คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : 07 - you are the reason, the reason i sing.
“พี่โปรด”
ชิโร่มองพี่ชายคนเดียวของเขาที่ลอยตัวอยู่ในสระน้ำ ผมสีดำเปียกปอนลู่ไปด้านหลังในขณะที่ใบหน้าดุดันนั้นโผล่พ้นผิวน้ำเพื่อใช้ดวงตาจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าตรงที่ที่เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่นอกจากความมืด
ไม่มีดาว
ไม่มีใดอื่น
“what’s wrong with you?”
เสียงการเคลื่อนตัวของบางคนในสระน้ำดังขึ้นพร้อมกับการพาตัวเองจมดิ่งลงไป ชิโร่ถอนหายใจ ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวข้างสระ เขาหยิบเบียร์กระป๋องที่ยังไม่ได้เปิดของพี่ชายมากระดก .. ซองบุหรี่กลวงเปล่าบ่งบอกว่าคนตรงหน้าสูบอย่างหนักก่อนจะลงไปที่สระน้ำเพราะเถ้าของมันกองพะเนินอยู่ไม่ไกล
นิสัยเสีย
พี่โปรดน่ะ
“ปลื้ม”
“พี่เป็นผีหรือไง” คนอายุน้อยกว่าบ่นอย่างหัวเสียเมื่อพี่ชายตัวดีผุดขึ้นมาจากผิวน้ำโดยไม่บอกไม่กล่าว หยดน้ำที่เกาะพราวบนใบหน้าและแผ่นอกที่โผล่พ้นขอบน้ำประดับไปด้วยรอยสัก ที่จริงพี่ชายของเขาน่ะสักเยอะมากๆ .. เพียงแต่มันไม่ได้เลอะเทอะอะไรเพราะมันมักจะเป็นเพียงแค่รอยสักเล็กๆเท่านั้น
“อะไรของพี่วะพี่โปรด มาเรียกปลื้มแล้วก็เงียบ”
“he is taken.” (เขามีแฟนแล้ว)
โปรดกับปลื้ม ชินตะกับชิโร่ .. พี่น้องที่อายุห่างกันไม่เท่าไหร่แต่นิสัยต่างกันสุดขั้ว เราแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่เรารู้จักกันดีอย่างกับอะไร ไม่มีเหตุผลใดอื่นนอกจากเราทั้งคู่เติบโตขึ้นมาโดยที่มีแม่พูดกรอกหูเช้าเย็น
‘เป็นพี่น้องต้องรักกัน ดูแลกันนะครับลูก’
และแม้จะไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเคยแสดงออกมาตรงๆ
แต่ชิโร่ก็ห่วงใยพี่ชายคนเดียวคนนี้เสมอ
“is he the one?” (แล้วเขาเป็นคนเดียวของพี่มั้ย)
“ … ”
“alright, he is taken. but is he the one for you?” (เขามีแฟนแล้วก็จริง แต่เขาเป็นคนเดียวที่พี่ชอบใช่มั้ย?)
ชินตะไม่มีอะไรต้องปิดบัง
เขาพบคำตอบนั้น มันเรียบง่าย เฝ้ารออยู่ตรงนั้น เพียงแค่เขาค้นลงไปก็จะเจอ
“there’s no one else.”
