คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : [ 9 . ] First snow & best AFS camp l หิมะแรก & ค่ายเอเอฟเอสที่ดีที่สุด
[ 9 . ] First snow & best AFS camp l หิมะแรก & ค่ายเอเอฟเอสที่ดีทีสุด
ฤดูหนาวมาถึงแล้วค่ะ! หิมะแรกของปีตกช่วงกลางเดือนมกราคม หลายคนคงอาจคิดว่าประเทศสวีเดนที่อยู่เกือบขั้วโลกเหนือแบบนี้หิมะจะตกแทบทั้งปีแล้วอุณหภูมิติดลบประมาณ 30 องศา เราเองก็เคยคิดแบบนี้ค่ะก่อนจะมาสวีเดน แต่มันไม่ใช่เลย หิมะตกอยู่สามเดือนแถมอุณหภูมิบ้านเราที่ต่ำที่สุดก็แค่ -7 องศาเอง เหตุผลหลักเป็นเพราะเราอยู่ภาคใต้และอยู่ในเมืองที่เรียกได้ว่าแทบจะใต้สุดสวีเดน เพราะฉะนั้นมันก็จะไม่หนาวอะไรมาก เพื่อนคนเยอรมันบอกว่าอากาศพอๆกับที่เยอรมันเลย ไม่ได้หนาวต่างกันเท่าไหร่นัก (นั่งเฟอร์รี่ไปเยอรมันจาก Helsingborg นี่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียวเองค่ะ) แต่อย่างที่เคยบอกไปว่าเราไม่เคยออกนอกประเทศมาก่อนเลย ดังนั้นนี่จึงเป็นหิมะแรกในชีวิเลยล่ะค่ะ และแน่นอนว่าเราหนาวสั่นไปถึงข้างในร่างกาย แต่พอผ่านไปซักเดือนนึงมันก็เริ่มชินไม่รู้สึกหนาวเหมือนตอนแรกแล้ว คนสวีดิชเค้ารู้กันค่ะว่าเมื่อไหร่หิมะจะตกเพราะก่อนหิมะตกอุณหภูมิจะลดต่ำประมาณ -5 องศาแล้วน้ำต่างแอ่งน้ำที่ไม่เคลื่อนไหวจะแข็งเป็นน้ำแข็ง จากนั้นวันต่อมาอุณหภูมิก็จะเพิ่มเป็น 0 องศาแล้วหิมะก็จะตกค่ะ โฮสเราบอกว่าหิมะจะตกเมื่ออุณหภูมิ 0 องศาเท่านั้น ที่เรารู้สึกหนาวมากและอุณหภูมิต่ำมากเป็นเพราะลมมากกว่า เราคิดว่าฤดูหนาวที่หิมะตกนี่คล้ายๆกับฤดูฝนบ้านเรา เพราะเราสังเกตมาว่าช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าฤดูหนาวฝนจะตกแทบทุกวัน ไม่ได้กระหน่ำตกแบบที่ไทยแต่ก็เฉอะแฉะอยู่ แล้วพออากาศหนาวน้ำฝนก็จับตัวกันเป็นหิมะเท่านั้นเอง ถ้าใครอยากสัมผัสอากาศหนาวแบบที่หนาวกว่า -7 องศาก็ต้องขึ้นเหนือสวีเดนแล้วล่ะค่ะ คงรู้กันมาบ้างว่าที่สวีเดนมีโรงแรมน้ำแข็งที่สร้างจากน้ำแข็งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผนัง เตียงนอน โต๊ะกินข้าว ฯลฯ แต่โรงแรมที่ว่านี่อยู่ Kiruna ค่ะ เมืองทางเหนือของสวีเดน ถ้าเปิดแผนที่ดูก็จะเห็นว่าคิรูน่าอยู่เหนือสุดสวีเดนแล้ว แล้วก็จะเห็นอีกว่าตั้งแต่ตอนกลางไปจนถึงเหนือจะไม่ค่อยมีเมืองอะไรมากนัก แทบจะเป็นพื้นที่โล่ง แต่ตั้งแต่ภาคกลางตอนปลายลงมาจะแออัดไปด้วยเมืองใหญ่ๆทั้งเมืองหลวงและเมืองท่องเที่ยว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะทางตอนเหนือมันหนาวมากไม่ค่อยมีใครไปอยู่ ตามที่โฮสแด๊ดเราบอกมาที่คิรูน่าหิมะจะเริ่มตกประมาณเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนพฤษภาคม เรียกได้ว่าตกครึ่งปีเลยล่ะค่ะ เราไม่รู้ว่าอุณหภูมิต่ำสุดที่คิรูน่าคือเท่าไหร่แต่เท่าที่หาข้อมูลมาคือประมาณ -50 องศา สมควรที่จะมีคนอยู่น้อยอยู่หรอก 55555 สำหรับติดลบเจ็ดก็เพียงพอแล้ว แค่นี้ก็นิ้วจะหลุดอยู่แล้ว TT
รูปแรกคือวิวจากหน้าต่างห้องเราเอง ส่วนรูปที่สองคือวิวหน้าบ้านค่ะ
นี่คือหิมะที่รถกวาดกิมะกวาดมากองไว้ริมถนนค่ะ สูงระดับบอกเราได้
ตอนนี้คงดูทึมๆไม่สดใสหน่อยเพราะหิมะตกแล้วท้องฟ้าเป็นสีเทาเลยค่ะ ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวหมดเลย
สถานีรถไฟประจำเมืองค่ะ ช่วงที่หิมะตกมีเหตุให้รถไฟต้องหยุดวิ่งบ่อยเพราะหิมะถมราง มีครั้งนึงที่พายุเข้าเราได้หยุดโรงเรียนเลยค่ะ 555
มีเรื่องแปลกเรื่องนึงที่เรายังไม่เข้าใจซักที ตั้งแต่เราอยู่สวีเดนมมีพายุเข้าประมาณสองสามครั้ง และทุกครั้งที่พายุเข้ารถไฟจะหยุดวิ่งแต่มีบัสวิ่งแทน ในความคิดเรารถไฟดูแข็งแรงทนทานกว่าบัสเยอะเลยนะ -.- แต่อาจเป็นเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับรถไฟจะสูญเสียมากกว่าบัสละมั้งคะ อีกเรื่องคือมีช่วงนึงที่รถไฟหยุดวิ่งบ่อยทั้งที่หิมะไม่ตก หยุดอยู่กับที่เป็นชั่วโมงเลยล่ะ โฮสมัมเราบอกว่าเพราะมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่กระโดดลงไปบนรางรถไฟแข่งกับคนขับรถไฟว่าใครจะหยุดก่อนกัน ฟังแล้วเรานี่อ้าปากค้างเลย เด็กสมัยเริ่มเล่นอะไรพิลึกขึ้นไปทุกวันแล้วนะ =_= เราไม่เห็นด้วยมากๆแล้วก็ไม่คิดว่ามีใครเห็นด้วยกับการเล่นแบบนี้หรอก คนขับรถไฟคงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไปแน่ค่ะเค้าเกิดเบรกไม่ทันขึ้นมาแล้วมีคนตายทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดเค้าเลย
มาต่อเรื่องหิมะกันดีกว่า เรานั่งรถไฟไป Malmö เพื่อถ่ายรูปเมืองเวลาหิมะตกค่ะ
ออกนอกเรื่องเล็กน้อยแต่อยากให้ได้เห็นกันว่าคนสวีดิชติดเทคโนโลยีกันจริงๆ เราเองก็เล่นโทรศัพท์บ่อยกว่าตอนอยู่ไทยเหมือนกัน มันคือการปรับตัวค่ะ 55555555555
สีขาวๆบนพื้นคือหิมะที่ติดและปลิวเข้ามาในสถานี ส่วนรูปข้างๆคือภายนอกสถานีค่ะ
พอมาถึงตัวเมืองแล้วก็ไม่ค่อยมีหิมะเยอะเท่าไหร่ เพราะคนในมัลเมอร์เยอะทั้งคนอยู่อาศัยทั้งนักท่องเที่ยว เดินเหยียบหิมะกันไปมามันเลยละลายภายในเวลาครึ่งชั่วโมง
