ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ ๑๒ : กลับมาสู่วงศ์ตระกูล

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    หลังจากทำวัตรเย็นกับพระในวัดเสร็จ กันต์กับต้นกล้าก็ขึ้นกุฏิพร้อมกับหลวงตาจัน แต่ทั้งสองยังไม่เข้านอน พวกเขานั่งคุยกับหลวงตา โดยหลวงตานั่งบนเก้าอี้โยกและพวกเขานั่งบนพื้น วันนี้จะได้อยู่กับท่านเป็นวันสุดท้าย เนื่องจากวันพรุ่งนี้จะต้องไปอยู่กับชรัณกรและธมลวรรณแล้ว

    “พรุ่งนี้พวกผมก็จะต้องไปอยู่ที่บ้านของคุณชรัณกรกับคุณธมลวรรณแล้ว พวกผมคงจะคิดถึงหลวงตาน่าดูเลยนะครับ” กันต์เอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าๆ

    ต้นกล้าพยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อน

    “ใช่ๆ ครับ ผมกับนายกันต์คงคิดถึงหลวงตามากแน่ๆ เลย เพราะตั้งแต่เติบโตมาก็ไม่เคยจากหลวงตาไปอยู่ที่อื่นเลย แต่พรุ่งนี้จะต้องจากวัดจากหลวงตาไปอยู่ในที่ๆ ไม่คุ้นเคยเลย”

    “เจ้ากันต์ เจ้ากล้า ถ้าเอ็งสองคนคิดถึงหลวงตาก็มาหาที่วัดก็ได้นี่ ทำยังกับพวกเอ็งกำลังจะไปอยู่ที่ประเทศอื่นอย่างนั้นละ” หลวงตาจันว่า

    กันต์ยังคงทำหน้าเศร้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

    “นี่ถ้าผมกับนายกล้าไปอยู่ที่บ้านของคุณชรัณกรกับคุณธมลวรรณก็คงต้องปรับตัวอีกเยอะเลยครับ เพราะที่นั่นมีแต่ผู้ดีทั้งนั้น แล้วอีกอย่าง ในบ้านหลังนั้นไม่รู้ว่าจะมีสมาชิกอยู่กี่คน แล้วคนอื่นๆ จะชอบพวกผมเหมือนที่คุณชรัณกรกับคุณธมลวรรณชอบหรือเปล่า ถ้าไม่มีใครชอบพวกผมก็อยู่ลำบากครับหลวงตา”

    “ต่อให้พวกเอ็งจะลำบากแค่ไหนก็ต้องอดทนเข้าไว้ สิ่งที่พวกเอ็งต้องนึกถึงให้มากที่สุดก็คืออนาคตของตัวเอง ส่วนอย่างอื่นก็อย่าเพิ่งไปคิดเลยนะ” หลวงตาจันบอก

    “ครับ หลวงตา” สองหนุ่มพยักหน้าพร้อมกัน

    “ดีมาก…เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน ไม่ว่าสิ่งๆ นั้นมันจะหนักหนาสาหัสเท่าไหร่ก็ตาม แต่เราก็อย่าไปท้อแท้กับมัน…เข้าใจมั้ย”

    “ครับ ผมสองคนจะจำคำของหลวงตาไว้ จะอดทนให้ได้มากที่สุด จะไม่ท้อแท้กับอะไรง่ายๆ ครับ” ต้นกล้ารับปากทันที

    หลวงตาจันยิ้มพอใจ

    “ดีแล้วละ พวกเอ็งไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ขอเพียงเราทำดีแล้วทุกอย่างก็จะดีตามมาเอง”

    “ครับ หลวงตา” กันต์ยิ้มให้หลวงตา

    “ว่าแต่ พรุ่งนี้พวกเขาจะส่งคนขับรถมารับพวกเอ็งกี่โมงล่ะ”

    “ประมาณสายๆ ครับหลวงตา”

    “อืม ถ้าอย่างนั้นเอ็งสองคนก็ไปนอนเถอะ หลวงตาก็จะไปจำวัดเหมือนกัน”

    “เดี๋ยวผมจะพาหลวงตาเข้าไปในห้องเองครับ” กันต์ขันอาสา

    หลวงตาจันส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธ

    “ไม่ต้องๆ หลวงตาไปเองได้ เอ็งสองคนน่ะเข้าห้องนอนของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงหลวงตาหรอก”

