I’m not okay , I’m not okay
you wear me out
เสียงเพลงที่ดังลั่นออกมาจากลำโพงมือถือ ปลุกให้ผมตื่นจากฝันหวานที่ค้างอยู่อย่างน่าเสียดาย ผมงัวเงียคว้าโทรศัพท์มาดูที่จอLED สว่างจ้านั้น
BIRD calling
“ฮัลโหล โทรมาทำไมแต่เช้าวะไอ้ห่า ปิดเทอมนะโว้ย” จริงอย่างที่ผมว่า วันนี้เป็นวันปิดเทอมวันแรก ในฐานะคนที่กำลังจะขึ้น ม.6 อย่างผม เลยอยากจะใช้เวลาปิดเทอมนี้ให้คุ้มค่า ก่อนที่จะต้องไปเผชิญศึกระบบการศึกษาแย่งกันเรียนในอีกไม่นาน
“ไอ้เชี่ยต้น อย่าเพิ่งด่ากุดิวะ ไปยิมเป็นเพื่อนกุหน่อย” ไอ้เบิร์ดขอร้องเสียงอ่อย
“ไหนมืงบอกจะหัด trickz ให้กุไง” มันทวงสัญญาที่ผมให้ไว้เมื่อหลายเดือนก่อน จริงๆแล้ว ผมแค่ไปตีลังกาโชว์น้องแอนแค่นั้น แต่ไอ้เบิร์ดนี่ดันมาเห็น แล้ว ขยั้นคะยอ ผมเสียยกใหญ่ เลยปฏิเสธมันไม่ได้
“เออๆ 10โมง เจอกันที่ยิมโรงเรียน” แต่ก็ดี ปิดเทอมจะให้นั่งอยู่บ้านตี dota ทั้งวัน ก็ดูจะน่าเบื่อเกินไปหน่อย
“ได้ๆ แล้วเจอกัน” ไอ้เบิร์ดตอบแล้ววางสายไป
ผมเหลือบไปดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ตอนนี้เป็นเวลา 9 โมงกว่าๆ ... จริงๆแล้ว เช้าวันเสาร์แบบนี้ คงมีเด็ก ม ต้นมาซ้อมกีฬากันบ้าง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของยิมก็มักจะโดนยึดโดยกลุ่ม trickz ของพวกผมอยู่แล้ว ผมใช้เวลาไม่นานนัก ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พร้อมที่จะออกจากบ้าน ... โรงเรียนของผมอยู่ไม่ไกลเท่าไร ขับรถมอเตอร์ไซค์ไปอืดๆ ไม่เกิน 20 นาทีก็ถึงที่หมายได้สบายๆ
- 10 โมง 58 นาที
ผมมาถึงที่นัด เกือบชั่วโมงแล้ว ยังไม่มีเงาหัวไอ้เบิร์ด โผล่มาเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ผมเริ่มหัวเสียกับความไม่แน่ไม่นอนของมันเต็มทนแล้ว ผมเลยกดโทรศัพท์ไปหามันอย่างหงุดหงิด นานสองนาน กว่ามันจะรับสาย...
