ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันส่องแสง (มี E-book แล้วนะครับ) และขายแบบแพ็กเกจ

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ ๑๐ : คนขี้อิจฉาริษยา

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 65


    ดุจดาวมาติวหนังสือที่บ้านของกนกนุชในวันหยุดเรียน ยิ่งใกล้สอบก็ยิ่งต้องเข้มงวดกับเรื่องอ่านหนังสือ เพราะเวลาสอบจะได้สอบแบบผ่านฉลุยเลย ไม่ต้องมานั่งแก้ทีหลังให้ปวดหัว

    สองสาวนั่งติวหนังสือตรงศาลาหลังบ้านท่ามกลางลมพัดเย็นๆ ของต้นไม้ที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ซึ่งกมลวดีปลูกไว้หลายสายพันธุ์เลยทีเดียว เพราะเธอเป็นคนที่ชอบต้นไม้และดอกไม้ ดังนั้นเธอจึงต้องปลูกไว้ในบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล แล้วเวลามองเห็นทีไรก็จะรู้สึกสดชื่นทุกครั้งเลยละ แถมยังมีความสุขอีกด้วย

    “บ้านเธอมีต้นไม้เยอะจัง” ดุจดาวชวนเพื่อนคุยหลังพักจากการติวหนังสือ

    กนกนุชยิ้มให้เพื่อน ก่อนจะตอบว่า

    “อ้อ แม่ของฉันชอบต้นไม้น่ะ ท่านก็เลยปลูกไว้หลายต้นเลย เวลาที่ท่านมองเห็นต้นไม้ที่ปลูกไว้ก็จะมีความสุขและรู้สึกสดชื่นทุกครั้งเลย ฉันเองก็รู้สึกเหมือนแม่ของฉันนะ ฉันมองเห็นต้นไม้แล้วสดชื่นมาก”

    “ถ้าเลือกเกิดได้ละก็ ฉันขอเลือกเกิดเป็นต้นไม้ยังจะดีกว่า ต้นไม้ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ผิดกับฉันในตอนนี้เศร้ามาก ถูกกีดกันไม่ให้คบเพื่อนที่มีฐานะต่ำต้อย ไม่มีชาติตระกูล ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ฉันละไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคุณแม่กับพี่ณัทจะต้องวัดคนที่ฐานะกับชาติตระกูลด้วย ทั้งที่ทุกคนก็มีค่าความเป็นคนเท่าเทียมกัน ไม่รู้จะแบ่งแยกกันทำไม”

    “เอาอีกละ เศร้าอีกแล้วนะเธอ”

    “ก็ชีวิตของฉันมันน่าเศร้านี่นา เธอก็รู้นี่”

    “แล้วคุณลุงสิทธิ์ท่านกีดกันไม่ให้เธอคบเพื่อนที่มีฐานะต่ำต้อยเหมือนคุณป้าดากับพี่ณัทหรือเปล่าล่ะ” กนกนุชถามเพื่อน

    อีกฝ่ายส่ายหน้า

    “ไม่เลย คุณพ่อไม่เคยกีดกันไม่ให้ฉันคบกับเพื่อนจนๆ ที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ท่านตามใจฉัน บอกฉันว่าถ้าจะคบเพื่อนฐานะไหนก็คบไปเลย ขอให้เพื่อนที่ฉันคบเป็นคนดีก็พอ”

    “ฉันเองก็เป็นคนดีนะ”

    “ฉันรู้ ก็เธอกับฉันคบกันมาตั้งแต่ตัวเล็กเท่ามดแน่ะ แล้วทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหน”

    “ฉันว่าอย่างน้อยเธอก็ยังมีคุณลุงสิทธิ์ที่ยังอยู่ข้างเธอ ไม่กีดกันเธอเหมือนคุณป้าดาและพี่ณัท เธอควรสบายใจได้แล้วนะยายดาว”

    “อืม ตอนนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วละ”

    “ก็ดีแล้ว เธอไม่ต้องไปเครียดหรอก เดี๋ยวไม่มีสมาธิติวหนังสือ ถ้าอ่าน ป. ปลา เป็น บ. ใบไม้ ละแย่เลยนะ” กนกนุชเอ่ยแบบติดตลก

