าจะสามารถดูแลฉันได้เป็นอย่างดี เพราะตั้งแต่เราแต่งงานกันมาคุณก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่าคุณรักฉันจริงๆ และดูแลฉันได้เป็นอย่างดีด้วย ฉันเองก็รู้สึกภูมิใจที่มีคุณเป็นสามีค่ะ”

    “ผมเองก็รู้สึกภูมิใจที่ได้คุณเป็นภรรยา” ชรัณกรว่า “คุณเป็นภรรยาที่ดีที่สุดของผม แล้วตอนนี้คุณก็กำลังจะเป็นแม่ของลูกผม เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะดูแลคุณให้ดีกว่าเดิมหลายเท่า แล้วไม่ใช่แค่คุณคนเดียวนะที่ผมจะดูแล แต่มีลูกในท้องของคุณอีกคนที่ผมต้องดูแล ผมสัญญาว่าผมจะดูแลคุณกับลูกไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย”

    “แม่ดีใจนะที่ได้ยินแกให้สัญญากับยายวรรณแบบนี้ แม่เชื่อว่าแกจะสามารถดูแลลูกสาวกับหลานของแม่ได้เป็นอย่างดี แกแต่งงานกับยายวรรณมาเป็นลูกเขยของแม่เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว และแกก็แสดงให้แม่เห็นแล้วว่าแกเป็นคนที่รักษาสัญญา ที่ผ่านมาแกก็ดูแลยายวรรณได้ดีมากๆ ที่สำคัญ แกไม่เคยทำให้ยายวรรณเสียใจเลยสักครั้ง” คุณหญิงกรองทิพย์เอ่ยออกมาด้วยความปลื้มใจในตัวลูกเขยคนนี้

    ธมลวรรณจึงบอกกับมารดาว่า

    “ก็เพราะว่าคุณกรเขารักหนูอย่างแท้จริงไงคะคุณแม่ เขาถึงไม่เคยทำให้หนูเสียใจเลยสักครั้ง”

    “ก็เพราะแบบนี้ไงแม่ถึงได้ปลื้มใจลูกเขยคนนี้ ไม่เสียแรงที่แม่สนับสนุนให้แกเอาเลยนะยายวรรณ”

    “หนูขอบคุณคุณแม่ที่สนับสนุนหนูค่ะ เพราะหนูมองเห็นความดีในตัวคุณกรหนูก็เลยกล้าที่จะตัดสินใจแต่งงานกับเขาค่ะ ความดีของเขาที่ซ่อนไว้ในใจค่ะ คุณแม่”

    “จ้ะ” ท่านพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเอ่ยต่ออีกว่า “อ้อ แล้วที่แม่เคยไว้ว่าถ้าลูกของแม่ใครคนใดคนหนึ่งแต่งงานแล้วมีหลานให้แม่คนแรก แล้วแม่จะยกบริษัทของตระกูลให้ดูแล...และวันนี้แกก็สามารถมีหลานคนแรกให้แม่ได้ เพราะฉะนั้น...”

    “หนูกลัวว่าพี่วัฒน์จะหาว่าคุณแม่ลำเอียงค่ะ เพราะเขาเป็นลูกชายแท้ๆ แต่คุณแม่เลือกที่จะยกบริษัทให้หนู หนูคิดว่าพี่วัฒน์เป็นผู้ชายน่าจะดูแลบริษัทได้ดีกว่าหนูค่ะ คุณแม่”

    “เรื่องนั้นแกไม่ต้องกังวล แม่เชื่อว่าตาวัฒน์เข้าใจแม่ เพราะตาวัฒน์เป็นคนมีเหตุผล”

    “เอ่อ...”

