ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ ๑๓ : อยู่ร่วมบ้านกับศัตรู

    • อัปเดตล่าสุด 6 ต.ค. 65


    ฐากูรกลับมาบ้านในตอนเย็น หลังจากออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนานมา เมื่อเที่ยวจนอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านทันที

    พอจอดรถที่โรงจอดรถเสร็จชายหนุ่มก็เดินไปที่หน้าบ้าน เข้ากำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดห้าขั้นไปในบ้าน ทว่ายังไม่ทันจะขึ้นก็เห็นกันต์กับต้นกล้าเดินออกมาจากข้างในเสียก่อน ฐากูรมองทั้งสองด้วยความไม่พอใจระคนแปลกใจ ก่อนจะโพล่งถามออกไปว่า

    “นี่พวกแกเข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง ใครเชิญพวกแกเข้ามา เอ๊ะ หรือว่าจะพากันมาขโมยของในบ้านฉัน ลุงวิทย์...ลุงวิทย์ ช่วยมาจับโจรส่งตำรวจที ลุงวิทย์อยู่ไหน” เขาตะโกนเรียกหาคนขับรถ ทั้งที่ยังไม่ทันรู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่

    “นายว่าอะไรนะ นี่บ้านของนายงั้นเหรอ” กันต์ถึงกับอึ้งไป

    “เออ ก็ใช่น่ะสิ” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก “แล้วตอนนี้ก็เท่ากับว่าแกสองคนมาบุกรุกบ้านฉัน เพราะฉะนั้นฉันจะให้คนขับรถเอาแกสองคนไปส่งตำรวจ”

    “นายคงเข้าใจอะไรผิดแล้วละ” ต้นกล้าว่า

    “เข้าใจผิด? แกหมายความว่ายังไง หา”

    “ก็เพราะว่า…”

    “ก็เพราะว่ากันต์กับต้นกล้าคือคนที่อารับมาอุปการะยังไงล่ะ” เสียงของธมลวรรณดังขึ้น ตามด้วยการปรากฏตัวของเจ้าของเสียง

    ทั้งสามหันขวับไปมองที่หน้าประตูพร้อมกัน โดยเฉพาะฐากูรที่ดูจะอึ้งๆ กับคำพูดของผู้เป็นอา จนต้องทวนถามอีกครั้งให้แน่ใจ

    “คุณอาว่าอะไรนะครับ”

    “เธอได้ยินไม่ผิดหรอก กันต์กับต้นกล้าคือคนที่อารับมาอุปการะ เพราะรู้สึกสงสาร อาต้องการที่จะให้พวกเขามีอนาคตที่ดี” เธอบอกผู้เป็นหลานชาย

    เมื่ออีกฝ่ายได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจผู้เป็นอาอย่างมาก

    “คุณอาคิดยังไงครับ ถึงได้เอาไอ้เด็กวัดกระจอกๆ และไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบสองคนนี้มาอุปการะ คุณอาไม่กลัวว่าจะอายคนอื่นหรือยังไงครับ”

    “ทำไมอาต้องอายคนอื่นด้วยล่ะ ในเมื่ออาไม่ได้รับโจรมาอุปการะนี่ และวันนั้นถ้าอาไม่ได้เด็กวัดสองคนนี้ช่วยไว้อาก็คงจะสูญเสียเงินในกระเป๋าที่มีไม่ต่ำกว่าสามหมื่นไปแน่นอน สองคนนี้เขาเป็นคนดีอาถึงได้ตัดสินใจที่จะรับอุปการะเขาไง คนดีๆ แบบนี้หายากนะ”

    “ใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ อย่าทะเลาะกันเพราะผมสองคนเลย” กันต์เห็นว่าสถานการณ์ดูตึงเครียดจึงรีบห้ามสองคนอาหลาน

    แต่กลับถูกฐากูรตวาดใส่

    “เออ รู้ตัวก็ดีแล้ว ว่าพวกแกเป็นต้นเหตุทำให้ฉันกับคุณอาวรรณทะเลาะกัน รู้แล้วก็ไสหัวออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ”

    “ฐากูร ทำไมเธอถึงทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้ กันต์กับต้นกล้าไปทำอะไรให้เธอโกรธเคืองมางั้นเหรอ เธอถึงได้ไม่ชอบพวกเขา” ธมลวรรณถามหลานชายทันที

    “คือผมกับต้นกล้าและฐากูรเราเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันครับ ฐากูรเขาไม่ชอบผมสองคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่ชอบผมสองคน” กันต์บอก

