ตอนที่ 4 : 04 - เด็กหยาม
04
นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่ผมไม่ได้มาสยาม
พอชีวิตเข้าสู่วัยทำงานซึ่งงานน่ะทำที่บ้านก็ได้ ก็เลยไม่ได้ออกมาเที่ยวที่ไหนเท่าที่ควร พวกเพื่อนๆผมส่วนมากทำงานสายภาษา บ้างก็ไปเป็นแอร์ เป็นสจ๊วต แต่งงานมีครอบครัวอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เรียนจบก็มี ยิ่งพอต้องไปขายข้าวแกงแทนแม่วันจันทร์ถึงศุกร์ก็ยิ่งไม่ได้ย้ายร่างไปไหน
“เออ มึงรีบมาละกัน กูทำงานรออยู่ที่สตาบัคส์ตรงสยามวันนะ”
[เออจ้า]
“สัด จะเออก็เออจะจ้าก็จ้า”
[ไม่ได้เจ้าชู้ แค่ไม่รู้จะเลือกใคร~]
ไอ้สัด
ร้องเพลงทรีทูวันซะงั้น เป็นอะไรกันนักกันหนาวะโลกมนุษย์
“แค่นี้นะ กูไปเอากาแฟแล้ว”
[เจอกันมึง ท้องไม่แตกไม่กลับบ้านอะ พี่บาร์บีกอนต้องร้องไห้] ผมหัวเราะใส่โทรศัพท์ไปทีก่อนจะกดวางสาย มันจริงอย่างที่ใครๆบอกไว้ว่าหลังเรียนจบ การนัดเพื่อนเก่ากลับมาเจอกันนั้นเป็นเรื่องยากไปแล้ว
ผมจบมหาวิทยาลัยมาได้ก็เข้าปีที่สามและกำลังจะข้ามไปปีที่สี่ อย่างที่บอกไปว่าบางคนย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว วันนี้ผมก็โดนนัดๆมาให้กินบาร์บีกอนกับเพื่อนๆ ไม่ใช่นัดแรกของพวกเราหรอกในปีนี้ นัดเป็นสิบครั้งแล้วก็เป็นอันยกเลิกทุกครั้งไป
หวังว่าครั้งนี้จะได้เจอกันจริงๆจังๆซักที
“ไอซ์ลาเต้ของคุณแกงครับ”
“ครับ”
ผมเดินไปหาพนักงานพร้อมกับโชว์สลิป คนเยอะแยะไปหมดในช่วงบ่ายวันเสาร์ จะว่าไปผมเจอนักเรียนที่โรงเรียนเยอะมาก คุ้นหน้าคุ้นตาไปซะทุกคน คงไม่พ้นมาเรียนพิเศษกันนั่นแหละนะ
ผมบิดขี้เกียจ เปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาทำงานในขณะที่ดูดลาเต้แก้ง่วงไปด้วย เมื่อคืนผมนั่งทำซับฯเกือบจะเสร็จ เหลืออีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์กับนั่งดูอีกซักสองสามรอบไม่ให้มีคำแปลกๆหรือคำผิดหลุดลอดไป เกือบจะทำงานไม่ทันเดดไลน์แล้ว คืนนี้คงต้องปั่นวนไปจนถึงตีสาม
แต่เอาเถอะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์
ก๊อก ก๊อก
“ … ”
ผมที่มักต้องใช้สมาธิเสมอเวลาฟังตัวละครพูดกันในหนังหรือซีรีส์ที่จะต้องแปลบทสนทนาเลยต้องซื้อหูฟังที่แพงซักหน่อยเพราะมันจะตัดเสียงรบกวนด้านนอกออกจนหมดกำลังจดจ่อกับงานที่ต้องทำ หางตาเห็นว่าผู้คนข้างนอกเดินพลุกพล่านไปทั่ว
โชคดีที่เป็นคนค่อนข้างมีสมาธิ ทำงานนอกบ้านได้ ไม่งั้นล่ะก็ไฟท่วมแหงๆ
ก๊อก ก๊อก
ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าโลกหยุดหมุน
“เหี้ย!”
มันไม่ใช่วินาทีที่ตราตรึงเพราะประทับใจหรอก แต่เป็นเพราะตกใจซะมากกว่า
“พี่แกงๆๆๆๆ!”
ไอ้หมู!
ไอ้เด็กเหี้ย!