    ดุจดาวถึงกับกลั้นหัวเราะไม่ไหว หญิงสาวปล่อยเสียงหัวเราะทันที

    “เธอก็ช่างพูดนะ อ่าน ป. ปลา เป็น บ. ใบไม้ มุกนี้คิดได้ไงอะ”

    “แบบว่าสมองฉันเริดอะนะ มันก็เลยทำให้คิดมุกต่างๆ ออก อ่า นั่นไง ฉันทำให้เธอหัวเราะได้แล้วยายดาว หลังจากที่เธอเอาแต่ทำหน้าเครียดตลอดเวลาเลย ตอนนี้ยิ้มได้หัวเราะได้สักทีนะ” เธอยิ้มมีความสุขเมื่อเห็นเพื่อนหัวเราะได้เช่นนี้

    “เธอเก่งมากที่ทำให้ฉันหัวเราะได้แบบนี้”

    “จ้า มันแน่นอนอยู่แล้วละ”

    แล้วสองสาวก็หัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุขที่สุด จากที่ดุจดาวเอาแต่ทำหน้าเครียดเพราะเรื่องที่ถูกมารดากับพี่ชายกีดกันไม่ให้คบเพื่อนที่มีฐานะต่ำต้อยและไม่มีชาติตระกูล ตอนนี้กนกนุชสามารถทำให้เธอหายเครียดได้ แถมยังสามารถทำให้หัวเราะได้อีกด้วย

    ขณะที่สองสาวเพื่อนรักกำลังพากันหัวเราะสนุกสนาน กมลวดีก็ถือถาดขนมไทยเดินเข้ามาหา พลางเอ่ยถามว่า

    “หัวเราะอะไรกันจ๊ะ สองสาว”

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่ เราสองคนก็หาเรื่องหัวเราะไปเรื่อย มันจะได้คลายเครียดด้วยค่ะ” กนกนุชตอบมารดายิ้มๆ

    ผู้เป็นมารดาพยักหน้า

    “อ้อ…งั้นเหรอจ๊ะ”

    “ค่ะ”

    “เอ้อ แล้วนี่พากันติวหนังสือเสร็จแล้วเหรอ”

    “ยังหรอกค่ะคุณน้า พอดีเราสองคนขอพักก่อนสักหน่อยน่ะค่ะ อีกสักพักค่อยติวต่อ” ดุจดาวเป็นคนตอบ

    “จ้ะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย นี่น้าทำของว่างมาให้หนูกับยายนุชทานระหว่างติวหนังสือ เป็นขนมไทยจ้ะ มีลูกชุบและขนมอินทนิล อ้อ ในครัวยังมีอีกนะ” เธอบอกพลางยกถ้วยขนมออกจากถาดแล้ววางลงบนโต๊ะให้สองสาว

    เมื่อเห็นขนมกนกนุชก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น

    “ว้าว! ของโปรดนุชทั้งนั้นเลยค่ะคุณแม่”

    “จ้ะ ของโปรดลูกละ” ผู้เป็นมารดาส่งยิ้มให้ลูกสาว “ก็ทานด้วยกันกับหนูดาวนั่นละ ถ้าไม่พอเดี๋ยวแม่จะเอามาให้เพิ่มอีก”

    “ทานแค่นี้พอค่ะคุณน้า ถ้าทานเยอะเดี๋ยวอ้วนค่ะ” ดุจดาวว่า

    “ตายละ ยายดาว เธอกลัวอ้วนเหรอ ดูหุ่นของเธอในตอนนี้สิ เหมือนปลาแดดเดียวแน่ะ” ผู้เป็นเพื่อนแซว

    กมลวดีตีแขนลูกสาว เผียะ!