    “แม่ตัดสินใจดีแล้ว และแม่จะไม่ยอมผิดคำพูดเด็ดขาด แกอย่าขัดใจแม่เลยนะยายวรรณ”

    “ก็ได้ค่ะ คุณแม่” เธอจำเป็นต้องรับปากเพื่อให้มารดาสบายใจ

    ทั้งที่ในใจรู้สึกหวั่นๆ กลัวว่าวิวัฒน์ ผู้เป็นพี่ชายของเธอจะไม่พอใจที่มารดายกบริษัทให้เธอ แม้ท่านจะอ้างว่าเธอสามารถมีหลานคนแรกให้ท่านได้ท่านก็เลยยกบริษัทให้เธอ แต่เธอก็อดที่จะรู้สึกหวั่นใจไม่ได้เลยเชียว

    ขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งคุยกันอยู่ วิวัฒน์ก็เดินเข้ามาและได้ยินที่มารดากับน้องสาวพูดคุยกัน เขารู้สึกไม่พอใจมากแต่เก็บอาการไว้ เขาแสร้งปั้นหน้ายิ้มให้ทั้งสาม

    “โธ่ ยายวรรณ พี่ไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ แต่พี่กลับดีใจด้วยซ้ำที่คุณแม่ยกบริษัทให้แก เพราะพี่คิดว่าแกกับนายกรน่าจะดูแลบริษัทได้ดีกว่าพี่ ส่วนพี่น่ะไม่เอาไหนหรอก”

    แต่โดยเนื้อแท้ของวิวัฒน์ เขาเป็นคนชอบเสแสร้ง ต่อหน้าคนอื่นจะแกล้งทำตัวเป็นดี แต่พอลับหลังก็เปลี่ยนเป็นอีกคน จนคนที่ใกล้ชิดเขาทุกคนคิดว่าเขานั้นเป็นคนดี แต่ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนดีหรอก ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอยากให้ทุกคนเชื่อใจและไว้ใจเขาเพื่อผลประโยชน์บางอย่างในวันข้างหน้า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลประโยชน์ที่ว่านั้นคืออะไร คนที่จะตอบได้คือตัวของวิวัฒน์เองเท่านั้น

    “เห็นมั้ย แม่บอกแกแล้วยายวรรณ บอกว่าตาวัฒน์น่ะเป็นคนมีเหตุผลและเขาจะเข้าใจแม่” คุณหญิงกรองทิพย์ว่า

    วิวัฒน์นั่งลงข้างๆ มารดา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับน้องสาวว่า

    “ยายวรรณเอ๊ย พี่จะไม่อิจฉาริษยาแกหรอกนะ ก็เราเป็นพี่น้องกันนี่ พี่น้องกันจะอิจฉาริษยากันไปทำไม สามัคคีปรองดองกันยังจะดีกว่าซะอีก อ้อ แล้วตอนนี้พี่เองก็ยังไม่มีหลานให้คุณแม่ แต่แกน่ะสามารถมีหลานคนแรกให้คุณแม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกที่คุณแม่จะยกบริษัทให้แกดูแล ก็คุณแม่เคยพูดไว้ว่าถ้าใครสามารถมีหลานคนแรกให้ท่านได้ท่านก็จะยกบริษัทให้คนนั้น และตอนนี้ท่านก็ได้ทำตามสัญญาที่ท่านเคยพูดเอาไว้แล้ว”

    “พี่วัฒน์พูดจริงๆ เหรอคะ พี่วัฒน์ไม่ได้โกรธวรรณจริงๆ ใช่มั้ยคะ” ธมลวรรณยิ้มดีใจที่พี่ชายไม่โกรธเธอ

    “พี่จะโกรธแกเรื่องอะไร”

    “ก็เรื่องที่คุณแม่ยกบริษัทให้วรรณไงคะ”

    “โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” ผู้เป็นพี่ชายยิ้มบางๆ ให้น้องสาว “ก็พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะไม่อิจฉาริษยาแก เพราะว่าแกเป็นน้องสาวของพี่ จริงมั้ย”

    “ค่ะ” อีกฝ่ายพยักหน้า

    แล้วคุณหญิงกรองทิพย์ก็เอ่ยกับลูกชายและลูกสาวว่า

    “แม่เห็นลูกชายกับลูกสาวของแม่ทั้งสองคนรักใคร่ปรองดองกันแบบนี้แม่ก็รู้สึกสบายใจมาก แม่อยากจะบอกแกสองคนว่าแม่ไม่ได้ลำเอียงนะ แต่ที่แม่ทำทุกอย่างแม่น่ะทำตามความเหมาะสม แม่ไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชังอะไรทั้งนั้น แม่ขอให้แกสองรู้ไว้เลย”

