ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF] Super Junior Super Fic

    ลำดับตอนที่ #5 : : :Lovers become Friend: :

    • อัปเดตล่าสุด 7 ธ.ค. 52



     

    Lovers become Friend

    คนที่เป็นเพื่อนยังกลายมาเป็นแฟนได้แล้วคนที่เคยเป็นแฟนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม?

    .

    .

    .

    .

    “เราเลิกกันเถอะ..ฉันคิดว่าเราสองคนแตกต่างกันเกินไป”

    “....”

    “..แล้วดูเหมือนว่า..ฉันจะไปชอบคนอื่นแล้ว”

    “...งั้นหรอ”

    “....”

    “..เอางั้นก็ได้” อีกฝ่ายยิ้มกว้างด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด

    “ขอบใจนะ” พูดจบก็หันหลังกลับวิ่งไปหาผู้หญิงคนนึงที่ยืนรออยู่..ทิ้งไว้ให้อีกคนยืนร้องไห้เดียวดายไร้คนข้างกายเช่นเคย

     

    : :Lovers become Friend: :

     

    ฉันยังจำได้เมื่อวันที่เราเคยรักกัน

    และฉันก็ยังจำได้ดีในวันที่เราเลิกรักกัน

    หรืออาจจะเป็นฉันที่ยังรักเขาอยู่...

     

    หนึ่งเดือนแล้วที่เขาเลิกกับคังอินไม่มีวันไหนที่เขาไม่คิดถึงอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าสามปีที่ผ่านมาจะจบลงได้ง่ายๆด้วยเวลาไม่ถึงสามนาที คำบอกเลิกที่ราวกับถูกน้ำเย็นสาดหน้า..ชาจนแทบไม่รู้สึกอะไร

     

    “เหม่ออะไรอีทึก” คิมฮีชอลตบหลังเพื่อนรักเบาๆแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้อีทึกหลุดจากห้วงความคิดตนเองได้ “ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกหรอ”

     

    “ฉันทำอะไรผิดหรอฮีชอล?” ทุกวันนี้เขายังคงนั่งหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมคังอินถึงทิ้งเขาไปแต่ก็ไม่เคยได้คำตอบเลยซักครั้ง

     

    “นายไม่ผิดหรอกอีทึก..มันจะผิดก็ผิดที่เจ้านั่นๆแหละ!!!!” ฮีชอลพูดอย่างใส่อารมณ์ “นายดีกับมันทุกอย่าง..แต่ดูมันตอบแทนนายซิ ฮึ อย่ามัวเสียน้ำตาให้กับคนพรรค์นั้นเลยเชื่อชั้น” พูดยังไม่ทันจบตัวเจ้าปัญหาก็เดินเข้ามาในห้องตรงมาที่เขา

     

    “อีทึก..วันนี้นายไปบ้านฉันหน่อยนะ พ่อกับแม่อยากเจอนายน่ะ” คังอินขอร้องอีทึกถ้าเป็นเวลาปกติเขาก็ไม่ได้อยากจะคุยกับร่างบางซักเท่าไหร่เพราะตั้งแต่เลิกกันก็ดูเหมือนว่าต่างคนต่างก็จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้ากันดังนั้นถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆก็จะไม่เฉียดกรายเข้าใกล้อีกฝ่าย

     

    “ท่านเป็นอะไรหรอ?” อีทึกถามอย่างร้อนรนนึกเป็นห่วงอยู่ในใจ ตอนที่เขาคบกับคังอินมักจะไปบ้านคังอินอยู่บ่อยๆช่วยคุณแม่คังอินทำขนมทำกับข้าว ชงน้ำชาพูดคุยเป็นเพื่อนคุณพ่อจนอีกฝ่ายเอ็นดูเขาเหมือนลูกแท้ๆเผลอๆอาจจะรักมากกว่าลูกตัวเองด้วยซ้ำเพราะอีทึกช่างเอาอกเอาใจ หัวอ่อน ไม่ดื้อเหมือนคังอิน ประกอบกับที่อีทึกเป็นเด็กกำพร้าอยู่กับพี่สาวแค่สองคนที่คอนโดพวกท่านจึงเป็นห่วงเป็นใยเป็นพิเศษ บางครั้งก็จะทำอาหารไปเผื่อพี่สาวอีทึกอีกด้วยไม่ก็บังคับให้อีทึกอยู่ทานข้าวเย็นที่บ้านทุกวันจนกลายเป็นแขกประจำไปโดยปริยาย