ผมทำตาโตมองเด็กหน้าตาดีกับผมที่เริ่มยาวแล้วเกาะกระจกเป็นปลิง มันยิ้มแฉ่งบี้จมูกกับกระจกในขณะที่เพื่อนกลุ่มโตที่รออยู่ด้านหลังแทบจะยกตีนก่ายหน้าผากกับพฤติกรรมกวนตีนเกินจะแก้ของมัน
“เอาหน้าออกไป!” ผมทำมือประกอบให้มันถอยออกไปห่างๆ คนในร้านกาแฟและคนด้านนอกเริ่มมองเราสองคนแล้วปิดปากหัวเราะคิกคักพร้อมกับพูดว่า ‘นั่นใช่น้องนมเปรี้ยวรึเปล่าๆ’
โว้ยยยยยยยยย ก็โฆษณามันออนแอร์แล้วน่ะสิ แถมยังมีป้ายติดทั่วบีทีเอสเลย ยิ้มแฉ่งแนบขวดนมยี่ห้อดังรสออกใหม่อย่างผักผลไม้รวมน้ำตาลศูนย์เปอร์เซ็นต์ข้างแก้ม แม่ผมยังชมเลยว่าเด็กที่ไหนหน้าตาดีจังตอนโฆษณามันคั่นละครหลังข่าว
น่ากลัวจริงโว้ย!!
“ขอเข้าไปหาพี่ได้มั้ย”
“อะไรนะ”
ผมอยากจะออกจากร้านไปด่ามัน แต่จะทำได้ไงในเมื่อของเยอะฉิบหายกองระเนระนาดอยู่แบบนี้ มันทำหน้ามันเขี้ยวผมก่อนจะสะบัดตูดเดินเข้ามาในร้าน เด็กมัธยมปลายเดี๋ยวนี้คงฮิตแต่งตัวแนวสตรีทกันเพราะเขาดูแล้วทั้งแก๊งที่มากับมันก็ใส่แนวๆนี้
แปลกหูแปลกตาดี
เอ๊ะ ว่าแต่มึงเข้ามาหากูทำไม!?
“พี่แกงงงง เตงมาทำไรอะ”
“ซักผ้ามั้งเนี่ย ก็เห็นอยู่ว่ากูทำงาน”
“โห่ ไรอะ”
“ไรอะ”
“ที่เจอกันวันนี้อะ เขาเรียกพรหมลิขิตนะรู้ปะ”
“มึงใจเย็น” ผมยกมือขึ้นห้ามทุกความคิดของมัน มันไม่สนใจ ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามผมไม่พอยังหันไปโบกมือให้เพื่อนมันดูอีกต่างหาก ไอ้เด็กทั้งกลุ่มก็ทำตัวเป็นผู้สื่อข่าว ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเหี้ยอะไรกัน!
“คนในสยามมีเป็นล้านคน ทุกคนมีเป็นล้านใจ”
“หมู กูขอร้อง วันนี้วันเสาร์ มึงต้องหยุด”
“หยุดไม่ได้ใจดวงนี้อะ”
“เอางี้ กูเลี้ยงน้ำ สั่งเลยแล้วกลับบ้านไป”
“กลับได้ไงอะ เค้าต้องรอแคสต์งานตอนหกโมงอะ” สารพัดสรรพนามที่มันใช้ทำให้ผมปวดหัว ผมแทบจะยื่นลาเต้ให้มันดูดเผื่อจะหายบ้า ไปๆมาๆก็กลายเป็นว่าทั้งผมทั้งมันเงียบ เราพิจารณาใบหน้ากันอยู่แบบนั้น
สุดท้ายผมก็ได้รู้ว่ามันเจาะหูจริงๆ เจาะทั้งสองข้างเลย ใส่ต่างหูสีเงินเป็นห่วงๆที่ดูมีราคาไม่ใช่ของค้าของขายตามตลาดนัด .. มันยิ้มกวนๆให้ผมอีกครั้ง ทำท่าเหมือนเห็นลูกหมาซึ่งลูกหมาก็คือผมนั่นแหละ
“อะไรของมึง”
“พี่น่ารักอะ แต่งตัวโคตรนุ่มนิ่มเลย”
“เหี้ยไร เขาก็แต่งแบบนี้กันทั้งสยาม”
“เสื้อเชิ้ตสีฟ้าเนี่ย คิดมาตั้งแต่วันไหนวะว่าจะใส่ โคตรมันเขี้ยว”
“นี่กูพี่มึงนะ” ผมเอ็ดมันไปทีก่อนจะขยับตัวไปมาเพราะไม่สบายใจกับการเป็นจุดพักสายตามันเท่าไหร่ ผมชอบใส่เชิ้ตตัวหลวมๆกับยีนส์ไม่ก็กางเกงขากระบอกสีดำ รองเท้าผ้าใบ เท่านั้นแหละ .. ขี้เกียจคิด จริงๆอยากจะใส่สีดำหรือเทา แต่การโตมาโดยมีแม่เป็นคนเดียวที่เลี้ยงดู ทำให้ผมต้องใส่เสื้อผ้าสารพัดสีพาสเทลเพราะแม่พูดกรอกหูตลอดเวลาว่าสีทึมๆน่ะมันอัปมงคล
“ไปได้แล้วมั้ง เพื่อนรอ”
“อยากมองพี่นานๆ”
“แล้วจะให้ทำยังไง”
“ผมขอถ่ายรูปพี่รูปนึงได้มั้ยครับ?”