    “ไปแซวหนูดาวแบบนั้นได้ยังไง น่าเกลียด”

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า เพราะหุ่นของหนูในตอนนี้ก็เหมือนปลาแดดเดียวจริงๆ ค่ะ”

    “โถ ใครจะว่ายังไงก็ช่าง น้าว่าหุ่นของหนูดาวดูดีออก สวยเพรียว นี่ถ้าได้เป็นดาราก็คงจะดีนะ”

    “หนูไม่ได้คาดหวังที่จะเป็นดาราหรอกค่ะ”

    “น้าแค่พูดถึงเฉยๆ จ้ะ”

    “แล้วหนูล่ะแม่ หุ่นหนูพอที่จะเป็นดาราได้มั้ยคะ” กนกนุชเอ่ยถามมารดา

    อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

    “ได้สิ แต่ต้องได้รับบทนางร้ายเท่านั้นนะ ถ้าบทนางเอกคงไม่ได้” เอ่ยจบเธอก็หัวเราะลั่น

    ผู้เป็นลูกสาวทำหน้าเซ็งๆ

    “แม่น่ะ ทำไมพูดกับหนูแบบนี้”

    “แม่ล้อเล่นจ้ะ เอาละ แม่เข้าไปในบ้านดีกว่า เชิญลูกทั้งสองคนติวหนังสือกันต่อได้เลย แม่ไม่กวนละ” แล้วเธอก็เดินออกไปจากศาลาทันที

    “ก่อนที่จะติวหนังสือกันต่อ ฉันว่าเราทานของว่างกันก่อนดีกว่าเนอะ” ดุจดาวบอกกับเพื่อน

    กนกนุชพยักหน้า

    “อืม โอเคจ้ะ”

    แล้วสองสาวเพื่อนรักก็ลงมือทานขนมไทยฝีมือของกมลวดีที่ทำมาให้ทาน หน้าตาของขนมอินทนิลกับลูกชุบช่างน่าทานเสียจริงๆ บ่งบอกได้ว่าคนที่ทำต้องตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือแน่นอน

    “เป็นไงบ้าง ขนมไทยฝีมือแม่ฉัน อร่อยมั้ย” กนกนุชเอ่ยถามเพื่อนหลังที่อีกฝ่ายทานเข้าไปคำแรก

    ดุจดาวจึงบอกว่า

    “อร่อยที่สุดเลย ฉันไปซื้อขนมไทยร้านไหนก็ไม่อร่อยเท่ากับขนมไทยที่คุณน้าวดีทำเลย มันอร่อยจริงๆ”

    “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องทานให้เยอะๆ ไม่ต้องกลัวอ้วนหรอก เดี๋ยวค่อยลดน้ำหนักทีหลัง”

    “เอาอย่างนั้นเหรอ”

    “อืม ก็ต้องเอาอย่างนั้นสิจ๊ะ”

    “โอเคจ้า”

    แล้วดุจดาวกับกนกนุชก็ลงมือทานขนมไทยต่อไป ทานไปก็หัวเราะไปอย่างมีความสุขที่สุด เพราะได้ทานขนมไทยฝีมือของกมลวดีที่อร่อยที่สุดนั่นเอง


    วันที่เรียน...

    หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ ดุจดาวกับกนกนุชก็พากันมานั่งเล่นตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นจามจุรีในมหาวิทยาลัย อันเป็นที่นั่งประจำของพวกเธอ เวลาว่างเช่นนี้ทั้งสองก็จะเอาหนังสือมานั่งอ่านด้วย เรียกได้ว่าสองสาวเพื่อนรักเป็นคนที่ขยันเรียนจริงๆ เลยเชียว

    ขณะที่พวกเธออ่านหนังสือกันอยู่ก็มีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามาหา สาวสองคนนั้นก็คือภคพรกับขวัญจิรา ซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกับดุจดาวและกนกนุช แล้วไม่ค่อยถูกกับทั้งสองด้วย เนื่องจากเป็นคนขี้อิจฉา อิจฉาที่ดุจดาวกับกนกนุชเป็นคนที่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่พวกเธอไม่ได้มีพร้อมเลย นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ภคพรและขวัญจิราไม่ถูกกับดุจดาวและกนกนุช เพราะพวกเธอหมั่นไส้ระคนอิจฉาทั้งสองนั่นเอง

    “ขยันอ่านหนังสือจริงๆ ฉันนึกว่าหล่อนจะเอาเวลาไปยั่วผู้ชายซะอีกนะดุจดาว” ภคพรแขวะใส่ดุจดาว

    คนที่ถูกแขวะรีบปิดหนังสือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับอีกฝ่ายว่า