เราถ่ายตอนกำลังเดินไป Gustav Adolf Torg ค่ะ เป็นจัตุรัสใหญ่ในมัลเมอร์
ถึงแล้วค่ะคนน้อยเช่นเคย 555
นี่เป็นสวนสาธารณะแถวๆจัตุรัสที่ไม่ค่อยมีคนเดินหิมะเลยยังหนา สูงประมาณข้อเท้าได้ ในบ่อน้ำก็ต้องมีน้ำพุไว้ให้น้ำไม่นิ่ง ไม่อย่างนั้นน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้วบรรดาเป็ดน้อยจะไม่มีที่อยู่ค่ะ
สตาร์บัคส์ค่ะ ที่ถ่ายไว้เพราะในสวีเดนมีสตาร์บัคส์อยู่แค่สามที่คือ Central Station ใน Stockholm, Göteborg แล้วก็ Malmö ค่ะ เราก็ไปกินจนพนักงานจำหน้าได้ 55555
ต่อไปก็เรื่องค่ายเอเอฟเอส เราเขียนหัวเรื่องโอเว่อร์ไปหน่อยนะจริงๆแล้ว ทุกค่ายของเอเอฟเอสมันก็ดีทั้งนั้นเราแค่ชอบค่ายนี้ที่สุดเท่านั้นเอง 55555 ก่อนเข้าเรื่องเราขอโฆษณาหน่อยนึง โดยส่วนตัวเราชอบเอเอฟเอสมากแล้วก็แนะนำให้มาเอเอฟเอสกันด้วยเพราะเค้าดูแลดีตั้งแต่ตอนสมัครยันตอนมาอยู่เลยล่ะค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายเราจ่าย 350000 บาทแล้วไม่ต้องจ่ายอะไรอีกเลย (มีจ่าย 5 euro ค่าโปรแกรมเรียนภาษาที่เอเอฟเอสบังคับเรียน แต่ถ้าเรียนจบก่อนบินกลับจะได้เงินคืนเพราะงั้นก็ไม่นับเนอะ) ไม่ต้องจ่ายค่าเครื่องบินเอง ไม่ต้องจ่ายค่าโรงเรียน ไม่ต้องจ่ายค่าทำวีซ่า เวลานั่งรถไฟไปเข้าค่ายเอเอฟเอสก็ซื้อบัตรให้ ค่าข้าวที่กินในค่ายเอเอฟเอสก็เป็นคนออก สรุปคือจ่ายแค่ 350000 แล้วจบเลยค่ะ แต่ของเอเอฟเอสจะไม่มีพาไปเที่ยวสถานที่สำคัญหรือไปเที่ยวต่างประเทศเหมือนโครงการอื่นเพราะเค้าออกเงินให้ไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้ต้องการเลยค่ะ แค่นี้ก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะฉะนั้นก็อยากแนะนำให้มาสมัครกัน เราคิดว่ามันคุ้มจริงๆ ประสบการณ์ที่เราได้ทำให้เรารู้สึกเหมือนจ่าย 5 บาทเพื่อกินบุฟเฟต์เลยล่ะค่ะ ต่อให้ต้องพาสชั้นที่โรงเรียนแล้วกลับไปอ่านหนังสือหัวฟูเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยอมเพราะมันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ ใครที่สนใจก็ www.afsthailand.org เลยค่ะ