    “เอ่อ…”

    “ไปเถอะ” ท่านบอกอีกครั้ง

    กันต์จำต้องพยักหน้ารับ

    “ก็ได้ครับ หลวงตา”

    แล้วหลวงตาก็ลุกเดินเข้าห้องไป ส่วนสองหนุ่มก็เข้าห้องเช่นกัน


    วันถัดมา…

    คุณหญิงกรองทิพย์ ชรัณกรและธมลวรรณยืนรอรับกันต์กับต้นกล้าอยู่หน้าคฤหาสน์ในช่วงสายๆ หลังจากที่นายสุวิทย์ ซึ่งเป็นคนขับรถประจำบ้านได้ออกไปรับสองหนุ่มเด็กวัดตั้งแต่เช้าแล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะมาถึง

    “ฉันตื่นเต้นจังเลยค่ะคุณกร” ธมลวรรณจับมือสามีพลางเอ่ยขึ้นยิ้มๆ

    ชรัณกรพยักหน้ายิ้มตอบ

    “อืม ผมก็ตื่นเต้นเหมือนคุณนั่นละ เด็กที่เราอุปการะจะมาอยู่กับเราแล้ว”

    “แม่เองก็อยากจะเห็นหน้าเด็กสองคนนั่นเหมือนกัน” คุณหญิงกรองทิพย์บอก

    “ค่ะ คุณแม่” ผู้เป็นลูกสาวส่งยิ้มให้มารดา

    ขณะที่ทั้งสามยืนรอคอยกันต์กับต้นกล้าอย่างใจจดใจจ่อ วิวัฒน์กับมยุรีก็ออกมาจากข้างในบ้านเพื่อเตรียมจะไปที่บริษัท เมื่อเห็นมารดา น้องสาวและน้องเขยยืนอยู่คล้ายกับกำลังรอใครฝ่ายแรกก็อดที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยไม่ได้

    “เอ่อ แล้วนี่คุณแม่ ยายวรรณ นายกรกำลังยืนรอใครอยู่เหรอ”

    “อ้อ ก็แม่กับยายวรรณ แล้วก็ตากรกำลังยืนรอ…” ผู้เป็นมารดากำลังจะบอก

    ทว่า…ท่านยังไม่ทันได้บอกเพราะรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า อัลฟาร์ด & เวลโฟร์ ซึ่งเป็นรถตู้ของบ้านก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์หลังงามพอดี นายสุวิทย์ลงจากรถ ขณะเดียวกันประตูอัตโนมัติก็ถูกเปิดและสองหนุ่มเด็กวัดก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าลงจากรถไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกท่านอย่างมีมารยาท

    “สวัสดีครับ”

    ผู้ใหญ่ทั้งสามไหว้ตอบ

    “เด็กสองคนนี่เป็นใครกัน” วิวัฒน์มองกันต์กับต้นกล้าอย่างสงสัยพลางหันไปถามมารดากับน้องสาว และน้องเขย

    ธมลวรรณจึงบอกพี่ชายว่า

    “นี่กันต์กับต้นกล้าค่ะ ทั้งสองเป็นเด็กวัดที่วรรณกับคุณกรรับอุปการะ”

    “ทำไมไม่บอกพี่ก่อน” เขาเผลอพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะคอกใส่น้องสาว เมื่อเห็นทุกคนมองเขาอย่างอึ้งไปจึงแสร้งตอบแบบแก้ตัวว่า “เอ่อ พี่หมายถึงว่าทำไมแกไม่บอกพี่ไม่ปรึกษาพี่ก่อน พี่จะได้มีส่วนร่วมกับการอุปการะเด็กวัดสองคนนี่ด้วย เพราะพี่เองก็รู้สึกสงสารเด็กวัดกระจอก เอ๊ย ไม่ใช่ พี่สงสารเด็กวัดที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งจนกลายเป็นเด็กกำพร้า พี่ก็อยากจะอุปการะเหมือนกัน”

    แต่ในใจก็คิดไปอีกแบบ

    ‘ฉันก็หวังว่าไอ้เด็กวัดสองคนนี่มันจะไม่ได้มาจากวัดที่ฉันเอาลูกของแกไปทิ้งเมื่อยี่สิบปีก่อนหรอกนะยายวรรณ’

