ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    {story} me in ❛ Sweden ❜

    ลำดับตอนที่ #8 : [ 8 . ] Välkommen till Ystad Djurpark l ยินดีต้อนรับสู่สวนสัตว์อีสตาด

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 57


    [ 8 . ] Välkommen till Ystad Djurpark l ยินดีต้อนรับสู่สวนสัตว์อีสตาด

     
    (เครดิตภาพ magdalenagraaf.se)

                ในตอนนี้จะเล่าถึงเรื่องที่เราชอบมากเรื่องนึงเลยในชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยน คือสายที่เราเรียนนั่นเองค่ะ อย่างที่บอกไปตอนที่แล้วว่าเราเรียนสาย Natur bruk หรือที่เราตั้งชื่อให้เองว่าวิทยาศาสตร์-สวนสัตว์ ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะต้องไปเรียนที่สวนสัตว์สองวันต่อสัปดาห์คือวันอังคารและวันพฤหัส วันอังคารวันแรกที่ไปสวนสัตว์เราไม่รู้อะไรซักอย่างว่าจะไปยังไง ไปกับใคร และรถออกกี่โมง ปกติแล้วเราขึ้นรถไฟรอบที่ออกเวลา 7.40 ก็จะไปถึงโรงเรียนตอน 8.00 พอดีเราเลยตัดสินใจออกเวลาเดิม ถ้าตกรถไฟก็ว่าจะไปหาครูที่โรงเรียน แต่พอลงรถไฟแล้วก็เจอเพื่อนมายืนรอที่สถานีเลยค่ะ ชื่อฟิลิป เป็นผู้ชาย(ทั้งห้องมีฟิลิปเป็นผู้ชายคนเดียวที่มาเรียน =_= จริงมีผู้ชาย 3 คนแต่อีก 2 คนเราไม่เคยเห็นหน้าเลย)ตัวสูงมาก ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ 190 cm ติดเกม Role player (หรืออะไรซักอย่างประมาณนี้ เป็นเกมส์ที่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าเล่นกันยังไง 555)และพูดมากใช้ได้ 555 ฟิลิปบอกว่าเค้ากับเพื่อนไม่แน่ใจว่าเรารู้รึเปล่าว่าจะไปสวนสัตว์ยังไงเลยมายืนรอ รู้สึกว่าเพื่อนน่ารักมากเลยตอนนั้น <3 แล้วฟิลิปก็พาไปขึ้นบัสที่จอดอยู่ติดกับสถานีรถไฟ สถานีที่นี่จะเรียกสถานีขนส่งก็ได้เพราะไม่ใช่แค่สถานีรถไฟหรือสถานีบัส เป็น Central station ที่มีทั้งรถไฟและบัสจอดอยู่ในบริเวณเดียวกัน เลยค่อนข้างง่ายเวลาเราจะไปสวนสัตว์เพราะแค่ลงรถไฟแล้วเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงบัสแล้ว บนบัสก็คุยกับเพื่อนเรื่อยเปื่อยค่ะ อะเวลิน่าจะพยายามบอกให้เพื่อนในกลุ่มคุยภาษาอังกฤษกันตลอดเลยเพื่อที่เราจะได้เข้าใจด้วย แต่ถึงพูดอังกฤษเราก็ใช่จะรู้เรื่องทุกอย่างเลยคุยกันไปแบบมึนๆ 5555 สวนสัตว์ที่จะไปชื่อว่า Ystad djurpark หรือสวนสัตว์ประจำเมืองค่ะ อยู่ห่างออกจากตัวเมืองไปแต่นั่งบัสประมาณ 15 นาทีก็ถึงแล้ว ใหญ่พอตัวอยู่ สวนสัตว์ที่นี่ไม่ใช่แบบเขาดินที่ให้เดินชมแล้วมีขายข้าวโพดปิ้งนะคะ ภายในเวลาครึ่งปีที่เราไปเรียนที่สวนสัตว์นี่เคยเจอคนมาเที่ยวสวนสัตว์สองครั้งเอง -_- แต่นั่นก็ดีแล้วค่ะเพราะเราจะได้ทำงานง่ายหน่อย.. ทำงานนั่นแหละค่ะถูกแล้ว ภาพตัวเองถือสมุดเดินจดข้อมูลตามกรงสัตว์นี่หายไปจากหัวทันทีเลยที่รู้ว่าต้องเรียนยังไง ห้องเราที่มีประมาณ 17 คนจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียนอยู่ในตึกตลอดช่วงเช้า เรียนเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับสัตว์เช่นวิธีดูแลคอกม้า