เนื้อหาในบทนี้มีจุดเชื่อมต่อกับนิยายของท่านอื่นๆในโปรเจ็คท์
เพื่อเนื้อเรื่องที่สมบูรณ์แบบขอแนะนำให้อ่านนิยายของท่านอื่นๆควบคู่กันไปด้วย โดยกดที่โลโก้ด้านบนครับ
เมื่อรถไฟฟ้าวิ่งเข้าเทียบชานชาลา ผู้โดยสารหลายร้อยก็ทะลักออกมาจากตัวรถ ฉันก้าวออกจากขบวนรถไฟฟ้าเป็นคนสุดท้าย ก่อนดินลงบันใดแล้วรีบก้าวออกจากสถานีรถไฟฟ้า
ใช้เวลาไม่นาน ฉันก็โบกแท็กซี่คันหนึ่งให้จอด แล้วย้ายตัวเองเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปตามจุดหมายที่ฉันบอก สถานที่นัดพบของ ”ผู้ว่าจ้าง” งานส่งของที่รับมาจากศรัณย์ บาร์เทนเดอร์ในร้านที่ฉันมักจะไปนั่งเป็นประจำ เพราะที่นั่นนอกจากจะมีเหล้าหายากรสชาติดีแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมของงานและข้อมูลข่าวสารขนาดใหญ่ ที่หาดูหาฟังตามโทรทัศน์ไม่ได้อีกต่างหาก
ตั้งแต่ลงมาจากเชียงใหม่ ก็เป็นเวลาเกือบครึ่งปีแล้ว ชีวิตในตอนกลางวันของฉันก็หมดไปกับการทำงาน รับจ้างที่ได้มาจากพี่รัณย์และลูกค้าอื่นๆที่เข้ามาติดต่อโดยตรง เช่นส่งของ ซึ่งมักจะเป็นของที่ไม่ธรรมดา งานคุ้มกัน งานส่งข่าวสาร ของพวกนี้ไม่ยากสำหรับฉันเท่าไร และแต่ละงานก็มีค่าตอบแทนสูงพอที่จะซื้อคอนโดหรูกลางกรุงได้อย่างง่ายดาย แต่ฉันเช่าห้องพักในย่านผิดกฎหมายเอาไว้เพียงที่เดียวก็พอแล้ว นั่นเป็นเพราะฉันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ติดที่พักน่ะสิ ฉันเป็นโรคผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดหนึ่งเรียกว่า Fatal Familial Isomnia อาการของผู้ป่วยโรคนี้คือการอยู่ในสภาวะนอนไม่หลับตลอดชีวิต ร่างกายที่ทำงานติดต่อกันเหมือนเครื่องจักรโดยไม่ได้รับการพักผ่อนใดๆ คงอยู่ได้นานไม่ถึงหนึ่งในสองของอายุคนปกติทั่วไป แต่ใครจะสนใจล่ะ ? ยังไงวันนึงคนเราก็ต้องตายอยู่แล้ว สำหรับฉันที่เสียเวลาหลายปีทำงานที่ถูกบังคับ ถือว่าชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ คือจุดสูงสุดแล้ว
--------------------
“มาหาคุณปิติ” ฉันบอกผู้ชายตัวโตใส่แว่นดำที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานของผู้ว่าจ้าง
“เรื่อง ?” คนตัวโตคนนั้นเงยหน้าขึ้นนิดนึง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงความยียวนไว้ในที
“งานส่งของที่เคยให้ไว้กับบาร์เชสเซอร์น่ะ ยังให้งานนี้อยู่หรือเปล่า” โชคดีของมันที่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์หงุดหงิด เพราะเมื่อคืนหลังกลับจากบาร์ของพี่รัณย์ ก็แวะเดินเล่นย่านศิลปิน แล้วสอยเสื้อยืดลายสวยๆมาสองสามตัว พร้อมกับซีดีเพลงของวงใต้ดินอีกนิดหน่อย ฟังๆดูแล้วก็ถูกใจอยู่หลายเพลงนะ
การ์ดคนนั้นกดโทรศัพท์ภายในพูดคุยอยู่สักพักแล้วก็พยักหน้าให้ทางนี้ก่อนจะวางสาย
“ชั้น 3 ห้องในสุด” ฉันก้มหัวตอบรับนิดนึง ก่อนจะเดินเข้าไปในตึกสำนักงาน ที่นี่ดูเป็นสำนักงานออฟฟิศธรรมดาทั่วๆไป ตามแบบออฟฟิศมากมายในย่านธุรกิจแห่งนี้
ป๊อก ป๊อก ... ฉันเคาะประตูห้องในสุดอย่างที่นายแว่นดำคนนั้นบอก หลังจากกดลิฟท์ขึ้นมาที่ชั้นสาม
“เข้ามาเลย” ชายชื่อปิติตะโกนบอกจากในห้อง