    “จริงเหรอคะ” ผู้เป็นน้องสาวถามพี่ชาย

    อีกฝ่ายพยักหน้าแสร้งยิ้ม

    “จริงสิ พี่จะโกหกแกทำไมเล่า”

    “ค่ะ วรรณเชื่อพี่วัฒน์อยู่แล้วค่ะ” เธอว่า ก่อนจะหันไปทางเด็กวัดทั้งสอง “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ นั่งรถมาเหนื่อยมั้ย”

    “ไม่เลยครับ” กันต์เป็นผู้ตอบ

    ขณะที่ต้นกล้ากวาดสายตามองไปรอบๆ คฤหาสน์ด้วยความตกตะลึง เพราะไม่เคยเห็นบ้านที่ใหญ่ราวกับพระราชวังแบบนี้มาก่อน เคยอยู่แต่กับวัดวาอาราม พอมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ก็จะตื่นเต้นนิดหน่อย

    “นี่บ้านหรือวังกันแน่วะ โคตรใหญ่โตมโหฬารฉิบหายเลยว่ะ” ชายหนุ่มแอบกระซิบข้างหูเพื่อน

    กันต์จึงกระซิบกลับว่า

    “จะบ้านหรือวังก็ช่างเถอะ ถึงยังไงเราก็ต้องมาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”

    “อืม”

    “มีอะไรกันหรือเปล่าจ๊ะ” ธมลวรรณถามสองหนุ่มด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นพวกเขาแอบกระซิบกระซาบกัน

    “เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไรครับ” กันต์ส่ายหน้ายิ้มๆ

    “คุณแม่ครับ เดี๋ยวผมกับคุณรีไปที่บริษัทก่อนนะครับ” วิวัฒน์บอกกับมารดา

    คุณหญิงกรองทิพย์พยักหน้า

    “จ้ะ เดี๋ยวแม่จะตามไปทีหลังนะ แกสองคนไปก่อนแม่เลย”

    “ครับ” เขายิ้มให้มารดา ก่อนจะเอ่ยกับภรรยาว่า “เราไปกันเถอะคุณรี”

    “ค่ะ” มยุรีพยักหน้า

    แล้วสองคนสามีภรรยาก็เดินไปที่โรงจอดรถเพื่อขึ้นรถของตัวเองขับไปที่บริษัท

    แล้วธมลวรรณก็บอกกับสองหนุ่มที่เธออุปการะว่า

    “ฉันให้คนใช้เตรียมห้องหับไว้เธอสองคนแล้วนะ ฉันคิดว่าเธอสองคนคงต้องการที่จะนอนห้องเดียวกันก็เลยสั่งคนใช้ให้จัดเตรียมไว้แค่ห้องเดียว”

    “ขอบคุณนะครับ” กันต์กับต้นกล้ายกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่าย

    “จ้ะ” เธอรับไหว้ ก่อนจะหันไปบอกละอองซึ่งเป็นสาวใช้ที่ยืนอยู่แถวนั้น “ละอองจ๊ะ เดี๋ยวเธอพาพ่อหนุ่มสองคนนี้ไปที่ห้องที่จัดเตรียมไว้หน่อยนะ”

    “ได้ค่ะ คุณวรรณ” ละอองรับคำ และบอกกับสองหนุ่มว่า “เดี๋ยวเธอสองคนตามฉันมานะ ฉันจะพาไปที่ห้องนอน”

    ทั้งสองพยักหน้าตอบรับ แล้วก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตามสาวใช้เข้าไปข้างในบ้านทันที

    คุณหญิงมองตามหลังสองหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้นว่า

    “เอ…จะว่าไปแล้วเนี่ย เด็กที่ชื่อกันต์เหมือนเขามีอะไรบางอย่างพิเศษ เพียงแค่แม่เห็นหน้าเขาครั้งแรกก็ทำเอาแม่ถึงกับถูกชะตากับเขาเลยทีเดียว นี่ถ้าเขาเป็นหลานของแม่ที่ถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีก่อนก็คงจะดี เพราะดูท่าทางเขาจะเป็นคนดีมากๆ เป็นหลานแม่…แม่คงรักตายเลย”