ผมชั่งใจอยู่พักหนึ่ง
เรื่องของเรื่องก็คือผมไม่ชอบถ่ายรูปเอาซะเลย
“นะพี่ วันนี้ผมแคสต์งานด้วย”
“อะไรนักหนาเน้อ แข่งบอลก็ทีแล้ว”
“ขอถ่ายรูปเดียว นะครับ นะ” เคยมีใครบอกมันมั้ยนะว่าอย่าทำเสียงหรือทำหน้าอ้อนๆแบบนี้ มันทำให้ผมหนักใจเพราะเอาเข้าจริงก็ไม่ใช่คนใจแข็งขนาดนั้น
ผมพยักหน้าช้าๆก่อนจะหยิบน้ำขึ้นมาดูด เหลือบตามองไอ้เด็กคนเดิมที่ยกไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมากดยิก ๆเป็นร้อยครั้ง ผมอ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะชี้หน้าด่ามัน มันก็วิ่งหนีออกไปนอกร้านแล้วหมุนตัวกลับมาทำมินิฮาร์ทให้
เหี้ย ..
ไอ้เด็กเหี้ยเอ๊ย
/
“มึง บอสกูนะ ขี้บ่นฉิบหาย เพิ่งจะสามสิบต้นๆ บ่นอย่างกับจะตายพรุ่งนี้”
“อีเนตร เจ้านายกูไม่แพ้กัน ใช้กูทุกอย่างค่ะ ถ่ายเอกสารยันรับลูกตอนเลิกเรียน! เงินเดือนเท่าไหนคะอีเวร เงินเดือนเท่่าเดิม!”
“พวกมึงหุบปากไป เจอกูครับ เป็นครูหรือเป็นทาส กูจบเอกอังกฤษ ใช้ทำงานธุรการไม่พอให้ไปสอนคณิตศาสตร์มอต้นอีก”
ข้าวแกงหัวเราะออกมาเบาๆทั้งๆที่ยังมีหมูอยู่ในปาก มันอดไม่ได้จริงๆเพราะบทสนทนาของเพื่อนที่เต็มไปด้วยเรื่องงานและการด่าทอเจ้านายทำให้เขาอารมณ์ดี ทั้งนี้ทั้งนั้นแค่ได้เห็นว่าพวกมันสบายดีก็ดีแล้ว
“แล้วมึงล่ะแกง งานการ โอเคมั้ย?”
“โอเค กูสบายๆ”
“บุญของมึงแล้ว คิดถึงแม่ไก่ อยากกินผัดไทยฝีมือแม่มึง”
“มาดิ พรุ่งนี้ก็ได้ อยู่บ้านทั้งวัน”
“จริงมั้ย”
“จริงๆ นัดเวลามาเลย จะได้พาแม่ไปตลาด” เพื่อนๆในกลุ่มที่ยังปิ้งหมูกันอย่างต่อเนื่องยิ้มสดใสเพราะใครๆก็คิดถึงรสมือแม่ของแกงทั้งนั้น นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันแล้วพูดคุยเรื่องชีวิตกันแบบนี้
“เออ มึงได้ยินบ้างเปล่าว่าปอยมันหย่ากับพี่จอมแล้วอะ”
“เฮ้ย จริงดิ”
“จริงๆมึง โชคดีที่มันยังไม่มีลูก ไม่งั้นยุ่งกว่าเดิมเลย”
“บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งรีบแต่ง เนี่ยอีเนตร มึงก็ดูดีๆนะ หมั้นแล้วยังถอนหมั้นได้ แต่งแล้วหย่ามันยากกว่าเดิมเยอะ” แกงมองเพื่อนผู้หญิงที่คุยกันเรื่องหมั้น แต่งงานและหย่า ชีวิตมันก็ยากแบบนี้ บางคนแต่งงานแล้วก็คิดว่านั่นคือจุดที่จะราบรื่น แต่ไม่เลย เราต้องเป็นอะไรก็ได้ที่พร้อมจะรับกับแรงกระแทกของลูกรังบนถนน
โชคดีจริงๆที่เขายังไม่เคยพาตัวเองไปถึงตรงนั้นเลย
จะว่าก้าวแรกก็ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำล่ะมั้ง
“แล้วมึงล่ะแกง?”