จำแนกชนิดสัตว์ฟันยื่น(พวกกระต่าย หนูน่ะค่ะ เราไม่ร้จะแปลยังไง 555) ในขณะที่อีกกลุ่มก็ทำงานในสวนสัตว์กับคนดูแลสวนสัตว์ตลอดช่วงเช้าเหมือนกัน กลุ่มที่เรียนในตึกช่วงเช้าก็จะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มอีกที กลุ่มนึงเรียนเรื่องสัตว์อีกกลุ่มก็ไปเรียนขับแทรกเตอร์ เราได้อยู่กลุ่มที่เรียนในตึกตอนเช้าเกี่ยวกับสัตว์ จำได้ว่าตอนนั้นครูให้ออกไปเขียนชื่อเรียกสัตว์เพศผู้ เพศเมีย และตัวลูก เราเองก็เพิ่งรู้ว่ามีชื่อเรียกต่างกันวันนั้นนั่นแหละค่ะ มันเลยไม่ใช่แค่ I don’t know แต่เป็น I have no idea 5555 เพราะในภาษาไทยเราก็เรียกชื่อเหมือนกันหมดเราเลยเขียนบนกระดานไปแบบ horseter horsetress & baby horse 5555555 เป็นคำที่ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรมเพราะเราคิดขึ้นมาเอง ครูเค้าก็เข้าใจแหละว่าเพราะเราบอกไปแล้วว่า no idea จริงๆ หมดชั่วโมงไปแบบงงๆก็ได้เวลาเรียนขับแทรกเตอร์แล้ว! เราชอบมากจริงๆนะ ตอนที่รู้ว่าต้องเรียนขับแทรกเตอร์ก็ตกใจอยู่ค่ะ ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้เรียนด้วย แต่ก็ดีใจมากในเวลาเดียวกัน เพราะการมาแลกเปลี่ยนคือการมาหาประสบการณ์ และการขับแทรกเตอร์นี่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทั้งชีวิตนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว 55 เราขับแทรกเตอร์คู่กับอะเวลิน่าเจ้าเดิม ค่อนข้างสนิทกับอะเวลิน่ามากที่สุดเพราะด้วยนิสัยส่วนตัวของอะเวลิน่าที่เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีมาก(มากๆ)และคอยชวนเราคุยตลอด พอถึงคิวเราที่ต้องขับแทรกเตอร์ก็ประหม่าขึ้นมาทันทีเลยค่ะ ประหม่าและตื่นเต้นมากๆเพราะรถมันคันใหญ่และถนนที่ใช้เรียนก็เป็นถนนเลนเดียวแถมต้องขับลงเนินอีก ยุ่งยากเล็กน้อยเวลาขับเพราะต้องปรับเกียร์เหยียบครัช(หรืออะไรซักอย่าง =_=)หลายรอบ แต่ก็สนุกมากๆที่ได้เรียนขับแทรกเตอร์ มันเป็นอะไรที่เท่จริงๆนะเราว่า 555 ขับง่ายกว่ารถยนต์เยอะเพราะด้วยความที่รถมันคันใหญ่และสูงเลยมองเห็นพื้นเห็นเลนถนนง่ายกว่า แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในกฎสามข้อแรกของ AFS คือห้ามขับรถที่ติดเครื่องยนต์และมีทะเบียนทุกชนิดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม รถแทรกเตอร์ที่เราใช้เรียนไม่มีทะเบียนแต่ติดเครื่องยนต์เลยเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมา เพื่อนแอบแนะนำให้ทำเนียนเรียนไปไม่ต้องบอก AFS แต่เราไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ แหกกฎ AFS นี่มีโอกาสถูกส่งกลับไทยก่อนกำหนดเพราะฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อนจะสบายใจมากกว่า เราเลยไปบอกครูแล้วครูก็ทำการถาม AFS ให้เรียบร้อย ทาง AFS บอกว่าขับได้ไม่มีปัญหาถ้าไม่ได้ขับถนนใหญ่ซึ่งนั่นไม่ได้อยู่ในบทเรียนอยู่แล้ว แต่กว่าจะได้คำตอบจาก AFS ก็ต้องรอเกือบเดือนเลยค่ะ พลาดบทเรียนไปหลายบทได้แต่นั่งเป็นเพื่อนอะเวลิน่าบนรถ TT