    “หนูก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นค่ะคุณแม่” ธมลวรรณว่า

    “ถ้ามันเป็นแบบนั้นมันจะดีมากๆ เลยละ เพราะผมเองก็อยากมีลูกที่ขยันและเป็นคนดีเหมือนเจ้ากันต์และเจ้ากล้า พวกเขาถูกพระสั่งสอนมาอย่างดีก็เลยทำให้เขานิสัยดีตามไปด้วย ผมรู้สึกปลื้มใจทั้งสองมากๆ” ชรัณกรยิ้มขณะเอ่ยกับภรรยาและแม่ยาย

    ผู้เป็นภรรยายิ้มตอบสามี

    “ค่ะ คนดีแบบนี้อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรักคนชอบ เราคิดถูกแล้วค่ะที่อุปการะเด็กสองคนนั่น ฉันเชื่อนะคะว่าพวกเขาจะไม่ทำอะไรให้เราต้องเสียใจแน่นอน”

    “ในเมื่อเราตัดสินใจอุปการะเขาแล้วก็ไม่ต้องไปคิดอะไร เพียงแค่เราดูแลเขาให้ดีเหมือนอย่างที่รับปากกับหลวงพ่อไว้เท่านั้นพอ อนาคตของเด็กสองคนนั่นยังอยู่อีกยาวไกล เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าหลังจากเรียนจบแล้วเขาสองคนจะเข้าไปทำงานในบริษัทของเราและจะช่วยออกแบบบ้านทาวน์เฮาส์กับคอนโดฯ ให้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะพวกเขาเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ต้องดูงานฝีมือว่าจะทำให้ออกมาดีแค่ไหน”

    “คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

    “ใช่ ผมมั่นใจในตัวเด็กสองคนนั่นมาก ผมไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรผมถึงได้รู้สึกมั่นใจขนาดนั้น”

    “ค่ะ ฉันเองก็รู้สึกมั่นใจในตัวเด็กสองคนนั่นเหมือนคุณ และมั่นใจมากๆ ด้วยค่ะ”

    “เอาละ หยุดความมั่นใจไว้แค่นี้ก่อน ตากร ไป! เราไปที่บริษัทกันเถอะ” คุณหญิงกรองทิพย์บอกกับลูกเขย

    ชรัณกรพยักหน้ายิ้มๆ กับแม่ยาย

    “ครับ คุณแม่”

    “ส่วนหนูก็จะเข้าไปดูกันต์กับต้นกล้าค่ะ” ธมลวรรณบอกกับมารดา

    “จ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็แยกย้ายกันตรงนี้เลย”

    “ค่ะ คุณแม่” เอ่ยจบผู้เป็นลูกสาวก็เดินเข้าไปข้างในบ้านทันที

    ส่วนคุณหญิงกรองทิพย์กับชรัณกรก็เดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ในโรงจอดรถโดยผู้เป็นลูกเขยรับหน้าที่เป็นโชเฟอร์เหมือนทุกครั้ง ส่วนผู้เป็นแม่ยายก็นั่งสบายๆ ชมวิวเพลิดเพลินไป


    “โห ห้องโคตรใหญ่ชะมัดเลยว่ะ ใหญ่กว่าห้องนอนของเราที่อยู่บนกุฏิหลวงตา เป็นคนรวยนี่ดีจริงๆ แฮะ มีบ้านหลังใหญ่โตแบบนี้” ต้นกล้ามองไปรอบๆ ห้องอย่างตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นห้องนอนที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย

    ส่วนกันต์ก็จัดการนำเสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าเอาเข้าแขวนไว้ในตู้ ชายหนุ่มต่างจากเพื่อน เขาไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด กลับรู้สึกเฉยๆ เสียมากกว่า อาจเป็นเพราะว่าเขายังปรับตัวกับที่บ้านหลังนี้หรือคนที่นี่ไม่ถูก เพราะเขาเพิ่งจะเข้ามาอยู่แค่วันแรก อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ปรับตัวได้เองละ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อยเท่านั้นเอง

    “ถึงฉันจะอยู่ที่นี่แต่ฉันก็อดคิดถึงหลวงตาไม่ได้ว่ะ คิดถึงวัดที่เคยอาศัยอยู่ด้วย” กันต์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าๆ

    อีกฝ่ายตบไหล่เพื่อนเบาๆ

    “เอาน่า อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ปรับตัวได้เองละ อ้อ ถ้าคิดถึงหลวงตามากๆ เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเราก็แวะไปหาหลวงตาที่วัดก็ได้นี่หว่า มหาวิทยาลัยก็อยู่ใกล้ๆ วัดนี่”