มาเข้าเรื่องดีกว่าเนอะ 555 สำหรับเอเอฟเอสสวีเดนจะมีจัดค่ายให้แทบทั้งปีเลยค่ะ เราไม่รู้ว่าเอเอฟเอสของประเทศอื่นเป็นยังไงเพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเอเอฟเอสแต่ละประเทศ แต่ของเราเค้าจัดค่ายให้เดือนเว้นเดือนเลย ตอนแรกเราคิดว่าแค่เข้าค่าย arrival แล้วก็เข้าอีกทีค่าย pre-return เลย แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ค่ะ เข้าค่ายบ่อยจนเบื่อหน้าเพื่อนกันไปข้างนึง 5555 ค่ายนี้เป็นค่ายสามวันสองคืนที่รวมนักเรียนแลกเปลี่ยนจากทั้ง Skåne คนที่อยู่ Göteborg หรือ Lidköping ซึ่งห่างจากที่จัดค่าย 3-4 ชั่วโมงก็นั่งรถไฟมาค่ะ (แน่นอนว่าเอเอฟเอสจ่ายค่าเดินทางให้) เราโชคดีมากเพราะที่จัดค่ายคือ Veberöd ซึ่งห่างจากบ้าน 20 นาทีโดยรถยนต์ เป็นค่ายที่เราประทับใจมากที่สุดโดยไม่รู้สาเหตุ 555 คงเพราะได้ทำกิจกรรมเช่น ทำอาหาร เล่นเกม เก็บกวาด กับเพื่อนมากกว่าค่ายอื่นๆ (เก็บกวาดนี่ถ้าทำกับเพื่อนแล้วจะสนุกทันทีค่ะ 555) กิจกรรมอื่นๆที่ทำก็เหมือนทั่วไปคือพูดคุยเรื่องปัญหา แลกเปลี่ยนความคิด ฯลฯ จริงๆแล้วเราไม่ใช่คนพูดเก่ง ไม่ใช่คนสังคมจ๋า ออกจะชอบอยู่ตัวคนเดียวมากกว่าแต่เพราะเอเอฟเอสทำให้เปลี่ยนไปมากเลย เพราะถ้ายังทำตัวไม่สนใจสังคมก็คงไม่ผ่านตั้งแต่สอบสัมภาษณ์แล้วล่ะค่ะ พอมาอยู่นี่ก็ยิ่งต้องเปลี่ยนตัวเองอีกเยอะตอนนี้เราก็เริ่มเข้าหาคนอื่นมากกว่าเดิมเพราะคนสวีดิชส่วนใหญ่จะไม่เข้าหาคนอื่นก่อน ค่ายครั้งนี้เราก็สนิทกับเพื่อนมากขึ้นเยอะด้วย จากที่ตอนแรกไม่อยากเข้าค่ายเลยเพราะไม่อยากคุยกับใครตอนนี้ก็อยากให้จัดค่ายให้บ่อยๆเพราะอยากเจอเพื่อนที่บ้านไกลแบบที่นัดเจอกันไม่ง่ายนัก การที่เอเอฟเอสจัดค่ายให้บ่อยแบบนี้เราคิดว่ามันดีมาก เพราะการได้คุยกับนักเรียนแลกเปลี่ยนคนอื่นทำให้เราไม่รู้สึกเหงา ไม่รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเพราะทุกคนล้วนผ่านประสบการณ์คล้ายๆกันมา ทุกคนเข้าใจว่าเรารู้สึกยังไงแล้วทุกคนก็รู้ว่าจะแก้ปัญหาของเพื่อนคนอื่นได้ยังไง เพราะฉะนั้นถ้าใครที่กำลังจะไปแลกเปลี่ยนเราก็อยากแนะนำให้หาเพื่อนแลกเปลี่ยนไว้ค่ะ เค้าช่วยได้มากในเรื่องปัญหาต่างๆที่เราเจอ อีกอย่างที่อยากบอกคือเราเคยได้ยินมาจากหลายๆคนว่าถ้าไป AFS แล้วจะได้เพื่อนแค่ประเทศเดียวคือประเทศที่ตัวเองเลือก ไม่เห็นด้วยแบบกากบาทตัวโตๆเลยค่ะ 555 เรามีเพื่อนทั่วโลกเลยจริงๆ ไม่ใช่แค่เพื่อนแบบ”เพื่อน”ที่เรียกเพราะรู้จักกัน แต่เป็นเพื่อนที่นัดกันไปเที่ยว ไปนอนค้างบ้าน เพื่อนที่เล่าปัญหาให้ฟังแล้วช่วยแก้ปัญหาให้กันและกันได้ เพื่อนที่คิดว่าถ้ามีโอกาสหลังจบโครงการเราจะบินไปเยี่ยมเค้า การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนทำให้เราได้อะไรเยอะมากแบบที่เขียนบรรยายไปก็บรรยายความรู้สึกได้ไม่เหมือนที่เรารู้สึกเอง