    ฐากูรแค่นหัวเราะ ก่อนจะพูดกับเพื่อนว่า

    “แกไม่รู้จริงๆ เหรอว่าฉันไม่ชอบแกสองคนเพราะอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกให้พวกแกได้รู้ ที่ฉันไม่ชอบขี้หน้าพวกแกก็เพราะว่าพวกแกทำให้ดุจดาวเกลียดฉัน แล้วดุจดาวก็เอาแต่สนใจพวกแก ส่วนฉันพยายามทำดีด้วยแต่เขาก็ไม่สนใจ นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่ชอบพวกแก ทีนี้รู้ยัง”

    “ชอบพาลใส่คนอื่น ที่คุณดุจดาวเขาไม่ชอบนายก็เพราะว่านายทำตัวเองทั้งนั้น มีใครบ้างที่ชอบคนพาลแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยเดินหนีหมดละ” ต้นกล้าตอบโต้

    “แก…” ชายหนุ่มชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างโมโหจนเลือดขึ้นหน้า

    ธมลวรรณรีบห้าม

    “หยุด! พอได้แล้ว ตากูร เข้าไปข้างในบ้าน ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ดูสิ กลิ่นเหล้าหึ่งเลยเนี่ย”

    “ถ้าคุณอาไม่ไล่ไอ้สองคนนี้ออกจากบ้านผมไม่ยอมจริงๆ ด้วยครับ”

    “แล้วทำไมอาต้องยอมทำตามเธอด้วยล่ะ อาน่ะไม่ได้เป็นคนที่ไร้เหตุผลเหมือนเธอนะ อาแยกแยะได้ว่าอันไหนดีอันไหนเลว เพราะฉะนั้นในเมื่ออารับพวกเขามาอุปการะแล้วอาก็จะไม่ยอมทิ้งพวกเขาไว้กลางทางแน่นอน…ปะ กันต์…ต้นกล้า พวกเราเข้าไปข้างในบ้านกันเถอะ” ประโยคหลังเธอเอ่ยกับกันต์และต้นกล้า

    สองหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ

    “ครับ คุณวรรณ”

    แล้วทั้งสามก็เดินกลับเข้าไปข้างในบ้าน โดยมีสายตาโกรธเคืองของฐากูรที่มองตาม พร้อมกับกำมือแน่น

    “คิดเหรอว่าฉันจะยอมพวกแก ไอ้กันต์ ไอ้ต้นกล้า สักวันฉันจะทำให้พวกแกกระเด็นออกไปจากบ้านของฉันให้ได้ ฉันจะไม่ยอมอยู่ร่วมชายคากับแกสองคนหรอก ไม่มีทาง!” แล้วก็เดินเข้าไปข้างในบ้านอีกคน


    “ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลยว่ะไอ้กล้า ที่เราสองคนจะต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับนายกูร เพราะฉันรู้ว่านายกูรไม่ชอบเราสองคน เอ้อ เรากลับไปอยู่ที่วัดเหมือนเดิมดีมั้ยวะ” กันต์เอ่ยกับเพื่อนขณะที่นั่งอยู่ในห้องนอนด้วยกัน อีกทั้งยังแสดงความสบายใจออกทางสีหน้าอีกด้วย

    ต้นกล้าส่ายหน้าไม่เห็นด้วยกับเพื่อน

    “ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น คุณกรกับคุณวรรณรับเราสองคนมาอุปการะ เราจะทำให้ท่านทั้งสองเสียใจไม่ได้เด็ดขาด เดี๋ยวจะกลายเป็นคนอกตัญญู”

    “แต่ดูเหมือนว่านายกูรจะไม่พอใจที่เห็นเราสองคนเข้ามาอยู่ในบ้านของเขานะ”

    “นายกูรจะพอใจหรือไม่พอใจก็ช่างมันสิ มันไม่ใช่คนที่อุปการะเราสักหน่อย นายกันต์ นายจำไม่ได้เหรอว่าหลวงตาเคยบอกเราสองคนไว้ว่ายังไง”

    “หลวงตาบอกว่าต่อให้ลำบากแค่ไหนก็ต้องอดทนเข้าไว้ สิ่งที่ต้องคิดถึงมากที่สุดคืออนาคตของตัวเอง อย่างอื่นไม่ต้องไปคิด”

    “นั่นละ เราต้องทำตามที่หลวงตาบอกไว้ เราต้องนึกถึงอนาคตของตัวเราให้มากๆ ส่วนนายฐากูรก็อย่าไปสนใจมันเลย เราต่างคนต่างอยู่”

    “เราคิดแบบนั้น แต่กลัวนายฐากูรมันไม่ได้คิดเหมือนเราน่ะสิ นายก็รู้นี่ว่านายฐากูรมันเป็นคนยังไง มันเป็นคนที่ชอบหาเรื่องจะตายไป” กันต์ว่า

    ต้นกล้าจึงบอกว่า

    “ถ้าหมาเห่าแล้วเราไม่เห่าหมาตอบ…ทุกอย่างก็จบ เอาเถอะ นายไม่ต้องไปคิดมากอะไรหรอก แค่นายอยู่ให้มีความสุขก็พอแล้วละ ถ้านายฐากูรมาหาเราก็แค่ทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้นเอง!”