    “อืม ก็ได้” ชายหนุ่มพยักหน้าให้เพื่อน

    “ดีมากเลยเพื่อน” เขายิ้มพอใจ

    ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ธมลวรรณก็เดินเข้ามา เนื่องจากประตูห้องไม่ได้ปิดเธอจึงเดินเข้ามาอย่างสะดวก

    แล้วเธอก็ถามสองหนุ่มว่า

    “เป็นยังไงบ้างจ๊ะ อยู่กันได้ใช่มั้ย ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกฉันได้นะ ไม่ต้องเกรงใจอะไรทั้งนั้น”

    “อยู่ได้ครับ” กันต์ตอบ “ส่วนของทุกอย่างก็มีครบ ไม่มีอะไรขาดเหลือเลยสักอย่างครับ”

    “จ้ะ” อีกฝ่ายพยักหน้า “เอ…ว่าแต่ ทำไมเธอถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ทำหน้าเหมือนกับไม่เต็มใจที่จะมาอยู่ที่นี่อย่างนั้นละ” เธอสังเกตเห็นกันต์ทำสีหน้าเศร้าจึงเอ่ยถามออกไปเช่นนั้น

    คนถูกถามจึงตอบว่า

    “เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกยังปรับตัวกับที่นี่ไม่ถูกครับ เพราะเคยอยู่แต่ในวัดในวา พอได้มาอยู่ในบ้านหลังใหญ่แบบนี้ก็จะแปลกๆ หน่อยครับ”

    “โธ่ ฉันก็นึกว่าเป็นอะไร เอาเถอะ มาอยู่วันแรกจะให้ปรับตัวได้เร็วก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวอยู่ๆ ไปเธอสองคนก็ปรับตัวได้เองละ เรื่องนั้นเธอไม่ต้องกังวลไปหรอก”

    “ครับ”

    “ต่อไปนี้เธอสองคนก็เหมือนคนในครอบครัวของฉัน ที่ฉันอุปการะเธอสองคนไม่ใช่เพราะว่าฉันสงสารอย่างเดียว แต่ฉันอยากให้เธอสองคนมาเป็นลูกหหลานของฉันด้วยต่างหากล่ะ”

    “ผมสองคนไม่กล้าคิดแบบนั้นหรอกครับ แค่คุณธมลวรรณใจดีอุปการะผมสองคนและให้ที่อยู่ที่กินก็เป็นบุญมากเกินพอแล้วละครับ” กันต์ว่า

    “คิดอะไรแบบนั้น ไม่เอานะ ต่อไปนี้เธอห้ามพูดแบบนี้อีกเข้าใจมั้ย เธอต้องคิดว่าเธอกับเพื่อนของเธอเป็นคนในครอบครัวของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะโกรธเธอแน่นอน” ธมลวรรณบอกแกมบังคับ

    “เอ่อ…”

    “รับปากคุณธมลวรรณไปสิวะ เดี๋ยวเขาก็โกรธจริงๆ หรอก” ต้นกล้ากระซิบข้างหูเพื่อน

    อีกฝ่ายทำหน้าเลิ่กลั่ก นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมาว่า

    “ก็ได้ครับ ผมจะไม่พูดไม่คิดแบบนั้นอีกแล้ว ผมจะคิดเสมอว่าผมกับต้นกล้าคือคนในครอบครัวของคุณครับ”

    “ดีมากจ้ะ” เธอยิ้มพอใจ “อ้อ ถ้าพวกเธอจะออกไปไหนก็บอกคนขับรถให้ไปส่งได้นะ ไม่ต้องเกรงใจเขาหรอก จะไปที่ไหนก็บอกเขาเลย เดี๋ยวเขาจะไปส่งให้ถึงจุดหมายปลายทางเองจ้ะ”

    “ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

    “ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ พวกเธอตามสบายเลยนะ คิดซะว่าที่นี่คือบ้านของเธอเหมือนกัน” เอ่ยจบเธอก็เดินออกไปจากห้องทันที

    เมื่อธมลวรรณเดินออกไปแล้วกันต์ก็เอ่ยกับเพื่อนว่า

    “อยู่ที่นี่โคตรทำตัวลำบากว่ะ”

    “เอาเหอะ อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็ชินเอง เราเพิ่งจะมาอยู่วันแรกจะให้ชินเลยมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ” ต้นกล้าว่า