เราเลยอยากฝากถึงทุกๆคนไว้ ว่าถ้าใครมีโอกาสได้มาแลกเปลี่ยนแล้วเราก็ไม่อยากให้ทิ้งโอกาสนั้นไปเพราะคำว่า ‘กลัวเสียเวลา’ เลยค่ะ เราคิดว่าการออกไปเรียนรู้โลกมันดีกว่านั่งท่องหนังสืออยู่บ้านเป็นไหนๆ ถ้าไม่ได้มาสวีเดนเราคงไม่ได้เจอเพื่อนจากทั่วโลก ไม่ได้ไปพูดเรื่องประเทศไทยหน้าห้องเรียน ไม่ได้ขับแทรกเตอร์ ไม่ได้นั่งรถสิบห้าชั่วโมงเพื่อไปเล่นสกี ไม่โดนปรับห้าพันเพราะขึ้นรถไฟไม่มีบัตร ไม่ได้ตกบัสตอนสองทุ่ม ไม่ได้ปั่นจักรยานขึ้นเนินเจ็ดกิโลเพียงเพื่อไปซื้อไอศกรีม ไม่ได้ลองกินลูกอมของสวีดิชที่รสชาติแย่จนกลืนไม่ลง ไม่ได้รู้ว่าคนสวีดิชคิดว่าประเทศไทยมีแค่ส่วนที่เป็นด้ามขวานและทุกคนทำงานโรงแรม แล้วคนขี้เกียจที่ไม่เคยเขียนไดอารี่ได้เกินหนึ่งอาทิตย์แบบเราก็คงไม่ได้มานั่งเขียนบล็อกอยู่อย่างนี้ให้ทุกคนได้อ่านกัน เราโตขึ้นแบบที่ตัวเองสังเกตได้ เราตัดสินใจได้ดีขึ้นและรู้จักหักห้ามใจ เราเริ่มคิดไม่เหมือนเดิม เริ่มหันมามองและยอมรับข้อเสียของตัวเอง และทั้งหมดนี้มันก็ทำให้เรามองโลกได้กว้างขึ้นเยอะเลยค่ะ เพราะอย่างนั้นเราเลยไม่อยากให้ทิ้งโอกาสที่จะได้เปิดโลกของตัวเองไป เราไม่รู้ว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครได้ไหมแต่เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะช่วยเปิดโลกใครได้บ้างเพราะของอย่างนี้มันต้องมาเรียนรู้และรู้สึกด้วยตัวเองค่ะ ก่อนจะมาสวีเดนเราก็คิดแค่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก็เพื่อรับวัฒธรรมเค้า เล่าวัฒนธรรมเรา ได้เพื่อนใหม่ ได้เที่ยว ได้โตขึ้น แต่ตอนนี้เรารู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น วิธีที่เราจะแลกเปลี่ยนวัฒธรรมกัน วิธีเข้าหาเพื่อน วิธีเดินทางไปเที่ยว แล้วก็วิธีที่จะทำให้เราโตขึ้นต่างหากคือสิ่งที่ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสอยู่ในมือแล้วก็อย่าโยนมันทิ้งไปเลยนะ มันไม่คุ้มกันกับคำว่ากลัวเสียเวลาเลยจริงๆ การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเราแล้ว
เราหวังว่าบล็อกนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้ใครได้บ้าง ถึงจะออกนอกเรื่องไปหน่อยแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากัน เรารู้ว่าไม่มีใครอ่านเรื่องต่างๆที่เราเอามาลงแล้วรู้สึกได้เหมือนที่เรารู้สึกจริงๆหรอกถึงได้อยากให้มาเจอเอง เพราะของแบบนี้มันทำแค่เล่าให้ฟังไม่ได้จริงๆ
แล้วเราจะรอฟังข่าวดีนะคะ ; )
ความคิดเห็น