    “ฉันไม่เคยยั่วผู้ชาย เธออย่ากล่าวหาฉันลอยๆ นะ ยายภัค”

    “ตายจริง นี่ฉันกำลังกล่าวหาเธออยู่เหรอเนี่ย” ภคพรทำเป็นไม่สำนึกผิด ซ้ำยังหัวเราะเยาะเย้ยดุจดาวอีก โดยมีขวัญจิราหัวเราะผสมโรงด้วย

    “กล่าวหาที่ไหนกันยะ ฉันกับยายภัคเคยเห็นมากับตาแล้ว ผู้ชายพากันรุมจีบหล่อน ถ้าหล่อนไม่ได้ไปยั่วผู้ชายไว้หลายคนแล้วผู้ชายพวกนั้นจะพากันมารุมจีบหล่อนเหรอ แหมๆ เห็นหงิมๆ ที่แท้ก็สนิมกินในนี่เอง ร้ายไม่เบาเลยนะยะหล่อน ไปหว่านเสน่ห์ผู้ชายไว้ซะหลายคนเลย” ขวัญจิราเอ่ยแบบกระแนะกระแหน

    แล้วกนกนุชก็ลุกขึ้นพลางเอ่ยกับทั้งสองว่า

    “อ๋อๆ ฉันรู้ละ ว่าที่พวกเธอมาหาเรื่องยายดาวเพราะอะไร ที่แท้ก็อิจฉายายดาวที่มีผู้ชายมารุมจีบ ส่วนตัวเองก็ไม่มีผู้ชายคนไหนสนใจเลยสักคน โถๆ น่าสงสารซะจริงๆ”

    “ใครว่าไม่มีผู้ชายคนไหนสนใจพวกฉัน หล่อนพูดผิดแล้วยายนุช มันก็มีนั่นละย่ะ” ภคพรว่า

    และขวัญจิราช่วยยืนยันอีกเสียง

    “ใช่ๆ มีผู้ชายเยอะแยะที่มาจีบพวกฉัน แต่พวกฉันน่ะสวยเลือกได้ย่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่ฉันสองคนจะเลือกคบใครก็ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีๆ ไม่เหมือนพวกหล่อนที่เลือกคบมั่วๆ คบได้แม้กระทั่งเด็กวัดกระจอกๆ”

    “เด็กวัดแล้วยังไง…เป็นเด็กวัดแล้วไม่ใช่คนหรือไง” ดุจดาวเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจเป็นที่สุด

    ภคพรจึงบอกว่า

    “ก็เป็นคนนั่นละย่ะ แต่ว่าเป็นคนต่ำต้อย มีคนไฮโซที่ไหนกันที่ยอมลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับคนชั้นต่ำแบบนั้น รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

    “แต่ฉันไม่อาย เพราะฉันกำลังคบเพื่อนดีๆ ไม่ใช่คบเพื่อนเลวๆ แล้วฉันก็ไม่สนใจหรอกนะ ว่าเพื่อนที่ฉันคบอยู่จะเป็นคนชั้นไหน ฉันรู้แค่ว่าเขาเป็นคนดีเท่านั้นพอ”

    “ตายจริง นี่หล่อนเลือกคบกับคนดีเหรอยะ แล้วความดีกินได้หรือเปล่าล่ะ” อีกฝ่ายถาม

    “มันกินไม่ได้ แต่มันสามารถทำให้ฉันมีความสุขได้ ดีกว่าคบแต่กับเพื่อนไฮโซที่ชอบสวมหน้าเข้าหากัน มีแต่ความอิจฉาริษยาให้กัน ความจริงใจก็ไม่มีเลยสักนิด เพื่อนแบบนั้นฉันไม่อยากคบด้วยหรอก ฉันสู้ลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับเด็กวัดยังจะดีกว่า”

    “อ๊าย! นี่หล่อนว่าพวกฉันเหรอยะ” ขวัญจิราโกรธจนเลือดขึ้นหน้า

    “กินปูนร้อนท้องแท้ๆ ฉันยังไม่ได้เอ่ยชื่อใครเลย อ้อ หรือว่าเธอเป็นเพื่อนประเภทที่ฉันกำลังเอ่ยถึงอยู่ล่ะฮึ”