“มืงอยู่ไหนแล้ว ? มึงนัดกุมาแล้วมืงไม่มานี่ยังไงของมืงวะ” ผมถามไปอย่างตรงๆ ตามอารมณ์หงุดหงิด
“แฟนกุชวนไปดู รักแห่งสยามว่ะ กุขอโทษ กุคงไปไม่ได้แล้ว” คำตอบที่ไอ้เบิร์ดให้กลับมา ทำเอาผมแทบทรุด
“เออ มืงไปดูหนังกับแฟนมืงละกัน แต่กุไม่หัด trickz ให้แล้วนะเว้ย ขี้เกียจละ เจอแบบนี้” ผมบ่นออกไป เพราะทนกับเหตุผลไร้สาระของมันไม่ค่อยไหว ไม่สิ จริงๆแล้วนิสัยไอ้เบิร์ดมันก็พอทนได้ แต่แฟนบ้าวายของมันนี่สิเอาแต่ใจชิบเป๋ง อยากได้อะไรต้องได้ อยากดูอะไรต้องดู
“เออ ไม่เป็นไร กุขอโทษว่ะไอ้ต้น ไว้เจอกันเปิดเทอมเลยแล้วกัน” ฟังจากเสียงมันก็รู้ ว่ามันเองก็สำนึกผิด แต่จะให้ทำไงได้แฟนสาวแว่นของมันน่ารักโคตรๆ เป็นผมก็คงทำแบบเดียวกับมันนั่นแหละ
ตอนนี้ผมนั่งมองคนในชมรม trickz โชว์รีลกันไปเรื่อยเปื่อย จริงๆแล้วกีฬานี้ มันเป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีม ที่เริ่มขึ้นจาก พาร์คัวร์เป็นกีฬาที่เน้นสมาธิ ความแม่นยำ ความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ มันเหมือนเป็นการ ทำให้เรากลับไปเป็นเด็กอีกครั้งนึง ในตอนนั้น ทุกๆอย่างในโลกมันดูน่าสนุกไปหมด อยากปีนป่าย อยากลองนู่นลองนี่ แต่เมื่อผมโตขึ้นมา
ผมกลับค้นพบว่า โลกนี้มันมีแต่ข้อห้าม ทุกๆคนพยายามห้ามเราทำ ห้ามเราเป็น และบังคับให้เราต้องเรียนต้องแข่งขัน
เพราะงั้น trickz จึงเป็นเหมือนทางออกทางเดียวของผม ทางเดียว ที่ผมจะได้มีตัวตนเป็นของตัวเองจริงๆ ได้ขยับร่างกาย
ของผม ตามที่ใจผมต้องการ ไม่ใช่พ่อแม่ต้องการ ครูบาอาจารย์ต้องการ หรือใครอื่นต้องการ...
-------------------------------------------------------------------------------
เกือบหกโมงเย็นแล้ว พวกเพื่อนๆในชมรมเริ่มทยอยกลับ ผมเองก็กำลังจะกลับเหมือนกัน แต่ท้องของผมมันร้องเตือนว่าให้หาอะไรกินด้วย เพราะตอนนี้มันหิวเหลือเกิน ผมจึงจับมอเตอร์ไซค์สุดอืดของผม ขับเลียดไปตามเส้นทาง มุ่งสู่ห้างแอร์พอร์ทเชียงใหม่
ในตอนนี้แสงของพระอาทิตย์ที่ส่องผ่านหลังคาตึกขนาดย่อมๆ กำลังทอแสงเป็นสีส้มแดง ในระหว่างทางที่ผมกำลังขับรถไปตามทาง ตาก็มองตึกรามบ้านช่องที่เรียงรายทั้งหลายไปเรื่อยเปื่อย เพราะเส้นทางนี้ คนไม่มากเท่าไร
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมองอยู่นานจนลืมดูทาง ทำเอารถเกือบล้ม นั่นคือร่างเล็กๆของคนๆนึง ที่กำลังวิ่ง ฟรีรันนิ่ง อยู่บนหลังคาตึก ตีคู่กับผมมาเรื่อยๆ ไอ้เรื่องแบบนี้ผมก็เคยเห็นคนมาโพสตามยูทิวบ์อยู่บ้าง แต่คนๆนี้วิ่งด้วยความเร็วสูงมาก แถมยังบ้ามากอีกต่างหาก ถึงแถวนี้จะเรียงรายไปด้วยตึกพาณิชย์ติดๆกัน แต่ว่ามันก็มีการเว้นช่องห่างเป็นคูหา ระยะเกือบห้าเมตร นักวิ่งในชุดฮู้ดสีแดงคนนั้น กระโดดข้ามช่องว่างนั้นอย่างกับเป็นเรื่องง่ายๆอย่างนั้นแหละ!