    “ฉันว่านายควรต้องบอกกับตัวเองดีกว่านะ ฉันน่ะพอใจเย็นได้ แต่นายน่ะเป็นคนใจร้อน ฉันกลัวว่าถ้านายฐากูรมาหาเรื่องแล้วนายจะตอบโต้จนกลายเป็นเรื่องใหญ่เนี่ยสิ นายน่าเป็นห่วงกว่าฉันเยอะเลย”

    “เออๆ ถ้านายฐากูรมันมาหาเรื่องฉันจะพยายามระงับอารมณ์ก็แล้วกัน แต่ถ้าเกิดมันทำให้ฉันเหลืออดก็ช่วยไม่ได้นะ” อีกฝ่ายตอบส่งๆ ไป

    กันต์พยักหน้ายิ้มๆ

    “แค่นายรับปากว่าจะพยายามระงับอารมณ์เวลาที่นายฐากูรมาหาเรื่องฉันก็สบายใจมากพอแล้วละเพื่อน”

    “อืม” ต้นกล้ายิ้มตอบ


    “โธ่โว้ย!” ฐากูรปัดข้าวของที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงลงพื้นด้วยความโมโห

    มยุรีเข้ามาเห็นลูกอาละวาดก็ตกใจ พลางเอ่ยถามว่า

    “ตากูร ลูกเป็นอะไรฮึ! ลูกปัดข้าวของทิ้งทำไม ไหนบอกแม่มาสิ”

    “ผมไม่อยากอยู่ร่วมชายคากับไอ้เด็กวัดสองคนนั่นครับคุณแม่ ไม่รู้ว่าคุณอาวรรณคิดยังไงถึงรับคนกระจอกๆ อย่างพวกมันมาอุปการะ ผมเกลียดขี้หน้าพวกมันครับ และไม่อยากเห็นหน้าพวกมัน”

    “อ้าว! ลูกกับไอ้เด็กวัดสองคนนั่นไม่ถูกกันหรอกเหรอ”

    “ครับคุณแม่ ผมเกลียดมันสองคน เพราะมันสองคนทำให้ดุจดาวไม่สนใจผม ทำให้ดุจดาวไม่ชอบผม แต่ผมไม่คิดว่าวันนี้จะได้อยู่บ้านเดียวกับพวกมัน คิดแล้วมันน่าโมโหจริงๆ ครับ”

    “มันไม่เห็นยากเลยนี่ลูก ถ้าลูกเกลียดมันสองคน ไม่อยากอยู่ร่วมบ้านกับมันสองคน ลูกก็แค่ทำให้มันพวกมันกระเด็นออกไปจากบ้าน แค่นั้นก็จบ” วิวัฒน์เข้ามาทันได้ยินที่ลูกชายเอ่ยกับมารดาจึงบอกไปเช่นนั้น

    ฐากูรยิ้มให้ผู้เป็นบิดาอย่างถูกใจ

    “แน่นอนครับคุณพ่อ สักวันผมจะทำให้มันสองคนกระเด็นออกไปจากบ้าน ผมจะหาวิธีเล่นงานพวกมันให้ได้ครับ”

    “ดีมากลูกพ่อ”

    “ว่าแต่คุณพ่อก็ไม่อยากให้พวกมันอยู่บ้านเดียวกับเราเหมือนกันเหรอครับ”

    “ใช่! พ่อไม่อยากให้พวกมันอยู่ที่นี่ เพราะพ่อสงสัยว่า…”

    “คุณพ่อสงสัยว่าอะไรเหรอครับ” ผู้เป็นลูกชายถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจะเอ่ยถึงความลับเมื่อยี่สิบปีก่อน วิวัฒน์ก็ทำเป็นเฉไฉไปเรื่องอื่น

    “เอ้อ วันนี้ลูกไปไหนมาทั้งวันฮึ!”