    “อืม ฉันจะพยายามปรับตัวให้ได้ก็แล้วกัน”

    “โอเค” เขายิ้มให้เพื่อนและตบไหล่เบาๆ “เอ้อ เดี๋ยวฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ เนื้อตัวของฉันเหนียวเหนอะหนะไปหมดแล้วเนี่ย”

    “เออ นายรีบไปอาบเถอะ เดี๋ยวฉันจะอาบบ้าง”

    “ครับผม” เมื่อเอ่ยจบต้นกล้าก็ส่ายหน้าหัวเราะ ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

    กันต์มองตามหลังเพื่อนแล้วยิ้มขำ จากนั้นก็หันกลับมาจัดการเอาเสื้อผ้าใส่ตู้ต่อทันที


    “บ้าชะมัด! ยายวรรณกับนายกรไปรับอุปการะไอ้เด็กวัดสองคนนั่นโดยไม่มาปรึกษาผมเลย คิดแล้วมันน่าโมโหจริงๆ” วิวัฒน์ปัดแฟ้มเอกสารลงจากโต๊ะที่อยู่ในห้องทำงานที่บริษัท โดยมีผู้เป็นภรรยาอยู่ด้วย

    มยุรีจึงเอ่ยขึ้นว่า

    “แบบนี้ก็เท่ากับว่ายายวรรณมันไม่เห็นหัวพี่ชายอย่างคุณเลยนะคะ มันทำอะไรโดยไม่ปรึกษาคุณ แต่กลับไปปรึกษาคุณแม่กับนายกร ทั้งที่คุณก็เป็นพี่ชายของมันคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ยายวรรณมันเลือกที่จะมองข้ามคุณ”

    “เรื่องปรึกษาหรือไม่ปรึกษามันไม่น่าหนักใจเท่าไหร่หรอก”

    “ถ้างั้นคุณหนักใจเรื่องอะไรคะ”

    “ผมกังวลใจว่าไอ้เด็กวัดหนึ่งในสองคนนั่นมันจะเป็นลูกของยายวรรณกับนายกร” เขาบอกพร้อมกับแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้าให้ภรรยาเห็น

    แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มออก

    “โธ่ ฉันก็นึกคุณกังวลเรื่องอะไร ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้นี่เอง…คุณวัฒน์คะ มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอกมั้งคะ พ่อแม่ลูกมันคงไม่มีวันพบเจอกันง่ายๆ หรอก บางทีไอ้เด็กวัดสองคนนั่นมันอาจไม่ได้มาจากวัดที่คุณเอาลูกของยายวรรณไปทิ้งก็ได้ มันสองคนคงมาจากวัดอื่น ในกรุงเทพฯ มีหลายวัดนะคะ คุณไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ เชื่อฉัน ไอ้เด็กวัดหนึ่งในสองคนนั่นมันไม่ใช่ลูกของยายวรรณแน่นอน”

    “เอ้อ จริงสิ ผมลืมถามเลยว่าพวกมันมาจากวัดไหนกัน”

    “ถ้าพวกมันมาจากวัดที่คุณเอาลูกของยายวรรณไปทิ้งแล้วคุณจะทำยังไงคะ” เธอถามหยั่งเชิงสามี

    วิวัฒน์ส่ายหน้าพลางตอบว่า

    “ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก”

    “คุณวัฒน์คะ เด็กวัดที่อยู่ในวัดแต่ละแห่งก็มีตั้งหลายคนนะคะ ฉันคิดว่าไอ้เด็กวัดหนึ่งในสองคนนั่นไม่น่าใช่ลูกของยายวรรณหรอกค่ะ เพราะความบังเอิญมันไม่มีอยู่จริง”

    “ผมก็หวังว่ามันจะเป็นเหมือนอย่างที่คุณบอก กลับบ้านไปผมคงต้องถามไอ้เด็กพวกนั้นว่ามันมาจากวัดไหน” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