                มาถึงเรื่องเรียนในสวนสัตว์บ้าง มีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะเลยค่ะเวลาไปช่วยคนดูแลสวนสัตว์ทำงาน วันแรกที่เราไปก็ได้ทำงานที่ชวนรื่นรมย์ที่สุด ไปแยกผลไม้เน่าค่ะ =_= ทางสวนสัตว์จะรับอาหารพวกผลไม้ ผัก ขนมปัง มาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นอาหารที่ถูกคัดออกเพราะเหตุผลว่าดูไม่น่ากินหรืออะไรก็แล้วแต่แต่สัตว์ยังสามารถกินได้อยู่ เค้าก็จะรับมาแล้วเอามาแยก อันไหนเน่าก็ขนไปทิ้งอันไหนไม่เน่าก็แยกชนิดเป็นลังๆไป นี่คืองานแรกของเราค่ะ เป็นงานที่ทำให้เกลียดมะเขือเทศขึ้นมา -. – มะเขือเทศนี่พอเน่าแล้วแค่มองก็ไม่อยากแล้วค่ะ ไหนจะบรรดาผลไม้ทั้งหลายที่เน่าแบบหยิบแล้วเละติดมือ แล้วไหนจะกลิ่นของเน่าอีก รู้สึกชีวิตลำบากมากตอนนั้น 555 พอแยกเสร็จต้องไปล้างมือประมาณครึ่งชั่วโมงกว่ากลิ่นจะออก แยกอาหารเน่าอยู่ตั้งแต่เที่ยงครึ่งถึงบ่ายสองครึ่งแล้วก็หมดเวลา เราตามเพื่อนไปซื้อน้ำซื้อขนมกินกันที่ร้านขายอาหารในสวนสัตว์(ไม่เชิงเป็นร้านอาหารเท่าไหร่เพราะไม่ได้ขายแซนวิชหรือขนมปังเบเกอร์รี่อย่างเดียว มีพวกตุ๊กตา เสื้อหมวก แล้วก็ของฝากด้วย) เสร็จแล้วรอบัสมารับไปลง Central station แล้วขึ้นรถไฟกลับบ้าน

                เราคิดว่าจะเล่าเรื่องงานที่ได้ทำในสวนสัตว์ทั้งหมดในตอนนี้เลยเพราะมันเป็นเรื่องที่ผ่านมานาน ประมาณสี่ห้าเดือนที่แล้ว และตอนนี้เราก็ไม่ได้ไปเรียนที่สวนสัตว์อีกแล้วคงไม่มีเรื่องเกี่ยวกับสวนสัตว์ให้เขียนอีก เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการประหยัดตอน(ที่ไม่รู้จะประหยัดไปทำไม 555) เราก็จะขอเขียนเรื่องที่เราไปทำที่สวนสัตว์ทั้งหมดในตอนนี้เลยแล้วกันนะคะ

                งานที่เราทำบ่อยมากถึงมากที่สุดคือ Mocka ค่ะ ไม่สามารถหาคำแปลเป็นไทยหรืออังกฤษได้จริงๆ แต่ประมาณว่า Mocka คือการใช้ที่ตักฟาง(เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร TT)ตักฟางเก่าหรือหญ้าเก่าหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ใช้เป็นพื้นไปทิ้งแล้วนำฟางใหม่มาใส่รองคอกสัตว์แทน

     
    (เครดิตภาพ dressyrmupparna.se)