    “ผมรู้ครับคุณแม่ ผมรู้ว่าที่คุณแม่ทำทุกอย่างคุณแม่ก็ทำตามความเหมาะสม แล้วผมเองก็ไม่ได้โกรธคุณแม่กับยายวรรณหรอกครับ ผมโตแล้วครับ และผมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมไม่มานั่งงี่เง่ากับเรื่องแบบนี้หรอกครับ” วิวัฒน์ว่า

    ผู้เป็นมารดายิ้มพอใจ

    “ก็ดีแล้วละ เอ่อ แล้วนี่หนูมยุรีไปไหนล่ะ แม่เห็นออกไปกับแกไม่ใช่เหรอ”

    “อ้อ พอดีคุณมยุรีไปเที่ยวกับเพื่อนของเขาต่อน่ะครับคุณแม่ ผมก็เลยกลับบ้านมาก่อน”

    “อืม!” ท่านพยักหน้ารับรู้

    แล้วธมลวรรณก็บอกกับสามีว่า

    “คุณกรคะ ฉันอยากขึ้นไปพักบนห้องค่ะ”

    “ได้สิครับ เดี๋ยวผมพาคุณไปพักนะ” ชรัณกรพยักหน้า

    “หนูขอตัวไปพักก่อนนะคะคุณแม่” เธอบอกกับมารดา

    “จ้ะ” ท่านยิ้มให้ลูกสาว

    จากนั้นชรัณกรกับธมลวรรณก็ลุกเดินออกไปจากห้องรับแขก โดยฝ่ายสามีประคองภรรยาเดินไป เพราะตอนนี้ภรรยากำลังตั้งครรภ์อยู่ แพทย์บอกว่าให้ระวังเรื่องการเดินเหินในช่วงสองสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงที่มีอัตราความเสี่ยงในการแท้งสูง ดังนั้นช่วงนี้ชรัณกรจึงต้องดูแลเอาใจใส่ภรรยาเป็นพิเศษนั่นเอง

    เมื่อน้องสาวกับน้องเขยเดินออกไปแล้ววิวัฒน์ก็เอ่ยกับมารดาว่า

    “เอ่อ คุณแม่ครับ ผมอยากจะขออนุญาตคุณแม่ไปดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวถนนเอกมัยได้มั้ยครับ”

    “ขอแม่คิดดูก่อนนะ” ท่านบอก

    “ทำไมล่ะครับคุณแม่ คุณแม่ไม่ไว้ใจผมเหรอครับ”

    “ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ไว้ใจแก แต่โครงการนี้มันสำคัญมาก ถ้าจะให้ใครดูแลก็ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีๆ เพราะถ้าเกิดพังขึ้นมามันจะเสียหายหลายล้านเลยละ”

    “คุณแม่ไว้ใจผมได้เลยนะครับ ผมจะไม่ทำให้โครงการนี้พังแน่นอนครับ”

    “เอาเป็นว่าแม่เวลาคิดก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะให้คำตอบแก”

    “ได้ครับ ผมจะให้เวลาคุณแม่คิด”

    “ถ้างั้นแม่ขอตัวไปนอนพักก่อนนะ แม่รู้สึกปวดหัวเหลือเกิน”

    “เดี๋ยวผมจะพาคุณแม่ขึ้นไปนะครับ”

    “ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ขึ้นไปเองได้” ท่านบอก ก่อนจะลุกเดินออกไปทันที

    เมื่อได้อยู่คนเดียววิวัฒน์ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เขาถอดสีหน้าไม่พอใจเมื่อมารดาไม่ยอมอนุมัติให้เขาดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวถนนเอกมัย ทั้งที่เขาอยากดูแลโครงการนี้มากแต่มารดาก็ไม่ยอมอนุมัติเสียที ท่านบอกเพียงว่าขอเวลาคิดก่อน นั่นเท่ากับว่ามารดาไม่ไว้ใจเขาเลย เพราะถ้าไว้ใจมารดาก็ต้องอนุมัติให้เขาดูแลโครงการนี้สิ เพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่ามารดากำลังคิดอะไรอยู่