ฉันเปิดประตูเข้าไปแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่ชุดโซฟาสำหรับรับรองแขก แต่ดูเหมือนนายปิติคนนี้จะแปลกใจกับลุคของฉันสักหน่อย
“ไอ้รัณย์ให้งานเธอมาจริงๆเหรอ ?” ฉันจ้องตานายปิตินิ่ง เป็นคำตอบ
ปิตินั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีโต๊ะแก้วเตี้ยๆตั้งคั่นกลางอยู่ ก่อนจะอธิบายรายละเอียดให้ฟังว่า งานนี้เป็นงานส่งของ พร้อมยื่นแฟ้มที่เป็นรายละเอียดให้ ฉันเปิดอ่านดูคร่าวๆ มันบอกถึงค่าจ้าง จุดหมาย กำหนดเวลา และสุดท้าย เป็นแผ่นบลูเรย์ดิสก์ที่บรรจุอยู่ในกล่อง
“เห็นพี่รัณย์บอกว่าต้องระวังมาเฟีย ?” คำถามเพื่อความแน่ใจนี้เรียกสีหน้าเคร่งเครียดจากนายปิติได้ดี
“เอาเป็นว่า... มีคนจ้องจะแย่งมันไปจากลูกค้าของเราแล้วกัน”
“อันตรายแค่ไหน พวกที่จะมาน่ะ”
“พวกมันฆ่าได้เพื่อของชิ้นนี้” คำตอบของนายปิติ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกว่างานนี้มันน่าสนใจขึ้นเยอะ
“แล้วถ้าฉันฆ่าบ้างล่ะ ?” คำถามนี้ของฉันทำให้ผู้ว่าจ้างตรงหน้าแปลกใจไม่น้อย
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เดี๋ยวทางเราเก็บกวาดให้เอง”
“งั้นก็...ตกลงตามนี้” ฉันตอบรับข้อเสนอแล้วเก็บแฟ้มเอกสารใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นก็ขอตัวกลับออกมาจากสำนักงานของผู้ว่าจ้าง สิ่งหนึ่งที่ยังค้างคาใจฉันอยู่ แต่ว่าไม่ได้ถามนายปิติไปตรงๆ ก็คือ “สัญลักษณ์กางเขนสีแดง” ที่สกรีนอยู่บนกล่องบรรจุบลูเรย์ดิสก์นี้ มันเป็นสัญลักษณ์ที่ฉันคุ้นตาเหลือเกิน...
--------------------
เป็นเวลาตีสามกว่าแล้ว การเดินทางมาถึงจุดนัดพบนั้นราบเรียบดี แต่สิ่งที่ยากกว่าการส่งของ คือการทำให้แน่ใจว่าของนั้นถึงมือผู้รับจริงๆ สถานที่นัดพบนี้เป็นตรอกเล็กๆที่อยู่ในย่านผิดกฎหมาย ถ้ามีเสียงปืนดังขึ้นในนี้ก็เป็นได้เพียงเรื่องปกติ หากจะมีการฆ่ากันเกิดขึ้นในโซนนี้ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะมันเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว ว่าพวกที่อยู่ในโซนมืดคือกลุ่มคนที่ถูกปฏิเสธจากสังคม
เสียงเครื่องยนต์ของรถญี่ปุ่นสามคัน ทำให้ฉันต้องถอดหูฟังแล้วเก็บลงกระเป๋าเสื้อกันหนาวตัวเก่ง รถเก๋งสีดำสนิท ที่จอดล้อมรอบตรอกนี้ บวกกับกลุ่มชายชุดดำที่เพิ่งจะลงมากันจากรถนับๆดูแล้วน่าจะโหลนึงพอดีทำให้ พื้นที่ในตรอกที่แคบอยู่แล้วยิ่งดูอึดอัดไปถนัดตา พวกนี้คงเป็นมาเฟียที่จะมาชิงของตามที่ผู้ว่าจ้างเตือนเอาไว้ แต่ละคนถือปืนพกเพื่อเป็นเครื่องประกันความปลอดภัยของตัวเอง และประกันความตายให้กับคนอื่นแต่ว่าพวกมันคงไม่รู้ว่า มันคงใช้ประกันอะไรไม่ได้ในกรณีของฉัน
ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร ไอ้บึ้กตัวนึงเดินเข้ามากระชากเสื้อของฉันจนตัวลอยขึ้นจากม้านั่งที่ฉันนั่งอยู่ตอนแรก
“ส่งดิสก์มาแล้วรอด หรืออยากโดนฆ่า เลือกเอา” คำพูดของมันเรียกเสียงหัวเราะจากฉันได้ก๊ากใหญ่ ทั้งๆที่ตอนนี้ฉันเริ่มหายใจติดขัด
“จะรีบไปไหนคะ พี่กล้ามโต” ว่าจบฉันก็เอามือขวาไปจับที่แก้มของมัน
ฉึก!