     

    “ไม่มีอะไรหรอกแค่บ่นว่าคิดถึง..บังคับให้ฉันพานายไปให้ได้ไม่งั้นไม่ให้เข้าบ้าน” พูดอย่างเซ็งๆเมื่อนึกถึงคำสั่งที่ได้รับเมื่อเช้า

     

    “ฮ่าๆๆ ฉันนึกหน้าคุณแม่ออกเลย” อีทึกหัวเราะเสียงใสแย้มยิ้มอย่างมีความสุข เขาเองก็นึกถึงคุณพ่อกับคุณแม่เหมือนกัน

     

    คังอินลอบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของอดีตคนรักด้วยความรู้สึกแปลกๆ นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นอีทึกหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติ..คงจะตั้งแต่เลิกกัน

     

    “เลิกเรียนแล้วรอฉันที่ห้องนะ” คังอินกำชับอีทึก “เดี๋ยวฉันจะมารับ”

     

    “ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวฉันไปเองได้” อีทึกปฏิเสธ ถ้าทำอย่างนั้นฉันก็จะยิ่งนึกถึงวันเก่าๆ

     

    “ตามใจ” คังอินเดินออกไปเมื่อหมดธุระ

     

    “คอยดูนะ อย่างมันไม่มีใครทนได้นอกจากนายเท่านั้นแหละ” ฮีชอลกระซิบข้างหูอีทึกแล้วยักคิ้วให้ท้าทาย

    .

    .

    .

    .

    หลังจากส่งยุนจีแฟนสาวแล้วคังอินก็รีบมุ่งตรงกลับบ้านทันที ระหว่างทางเขาก็คิดไปเรื่อยๆว่าเมื่อเจอกับอีทึกอีกครั้งเขาจะทำตัวยังไงดี คุยเรื่องอะไร ทำหน้ายังไงและที่สำคัญตอบพ่อแม่ว่ายังไง เขายังไม่ได้บอกกับพ่อแม่ว่าเลิกกับอีทึกไปแล้วที่สำคัญมีแฟนใหม่ที่รักมากกว่าแล้วด้วย...

     

     

    รักมากกว่า? น่าตลก แต่ก่อนเขาคิดว่าชีวิตนี้คงไม่รักใครไปมากกว่าอีทึกอีกแล้วแต่พอได้พบเจออียุนจีความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป ยุนจีทั้งน่ารักและสดใสช่างหาเรื่องมาทำให้เขาหัวเราะได้อยู่บ่อยๆอยู่กับยุนจีแล้วเขารู้สึกว่าชีวิตสนุกสนานมากกว่าอยู่กับอีทึกซะอีก แต่อีทึกก็ไม่ได้ผิดอะไร..เขายอมรับว่าเขาเบื่อร่างบางเอง เบื่อกับความเอาใจใส่ของอีทึกที่มากเกินไป เบื่อกับการที่อีทึกรู้ใจและรู้ทันเขาไปในทุกๆเรื่อง..ทั้งหมดมันทำให้เขาเบื่อ อาจเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมานานมากเกินไปจนมาถึงวันนึงเขาก็ไม่รู้สึกใจเต้นกับร่างบางอีกแล้ว

     

     

    “กลับมาแล้วครับ” คังอินตะโกนบอกระหว่างที่กำลังถอดรองเท้า

     

     

    “แม่อยู่ในครัวจ้า...อ๊ะ อีทึกระวังลูก” ประโยคหลังเตือนคนที่เหมือนลูกอีกคน ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงร้องเบาๆมาจากอีกฝ่าย

     

     

    “โอ๊ยย” คังอินโยนกระเป๋าไว้บนโซฟาแล้วรีบสาวเท้าเข้าไปในครัวทันที อีทึกกำลังเอามือลูบแขนที่มีรอยแดงเป็นปื้นเบาๆด้วยความเจ็บ ข้างกันมีหม้อน้ำที่กำลังเดือดเต็มที่วางอยู่บนเตา..น้ำร้อนลวก