    นี่คือที่ตักฟางที่เราหมายถึงค่ะ ใครรู้ว่ามันเรียกว่าอะไรก็มาบอกด้วยละกันนะคะ 555

                Mocka นี่เป็นงานที่หนักที่สุดที่เราทำที่สวนสัตว์(และอาจจะในชีวิต)แล้ว จินตนาการฟางที่เปียกแฉะและเต็มไปด้วยของเสียจากสัตว์เช่นม้า กวาง วัว และหมู ฯลฯ แล้วจะเข้าใจความรู้สึกเราค่ะ T_T นอกจากจะหนักแล้วยังมีแต่กลิ่นยูเรีย กลับถึงบ้านก็แทบจะกระโดดเข้าไปอาบน้ำทันทีเลยค่ะ พอ Mocka เสร็จก็ต้องกวาดฟางที่หล่นตามทางเดินแล้วตัวก็เต็มไปด้วยฝุ่น เทียบกับแยกผลไม้เน่าแล้วเราจะเลือกผลไม้เน่าแบบไม่คิดเลยค่ะ 5555 Mocka เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เราตัดสินใจเปลี่ยนสายในครึ่งปีหลัง ช่วงปลายปีสายที่เราเรียนมีช่วงพิเศษ เพิ่มวันไปสวนสัตว์จาก 2 เป็น 3 คือวันศุกร์อีกหนึ่งวันเป็นเวลาสองเดือน TT_TT แล้วเรา Mocka กับกวาดพื้นคลุกฝุ่นแทบทุกวัน จนวันนึงที่เรากวาดพื้นแล้วไออกมาเป็นฝุ่นสีดำ น้ำลายเป็นสีดำ วันต่อมาก็บอกโฮสขอเปลี่ยนสายเลยค่ะ ไม่ไหวนะแบบนี้ สุขภาพจะย่ำแย่ไปก่อน yy จริงๆเหตุผลที่ทำให้เราเปลี่ยนสายมีมากกว่านั้น เราเรียนสายวิทย์-คณิตที่ไทยและแน่นอนว่ายาก(ใส่คำว่ามากให้ด้วย) แต่ที่นี่เรียนเนื้อหาไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย คณิตเรียนทศนิยม ชีวะก็ดูสารคดี แถมไม่มีเรียนฟิสิกส์กับเคมีอีกต่างหาก โฮสกับเราเลยคิดว่าถ้าย้ายสายน่าจะดีกว่าเพราะกลับไทยไปเราก็ไม่ได้ซ้ำชั้นด้วย

                อีกงานนึงที่ทำบ่อยรองลงมาคือการทำงานกับสัตว์เล็ก สัตว์เลื้อยคลาน แล้วก็แมลงค่ะ จะมีบ้านที่เอาไว้ใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์พวกนี้อยู่ถัดจากตึกที่ใช้เรียนไม่กี่ร้อยเมตร เป็นที่ที่อุ่นมาก ในฤดูหนาวการที่ได้เข้าไปทำงานในบ้านสัตว์เล็กนี่คือสวรรค์เลยค่ะ เพราะมีแมลงที่มาจากป่าชื้นเยอะอากาศในบ้านเลยอุ่นๆชื้นๆตามไปด้วย แต่ถ้าไม่มีกลิ่นชื้นตามมาก็จะสวรรค์กว่านี้ 555 งานที่ทำก็ง่ายๆค่ะ หั่นผักหั่นผลไม้ให้อาหารสัตว์ ทำความสะอาดกรง ฉีดน้ำให้แมลงที่มาจากป่าชื้น ให้วิตามินซีกินนี่พิก(guinea pig) มีงานยากอยู่ครั้งนึงคือตอนถ่ายดินออกจากตู้กระจกที่ใช้เลี้ยงแมลงสาบอาร์เจนติน่าเพื่อจะล้างตู้ เป็นแมลงสาบต่างชาติที่ตัวบึ้มมาก ใหญ่กว่านิ้วโป้งเราอีก TOT เราเป็นคนที่ไม่ชอบแมลงสาบเอามากๆแค่เห็นก็ขนลุกแล้วค่ะ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นตู้ที่ใช้เลี้ยงแมลงสาบจนตอนตักดินแล้วมันโผล่ขึ้นมานั่นแหละ จากนั้นเราก็ยืนทำใจจะตักไม่ตักดินอยู่เป็นชั่วโมง ยืนอยู่เฉยๆจนได้เวลากินข้าวเที่ยง 5555 นับเป็นโชคดีมากที่หลังจากข้าวเที่ยงเราไม่ต้องกลับไปถ่ายดินตู้แมลงสาบอาร์เจนติน่านั่นอีก ไม่อย่างนั้นจะขอลาไป Mocka แน่ๆค่ะ =_=

                งานต่อไปคือให้อาหาร Yak ค่ะ เป็นสัตว์ที่หน้าตาคล้ายๆวัวแต่ขนเยอะพันกันรุงรังกว่าแล้วตัวใหญ่กว่ามาก สมควรชื่อยัก(ษ์)นั่นแหละค่ะ