เลือดสีแดงสดทะลักออกจากใต้คาง พร้อมกับเศษสมองที่กระจายออกทางกะโหลกด้านหลัง เพราะถูกของแหลมเจาะทะลุแล้วดันของในหัวของมันออกมาข้างนอก ร่างของมันที่ล้มลงดึงเอาตัวฉันให้ร่วงตามลงไปด้วยเพราะมือของมันยังกำแน่นอยู่ที่คอเสื้อ ฉันค่อยๆแกะมือของมันออกก่อนจะถอนมือจากรูกลวงขนาดใหญ่บนหัวของศพแรก แล้วพับแขนเสือข้างขวาขึ้นมาถึงหัวไหล่
ปัง ปัง ปัง!
พวกมันที่เหลือทั้งหมดเล็งปืนมาทางฉันแล้วระดมยิงทันทีที่เพื่อนร่วมทีมกลายเป็นศพ แขนขวาถูกเปลี่ยนเป็นกรงเล็บสีดำขนาดใหญ่เพื่อบล้อคกระสุนของพวกมัน ความสามารถที่ฉันได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคือแขนขวาข้างนี้... มันเกิดจากของเหลวสีดำที่อยู่ตัวฉันซึ่งแปรสภาพได้โดยไร้ขีดจำกัด คุณสมบัติและความแข็งแกร่งของมันเป็นได้ตั้งแต่ไส้ดินสอกดจนถึงเพชร
กระสุนปืนยังไม่ทันหมดแม็กกาซีน มือของไอ้พวกลูกกระจ๊อกมาเฟียชะตาขาดก็ร่วงลงกระทบพื้น ด้วยอำนาจการทำลายของแขนข้างขวานี้ที่กลายสภาพเป็นคมดาบรูปร่างน่ากลัวเพื่อเริ่มการรุกกลับบ้าง เสียงเศษเนื้อถูกเฉือนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยกลิ่นเลือดสดๆ ร่างของพวกชุดดำค่อยๆร่วงลงไปกองกับพื้นทีละคน...ทีละคน...
--------------------
ตูม! กำปั้นข้างขวาที่ตอนนี้แข็งยิ่งกว่าเหล็กของฉัน พุ่งเข้ากระแทกชายโครงของชายชุดดำคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิต จนร่างของมันลอยไปกระแทกกับรถเก๋งด้านหลัง ซึ่งตอนนี้ถูกบรรจุไปด้วยผู้โดยสารไร้วิญญาณ...ศพของเพื่อนร่วมทีมมันนั่นแหละ
“มืงทำงานให้ใคร” คำถามเดิมของฉันถูกเอ่ยซ้ำเป็นครั้งที่สาม ซึ่งค่อนข้างจะทำให้ฉันหงุดหงิด ทำให้รองเท้าอดิดาสสีเขียวลอยเข้าไปกระแทกปากของมันโดยแรงถีบ ตามด้วยหมัดขวาอีกชุดใหญ่
“พะ.. พอแล้ว” ในที่สุดมันก็คงรู้แล้วว่า ควรเก็บปากไว้กินข้าวมากกว่าเอามารับแรงเตะ
“ครีดส์... พวกเราทำงานให้ทีนั่น..” ชื่อที่คุ้นหูเรียกให้ฉันต้องเดินเข้าไปใกล้ แล้วนั่งลงตั้งใจฟัง
“พวกมันจ้างกลุ่มมาเฟียของเราให้ตามของคืน มันบอกว่าของๆมันถูกขโมยมาขายทอดตลาดมืด” มาเฟียชุดดำที่ครั้งหนึ่งเคยดูน่าเกรงขาม ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าของเอาไว้ทำอะไร ?” คำถามถูกยิงออกไป โดยมีมือขวาของฉันที่ตอนนี้ปลายนิ้วแต่ละนิ้วคมเสียยิ่งกว่ามีดจ่อคอหอยของมันอยู่
“รู้แค่ว่า...เป็นแผ่นซีดี” คำตอบของมันไม่พอใจฉันเท่าไร แต่คงเป็นความจริง เพราะมันไม่มีทางโกหกมัจจุราชที่คอมันตอนนี้ ฉันถอนมือออกมาแล้วเดินหันหลังไปสูดหายใจพักใหญ่... โลกทั้งใบช่างเงียบเหลือเกิน ความสงบของรัตติกาลทำให้ใจของฉันเย็นลง ก่อนจะเดินกลับไปหาชายคนนั้นที่นั่งกุมท้องอยู่อีกครั้ง