    แล้วกนกนุชก็บอกกับเพื่อนว่า

    “ไปกันเถอะยายดาว อย่ามัวเสวนากับพวกที่ชอบพาลเลย พอไม่มีผู้ชายสนใจก็เลยมาพาลใส่เธอไง หาว่าเธอยั่วผู้ชายบ้างละ หว่านเสน่ห์บ้างละ จนผู้ชายมารุมจีบเธอ ความจริงคนอย่างยายดาวไม่เห็นต้องยั่วต้องหว่านเสน่ห์อะไรเลย เพราะยายดาวสวยขนาดนี้จะไม่ให้ผู้ชายมารุมจีบได้ยังไงกัน ต่างจากพวกเธอที่หาความสวยไม่มีเลยสักนิด มีแต่…”

    “นี่หล่อนว่าพวกฉันไม่สวยเหรอ หา! ฉันขอตบปากหล่อนให้เลือดออกหน่อยเถอะ” ภคพรเงื้อมือจะตบหน้าอีกฝ่าย

    แต่กนกนุชชูหมัดขึ้นพร้อมสู้กลับ

    “ก็มาสิ เธอตบมา ฉันก็จะต่อยกลับ เอาแบบแฟร์ๆ กันไปเลยเป็นไง”

    แล้วเพื่อนๆ นักศึกษาที่นั่งอยู่แถวๆ นั้นต่างก็หันมองกนกนุชกับภคพรที่พร้อมจะปะทะกันด้วยความสนใจ

    ดุจดาวเห็นสายตาหลายคู่ที่มองมาแล้วรีบลุกขึ้น และสะกิดแขนเพื่อน

    “ฉันว่าเรารีบไปที่อื่นกันเถอะ เห็นมั้ย ทุกคนเขามองเธอกับยายภัคกันใหญ่แล้ว ไป!” เอ่ยจบเธอก็คว้าหนังสือเรียนของตัวเองและของกนกนุช ก่อนจะดึงลากเพื่อนออกไปจากตรงนั้นทันที เดี๋ยวจะมีเรื่องกับภคพรและขวัญจิราจนรู้ไปถึงหูอาจารย์แล้วเรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่

    ภคพรมองตามหลังดุจดาวกับกนกนุชไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

    “พวกหล่อนอย่านึกนะว่าฉันจะยอมง่ายๆ พวกหล่อนมาว่าฉันแล้วจะเดินหนีไม่ได้นะ ฉันจะทำให้หล่อนสองคนก้มกราบขอโทษฉันให้ได้เลยคอยดู”

    “พากันมองพวกฉันทำไม ไม่เคยเห็นคนหรือไง หา!” ขวัญจิราตวาดใส่กลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่พากันมองเธอกับภคพร

    ทุกคนรีบหันมองไปทางอื่นทันที

    แล้วขวัญจิราก็เอ่ยกับเพื่อนว่า

    “สักวันมันจะต้องโดนตบแน่นอนยายภัค โทษฐานที่มันมาว่าเราสองคนไม่สวย”

    “คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนักเชียว”

    “เราไปที่อื่นกันเถอะยายภัค”

    “อืม!” ภคพรพยักหน้า

    จากนั้นทั้งสองสาวเพื่อนซี้ก็เดินออกไปจากใต้ต้นจามจุรีด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่ากำลังอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว


    เมื่อกลับจากมหาวิทยาลัยในช่วงเย็น กันต์กับต้นกล้าก็พากันนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงม้าหินอ่อนใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กันต่อ เพราะยิ่งใกล้สอบก็ยิ่งต้องขยันอ่านมากขึ้น เวลาสอบจะได้ไม่มีอะไรติดขัด มันจะได้ผ่านฉลุยเลยละ

    “เอ่อ ไอ้กันต์ ตกลงว่านายจะไปอยู่กับเศรษฐีสองคนนั่นมั้ยวะ” จู่ๆ ต้นกล้าก็เอ่ยถามขึ้นมา

    คนถูกถามนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะละสายตาจากหนังสือแล้วหันไปตอบเพื่อน