     
    (เครดิตภาพ zootierliste.de)

    หน้าตาคล้ายๆแบบนี้ อันที่จริงเราถ่ายรูปตัวจริงมา ถ่ายรูปลูกมันมาด้วยแต่รูปหายไปกับโทรศัพท์ที่ทำตกชักโครกแล้วค่ะ TT วันนั้นขนขนมปังสามถังใหญ่ไปให้ Yak สามตัว เป็นวันที่ฝนตกและโคลนเหนอะหนะมาก Yak ตัวผู้ก็ดุมาก คนดูแลสวนสัตว์บอกว่าอย่าเข้าไปใกล้ ให้โยนขนมปังไปไกลๆตัวเอง ได้ยินแล้วกลัวเพิ่มเป็นสองเท่าเลย 555 พอให้อาหารเสร็จขากลับก็ล้อรถติดโคลนต้องลงไปเข็นรถกันอีก แล้วเพราะโคลนลื่นอยู่แล้วเลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่เพราะพอออกแรงดันก็กลายเป็นตัวเองไหลตามโคลนแทน กว่าจะเข็นจนรถขยับได้นี่เป็นครึ่งชั่วโมงค่ะ ฟังดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรมากแต่ในสถานการณ์จริงเราเหนื่อยแทบสลบ

    งานต่อไปคือไล่ต้อนสัตว์หน้าตาเหมือนหมูผสมสมเสร็จให้เข้ากรงเพื่อเอาไปตรวจสุขภาพ เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าตัวอะไรแต่หน้าตาคล้ายหมูผสมสมเสร็จนั่นแหละค่ะ รูปร่างเหมือนหนูหางสั้น ตัวอ้วนๆยาวประมาณเมตรนึงได้ ต้องขอโทษที่เราจำอะไรไม่ได้เลยแต่เราได้ยินชื่อเป็นภาษาสวีดิช พอจับคำไม่ได้ว่าชื่ออะไรสมองเลยลืมไปเอง TT วันนั้นไปกันทั้งห้องเลยค่ะเพราะต้องไปยืนล้อมบ่อน้ำไม่ให้เจ้าหมูเสร็จ(ขอตั้งชื่อเองอีกครั้ง 555)ลงน้ำได้ไม่อย่างนั้นจะจับยากขึ้นไปอีกถึงแม้น้ำในบ่อน้ำจะเป็นน้ำแข็งก็ตาม ตอนนั้นเป็นฤดูหนาวค่ะ จำได้ว่าเป็นวันก่อนหิมะจะตกวันนึงอากาศเลยหนาวกว่าปกติ ถุงมือที่ใส่ไม่ช่วยอะไรเลย นิ้วเราแดงและแข็งจนเจ็บทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้า ทรมานสุดๆ เป็นการหนาวมือที่ทรมานที่สุดนับตั้งแต่อยู่สวีเดนมา ตอนหิมะตกเรายังไม่หนาวมือขนาดนี้เลย ยืนนิ้วแข็งรออยู่เป็นชั่วโมงกว่าหมูเสร็จทั้งสี่จะออกมาให้จับ มีสามตัวที่พุ่งตรงไปบ่อน้ำเพราะมันคิดว่าจะว่ายได้ น่าสงสารมากๆเพราะมันกระโดดลงไปบนน้ำแข็งเต็มแรง สองในสามตัวนั่นเลือดออกจมูกเล็บนิ้วเท้าแตก พอเห็นคนดูแลสวนสัตว์พยายามจะจับมันก็ดิ้นอยู่บนลานน้ำแข็ง พยายามวิ่งแต่ก็ลื่นล้มเลือดออกหนักกว่าเดิม เราที่เป็นพวกอ่อนไหวกับสัตว์โลกก็แทบจะร้องไห้เลยค่ะ โกรธคนดูแลสวนสัตว์คนนึงด้วยที่เอาแต่เล่นโทรศัพท์ถ่ายรูปอยู่นั่นไม่ยอมช่วยมันซักที ตอนนั้นเราโกรธมากจนแทบตะโกนออกไปแล้วถ้าคนดูแลสวนสัตว์อีกคนไม่เริ่มช่วยมันก่อน -. - ใช้เวลาตั้งแต่แปดโมงครึ่งถึงสิบเอ็ดโมงครึ่งเลยค่ะกับการจับหมูเสร็จสี่ตัว ตอนนั่งพิมพ์อยู่นี่เรายังสงสารมันอยู่เลย TT