(มันก็ไม่เคยเป็นคนอื่นอยู่แล้ว)
เขาชอบเอย
เขาชอบเจ้าของฤดูหมอก
เขาชอบ .. คนที่ทำให้ท้องฟ้าของเขาเป็นสีฟ้าแม้ว่าเขาจะเกลียดสีสันสดใส
“พี่โปรด มันผิด”
“รู้”
“ตบมือข้างเดียวไม่ดัง .. และพี่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น”
ชินตะตอบกลับประโยคนั้นไปด้วยภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า นั่นเขาก็รู้อีกเหมือนกัน
“ปล่อยได้มั้ย”
“ … ”
“ชอบคนอื่นได้มั้ย ปลื้มรู้ว่ามันไม่ง่าย แต่กลับตัวตอนนี้ยังทัน”
“ไม่ทัน”
คนเป็นน้องสบตากับดวงตานั้น ตาคู่เดียวกันกับที่สะกดเขาไว้ไม่ให้ปริปากพูดเวลาเจ้าตัวทำอะไรแสบๆตอนเด็กๆ .. แม่มักจะพูดว่าเขาเข้าข้างพี่ไปทุกอย่าง แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อน้องชายก็ต้องมีพี่ชายเป็นฮีโร่อยู่แล้ว
เขาจะทำอะไรได้
“แล้วยอมรับได้มั้ย ถ้าจะไม่มีวันได้นั่งในใจเขาเลย”
ชินตะขึ้นจากน้ำด้วยการยันขอบสระแล้วพาตัวเองขึ้นมาดื่มเบียร์อีกกระป๋อง เขาชอบเอาชนะ เขาไม่เคยเป็นที่สอง เขาไม่เคยต้องร้องขอสิ่งที่เรียกว่าความรักจากใคร
แต่ถ้าเป็นเอย
“ปลื้มรู้นะว่าพี่ตอบตัวเองว่าได้ .. แต่สักวัน ถ้าชอบมันกลายเป็นรัก แค่พี่ต้องทนเห็นเขาอยู่กับคนอื่นวินาทีเดียว มันก็ทำไม่ได้แล้ว”
“ … ”
“ถ้าเป็นคนที่เขารักไม่ได้ ก็เป็นคนที่เขาสบายใจจะอยู่ด้วยเถอะ”
“เป็นเพื่อนกันทำอะไรได้บ้าง .. หมายถึงเพื่อนที่ชอบเพื่อน” คนเป็นน้องหัวเราะเบาๆกับคำถาม ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้พี่ชายเขาน่ะไม่เก่งเอาซะเลย
และเพราะว่าไม่เก่ง จึงเป็นหัวใจที่เพิ่งจะหัดรัก มันจึงเปราะบาง คล้อยตามความรู้สึกไปง่ายดายโดยไม่ฟังสมอง เขารู้กับตัวเองในวินาทีนั้นว่าครั้งแรกของชินตะจะเจ็บปวด .. เพราะมันเป็นรักที่สมหวังได้ยากเหลือเกินในความคิดเขา
“ก็ทำได้ทุกอย่างที่เพื่อนเขาทำกัน ปลื้มหมายถึงเพื่อนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อนนอน”
“น่าเบื่อแย่”
“แล้วจะทนมั้ย”
“ไม่รู้”
“ไม่ได้หรอกโปรด ยังไงก็ต้องทน .. ทนได้อยู่แล้ว เพราะถ้าคนแบบพี่ชอบใครขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะมากกว่าคนปกติหลายเท่าในทุกๆอย่าง”
เสียงไฟแช็กดังขึ้นจากการกระทำของคนที่ไม่สูบบุหรี่ .. ชิโร่มองเปลวไฟที่เคลื่อนไหวเพราะต้องลม มันเต้นระบำอยู่บนนั้น บนที่ที่ไม่มีอะไรมั่นคงและถาวร
“รักมากกว่าคนอื่น เจ็บมากกว่าคนอื่น”
“ … ”
“รู้สึกมากกว่าคนอื่น”
“ก็แค่ชอบ” ชินตะพูดขึ้น
“ก็ใช่ .. แค่ชอบ แต่เดี๋ยวก็รัก”
ไม่มีอะไรที่เขาจะมั่นใจไปกว่านี้ ชิโร่สบตากับพี่ชาย วางมือลงบนผมเปียกๆก่อนจะขยี้เบาๆเหมือนกับที่เขาชอบทำและรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบให้ใครมาเล่นผม
แต่ทุกชีวิต
“ขนาดทำให้คนที่ไม่เคยรู้สึกอะไรกับใครรู้สึกขึ้นมาได้จนยอมรับว่าชอบด้วยเวลาแค่นี้”