    “ไปสิวะ เพื่ออนาคตที่ดียังไงฉันก็ต้องไป แล้วเวลาเรียนจบก็จะได้เข้าไปทำงานในบริษัทของคุณชรัณกรด้วย เมื่อได้เงินก็จะเอามาใช้รักษาหลวงตา แต่ว่านายต้องไปอยู่ที่นั่นกับฉันด้วยนะโว้ย”

    “ถ้าฉันไปกับนายแล้วใครจะอยู่ดูแลหลวงตาล่ะ”

    “เรื่องนั้นนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ไอ้เบื๊อก ไอ้จ๊อด แล้วก็ไอ้ปอนด์รับปากแล้วว่าจะดูแลหลวงตาแทนเราสองคน พวกมันเป็นเด็กขยันและไม่เกเร เพราะฉะนั้นเราไว้ใจพวกมันได้ หรือถ้าคิดถึงหลวงตาก็มาเยี่ยมท่านบ่อยๆ ก็ได้ ค่าแท็กซี่คงไม่กี่บาทหรอก” กันต์เอ่ยด้วยท่าทียิ้มแย้ม

    ต้นกล้าเงียบไปราวหนึ่งนาที ก่อนจะพยักหน้าตอบว่า

    “ก็ได้ ไปก็ไปวะ ฉันจะปล่อยให้นายไปอยู่ที่นั่นคนเดียวก็กระไรอยู่ เราเติบโตมาด้วยกัน ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไปก็คงรู้สึกว้าเหว่น่าดู เพราะปกติฉันกับนายเวลาไปไหนก็จะตัวติดกันตลอด ถ้าเราต้องจากกันไปอยู่ที่อื่นฉันคงคิดถึงนายมากแน่ๆ”

    “เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงอยากให้นายไปอยู่กับฉันที่นั่นด้วย ถ้าฉันไปอยู่คนเดียวก็คงจะเหงาและคิดถึงนายมากแน่ๆ เลยเพื่อน โธ่! ก็เราเป็นเพื่อนรักกันนี่หว่า ถ้าเราต้องอยู่ห่างกันมันก็ไม่สนุกสิ จริงมั้ยวะ”

    “เออ มันก็แน่นอนอยู่แล้วสิวะ เราจะขาดกันได้ยังไง นอกซะจากเราต่างคนต่างมีแฟนถึงจะแยกจากกันได้ แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตส่วนตัวกับแฟนไง แต่น่าเสียดาย…”

    “น่าเสียดายอะไรวะ”

    “ก็น่าเสียดายที่คุณดาวไม่สนใจฉันน่ะสิ นี่ฉันก็เพียรพยายามตามจีบเขามาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จสักที จนตอนนี้ฉันชักจะท้อแล้ว เพราะไม่ว่าจะทำยังไงคุณดาวก็ไม่เคยสนใจฉันเลย ฉันไปจีบเขาทีไรก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่นตลอด เฮ้อ!” ต้นกล้าทำหน้าเศร้าขณะเอ่ยออกมา

    กันต์ตบไหล่เพื่อนเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

    “ทำใจซะเถอะเพื่อน เรากับเขาอยู่ห่างกันราวฟ้ากับเหว ถ้าจะหวังเป็นแฟนกับเขามันคงยาก แค่เขาลดตัวมาเป็นเพื่อนกับเด็กวัดอย่างเราสองคนมันก็เป็นบุญเท่าไหร่แล้ว”

    “นั่นสิ แค่เขาให้เราเป็นเพื่อนด้วยก็ดีเท่าไหร่แล้ว ฉันคงจะหวังสูงมากเกินไป และฉันจะเลิกจีบเขาแล้ว เพราะถ้าขืนฉันดึงดันที่จะจีบต่อไปเขาก็อาจไม่หลงเหลือแม้กระทั่งความเป็นเพื่อนให้ฉันเลยก็ได้”

    “ก็ดีแล้วที่นายยอมถอยออกมา เพราะมันจะทำให้นายเจ็บน้อยลง เป็นเพื่อนกับเขาน่ะดีที่สุดแล้ว หมาวัดอย่างเราไม่คู่ควรกับดอกฟ้าอย่างคุณดาวหรอก”

    “รู้แล้วน่า อย่าตอกย้ำคำนี้ได้มั้ย ฉันกำลังเศร้าอยู่” ต้นกล้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เล็กน้อย