     

     

    “เกิดอะไรขึ้น” คังอินเผลอทำเสียงเข้มโดยไม่รู้ตัว มือหนาคว้าแขนร่างบางมาดูอย่างเป็นห่วง อีทึกนิ่งไปเล็กน้อยกับการกระทำของอดีตคนรัก

     

     

    “ฉันเผลอใส่ผักแรงไปหน่อย..น้ำมันเลยกระเด็นน่ะ” อีทึกพูดเสียงอ่อยๆ แต่ก่อนเวลาที่อีทึกทำอะไรไม่ระมัดระวังแล้วได้แผลคังอินก็มักจะดุอย่างนี้เสมอ

     

     

    “เนี่ยนะนิดหน่อย?” คังอินจ้องหน้าถามเสียงห้วน

     

     

    “ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า..เจ็บกว่านี้ยังโดนมาแล้ว” อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมอีกฝ่าย อีทึกบิดแขนออกจากการจับกุมของคังอินแล้วเดินก้มหน้าไปหานางคิมที่หยิบยามาให้ไม่แม้แต่มองหน้าร่างสูง

     

     

    “เอาน่าๆ แกก็อย่าดุอีทึกนักซิ” นางคิมห้ามทัพก่อนที่จะทะเลาะกันมากกว่านี้ จริงๆเล้ยเจ้าลูกชาย..เป็นห่วงเขาแทนที่จะปลอบใจกลับดุใส่ซะงั้น ให้ได้อย่างงี้ซิ “เอ้าๆๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไปแล้วลงมาทานข้าว” หล่อนไล่ลูกชายตัวดีขึ้นห้องเมื่อเห็นว่าบรรยากาศชักเริ่มอึมครึม คังอินมองหน้าอีทึกนิ่งๆพักนึงแล้วจึงเดินขึ้นห้องไป

    .

    .

    .

    .

    ก๊อกๆๆ

     

     

    เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสามที คังอินขมวดคิ้วเล็กน้อยว่าใครแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีอยู่คนเดียว ร่างสูงลุกขึ้นไปเปิดประตูห้องก็พบว่าเป็นคนที่เขาคิดจริงๆ

     

     

    “เข้ามาซิ” ร่างสูงอ้าประตูกว้างเชิญอีกฝ่าย

     

     

    “ไม่ล่ะ..คุณแม่ให้มาตามนายไปทานข้าวน่ะ” สั่นหัวน้อยๆเป็นการปฏิเสธ อีกอย่างเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าห้องคังอินเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว

     

     

    “อืม” คังอินปิดประตูห้องแล้วเดินขนาบข้างร่างบางลงไปข้างล่าง ตลอดทางอีทึกมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินเพราะหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับคังอินทำให้สะดุดขั้นบันไดสุดท้ายขณะก้าวลง

     

     

    “ระวัง!!” คังอินฉุดแขนอีทึกไว้ไม่ให้ล้มมืออีกข้างก็จับมือร่างบางไว้กันเซ

     

     

    “ข..ขอบใจ” อีทึกพึมพำตอบ มือเรียวกระตุกเบาๆเป็นเชิงบอกว่าต้องการให้ปล่อยแต่คังอินก็ไม่ยอมปล่อย “ปล่อย..” เสียงหวานค้างไว้เมื่อเห็นว่าคังอินกำลังมองมือเขา นิ้วยาวลูบเบาๆตรงที่แหวนนิ้วนางข้างซ้าย

     

     

    อีทึกลืมนึกถึงแหวนไปเสียสนิท เขาลืมถอดแหวน ตั้งแต่ที่เขาเลิกกับคังอินเขาก็ไม่เคยถอดแหวนที่คังอินให้เลยซักครั้ง..ความจริงคือเขาใส่จนชินไปเสียแล้ว..ใส่มาตลอดตอนที่คบกันจนถึงตอนนี้

     

     

    “ยังใส่อยู่อีกหรอ” คังอินถามเสียงแหบพร่าตามองแหวนไม่กะพริบ

     