ผมตัดสินใจใช้มือขวาประครองรถขับตามไป แล้วมือซ้าย หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอไว้ ของเจ๋งๆแบบนี้ถ้าเอาไปลงยูทิวบ์ ยอดวิวคงพุ่งหลักแสนได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะขนาดผมเองที่เล่นฟรีรันนิ่งนี่มาเกือบสามปี เห็นเองกับตาแล้วยังต้องทึ่งเลย
ผมขับตามถ่ายไปได้สักพัก ก็คลาดกับคนๆนั้นไป ภาพสุดท้ายที่ผมถ่ายไว้ได้คือ นักวิ่งชุดแดงคนนั้น กระโดดแบ็คฟลิปลงจากตึก ซึ่งสูงอย่างต่ำ สี่เมตร นับว่าบ้าที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาด้วยตาตัวเอง หลังจากนั้นผมก็ขับกลับไปในทางที่ผมตั้งใจจะไปตั้งแต่ที่แรก ... ใช่ ไปหาอะไรกินนั่นแหละ จากนั้นก็คงกลับบ้าน อาบน้ำแล้วเซิร์ฟเนตสักพัก และที่แน่ๆผมไม่มีทางลืมที่จะอัพวิดีโอนี้ขึ้นเว็บแน่นอน ถ้าไม่ได้ไอ้เบิร์ดที่นัดมาเสียเที่ยวในวันนี้ ผมคงไม่ได้เจออะไรเด็ดๆแบบนี้แหงเลยเชียว
อาทิตย์กว่าๆแล้ว ที่ผมไปเฝ้ารอนักวิ่งฟรีรันเนอร์ในชุดสีแดงคนนั้นในช่วงใกล้ๆค่ำ และผมไม่เคยพลาด เธอมาวิ่งที่ย่านนั้นเกือบทุกวัน และผมก็ถ่ายวิดีโอไว้ทุกครั้ง ทุกวิดีโอที่แสดงการวิ่งเธอของได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกนักวิ่งจากฝั่งยุโรปมาคอมเม้นกันเสียส่วนใหญ่ มีคนตั้งชื่อเล่นให้ด้วยนะ ‘The red riding hood’ ใช่แล้ว หนูน้อยหมวกแดงนั่นแหละ ฟังดูน่ารักดีชะมัด แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้ว เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่นะ ดูจากส่วนสูงแล้วผมกะๆเอาเองว่า น่าจะสักร้อยห้าสิบกว่าๆละมั้ง คงเตี้ยเกินกว่าจะเป็นผู้ชายละมั้ง ผมก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้ก่อนแล้วกัน
จริงๆแล้ววันนี้ผมมารอดูเธอเหมือนเดิมแหละ แต่พิเศษหน่อยตรงที่ว่าวันนี้ผมตัดสินใจจะทำบทสัมภาษณ์ หรืออย่างน้อยก็พูดคุยอะไรสักอย่างไปอัพโหลดให้พวกในเว็บได้ดูกันหน่อย เพราะผมโดนพวกนั้นยุมาบวกกับความต้องการส่วนตัวนั่นแหละ ที่อยากจะทำความรู้จักกับคนเจ๋งๆอย่างนี้ไว้
ผมนั่งรอบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์อยู่ไม่นานก็ได้เจอเธอที่กำลังวิ่งอยู่บนดาดฟ้าตึก ผมขับรถตามไปอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะหยุดวิ่งแล้วทำท่า แฮนด์สแตนด์ (หกสูง) อยู่ที่ริมดาดฟ้า ผมตัดสินใจค่อยๆปีนขึ้นไป ใช่ ปีนขึ้นไป ถ้าไปขอเข้าทางประตูหน้าร้านค้านี่ ใครจะให้เข้าล่ะ
“เฮ้ สวัสดีครับ” ผมตะโกนทักทายเธอ