    มาเล่าเรื่องน่ารักๆกันดีกว่าค่ะ 555 คือการให้อาการลิเมอร์ เป็นสัตว์ตัวโปรดเราเลย หน้าตามันเหมือนทานุกิขนก็นุ่มนิ่มน่ารักมากๆ ติดที่ซนไปหน่อย ทุกครั้งที่ไปให้อาหารมันจะกระโดดมาเกาะหลังเกาะตัว หัวก็เกาะ 55555 แต่พวกมันน่ารักมากค่ะให้อภัยได้ เราไปให้อาหารลิเมอร์บ่อยเหมือนกัน ทุกครั้งที่ไปส่วนใหญ่ก็ได้ล้างบ้านเต่าด้วยเพราะอยู่ติดกัน เวลาไปล้างบ้านเต่าก็แค่เก็บกวาดของเสียที่เต่าปล่อยไว้ทิ้งไว้แล้วให้น้ำให้อาหาร กันไม่ให้ลิเมอร์มาขโมยแตงกวามันกิน(กรงลิเมอร์มีท่อเชื่อมเข้ามาในตัวบ้านเต่าเพราะฤดูหนาวมันหนาวเกินกว่าจะให้พวกมันอยู่ข้างนอก) แล้วก็ล้างพื้น เช็ดกระจกข้างผนัง เป็นอีกงานค่ะที่ทำแบบสบายๆ

    ต่อไปคือ Mocka โดยใช้ bobcat ค่ะ bobcat เป็นรถที่ใช้ตักดินตักฟาง การขับ bob cat นี่รวมอยู่ในบทเรียนขับแทรกเตอร์ของเรา บังคับง่ายกว่าแทรกเตอร์นิดนึงเวลาเลี้ยวแต่ยากกว่าเวลาถอยหลังเพราะมองไม่เห็นเลย แต่สนุกดีนะคะนั่งเขย่าตลอดทาง 555 Mocka ด้วย bobcat ก็ดีตรงที่เสร็จเร็วและสนุกและไม่เหม็นเหมือนไปยืนตักฟางเอง                                                                                                                                                                                                                                 
     
    (เครดิตภาพ governmentauction.org)

                เรื่องสุดท้ายคือสอบขับแทรกเตอร์ค่ะ เป็นการสอบขับแทรกเตอร์ธรรมดาและถอยหลังจอดธรรมดา ขับแทรกเตอร์โดยลากกระบะใส่ของและถอยหลังจอดโดยที่ยังพ่วงกระบะใส่ของอยู่ แอบยากนิดนึงเวลามีกระบะใส่ของเพราะล้อกระบะกับล้อแทรกเตอร์ไม่ใช่ล้อเดียวกัน ถ้าจะถอยหลังแล้วหมุนพวงมาลัยขวารถจะหมุนขวาแต่กระบะจะเอียงไปทางซ้าย ถ้าหมุนพวงมาลัยซ้ายรถจะหมุนซ้ายแต่กระบะจะเอียงไปทางขวา แล้วต้องจอดให้ทั้งกระบะทั้งแทรกเตอร์เป็นแนวตรง ยังไงก็ตามเราได้ A ค่ะ! ได้เอนี่ไม่ใช่จอดตรงแด่วอะไรแต่ก็ไม่ได้เบี้ยวมาก ครูบอกว่าเพราะเรามีเวลาซ้อมน้อยกว่าคนอื่น กว่า AFS จะตอบก็ครึ่งเดือนพลาดเวลาซ้อมไปสี่ครั้งแล้ว ภูมิใจกว่าสอบคณิตได้เกือบเต็มอีก 55555

                คิดว่าหมดแล้วล่ะค่ะเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเรา พวกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเราก็ข้ามๆไปเพราะมันไม่ได้สำคัญอะไร -w- ตอนนี้ไม่มีรูปที่เราถ่ายเองเลยค่ะเพราะไม่เคยพกกล้องไปสวนสัตว์ 555 ไม่แน่ใจว่าตอนหน้าจะเขียนเกี่ยวกับอะไรแต่จะพยายามมาลงในสองสามวันนี้นะคะ อยากให้ถึงเรื่องปัจจุบันแล้ว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×