    “แบบนี้ละที่เรียกว่าลำเอียง คุณแม่รักยายวรรณมากกว่าผม ยายวรรณอยากทำอะไรคุณแม่ก็อนุญาตตลอด ทีกับผมทำไมคุณแม่ไม่เห็นจะอนุญาตบ้างเลย ผมอยากดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แต่คุณแม่ก็ไม่อนุมัติสักที ทั้งที่ปากของคุณแม่บอกว่าไว้ใจผม ไว้ใจประสาอะไรแบบนี้ นี่เหรอคนที่ไว้ใจกัน” เขาระบายออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

    น้อยเนื้อต่ำใจที่มารดาไม่ยอมอนุมัติให้เขาดูแลโครงการสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวถนนเอกมัยเสียที ทั้งที่เขาก็เคยขอท่านหลายครั้งแล้วแต่ท่านก็บ่ายเบี่ยงทุกครั้งไป ท่านทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าท่านไม่ไว้ใจให้เขาดูแลโครงการใดๆ ในบริษัททั้งสิ้น ทั้งที่เขาก็ทำตัวเป็นลูกที่ดีให้ท่านเห็นตลอด แต่ดูเหมือนว่าความดีของเขาจะไร้ค่าเพราะมารดากลับมองไม่เห็นเลย เพราะถ้าท่านมองเห็นความดีของเขาท่านก็ต้องอนุมัติให้เขาดูแลสักโครงการสิ ปากของท่านก็บอกว่าไว้ใจเขา แต่การกระทำตรงข้ามกันเลย

    ทีกับธมลวรรณ...ธมลวรรณอยากจะทำอะไรมารดาก็อนุญาตทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เลย แต่กับเขา ท่านทำเหมือนเขาไม่ใช่ลูก โครงการไหนก็ไม่ยอมให้เขาดูแลเลย แบบนี้ถ้าเรียกว่าท่านลำเอียงก็ไม่ผิดนักหรอก เพราะว่ามันคือเรื่องจริงทั้งนั้น ดี! ในเมื่อทำตัวเป็นคนดีแล้วไม่มีใครเห็นเขาก็จะทำตัวเป็นชั่วไปเลย คราวนี้ละทุกคนจะได้เห็นแน่นอน!


    “คุณมยุรี ตอนนี้คุณแม่ยกบริษัทให้ยายวรรณดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” วิวัฒน์บอกกับภรรยาขณะขับรถมารับเธอกลับบ้าน มยุรีนั่งเบาะข้างคนขับ

    เมื่อฝ่ายภรรยาได้ยินสามีบอกก็ถึงกับถอดสีหน้าตกใจ

    “คุณว่าอะไรนะคะ คุณวัฒน์”

    “คุณได้ยินไม่ผิดหรอก ตอนนี้คุณแม่ยกบริษัทให้ยายวรรณดูแลแล้ว”

    “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะคะ”

    “ก็เพราะว่ายายวรรณมันสามารถมีหลานคนแรกให้คุณแม่ได้แล้วน่ะสิ คุณแม่ก็เลยต้องทำตามที่เคยพูดไว้ว่าถ้าใครสามารถมีหลานคนแรกให้ท่านได้ ท่านจะยกบริษัทให้ดูแลและแถมเครื่องเพชรให้อีกชุดหนึ่ง แบบนี้ยายวรรณมันได้ไปเต็มๆ เลย ทั้งบริษัทแล้วก็เครื่องเพชร โธ่โว้ย!” เอ่ยจบแล้ววิวัฒน์ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที

    “โธ่เอ๊ย!” มยุรีก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน แต่แล้วเธอก็คิดอะไรดีๆ ออกจึงบอกกับสามีว่า “เอ่อ ถ้าเราไม่อยากให้ไอ้เด็กนั่นมันเกิดมาเพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลเราก็แค่ทำให้แม่มันแท้งไงคะ แล้วทีนี้มันก็จะไม่ได้เกิดมาขัดขวางความเจริญของเราได้แล้วละค่ะ”

    “แต่เรายังไม่รู้เลยนะว่าไอ้เด็กนั่นมันเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง”

    “จะเป็นเพศไหนก็ช่างมันเถอะค่ะ แต่ตอนนี้เราต้องกำจัดมันก่อนที่มันจะเกิดมาลืมตาดูโลกและขัดขวางความเจริญของเรา”