“หา” คนถูกถามร้องเสียงหลงจนเพื่อนตัวโตถามซ้ำอีกทีเพราะคิดว่ามันคงเหม่อๆจนไม่ได้ยินอีกแล้วแหงๆ แกงก็แบบนี้ ถ้ามันคิดอะไร สติจะหลุดไปจากวงสนทนาเลย
“กูถามว่ามึงมีแฟนบ้างรึยังครับไอ้สัด”
“ .. ยังเลย”
“โห่!”
“แกง มึงโสดเอาประกาศนียบัตรเหรอวะ”
“แก่ไปกว่านี้ก็หายากแล้วนะเว้ย หรือมึงจะอยู่คนเดียว ก็เวิร์กนะเว้ย .. ดูเพื่อนเราหลายๆคนดิ แรกๆก็สวยหรู หลังๆแม่งพังไม่เป็นท่า” แกงไม่ได้ตอบอะไร มีแค่รอยยิ้มบางๆกับมือไม้ที่โบกไปมาเป็นเชิงบอกว่าเขายังไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้มากนัก
“ไม่มีคนมาจีบเลยเหรอวะ”
‘ที่เจอกันวันนี้อะ เขาเรียกพรหมลิขิตนะรู้ปะ’
“ก็ .. ”
“มีเหรอ?!”
“มึง มันหน้าตาดีนะเว้ยข้าวแกงของเราๆอะ กรี๊ดดดดดด~~ ผู้หญิงสมัยนี้รุกแรง! กูบอกเลย!” เพื่อนๆมองข้าวแกงเป็นสายตาเดียวเพราะคนตัวบางทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกหยิบแก้วน้ำมาจิบทำหน้าจืดๆ
“แกง!!”
“ … ”
“ผู้ชายมาจีบมึงอีกเหรอ?!”
“อือ”
“กรี๊ดดดดด!!!”
“น้องแกงของกู ตลอดเลย” แกงไม่รู้จะตอบคำถามที่เพื่อนผลัดกันยิงมายังไงดี เช่น ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เจอกันที่ไหน เขาจีบยังไงเพราะจะให้บอกตรงนี้ก็ไม่ได้ว่าชื่อหมู อายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด เจอกันที่โรงเรียนตอนขายข้าวแกง ส่วนวิธีจีบน่ะสารพัด
เออ สารพัดสารเพ
“มึง มันไม่ได้สำคัญหรอกหน่า”
“สำคัญสิวะ มึงแม่งปิดใจ”
“ไม่ได้ปิดโว้ยยย แค่ไม่รู้จะมีไปทำไม กูก็แฮปปี้ดี”
“มึง ความรักจากคนรัก มันไม่เหมือนจากเพื่อนหรือครอบครัวนะ” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งบอกพลางใช้ตะเกียบประกอบการพูด
“มันอาจจะไม่ใช่รักที่พิเศษสุดแบบที่พ่อแม่มีให้เราแบบไม่มีเงื่อนไข มึงเก็ตใช่มั้ย แต่มันเป็นรักที่สุดท้าย ในวันที่มึงเหนื่อยๆ ขอแค่ได้กอดหรือเห็นเขายิ้ม มึงก็จะรู้แล้วว่าเออ ข้างๆมึงมีเขา”
“มันไม่เก็ตมึง” เนตรหัวเราะเสียงหลงเพราะใบหน้ายุ่งๆของข้าวแกงบ่งบอกว่ามันไม่เข้าใจความรักในรูปแบบแฟน เรื่องจริงที่สุดก็คือมันไม่เคยปล่อยให้ตัวเองชอบใครขนาดนั้น ชอบเฉยๆ ชอบทั่วไป ไม่ชอบก็ได้ มันไม่เดือดร้อน
นั่นแหละข้าวแกง
“เออเอาเหอะแกง ถ้ามึงแฮปปี้กับอะไรก็เลือกอันนั้น”
“อะ คำถามสุดท้ายละแกง”
“ว่า”
“คนที่เข้ามาจีบมึงอะ .. หวั่นไหวกับเขาบ้างป้ะ”
“มึงนิยามคำว่าหวั่นไหวยังไงวะ”
แกงตอบกลับไปด้วยคำถาม เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าขอบเขตของคำว่าหวั่นไหวมันอยู่ตรงไหนกันแน่สำหรับแต่ละคน สุดท้ายแล้วก็คงเป็นเขานี่แหละที่ไม่กล้าตัดสินความรู้สึกตัวเอง
“ก็แบบใจเต้นแรงเพราะเรื่องที่เขาทำให้”
“นี่ๆ มันต้องแบบนี้ด้วย เผลอคิดถึงเขาไง”
คนตัวบางถอนหายใจ หันไปสบตากับเพื่อนผู้ชายสามสี่คนในโต๊ะ มันแอบขำกันเพราะรู้ว่าเขาคงไม่อยากตอบคำถามเรื่องพวกนี้แต่ก็นั่นแหละ ทำใจไว้เลย ถ้าพวกผู้หญิงจะเอาคำตอบ ยังไงก็ต้องง้างปากเขาให้ตอบอยู่ดี
“ก็เออ”
“โอ๊ย! ข้าวแก๊ง!”