    อีกฝ่ายอยากจะขำแต่กลัวเพื่อนโกรธ เขาจึงพยักหน้าและบอกว่า

    “โอเคๆ ฉันจะไม่พูดคำนี้แล้วก็ได้ เดี๋ยวเรามาอ่านหนังสือกันต่อดีกว่านะเพื่อนกล้า ทิ้งความเศร้าไปก่อนนะ”

    “อืม ได้สิ” ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มจางๆ ให้เพื่อน

    แล้วทั้งสองก็ก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนต่อไปอย่างมุ่งมั่น โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกเลย สิ่งที่พวกเขาสนใจในตอนนี้ก็คือเรื่องอ่านหนังสือเท่านั้น เรื่องนี้ต้องยกให้เป็นเรื่องหลัก ส่วนเรื่องอื่นๆ คือเรื่องรอง เก็บไว้คิดทีหลังจะดีกว่า


    ชรัณกรกับธมลวรรณเข้าห้องเตรียมจะนอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยล้าจากการไปเดินคุมงานก่อสร้างบ้านทาวน์เฮาส์แถวซอยนวมินทร์ ๑๕๓ ที่กำลังจะสร้างเสร็จในเร็วๆ นี้ ตอนนี้ได้ประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นแล้ว เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นก็จะเปิดขายได้ ส่วนราคาที่จะขายชรัณกรยังไม่ได้ปรึกษากับภรรยาเลยว่าจะขายในราคาเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมกับเงินที่ลงทุนสร้างไป แต่เขาเคยเอ่ยไว้แล้วว่าไม่ว่ามันจะขายได้เท่าไหร่ก็ช่างมัน และเขาจะไม่ขอคาดเดาอะไรทั้งนั้น รอดูแค่ตอนที่ขายก็พอแล้ว ถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็รู้เองว่ามันจะได้แค่ไหนกัน

    ชรัณกรกำลังจะล้มตัวนอน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา เขามองไปที่โทรศัพท์ด้วยความสงสัย

    “ใครกันที่โทร.มาหาเราดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้”

    “ใครโทร.มาเหรอคะคุณ” ธมลวรรณเอ่ยถามสามี

    อีกฝ่ายส่ายหน้า

    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงนอนแล้วกดรับสาย “ฮัลโหล นั่นใครโทร.มาน่ะ”

    “ผมเองครับ คนที่เป็นเด็กวัด ที่ชื่อกันต์น่ะครับ” ปลายสายตอบกลับมา ที่แท้คนที่โทร.มาหาชรัณกรก็คือกันต์นั่นเอง

    “กันต์เองเหรอ” เจ้าของโทรศัพท์รู้สึกดีใจมากที่เด็กวัดโทร.มาหา เพราะเขารอรับสายอีกฝ่ายมาถึงสามวันเต็มๆ เลยทีเดียว แล้วเขาก็บอกกับภรรยา “เด็กวัดที่ชื่อกันต์โทร.มาน่ะคุณวรรณ”

    “จริงเหรอคะคุณ” เธอถามอย่างดีใจมากๆ

    ผู้เป็นสามีพยักหน้าให้ภรรยา ก่อนจะคุยโทรศัพท์ต่อไป

    “เธอโทร.มาหาฉันดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรหรือเปล่าฮึ! เอ…หรือว่าเธอตัดสินใจเรื่องที่จะมาอยู่กับฉันได้แล้ว ใช่มั้ย”

    “ครับ ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมตกลงที่จะไปอยู่กับคุณครับ อ้อ แล้วผมก็จะพาเพื่อนไปอยู่ด้วยครับ”

    “หา! เธอว่าอะไรนะ นี่ฉันไม่ได้ฟังผิดไปใช่มั้ย”

    “คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมจะไปอยู่กับคุณจริงๆ” กันต์ยืนยัน

    เมื่อระงับอาการดีใจได้ชรัณกรจึงบอกไปว่า

    “ถ้าอย่างนั้นเธอพาเพื่อนมาอยู่ที่นี่ได้ ฉันอนุญาต เอ่อ ว่าแต่เธอพร้อมจะมาวันไหนล่ะ ฉันจะได้ส่งคนขับรถไปรับ”