    “ผมไปเที่ยวกับเพื่อนมาครับ”

    “คงไปเที่ยวผับมาอีกสินะ”

    “ครับ”

    “ไอ้เรื่องเที่ยวก็ลดๆ บ้างก็ได้ พ่อว่าลูกสนใจเรื่องเรียนบ้างดีกว่านะ จบมาจะได้ช่วยพ่อทำงาน พยายามทำตัวให้ดีๆ และทำตัวให้ขยันเข้าไว้ คุณย่าจะได้มอบบริษัทให้แกดูแล เผลอๆ ท่านอาจยกสมบัติของตระกูลให้แกด้วยก็ได้นะ”

    “ให้ผมทำตัวดีๆ กับคุณย่าเนี่ยนะครับ”

    “ใช่ ถูกต้องแล้ว”

    “ฝันไปเถอะครับคุณพ่อ คนอย่างคุณย่าน่ะเอาใจยากจะตายไป ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ” ชายหนุ่มปฏิเสธบิดาทันที

    “แล้วแกจะยอมให้คุณย่ายกทุกอย่างให้อาวรรณของแกหรือไง หา คิดสิคิด ถ้าท่านยกให้อาของแกหมดแล้วเราจะได้อะไร…ถ้าเราไม่ได้อะไรเลยสักอย่างแล้วเราจะอยู่ยังไง แกก็รู้นี่ว่าตระกูลของเราร่ำรวยแค่ไหน หรือว่าแกไม่อยากบริษัทกับสมบัติของตระกูลฮึ!”

    “นั่นสิ! ลูกจะยอมให้ยายวรรณได้ทุกอย่างไปครอบครองคนเดียวงั้นเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วครอบครัวเราจะได้อะไรล่ะ อ้อ แล้วถ้าลูกมีเงินทองเยอะๆ บางทีหนูดุจดาวอาจหันมาสนใจลูกก็ได้ อีกอย่าง ลูกจะได้มีเงินทองเอาไปสู่ขอหนูดุจดาวด้วยไง” มยุรีช่วยพูดกับลูกชายอีกแรง

    “เอ่อ…” ฐากูรเกิดความลังเลขึ้นมา

    แล้วผู้เป็นมารดาก็รบเร้าลูกชายอีก

    “นะลูก เชื่อแม่นะ เอาทุกอย่างมาเป็นของเราแล้วหนูดุจดาวจะหันกลับมาสนใจลูกเอง”

    ฝ่ายลูกชายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบว่า

    “โอเคครับคุณแม่ ผมจะเอาทุกอย่างมาเป็นของเราให้ได้ เพื่อที่ว่าสักวันดุจดาวจะหันมาสนใจผมบ้าง ไม่ใช่ไปสนใจไอ้เด็กวัดกระจอกสองคนนั่นอย่างเดียว ผมละหมั่นไส้พวกมันที่สุดเลยครับ”

    “นั่นละที่พ่ออยากให้แกตั้งใจเรียนให้จบ เมื่อเรียนจบก็ตั้งใจทำงานให้คุณย่าเห็นความขยันของแก แล้วท่านจะยกทุกอย่างให้แก”

    “มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณพ่อ”

    “ง่ายไม่ง่ายพ่อไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือแกต้องทำตามที่พ่อกับแม่แนะนำ แกก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะยอมให้อาของแกได้ทุกอย่างไป ส่วนเราก็ไม่ได้อะไรเลย แถมแกยังโดนหนูดุจดาวเกลียดเหมือนเดิมอีกต่างหาก หรือว่าแกจะยอมอดทนคว้าทุกสิ่งทุกอย่างให้มาเป็นของเราแล้วหนูดุจดาวจะหันกลับมาสนใจแก ดีไม่ดีเขาอาจอยากจะยอมแต่งงานกับแกด้วยซ้ำไป”

    “ครับคุณพ่อ ผมจะอดทนคว้าทุกสิ่งทุกอย่างให้มาเป็นของเรา สักวันดุจดาวจะหันมาสนใจผมบ้างครับ” ฐากูรตัดสินใจทันที

    ผู้เป็นมารดายิ้มพอใจ

    “ดีมากลูก ลูกคิดถูกแล้วที่เชื่อพ่อกับแม่ สักวันคนที่เคยเกลียดเราจะหันกลับมาชอบเราทุกคน เพียงเพราะเรามีเงิน…เพราะอำนาจของเงินมันอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดเลย”

    “ที่แม่แกพูดก็ถูก อำนาจของเงินมันอยู่เหนือทุกๆ อย่าง พ่อดีใจนะที่แกตัดสินใจที่จะทำตามที่พ่อบอก พ่อดีใจจริงๆ” วิวัฒน์ตบไหล่ลูกชายเบาๆ

    ผู้เป็นลูกชายพยักหน้า

    “ครับ คุณพ่อ”

    สองคนสามีภรรยายิ้มให้กันด้วยความดีใจเมื่อลูกชายยอมทำตามที่ตนเองบอก ทุกอย่างจะต้องเป็นของพวกเขา ทั้งบริษัทเอย สมบัติของตระกูลเอย หรือแม้แต่คฤหาสน์ที่อาศัยอยู่ทุกวันเองก็ตาม มันจะต้องตกอยู่ในมือของเขาในเวลาอันใกล้นี้ มันไม่นานเกินไปหรอก เขาและมยุรีจะอดทนรอให้ถึงวันนั้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×