“ถ้าหวั่นไหวของพวกมึงนิยามแบบนั้น .. กูก็คงหวั่นไหวมั้ง”
สถานีต่อไป .. ศาลาแดง
ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนเส้นทางไปรถไฟฟ้ามหานครได้ที่สถานีนี้”
อะไรจะแย่ไปกว่าการที่ตัวเราเหม็นหมูย่างจากร้านชื่อดังแล้วต้องมาขึ้นบีทีเอสเบียดๆแบบนี้กันวะ ข้าวแกงคิดในใจตอนที่ทำตัวลีบไปกับผู้คน ก่อนที่รถไฟฟ้าจะเบรกอย่างรุนแรงจนผู้โดยสารผู้หญิงส่งเสียงกรี๊ด เขาถอนหายใจออกมายาวๆตอนที่ทุกคนกรูออกไป
โบกี้โล่งๆเป็นอะไรที่เขาเฝ้ารอ โชคดีที่โน้ตบุ๊กไม่หนักมากเลยสะพายไว้บนไหล่ได้โดยไม่รู้สึกปวด พออายุใกล้จะสามสิบแล้วก็รู้สึกว่าร่างกายมันใช้งานได้ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน แต่เอาเถอะ ต้องโทษตัวเองนั่นแหละที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย
ตากลมมองสำรวจไปทั่วเพราะไม่รู้จะพักสายตาไว้ตรงไหนอีกทั้งเขาไม่ใช่คนติดสมาร์ทโฟน แต่แล้วก็ต้องทำตาโตเพราะเห็นบางคนยืนพิงหลังกับฝั่งหนึ่งของรถที่เป็นช่วงรอยต่อระหว่างโบกี้
สาธุ
สาธุอย่าเพิ่งเงยหน้าขึ้นมา
สาธุอย่าได้เห็นกันเลย
“พี่แกง?”
สัด
“โห พี่แกงจริงๆด้วยว่ะ” มันทำท่าดีใจ หูตั้งหางกระดิกเหมือนหมาไม่มีผิด แกงถอนหายใจ เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหามันเองเพราะทำเลตรงนั้นดี กว่าจะถึงตลาดพลูก็อีกหลายสถานี ดังนั้นยืนคุยกับมันหน่อยจะเป็นไรไปวะ
“บ้านอยู่ทางนี้เหรอ”
“ครับพี่ ผมลงสุดสายเลย”
“บางหว้าอะนะ?”
“ครับ วันนี้กลับบ้านอะ พ่อกับแม่ตาม”
“อยู่แถวไหนวะ”
“แกรนด์เพลสครับ พี่รู้จักมั้ย?”