     

    “อืมม..มันชินน่ะ” อีทึกตอบเสียงเบา แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบเมื่อไม่มีใครพูดอะไรต่อ อีทึกเสมองไปทางอื่นพลันสายตาก็เหลือบไปมองที่มือของคังอิน...ว่างเปล่า แหวนคู่ที่เขาใส่กับคังอินมาตลอดตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เหมือนคังอินจะรู้ว่าเขามองที่มืออยู่จึงมองตามสายตาของอีทึกแล้วพูดขึ้น

     

     

    “ถอดไปแล้วล่ะ” พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ “ยุนจีเขาไม่อยากให้ฉันใส่” ชื่อของผู้หญิงคนนั้นดังก้องอยู่ในหัวของอีทึกจนน่าปวดหัว

     

     

    “หรอ..” แวบนึงที่เขาเผลอมองคังอินด้วยสายตาตัดพ้อ ฉันไม่มีความหมายแล้วซินะ

     

     

    “ต..แต่”/ “คังอิน..อีทึก อยู่ไหนลูกกับข้าวจะเย็นหมดแล้วนะ” เสียงของนางคิมดังขึ้นขัดจังหวะ อีทึกจึงถือโอกาสสลัดมือคังอินทิ้งแล้วเดินออกไปทันที..เขาไม่อยากฟังคำพรรณนาถึงผู้หญิงคนนั้น

     

     

    คังอินมองตามหลังร่างบางไปด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกของอีกฝ่าย..ถึงยังไงเขาก็เคยรักอีทึก

    .

    .

    .

    .

    บรรยากาสบนโต๊ะที่ควรจะสดใสเหมือนทุกๆครั้งกลับเงียบงันจนน่าอึดอัด ไม่ว่านางคิมจะพยายามชวนคุยหรือเล่นมุขตลกแค่ไหนแต่ก็ไม่มีปฏิกริยาตอบรับจากคังอินและอีทึก อาจจะดีหน่อยตรงที่อีทึกยิ้มฝืนๆส่งมาให้บ้าง ขำแห้งๆให้กับมุขตลกแต่บรรยากาศก็ยังน่าอึดอัดอยู่ดี

     

     

    ท่านประมุขของบ้านสังเกตเห็นว่าคราวนี้เจ้าลูกชายตัวชายตัวแสบกับหนูอีทึกแทบจะไม่พูดกันเลย ยิ่งหนูอีทึกยิ่งไม่ยอมมองหน้าคังอินแม้แต่นิดแม้ว่าเจ้าลูกชายจะพยายามสบตาซักแค่ไหน อาการอย่างนี้น่าจะทะเลาะกันชัวร์และท่าทางจะเรื่องใหญ่ซะด้วย หนูอีทึกก็ไม่มาบ้านตั้งเกือบเดือนแถมเจ้าลูกชายก็ไม่พูดถึงอีกฝ่ายซักคำ..มันชักยังไงๆอยู่

     

     

    “มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า” นายคิมถามขึ้นตวัดสายตามองไปทางคังอินและอีทึก

     

     

    อีทึกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆนายคิมถามคำถาม..เขาเดาว่าคังอินคงยังไม่ได้บอกพ่อแม่เรื่องที่เลิกกับเขา

     

     

    “เปล่าครับ..ทะเลาะกันนิดหน่อย” คังอินเลือกที่จะโกหก

     

     

    “มีเรื่องอะไรก็ค่อยๆคุยกันล่ะ..อย่าเอาอารมณ์ชั่ววูบมาตัดสินคบกันมาตั้งหลายปีแล้วน่าจะรู้จักกันดีพอว่าอีกฝ่ายนิสัยเป็นยังไง” ผู้เป็นบิดาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี อีทึกเป็นเด็กอ่อนหวานและน่ารัก ดีเสมอต้นเสมอปลายอีกทั้งช่วงที่คบกับคังอินก็ช่วยให้เจ้าเด็กนั่นดีขึ้นมาตั้งเยอะ เขาจึงรักอีทึกเหมือนลูกแท้ๆคนนึง ไม่รู้สึกรังเกียจที่ทั้งสองเป็นเพศเดียวกัน..เขาคงเสียใจน่าดูถ้าสองคนนี้ต้องเลิกกัน

     

     

    อีทึกเอาเล็บจิกมือแน่นรู้สึกผิดที่ต้องปิดบังผู้ใหญ่ที่ตนเคารพเหมือนบิดามารดา เขาควรจะพูดความจริง...