    “แต่ถ้าแท้งยายวรรณมันก็ต้องมีลูกใหม่อีก”

    “เราก็ชิงมีลูกก่อนมันสิคะ พอเรามีลูกปุ๊บลูกของเราก็จะกลายเป็นหลานคนแรกของคุณแม่คุณทันที ความคิดของฉันเป็นยังไงบ้างล่ะคะ”

    “ภรรยาของผมฉลาดที่สุด” เขายิ้มพอใจกับความคิดของภรรยา “แต่มันคงยากนะ เพราะนายกรมันดูแลยายวรรณตลอดเวลาเลย เราจะหาจังหวะจัดการให้ยายวรรณแท้งได้เหรอ”

    “ไม่ต้องห่วงค่ะ เรื่องนี้เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เธอยิ้มร้ายอย่างมีแผน

    “คุณจะทำอะไร”

    “เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองค่ะ”

    “คุณจะไม่ทำให้ยายวรรณอันตรายถึงชีวิตใช่มั้ย” ลึกๆ เขาก็ยังแอบเป็นห่วงน้องสาวอยู่

    ผู้เป็นภรรยาส่ายหน้าเบาๆ

    “ไม่ถึงชีวิตแน่นอนค่ะ แค่เข้าโรงพยาบาลเฉยๆ”

    “หา! เข้าโรงพยาบาล”

    “คุณไม่ต้องตกใจไปค่ะ ไม่รุนแรงหรอกค่ะ”

    “คุณบอกผมมาเถอะว่าคุณจะทำอะไร”

    “ฉันจะฉวยโอกาสตอนที่ยายวรรณกับนายกรออกไปนอกบ้าน ฉันจะแอบเข้าไปในห้องนอนของยายวรรณและเอายาขับเลือดเปลี่ยนกับยาบำรุงครรภ์ พอยายวรรณทานยาขับเลือดเข้าไปก็จะทำให้แท้งภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงค่ะ”

    “อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้างั้นก็จัดการตามที่คุณบอกได้เลย อย่าให้พลาดล่ะ เดี๋ยวไอ้เด็กนั่นมันจะได้เกิดมาลืมตาดูโลก”

    “ไม่พลาดแน่นอนค่ะ คุณเชื่อใจฉันได้เลย”

    “ครับ ผมเชื่อใจคุณ” เขายิ้มให้ภรรยา

    นาทีนี้ทั้งสองคิดหาแต่แผนการที่จะกำจัดลูกในท้องของธมลวรรณเพื่อไม่ให้เกิดมาลืมตาดูโลกได้ เพราะถ้าลูกของธมลวรรณเกิดมาก็จะได้เป็นผู้สืบทอดกิจการของตระกูล นั่นก็เท่ากับว่าถ้าวิวัฒน์กับมยุรีมีลูก ลูกของทั้งสองก็จะไม่ได้เป็นทายาทสืบทอดกิจการ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นวิวัฒน์กับมยุรีจะไม่มีวันยอมแน่นอน บริษัทกับสมบัติของตระกูลจะต้องเป็นของพวกเขา ชรัณกรกับธมลวรรณอย่าหวังที่จะได้เลย ไม่มีทางหรอก!


    วันต่อมา...ชรัณกรกับธมลวรรณแต่งตัวจะออกไปข้างนอกบ้าน เมื่อทั้งสองเดินลงมาถึงชั้นล่างก็เจอกับมยุรีที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้องรับแขก อีกฝ่ายยิ้มทัก

    “อ้าว ยายวรรณ...นายกร...นี่กำลังจะพากันออกไปไหนเหรอจ๊ะ”

    “อ้อ พอดีวันนี้คุณวรรณอยากออกไปทานข้าวนอกบ้านน่ะครับพี่รี ผมก็เลยจะพาเธอไป อีกอย่าง ถ้าอุดอู้อยู่แต่ในก็ดูจะอึดอัดแย่เลย ได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกก็น่าจะดี”