ย่อมมีข้อยกเว้น
“กับรักก็ไม่ยากหรอกพี่โปรด”
จริงๆแล้วเขาดีใจ
ดีใจที่พี่ชายตัวเองจะโอนอ่อนกับตัวเองบ้าง .. ไม่โหดร้ายกับตัวเองเกินไปจนคิดว่าไม่มีสิ่งนั้นอยู่ในแผ่นอกกว้าง เพราะทุกๆคนล้วนมีหัวใจ
ทุกคนมีความรู้สึก
“เดี๋ยวยังไงก็รักเขานั่นแหละ”
ทุกคนสมควรถูกรักจากใครสักคนบนโลกเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นปีศาจในโลกของใคร .. แต่พี่ชายก็คือฮีโร่ของน้องชายเสมอ
“ปลื้มอยู่นี่นะ”
“เลี่ยน”
“บอกเฉยๆ เผื่อคิดว่าไม่มีใครรักพี่โปรดเลย”
“ไม่มีใครรักก็อยู่ได้”
“ไม่จริงหรอก” ชิโร่หัวเราะเบาๆก่อนจะยิ้ม
รักไม่ใช่บทเรียนสำเร็จรูป เราเรียนรู้มันในแต่ละช่วงอายุด้วยใจตัวเอง ทำผิดพลาด ล้มลุกคลุกคลานและบอบช้ำ สุดท้ายในวันที่เรายืนขึ้นได้อีกครั้ง มันคงไม่ใช่เพราะใครเลยนอกจากตัวเราเอง
และเพราะรักไม่ใช่บทเรียนสำเร็จรูป เขาจึงอยากให้พี่ชายได้เรียนรู้มันอย่างใจอยาก
“เดี๋ยวสักวันพี่จะรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเลยล่ะตอนที่เขาบอกว่าไม่รัก”
แม้มันจะสาหัส
แต่สักวัน
สักวันที่ทุกอย่างจบลงและได้ทิ้งหัวหนักๆลงบนหมอน
“ตอนที่ได้ยินมันจากปากเขาชัดๆ .. สักวันหนึ่งนั่นแหละ”
เราจะขอบคุณตัวเองที่ได้รักไปอย่างสุดความสามารถแล้ว
⎯
เอยอยากฝันถึงพ่อ แต่เพราะไม่เคยได้เจอพ่อเลยในชีวิตจริง ต่อให้นั่งมองรูปยังไงก็ไม่มีวันฝันถึง .. เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิท จมดิ่งกับลมหายใจที่เข้าและออกอย่างเป็นจังหวะ แพขนตายาวที่ทาบทับผิวเนียนละเอียดทำให้คนมองใจกระตุก
นิ้วแกร่งไล้แก้มใส กดจูบลงบนหน้าผากก่อนจะกระซิบบางคนที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่รถขึ้นทางด่วน
“น้องเอย .. ตื่นได้แล้วครับ”
ซือกระซิบ
ซือที่แปลว่าความสุข
“พี่ซือ”
และซือที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงของบางคนนั้นเป็นมากซะยิ่งกว่าความสุข
เอยตื่นแล้วและเผลอขยี้ตาเป็นเด็กๆ สุดท้ายมือน้อยๆนั้นก็ถูกดึงไปจูบ กลิ่นหอมจางจากเสื้อผ้าและร่างกายของคนที่เอยเรียกว่า ‘แฟน’ มาตลอดสองปี
“ผอมลงเยอะ ต้องให้พี่ดุใช่มั้ย”
“เอยกินข้าวแล้ววว”
“แต่ไม่ครบทุกมื้อ ถูกมั้ย?” คนตัวเล็กหัวเราะแหะๆก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วกวาดข้าวของตัวเองลงจากรถ รถที่พี่ซือเอาเข้ามาจอดในบ้านเพราะแน่นอนล่ะ อีกคนจะค้างที่นี่
คนที่ไปๆมาๆระหว่างจีนกับไทยและทำงานหนักพอๆกับเขานั่นแหละนะ
“แม่นอนแล้วแน่เลย ไว้พี่ซือค่อยไปไหว้แม่ตอนเช้า”
“พี่แวะเข้ามาบ้านเราตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้วครับเอย”
“อ้าว ลูกรักแม่ก็งี้แหละ” เอยที่ไขประตูเข้าบ้านย่นจมูกและถูกบิดอวัยวะนั้นเบาๆอย่างรักใคร่ คนตัวสูงในชุดสูทปลดกระดุมเสื้อหนักๆออกราวกับกำลังปลดเปลื้องภาระที่หนักอึ้งลง มือใหญ่คว้าข้อมือคนที่ผอมและดูอิดโรยกว่าครั้งก่อนที่เจอเข้าหาตัว