ไอ้เหี้ย
ไม่รู้จักก็บ้าแล้ว หมู่บ้านจัดสรรที่โคตรจะแพง .. แกงมองหน้าไอ้เด็กคนเดิมที่ถอดหูฟังออกเพื่อจะคุยกับเขา ในมือมันมีถุงแพนเค้กร้านที่คนต่อแถวกันเยอะๆ เดาว่าคงซื้อไปฝากที่บ้าน
จะว่าไป ไม่ได้เห็นมันใส่ชุดนักเรียนก็โคตรจะไม่ชินเลย แถมมายืนข้างๆกันแบบนี้ยิ่งไม่ชินเข้าไปใหญ่เพราะจะกี่ทีๆเขาก็รู้สึกว่ามันตัวสูงซะเหลือเกิน
“แล้วพี่ไม่ขับรถมาเหรอครับวันนี้”
“ฮึ ขี้เกียจ .. เฮ้ย อย่ามาใกล้ ตัวกูเหม็นหมูย่าง”
“ไม่เห็นจะเหม็นเลย”
พูดอย่างเดียวไม่พอต้องเอาจมูกมาโฉบแถวผมแถวไหล่เขาจนต้องพาตัวเองออกมายืนไกลๆมันพร้อมกับทำสีหน้าหวาดๆ ก็ตัวมันโต ถ้าโดนหนักๆก็คงจะสู้มันไม่ไหว แล้วไอ้รอยยิ้มขำๆนั่นมันอะไรกันวะ เขาโตกว่ามันตั้งกี่ปี
“พี่แกง”
“เรียกอะไรนักหนา”
“ไม่ให้เพลงเค้ากลับเลยอะ”
“เฮ้อ” แกงถอนหายใจใส่หน้าหมูไปทีเพราะมันน่ะที่สุดของความวอแวแล้ว ถามว่าลืมแฟลชไดร์ฟมันมั้ย ก็ไม่ได้ลืมหรอก แต่ไม่อยากทำให้มันรู้สึกว่าเป็นกิจวัตร พอใจเรามันคุ้นเคยแล้วก็ถึงเวลาต้องมารับผิดชอบ .. เขาไม่อยากให้ใครต้องมานั่งคอยหรือเสียความรู้สึกกับอะไรแบบนี้เลย
“ขอเพลงนึงได้มั้ยพี่ นะ .. สงสารเด็กตาดำๆ”
“ขอหลายอย่างเหลือเกินมึงเนี่ย แล้วบอกจะถ่ายรูปเดียว กูยังไม่ได้คิดบัญชี”
“มือลั่นอะ จริงๆ” คนตัวเล็กกว่าอยากจะทุบไหล่กว้างๆให้มันร้องโอ๊ย พูดมาได้มือลั่น หน้าสลอนจริงๆ! แกงยังไม่ทันจะอ้าปากบ่นอีกฝ่ายต่อ ไอโฟนสีดำก็ถูกยื่นมาให้
“เสิร์ชในแอปเปิ้ลมิวสิกก็ได้ หรือจะสปอติฟายก็ได้”
“ใช้ทำไมหลายอัน เลือกเอาซักอย่างดิที่สำคัญ”
ขี้บ่น
แต่ก็นั่นแหละ
“ผมชอบระบบของแอปเปิ้ลมากกว่าแต่ชอบเพลย์ลิสต์ของสปอติฟายไงครับ มันก็มีดีต่างกัน”
น่ารัก
“แล้วเวรกรรมอะไรของกูต้องมายอมมึงวะ”
“ยอมกันหน่อย ผมก็ตัวเท่านี้”
“สูงอย่างกับเสาไฟ”
“ก็พ่อผมสูงอะ แม่ก็สูง นั่งรถเลยไปบางหว้าดิพี่ เดี๋ยวพาไปเจอ” แกงแยกเขี้ยวใส่คนกะล่อน ไม่ต้องมาหลอกไปบ้าน โตแล้วรู้ทันหรอก
นิ้วยาวพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กลงไปในแป้นแต่เจ้าของโทรศัพท์ไม่มีโอกาสได้เห็น รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็ส่งโทรศัพท์คืนก่อนจะกำชับพร้อมใบหน้าดุๆว่า
“ห้ามฟังจนกว่าจะถึงบางหว้า”
“โห เตง”
“ไปแล้ว ห้ามตามมานะเว้ย!”