    “จ้ะ ใช่ๆ เลย คนท้องน่ะต้องดูแลเป็นพิเศษ ดีแล้วละที่เธอพายายวรรณออกไปทานข้าวข้างนอก เพราะทานแต่ข้าวในบ้านทุกวันคงเบื่อแย่ ไปเปลี่ยนรสชาติบ้าง จริงมั้ย” มยุรียิ้มดีใจเมื่อชรัณกรกับธมลวรรณกำลังจะออกไปข้างนอกบ้าน เธอจะได้ทำตามแผนอย่างสะดวกเสียที

    ธมลวรรณพยักหน้ายิ้มๆ ให้พี่สะใภ้

    “ค่ะ พี่รี ถ้างั้นวรรณกับคุณกรขอตัวก่อนนะคะ”

    “จ้ะๆ ทานข้าวกันให้อร่อยนะ”

    “ค่ะ” น้องสามีพยักหน้าให้พี่สะใภ้อีกครั้ง ก่อนจะหันไปบอกกับสามี “ไปค่ะ คุณกร”

    “ครับ” แล้วชรัณกรก็ประคองภรรยาเดินออกไปทันที

    คล้อยหลังทั้งสองมยุรีก็ออกอาการดีใจสุดๆ ที่จะได้ทำตามแผนแล้ว

    “เย้ ทางสะดวกแล้ว ไปทำตามแผนดีกว่าเรา” ว่าแล้วเธอก็รีบเดินขึ้นไปที่ชั้นบนทันที

    เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องชรัณกรกับธมลวรรณเธอก็เอ่ยว่า

    “ช่วยไม่ได้นะยายวรรณ พี่จำเป็นต้องทำจริงๆ พี่ไม่อยากให้ลูกของเธอเกิดมาเป็นตัวท้วงความเจริญของพี่กับคุณวัฒน์หรอก”

    เอ่ยจบเธอก็จับลูกบิดประตูเตรียมจะเปิด ทว่ายังไม่ทันจะได้เปิดประตูก็มีเสียงหนึ่งดังจากด้านหลังเธอ

    “นั่นพี่รีจะเข้าไปข้างในห้องของวรรณทำไมคะ” เป็นเสียงของธมลวรรณนั่นเอง

    มยุรีตกใจตาเหลือก ก่อนจะค่อยๆ หันไปทางต้นเสียงก็เห็นธมลวรรณยืนอยู่ เธอจึงยิ้มแหยๆ ให้

    “อ้าว ยายวรรณ ไหนว่าไปทานข้าวไง แล้วนี่กลับมาทำไมเหรอ”

    “อ้อ วรรณลืมยาบำรุงครรภ์ค่ะ ก็เลยต้องรีบกลับมาเอา”

    “เหรอจ๊ะ เอ...ตอนกลางวันต้องทานด้วยเหรอจ๊ะ”

    “เปล่าหรอกค่ะ วรรณแค่อยากเอาติดตัวไปด้วยเฉยๆ ค่ะ ถ้างั้นวรรณขอตัวเข้าไปเอายาก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณกรจะรอนาน” แล้วธมลวรรณก็เดินเข้าไปในห้องนอน

    มยุรีมองตามหลังน้องสามีเข้าไปในห้องนอนด้วยความรู้สึกเจ็บใจที่สุด

    “โธ่เอ๊ย! ไม่รู้จะกลับมาเอาทำไม ทีนี้ฉันก็เลยทำตามแผนไม่สำเร็จ”

    พอเอ่ยจบเธอก็รู้สึกพะอืดพะอมคล้ายจะอาเจียน สุดท้ายเธอก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องนอนของเธออย่างเร็วจี๋ หรือที่เธอมีอาการเช่นนี้อาจกำลังตั้งครรภ์ก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเป็นข่าวดีของตระกูล ‘พิศาลธำรงษ์’ ที่จะมีทายาทเพิ่มอีกคน แล้วบ้านหลังนี้ก็มีเด็กน้อยสองคนมาสร้างความสุขให้กับทุกคนเลยละ


    “คุณว่าอะไรนะ คุณท้องงั้นเหรอ” วิวัฒน์รู้สึกตื่นเต้นระคนตกใจเมื่อภรรยาบอกเขาขณะกำลังจะเข้านอนว่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของเขาอยู่