“ลุงมีลูกมีเมียหรือเปล่า ?” คนถูกถามหลุบตาต่ำก่อนน้ำตาจะเอ่อออกมา
“กลับบ้านไปหาลูกเมียออกจากแก๊งมาเฟียแล้วหนีไปซะ... ” ภาพชายฉกรรจ์ที่นั่งร้องไห้ เลือดกบปากตรงหน้าไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมย์สำหรับฉันเลยสักนิด
“ขับรถกลับไป เอารถไปขาย น่าจะได้เงินพอสำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่ในต่างจังหวัดได้ หางานสุจริตทำ...” แต่ปฏิกิริยาของชายตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ฉันเลยเตะประตูรถเก๋งไปอีกโครมใหญ่ ชายชุดดำคนนั้นจึงลุกขึ้นแล้วลากร่างกายอันบอบช้ำไปเปิดประตูรถเก๋งสีดำอีกคันที่จอดอยู่ใกล้ๆ กัน ขับออกไป...
อีกสองชั่วโมงกว่า รถสปอร์ตสีขาวก็วิ่งลัดเข้ามาในตรอก คนที่ก้าวลงมาเป็นชายวัยกลางคนในเสื้อลายดอก กับบอดี้การ์ดอีกสองคน
“เธอคือ...”
“คนส่งของค่ะ”
“คนของปิติใช่ไหม ?” ฉันพยากหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะหยิบแผ่นดิสก์นั้นส่งให้กับชายผมขาวตรงหน้า คุณตาคนนั้นรับไปโดยไม่พูดอะไร แล้วกดโทรศัพท์คุยกับนายปิติผู้ว่าจ้างคอนเฟิร์มว่าได้รับของแล้วอย่างปลอดภัยและสมบูรณ์ เป็นอันว่างานของฉันเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เดินกลับไปที่รถพร้อมบอดี้การ์ดแล้วขับรถออกจากตรอกไปตามเส้นทาง
แสงอาทิตย์เริ่มมาเยือนกรุงเทพมหานคร ฉันหยิบดิสก์อีกแผ่นที่แอบทำก็อปปี้ไว้มาดูอีกครั้ง... สัญลักษณ์กางเขนสีเลือดนี้เป็นขององค์กรนักฆ่าลับ The CREEDs ที่ๆฉันเคยอยู่ ที่ๆฉันจากมา กางเขนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวแทนถึงพระเจ้า หากแต่มันมาปรากฏอยู่ในย่านมืดแบบนี้ คงเป็นได้แค่เพียงสัญลักษณ์แห่งหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน ถ้าหากฉันจะหาร่องรอยของหายนะนั้นได้บ้างก็คงดี
ติ๊ด ติ๊ด...
เสียงจากมือถือบอกว่ามีข้อความใหม่เข้ามา เมื่อเปิดเช็คดูก็ปรากฏยอดเงินในบัญชีของฉันที่มีตัวเลขเพิ่มขึ้นมาสี่แสนบาท ถึงแม้จะต้องเสี่ยงกับกระสุนปืนแต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการได้ร่องรอยของครีดส์มาเป็นของแถม ฉันปีนขึ้นไปบนหลังคาของตึกใกล้ๆแล้วเริ่มวิ่งออกไป ท้องฟ้ายามรุ่งสางกับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านร่างกายทำให้จิตใจของฉันปลอดโปร่งอีกครั้ง ขอให้แสงอาทิตย์ของวันใหม่ช่วยชำระล้างคราบเลือดแห่งบาปของเมื่อคืนนี้ด้วย...
ความคิดเห็น