“ขอไปส่งบ้านก็ไม่ได้เหรอ ทางผ่าน”
“ไม่ต้องยึกยัก กลับบ้านได้แล้วไอ้ลูกหมา กี่โมงกี่ยามแล้วแหกตาดู” ป้าไก่ก็ไม่ได้ขี้บ่น ทำไมลูกชายแกขี้บ่นนักก็ไม่รู้ หมูส่ายหัว มองแผ่นหลังบางในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีฟ้าเดินผ่านกรอบประตูรถไฟฟ้าไปเมื่อถึงสถานีปลายทางของตัวเอง เขามองอีกคนจนลับสายตา
มือใหญ่กำโทรศัพท์ตัวเองไว้แน่น เฝ้ารอเวลาให้ถึงสถานีบางหว้าราวกับรอคุกกี้ที่กำลังอบในเตา พี่แกงทำให้เขากลายเป็นคนซื่อสัตย์
ขนาดตัวไม่อยู่ตรงนี้แล้วเขายังเชื่องเป็นหมาเลย
คำไหนคำนั้นของจริงว่ะ
สถานีต่อไป .. สถานีปลายทาง บางหว้า
“ … ”
ผู้โดยสารโปรดทราบ รถไฟฟ้าขบวนนี้ สิ้นสุดการให้บริการที่สถานีนี้
ขอความกรุณาผู้โดยสารออกจากขบวนรถ ขอบคุณค่ะ
คนตัวสูงกับถุงแพนเค้กที่แม่กำชับแล้วกำชับอีกว่าต้องได้กินยืนฟังเสียงปี๊บๆของประตูรถไฟฟ้าที่ปิดลง ตาคมมองสิ่งที่ปรากฏอยู่ในช่อง recently added บนจอโทรศัพท์ตัวเอง
รอยยิ้มกว้างแบบที่มีไว้เพื่อคนคนเดียวเท่านั้นประดับอยู่บนใบหน้าของคนที่ใจเต้นแรงจนตัวชา
bodyslam - ทางกลับบ้าน
/
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจเพราะวันอาทิตย์ที่ปั่นงานจนเสร็จโดยที่ไม่กินเวลาถึงตีสองตีสามแถมยังได้กินผัดไทยฝีมือแม่กับเพื่อนๆมันสุดแสนจะวิเศษ แต่ก็จบลงแล้วเพราะแม่ด่าเขาบ้านแทบแตกให้ไปออกกำลังกายบ้าง
ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้ผมขับรถมาไกลถึงศาลายาเพื่อวิ่งในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่เคยอยากเข้ามากๆสมัยเรียนมัธยม แต่ด้วยความที่สายที่ผมอยากเรียนมันน่าจะดีกว่าถ้าเรียนแถวสยาม ก็เลยนั่นแหละ .. ใช่ว่าเราจะเลือกแต่สิ่งที่ชอบได้ซะที่ไหน
ผมก้มลงผูกเชือกรองเท้าให้แน่น บิดซ้ายบิดขวาอีกทีก่อนจะออกตัววิ่งโดยไม่ลืมที่จะเสียบหูฟังฟังเพลงไปด้วย จะว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้มาออกกำลังกาย
ผมออกวิ่งช้าๆ เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆให้กล้ามเนื้อพอจะปรับตัวไหว รับรู้ถึงลมเย็นๆที่พัดผ่านตัว วิวสวยๆ พระอาทิตย์ที่เคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆและลมหายใจของตัวเองที่เข้าออกกระชั้นตามประสาคนไม่ค่อยออกกำลัง
แล้วจู่ๆบทสนทนาของแม่ตัวเองกับเพื่อนของผมก็ดังขึ้นในหัว
‘แม่ ไอ้แกงมันไม่ยอมมีแฟนซักที .. แม่กล่อมมันหน่อยนะครับ’
‘พยายามแล้วโจ้เอ๊ย มันไม่ฟัง สงสัยตายด้าน’
‘นั่นสิคะแม่ สมัยเรียนมีคนมาจีบ มันก็ไม่อิน’
ผมเผยรอยยิ้มออกมาเพราะคิดว่ามันตลกดี
นี่ผมดูเป็นคนไม่อินกับความรู้สึกแบบนั้นขนาดนั้นเลยเหรอ ให้ตาย
‘แม่กลัวแค่แกงมันแก่แล้วไม่มีคนดูแล’
‘นั่นสิคะแม่ หนูน่าจะตายก่อนมัน คงดูแลให้แม่ไม่ได้ ฮ่าๆ’
‘ไม่ต้องมีลูกก็ได้ แม่แค่อยากให้มีคนข้างๆ .. มีใครก็ได้ให้มันไม่รู้สึกโดดเดี่ยว’
ที่จริงผมคิดว่าผมเป็นคนหนึ่งที่รู้จักความโดดเดี่ยวดีกว่าใครๆ มันมีช่วงหนึ่งที่ร้านขายข้าวแกงของแม่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง แม่ให้ผมอยู่บ้านคนเดียว เล่นกับหุ่นยนต์ สมุดภาพและดินสอสี .. ผมคุยกับความเงียบในบ้านหลังเล็กๆของเรา
ไม่ได้รู้สึกขาด
เพราะมันเป็นรูโบ๋ขนาดใหญ่ตั้งแต่ชีวิตช่วงประถมที่ไม่มีพ่อไปให้ไหว้ในงานวันพ่อแล้ว
“ … ”
ไม่มีใครชอบความรู้สึกโดดเดี่ยวหรอก
เราแค่ชินกับมัน .. เพราะเราต้องอยู่ให้ได้เท่านั้นเอง
และมันเป็นตอนนั้นเองที่มืออุ่นๆของใครบางคนแตะลงบนไหล่ผม ผมสะบัดตัวออกตามประสาคนขี้ตกใจ เพื่อนสนิทผมทุกคนจะรู้ว่าถ้าเรียกไม่ขานแล้วมาจับตัวผมล่ะก็จะต้องโดนสะบัดออกแบบนี้
“เฮ้ย .. พี่ ผมขอโทษ”
อีกแล้ว
.. เป็นมึงอีกแล้วเหรอวะ
“โทษที กูตกใจ” ผมหอบแฮ่กๆบอกมันไป หมูอยู่ในชุดออกกำลังกาย เสื้อกล้ามสีดำที่มันใส่ทำให้ผมเห็นว่าแขนมันมีกล้ามแบบที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคงออกกำลังกายเป็นกิจวัตร
แล้วดูแขนผมสิ
เวรจริงๆ
“พรหมลิขิตมันมีจริงๆนะพี่”
“กูจะไม่แก้ไขความเข้าข้างตัวเองของมึงอีกต่อไปหมู”
“พี่มานานรึยังครับ?”