    ผู้เป็นภรรยาพยักหน้า

    “ค่ะ ฉันท้อง เมื่อตอนเย็นฉันไปให้คุณหมอตรวจมา คุณหมอบอกว่าฉันท้องได้สองเดือนแล้วค่ะ”

    “โธ่ ลูกพ่อ ทำไมถึงมาช้าอย่างนี้ ทำไมต้องมาหลังไอ้เด็กนั่นด้วย”

    “เอ่อ คุณคะ ฉันมีอีกเรื่องจะบอกค่ะ”

    “เรื่องอะไรเหรอ”

    “ฉันเอายาไปเปลี่ยนไม่สำเร็จค่ะ เพราะว่ายายวรรณมันกลับมาเอาซะก่อน มันบอกว่ามันจะเอายาบำรุงครรภ์ติดตัวไปด้วยค่ะ เหมือนมันจะรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

    “วันนี้ทำไม่สำเร็จ วันหน้าเราก็แค่หาทางทำอีกครั้งสิ ไม่เห็นจะยากอะไรเลยนี่” วิวัฒน์ว่า

    แต่มยุรีกลับส่ายหน้า

    “ฉันว่าฉันจะไม่ทำแล้วค่ะ เพราะฉันกลัวว่าเดี๋ยวเวรกรรมจะมาตกอยู่ที่ลูกของเรา ฉันกลัวว่าถ้าทำให้ยายวรรณแท้งแล้วลูกของเรา...”

    “โธ่โว้ย ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เอา แล้วคุณจะปล่อยให้ไอ้เด็กนั่นเกิดมาขวางความเจริญของเราหรือไง หา! ผมไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นหรอกนะ”

    “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีมั้ยคะ”

    “แบบไหน”

    “ก็พอมันคลอดออกมาเราก็หาโอกาสขโมยมันไปจากพ่อแม่ของมัน แล้วเอามันไปทิ้งให้ไกลๆ ไกลที่สุด กะว่าพ่อแม่ของมันหาไม่เจอ”

    “จะเอาแบบนี้เหรอ”

    “ค่ะ คุณเชื่อที่ฉันบอกเถอะนะคะ”

    “ก็ได้ ผมจะเชื่อคุณ แต่ว่าตอนนี้...” เขาลูบท้องภรรยาเบาๆ กะว่าจะสื่อไปถึงลูกที่อยู่ในท้อง “ลูกของพ่อจะต้องเป็นหนึ่งเดียวของตระกูล ลูกของพ่อจะต้องได้ครอบครองสมบัติและบริษัท ใครหน้าไหนมันจะไม่ได้ทั้งนั้น พ่อจะกำจัดมารผจญให้ลูกเอง”

    “ใช่จ้ะ ลูกของแม่จะต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น แม่จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาเป็นเสี้ยนหนามของลูกแม่หรอก ลูกไม่ต้องเป็นห่วงนะ”

    “ผมจะดูแลคุณกับลูกให้เป็นอย่างดีเลยนะ ขอให้คุณเชื่อผมได้เลย”

    “ฉันจะเชื่อใจคุณเหมือนที่คุณเชื่อใจฉันค่ะ เราจะร่วมมือกันกำจัดศัตรูให้ลูกของเรา”

    “ใช่ เราจะต้องกำจัดไอ้เด็กนั่น” วิวัฒน์ยิ้มร้าย

    สองคนสามีภรรยามีแผนที่จะกำจัดลูกของชรัณกรกับธมลวรรณเมื่อตอนที่เด็กคลอด เพราะไม่ต้องการให้เด็กคนนั้นอยู่เป็นเสี้ยนหนามให้ลูกของตัวเอง ต้องการที่จะให้ลูกของตัวเองเป็นหนึ่งเดียวของตระกูล เรียกได้ว่าวิวัฒน์ช่างใจร้ายเหลือเกินที่คิดจะกำจัดหลานในไส้ได้ลงคอ แต่ก็อย่างว่าละ...ความโลภมันไม่เคยเข้าใครออกใครหรอก เมื่อความโลภเข้าครอบงำใครสักคนก็ยากที่ออกได้ นอกเสียจากความตายเท่านั้นที่จะทำให้คนคนนั้นหยุดโลภได้ และวิวัฒน์กับมยุรีก็คงจะเป็นอย่างนั้นละ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×