    “ผมขออยู่ที่วัดกับหลวงตาอีกสองวันครับ ขอเวลาให้ผมได้ทำใจสักหน่อย เพราะเดี๋ยวผมจะต้องจากหลวงตาไปอยู่ที่อื่นแล้ว ผมจะใช้เวลาอยู่กับท่านให้คุ้มครับ”

    “ถึงเธอจะมาอยู่ที่บ้านฉันแต่เธอก็ยังสามารถไปหาหลวงตาได้ ถ้าเธอกับเพื่อนคิดถึงท่านก็ไปหาท่านเลย ฉันกับภรรยาไม่ห้ามหรอก”

    “จริงเหรอครับ” กันต์ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความดีใจ

    “จริงสิ ฉันจะโกหกเธอทำไมเล่า” ชรัณกรว่า

    แล้วปลายสายก็เอ่ยมาอีกว่า

    “ขอบคุณนะครับท่าน ขอบคุณจริงๆ ครับ”

    “ไม่เป็นไรๆ เรื่องแค่นี้เอง ฉันให้เธอได้อยู่แล้ว อ้อ ถ้าเธอกับเพื่อนพร้อมมาเมื่อไหร่ก็โทร.บอกฉันอีกทีก็แล้วกัน เพราะเดี๋ยวฉันจะสั่งให้คนขับรถไปรับถึงที่วัดเลย อืม! โอเค ได้สิ ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะ ฉันจะนอนแล้วละ” แล้วเขาก็วางสายไป ก่อนจะหันไปยิ้มให้ภรรยาด้วยท่าทีที่ดีใจมากๆ เลย

    “เขาตอบตกลงที่จะมาอยู่กับเราแล้วใช่มั้ยคะ” ธมลวรรณเอ่ยถามสามียิ้มๆ

    อีกฝ่ายพยักหน้า

    “ใช่ เขาตอบตกลงที่จะมาอยู่กับเราแล้ว แต่ยังไม่ใช่พรุ่งนี้แน่นอน เพราะเขาขอเวลาอยู่กับหลวงพ่ออีกสองวัน เขาคงทำใจลำบากที่จะต้องจากหลวงพ่อมาอยู่กับเรา เพราะอยู่ในวัดมาตั้งแต่แบเบาะ เมื่อโตขึ้นแล้วจะต้องไปอยู่ที่อื่นก็คงคิดถึงหลวงพ่อน่าดู”

    “ค่ะ ฉันเข้าใจค่ะ” เธอว่า “แต่ฉันอยากเห็นเด็กวัดสองคนนั่นมีอนาคตที่ดี ฉันถึงอยากอุปการะเขาสองคนและให้มาอยู่ที่นี่ไงคะ เราจะช่วยกันทำให้พวกเขามีอนาคตที่ดีค่ะ จะได้ไม่ต้องมีใครมาตราหน้าได้ว่าพวกเขาเป็นเด็กวัดที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีอนาคตอะไรเลย กันต์กับต้นกล้าจะไม่ได้เป็นแบบนั้นอีกแล้วค่ะ”

    “อืม เราจะทำให้พวกเขามีอนาคตที่ดี…จากเด็กวัดที่ไม่มีอนาคตเหมือนอย่างที่ใครๆ ว่า วันหน้าข้างหน้ากันต์กับต้นกล้าจะกลายเป็นคนที่มีอนาคตสวยหรู”

    “ค่ะ ใช่เลยค่ะ”

    “ตอนนี้เราหยุดความตื่นเต้นดีใจไว้ก่อนดีกว่านะ และนอนกันได้แล้ว ผมง่วงมากๆ เลย” ชรัณกรบอก

    ผู้เป็นภรรยาพยักหน้า

    “ค่ะ นอนดีกว่านะคะ” ว่าแล้วเธอก็ล้มตัวไปด้วยรอยยิ้มของความดีใจ

    อีกฝ่ายเอาโทรศัพท์ไปวางไว้บนโต๊ะเช่นเดิม ก่อนจะล้มตัวนอนเช่นกัน เขาหลับตาลงด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขล้นเหลือ เพราะได้รับข่าวดีนั่นเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×