“เพิ่งวิ่งได้ไม่ถึงสิบนาทีเลย มึงล่ะ”
“นานแล้วครับ ว่าจะไปหาอะไรกิน วิ่งอีกซักรอบ”
“โห นี่มึงวิ่งกี่รอบแล้วเนี่ย”
“ไม่ได้นับครับ แต่มีกิโลบอกตรงนี้นะ” มันยื่นนาฬิกาที่ใส่ให้ผมดูและผมก็ดูจริงๆ รู้ตัวอีกทีก็อยู่ใกล้มันมากๆจนตาลายเพราะกลิ่นน้ำหอมปนเหงื่อของมัน .. เหี้ย
นี่มันความรู้สึกอะไรกันวะ
“กี่โลอะพี่ หัวพี่บังอะ”
กี่โลอะไรล่ะ
ตากูมองไม่เห็นอะไรแล้วเนี่ย
“อ้าว ถามไม่ตอบ ลืมปากไว้ที่ไหนเนี่ย”
“มึงกวนตีนกูละนะอันนี้”
“ขอวิ่งด้วยดิ นะ”
“สารพัดขอจริงๆมึงเนี่ย”
“จะวิ่งช้าๆเลย อยากวิ่งไปกับพี่อะ” มันทำหน้าระริกระรี้ รอยยิ้มแบบนี้ ตาพราวแบบนี้ สะบัดสะบิ้งเป็นตุ๊ดแบบนี้ .. ไม่ต้องสืบเลย โตอีกซักหน่อยแต่งหญิงแน่นอน
เทคยาคุมเลยดีมั้ยวะหมู เตรียมความพร้อม
“จะมาก็มา แต่ถ้ากูวิ่งไว กูไม่รอนะ”
“ผมก็วิ่งไว”
“ปากดี”
“จริงๆ พี่อะ วิ่งหนีผมให้ทันเหอะ” มันว่า
“วิ่งนี่ไม่คุยนะ จะฟังเพลง”
“ผมด้วย!”
ไอ้ลูกหมาเอ๊ย เขาล่ะเกลียดน้ำเสียงกับสีหน้าของมันตอนพูดออกมาจริงๆ อย่าให้ได้ยินนะว่าชวนคุย พ่อจะด่าให้ลืมทางกลับบ้านเลย
“พี่แกง”
“อะไรอีก”
“เดี๋ยววิ่งเสร็จกินข้าวกันมั้ย มีร้านอร่อยนะ”
“ … ”
“อร่อยจริงๆ” มันพรีเซนต์และผมไม่ได้รีบไปไหนเพราะเย็นนี้แม่บอกให้กินข้าวไปเลย แม่จะไปกินข้าวกับเพื่อน .. ผมเกลียดจริงๆที่ทุกอย่างระหว่างผมกับมันมักจะเหมาะเจาะ
มันเข้ามาในช่วงที่ผมชักอยากจะรู้แล้วว่าทำไมคนเราต้องเสี่ยงอะไรๆเพราะคำว่ารัก
มันเข้ามาในช่วงที่ผมรู้สึกว่าชีวิตมันช้าและใกล้จะกลายเป็นสีครึ้มๆก่อนเวลาอันสมควร
“เออ”
เวลาของมัน
กับเวลาของผม
“ไปก็ไป”
มันจะกลายเป็นเวลาของเราได้จริงๆมั้ยนะ
tbc.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่องหมูสู้ๆๆพี่แกงหวั่นไหวแล้วส
คคู่นี้คือเขาเทคกัญชาเยอะเกรอคะ...กาวมากกก555
ชอบ ชั้นน่ะเเพ้ทางคนเเบบหมูที่สุดเลย!!
มาขำรูปหนูตอนสุดท้าย5555