     

     

    “ความจริง..เราเลิกกันแล้วครับ” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นสายตามองตรงไปที่ผู้ใหญ่ทั้งสอง นางคิมอุทานขึ้นอย่างตกใจส่วนนายคิมดูชะงักไปเล็กน้อย “แต่เราเลิกกันด้วยดีนะครับ..เรายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” อีทึกยิ้มยืนยัน คังอินมองร่างบางด้วยความแปลกใจไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนพูดออกมาเอง

     

     

    “วันนี้เราแค่อึดอัดกันเล็กน้อยเท่านั้นครับ ยองอุนเขาไม่รู้ว่าจะบอกคุณพ่อคุณแม่ยังไง..” อีทึกพยายามทำเสียงร่าเริงให้ทั้งสองเชื่อใจ “ใช่มั๊ย ยองอุน?” หันไปถามอีกฝ่ายเสียงใส

     

     

    “ครับ..ผมกลัวว่าแม่จะโกรธ นั่นลูกรักแม่ทั้งคนนิ” ประโยคหลังเอ่ยแซวมารดาจนนางหันมาค้อนใส่

     

     

    “แล้วทำไม..” นางคิมกำลังจะถามถึงสาเหตุของการเลิกแต่ผู้เป็นสามีกลับขัดซะก่อน

     

     

    “เอาเถอะๆ พ่อแม่คงไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของลูก..เป็นเพื่อนกันได้ก็ดีแล้ว” เอ่ยสรุปแล้วหันไปมองอดีตคนรักลูกชาย “หนูอีทึกก็ยังเป็นลูกพ่อกับแม่อยู่นะ..บ้านหลังนี้ต้อนรับลูกเสมอ” ยิ้มอบอุ่นให้อีกฝ่าย

     

     

    “ใช่ๆๆ ใครไม่รักลูกแม่ช่างมัน..ชิส์” นางคิมยังอดเคืองลูกชายตัวเองไม่ได้ “มามะมาให้แม่กอดหน่อย” หล่อนอ้าแขนกว้างรอ อีทึกรู้ว่านางต้องการที่จะปลอบตนก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ ร่างบางลุกไปหาหญิงสาวผู้เป็นเหมือนแม่ก่อนจะกอดแน่นๆอย่างขอบคุณ

     

     

    คังอินมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ร่างบางของคนที่เขากำลังจะเริ่มต้นใหม่กับคำว่าเพื่อนกำลังสวมกอดกับแม่..คนที่เป็นเพื่อนยังกลายมาเป็นแฟนได้แล้วทำไมคนที่เคยเป็นแฟนจะกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้..จริงมั๊ย?

     

    TBC



















    ทอล์คซักนิด

    ตกลงรู้กันแล้วใช่มั๊ยคะว่าคู่ไหน? แต่อ๊ะ..อย่าเพิ่งนอนใจถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าคังทึกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจบแบบคังทึกนะ ฮี่ๆๆๆ ดังนั้นพีคไม่รับประกันว่ามันจะจบแบบไหน(เพราะพีคก็ไม่รู้ =..=) ความจริงแพลนพีคคืออัพ KvQ แต่แบบ..หัวว่างเปล่ามากกกก คือทุกคนเรียกร้องทึกแต่พีคยังไม่รู้ว่าจะเอาทึกออกมายังไงดีก็เลย..แว้บบมาเป็นเรื่องนี้(เกี่ยวมั๊ย?) ยังไม่อยากลงแบบครึ่งๆกลางๆแบบนี้เลยนะแต่รู้สึกว่าตัวเองดองนานนนนเกินไปแล้ว ใช่มั๊ยคะคนอ่าน?



    โปรดรอตอนต่อไปที่ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน..ฮ่าๆๆๆ

    t em

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×