“ ... ” เธอหันกลับมามองแค่แวบเดียว แล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น เป็นนัยว่า มีอะไรก็ว่ามาสิ
เป็นผู้หญิงจริงๆด้วยแฮะ ตอนแรกผมดูจากรูปร่างก็ไม่รู้หรอก ใส่ฮู้ดดี้ตัวใหญ่ขนาดนี้ ผมของเธอออกสีน้ำตาลดำ ดูเหมือนจะเป็นสีผมธรรมชาติมากกว่า ผิวของเธอขาวซีดจนน่ากลัวเหมือนคนไม่มีเลือดเลยแฮะ... แต่ยังไง โดยรวมแล้วก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
“เอ้อ ผมชื่อต้นนะ” ผมพูดเสร็จแล้วเว้นช่วงไว้นิดนึง เป็นเชิงว่า แล้วชื่อเธอล่ะ ? แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ผมเรียกแฮะ
“คือ...ผมเห็นน้องวิ่งที่นี่ครั้งแรกเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมเลยถ่ายวิดีโอไปลงยูทิวบ์น่ะ แล้วทีนี้ว่า...” ผมค่อยๆอธิบาย
“น้อง ...?” เธอพูดสวนกลับมา
“เห็นอย่างนี้ฉันก็สิบแปดแล้วนะ ! นายนั่นแหละน้อง ยังหัวเกรียนอยู่เลยนี่ ” ห๊ะ! สิบแปด ตัวแค่นี้เนี่ยนะ แล้วทำไมต้องมาว่าผมเกรียนด้วยวะเนี่ย ก็โรงเรียนมันปิดเทอม แต่ ร.ด. มันไม่ปิดนี่หว่า
“เอ่อ ขอโทษครับเจ๊ ... ต่อนะ ก็คือสั้นๆ ผมอยากสัมภาษณ์เจ๊ไปให้พวกคนในเน็ตดูหน่อยน่ะ ไม่ทราบว่าพอจะว่างไหม ?” ในที่สุดผมก็กลับเข้าเรื่องได้สักที
“ก็ลองว่ามาสิ แต่งานนี้ ห้ามอัดวิดีโอ” เธอกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจังในตอนท้าย... ซึ่งทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้
“ทำไมอะเจ๊ ? ให้ผมอัดเหอะ นะๆ”
“เรื่องของฉัน” เจ้าของคำตอบเริ่มทำหน้าบึ้ง ซึ่งคงไม่รู้หรอกมั้ง ว่านั่นยิ่งทำให้น่ารักเข้าไปใหญ่ จนผมต้องยอม
“เออ...ก็ได้ งั้น เจ๊ชื่ออะไรอะ ?” ผมถามเพื่อจะได้เรียกเธอถูก
“นั่นก็อย่ารู้เลย ถ้าไม่อยากเดือดร้อน... จริงๆแล้วนายก็สร้างความเดือดร้อนให้ฉันพอแล้วนะ ดันถ่ายวิดีโอฉันไปลงอินเตอร์เน็ตเนี่ย” เธอดุผมเสียยาว ซึ่งมันไม่เข้ากับตัวเธอเลย เหมือนเด็กตัวเล็กๆกำลังโวยวายมากกว่า
“ขอโทษครับเจ๊... งั้นเริ่มเลยละกัน เจ๊เล่นฟรีรันนิ่งมากี่ปีแล้วครับ ?” ผมแสดงสีหน้าเป็นเชิงสำนึกผิดก่อนที่จะเริ่มถามรายละเอียด
“ก็...ตั้งแต่สิบขวบละมั้ง ถ้าจำไม่ผิด” หา!? 8 ปีแล้วเหรอ มิน่า โคตรเซียนเลย
“โอ้โห นานนะเนี่ย”
“ก็เนี่ยแหละ คือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเป็นอิสระจริงๆ” เธอตอบแบบภูมิอกภูมิใจเลยแฮะ
“นั่นสินะ ผมก็ชอบเล่นฟรีรันนิ่งเพราะแบบนั้นเหมือนกัน” เธอพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงเห็นด้วย