    มยุรีจับไหล่ผู้เป็นสามีทั้งสองข้างแล้วเอ่ยกับเขาว่า

    “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนค่ะ แต่ตอนนี้เรามาพูดถึงเรื่องเงินกันดีกว่านะคะ ไหนๆ คุณแม่ก็มอบหมายให้คุณดูแลโครงการใหญ่แล้วทำไมคุณไม่ลองยักยอกเงินที่ลงทุนสร้างคอนโดฯ ส่วนหนึ่งมาไว้เป็นของตัวเองบ้างล่ะคะ เงินตั้งมากมาย แล้วอีกอย่าง ฉันเองก็อยากได้เงินไปลงทุนกับเพื่อนสักหน่อย มันต้องใช้เงินจำนวนมาก ฉันก็เลยอยากให้คุณยักยอกเงินส่วนนั้นมาให้ฉันค่ะ”

    “ได้สิ ผมจะยักยอกเงินส่วนนั้นมาให้คุณ” เพราะรักภรรยาจนโงหัวไม่ขึ้นจึงยอมตามใจเธอทุกอย่าง ไม่เว้นเรื่องยักยอกเงินในบริษัทเขาก็พร้อมจะทำเพื่อเธอเสมอ

    ฝ่ายผู้เป็นภรรยายิ้มพอใจ

    “ขอบคุณนะคะคุณสามี”

    “เรื่องแค่นี้เอง คุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอก เพราะผมทำให้คุณได้ทุกอย่าง ผมรักคุณถึงยอมทำเพื่อคุณ”

    “ขอบคุณนะคะที่คุณรักฉัน ฉันเองก็รักคุณเหมือนกันค่ะ ถ้าฉันไม่รักคุณก็คงไม่ทนอยู่กับคุณมาถึงยี่สิบปีขนาดนี้หรอกค่ะ”

    “ครับ ผมคิดไม่ผิดเลยที่เลือกคุณเป็นภรรยาและเป็นแม่ของลูก”

    “ค่ะ” เธอยิ้มให้สามี

    แล้วการสนทนาของทั้งสองก็ต้องจบลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ต่อมาเลขาของวิวัฒน์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมกับเอาเอกสารมาให้ผู้เป็นเจ้านาย

    “นี่เป็นเอกสารสำคัญที่ท่านประธานฝากดิฉันเอามาให้คุณวิวัฒน์ค่ะ” ยื่นแฟ้มเอกสารให้เจ้านายเสร็จชุติมาก็เดินออกไปจากห้อง

    วิวัฒน์ไม่รอช้า เขารีบเปิดแฟ้มดูทันที ในแฟ้มมีเอกสารอยู่สองฉบับ เขากวาดสายตาอ่านตัวหนังสือที่อยู่บนแผ่นกระดาษด้วยความตั้งใจ เมื่ออ่านอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะบอกกับภรรยาว่า

    “มันเป็นเอกสารอนุมัติให้ผมดูแลโครงการหมู่บ้านทาวน์เฮาส์ที่ซอยเพชรเกษม๔๘ ซึ่งจะสร้างในเร็วๆ นี้ นี่คุณแม่ยอมอนุมัติให้ผมดูแลโครงการถึงสองโครงการเลยเหรอเนี่ย ผมดีใจที่สุดเลย”

    “ในที่สุดท่านก็เห็นความดีของคุณสักทีนะคะ แต่กว่าจะเห็นก็เล่นเอาซะคุณเหนื่อยเลย” มยุรีว่า

    “ไม่เป็นไร ถือว่าตอนนี้ผมก็ได้สมกับค่าเหนื่อยแล้วนะ”

    “ระหว่างนี้คุณก็ต้องกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเลยนะคะ ก่อนที่เราจะสูญเสียทุกอย่างให้กับคนอื่น”

    “ไอ้เรื่องกอบโกยผลประโยชน์น่ะผมทำแน่นอน ผมไม่ยอมให้ทุกอย่างต้องตกอยู่ในมือของยายวรรณคนเดียวหรอก เพราะผมจะเอาทุกอย่างมาเป็นของเราให้ได้”

    “ดีค่ะ มันต้องแบบนี้สิคะ” เธอรู้สึกพอใจมาก

    นาทีนี้อะไรก็ไม่สำคัญกับวิวัฒน์และมยุรีเท่ากับผลประโยชน์อีกแล้ว มีสิ่งนี้สิ่งเดียวที่ทั้งสองต้องการ เพราะพวกเขาไม่อยากให้ทุกอย่างต้องไปตกอยู่ในมือธมลวรรณ แต่อยากให้ตกอยู่ในมือของตัวเองเสียมากกว่า วิวัฒน์จึงต้องคิดที่จะกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×