“แล้ว...เจ๊เป็นลูกครึ่งหรือเปล่าครับ ? ถ้าใช่ เคยอยู่ต่างประเทศมาก่อนหรือเปล่า ? เคยไปวิ่งกับพวกฟรีรันที่ ซิดนี่ย์ หรือ นิวยอร์ค บ้างไหม พวกนั้นน่ะเจ๋งชะมัด แต่ผมว่าเจ๊เจ๋งกว่านะ” ผมถามดูเพราะสังเกตจากรูปร่างหน้าตาของเธอแล้ว ไม่น่าจะใช่คนไทยแท้
“เท่าที่รู้...ฉันเป็นลูกครึ่งนะ แต่ครึ่งอะไรไม่รู้แฮะ เกิดและโตที่ไทย เคยไปต่างประเทศอยู่บ้าง แต่ไปทำงานแป็บเดียวก็กลับ” เธอตอบคำถามผมอย่างตรงไปตรงมา ว่าแต่เอ๊ะ คนอะไรหว่า ไม่รู้ว่าตัวเองลูกครึ่งอะไร
“ไม่รู้ว่าตัวเอง ลูกครึ่งอะไรเนี่ยนะ ?” เธอทำตาเขม่น พร้อมส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธ และ กำชับไม่ให้ถามต่อเรื่องนี้
“พวกคนในเนตเรียกเจ๊ว่า หนูน้อยหมวกแดง รู้สึกยังไงบ้างกับฉายาตัวเอง ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงติดตลก
“ใสไปหน่อยมั้ง ? ถ้าหนูน้อยหมวกแดงเลือด คงพอได้” เธอตอบพร้อมยิ้มโหดๆโชว์ผม
“งั้นผมจะไปโพสพอกให้พวกฝรั่งเรียกเจ๊ว่า Scarlet Riding hood แทนแล้วกันนะ” ผมแอบขำไปเล็กน้อย
“ทำไมเจ๊เตี้ยจัง ?” คำถามนี้ออกมาจากต่อมกวนตรีนของผมเอง แต่ไม่ทันที่ผมจะได้คำตอบ ผมก็รู้สึกมึนตึ้บไปชั่วขณะหนึง
“เพี๊ยะ !!”
ผมโดนตบเกรียน!
“โหเจ๊ ล้อเล่นแค่นี้ต้องตบด้วยเหรอ” ผมพูดพลางเอามือลูบหัว เพิ่งปิดเทอมแท้ๆ ยังโดนอีกกรู
“ฉันเพื่อนแกเหรอ ฮ่าๆ” หนูน้อยหมวกแดงเลือดของผม ตอบพลางหัวเราะปากกว้าง
บทสนทนาของผมดำเนินต่อไปได้อีกไม่นาน ผมก็ถามคำถามที่เพื่อนๆในอินเตอร์เน็ตเรียกร้องมาจนหมด ถือว่าการสัมภาษณ์ของผมผ่านไปได้ด้วยดี ผมกะว่าจะเลี้ยงข้าวเจ๊เขาเป็นการตอบแทนสักหน่อย ไม่ไกลจากที่นี่เป็นดงร้านอาหารข้างทางอร่อยๆเพียบ
“ไม่ดีกว่าว่ะ ขอบใจนะนายน้องต้น” คนตอบเรียกผมอย่างสนิทสนม... อะไรกัน เมื่อกี้ยังบอกไม่ใช่เพื่อนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆ
“งั้นไม่เป็นไรเจ๊ แล้วไว้เจอกันวันหลังแล้วกัน ถ้ามีโอกาส”
“ถ้ามีโอกาส น่ะนะ” เด็กผู้หญิงในชุดแดง พูดเน้นเสียงก่อนจะทำหน้าจริงจังกับประโยคต่อไปของเธอ...
“ฉันต้องไปจากเชียงใหม่แล้ว... แล้วก็นายเอง ถ้าเป็นไปได้ก็ลบคลิปพวกนั้นซะ ก่อนที่จะมีคนมาเยี่ยมที่บ้าน” คนพูด หยุดเว้นวรรคนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ถ้ามีใคร มาถามอะไรเกี่ยวกับฉัน หรือใครก็ตามที่แกคิดว่าเป็นฉัน ตอบปฏิเสธไปซะ แล้วลืมไปได้ก็ดี ว่าเราเคยเจอกัน” หนูน้อยหมวกแดงกำชับเสียงจริงจัง ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป... ไกล เกินกว่าที่จะได้ยินผมเอ่ยว่า
“ทำยังกับเป็นนักฆ่านะเจ๊...”
ความคิดเห็น