“เหวออ”
บางคนเสียหลักจากการจะเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่ม .. จมหายเข้าไปในอ้อมแขนที่อบอุ่นและคุ้นเคย จากพี่ข้างบ้านมาจนถึงวันนี้ มันไม่ง่ายเลย
มันไม่มีอะไรง่ายเลย
“คิดถึงครับ”
“คิดถึงเหมือนกันครับ” เอยยิ้มตาหยี กอดอีกคนกลับเหมือนกับที่เคยกอดมาตลอด เขาโตมากับการมีแม่และเพิ่มเข้าไปอีกคือพี่ซือ คนที่ทำให้แม่ดีขึ้นจากอาการป่วยและคอยดูแลแม่ในวันที่เขาต้องอยู่หอใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อเรียนหนังสือ
เอยรู้สึกว่ามันล้นพ้น
.. ระหว่างเรานั้น มันมากมายเกินกว่าคำว่าคนรัก
“ปล่อยเอยได้แล้วหน่า”
“อาบน้ำด้วยกันดีมั้ย”
“พะ พี่เป็นบ้าหรือไง” หน้าดำหน้าแดงบอกพลางต่อยอีกคนไปที ซือหัวเราะเบาๆมองคนที่แก้มขึ้นสี เขาผลักสะโพกอีกคนเบาๆเหมือนจะบอกว่าไปอาบน้ำได้แล้ว
จริงๆเราเป็นคู่รักที่แปลก .. และเอยไม่ได้พูดถึงเรื่องราวแง่นี้กับใคร
มันเป็นความจริงที่ว่าระหว่างเขากับพี่ซือไม่มีอะไรเกินเลยกันมากไปกว่าการจูบ จูบที่เอยให้มันเกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เราคบกันมาและมันเป็นเพียงแค่การแตะปากกันเบาๆเท่านั้น
เอยไม่มีความกล้าขนาดนั้น
“อย่าล็อกประตูล่ะ เผื่อลื่นล้ม”
“ฝันไปเหอะ เอยจะล็อก!”
“ฮ่าๆ”
แต่ก็ให้ไปแล้วนะ
จูบแรกกับแฟนคนแรกน่ะ
“ … ”
แผ่นหลังบางแนบกับประตูห้องน้ำ เอยถอนหายใจกับตัวเองเบาๆเมื่อวูบหนึ่งเขานึกถึงแววตาของบางคนที่มองมาในบาร์ที่ไปดื่มกันกับเพื่อนๆและพี่ซือวันนี้ .. เราไม่ได้คุยกันอีกและเขาไม่ได้บอกลาอีกฝ่าย เพราะพอหันไปมองอีกที อีกคนก็เดินออกจากร้านไปแล้ว
ตากลมมองภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจก เอามือทาบลงไปบนอวัยวะที่เรียกว่าหัวใจก่อนที่ริมฝีปากจะเม้มเป็นเส้นตรงเมื่อพบว่ามันเต้นแรงขึ้น
“เอย พี่อุ่นนมร้อนไว้ให้ดื่มนะครับ รีบอาบรีบออกมาดื่มนะ”
เพียงแค่เพราะนึกถึงใครบางคนเท่านั้น
“ครับพี่ซือ”
○
.
บทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษยาวๆของผู้ชายข้างๆตัวเขาที่กำลังออดอ้อนแฟนตัวเองอยู่ทำให้รู้สึกปวดหัว มันเป็นแบบนั้นจริงๆสำหรับชินตะ .. ตาคมเหลือบมององศา เอกอนันต์ที่วันนี้มีโอกาสถ่ายแบบด้วยกันอีกครั้ง พอได้เจอกันอีกก็เริ่มคุยกันมากขึ้นและเริ่มถูกคอเพราะเทสต์หลายๆอย่างใกล้เคียงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
“i miss you so much, tiny.”
ถ้าสนิทกันกว่านี้ เขาคงบอกอีกฝ่ายตรงๆว่ามันน่าขนลุกชะมัดการเรียกแฟนตัวเองว่าตัวเล็กแถมยังทำหน้างอๆแบบนั้นน่ะ ความรักมันลดอายุสมองคนหรือไงกัน ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เพื่อนในกลุ่มมีแฟนนักหรอก
เลี่ยนฉิบหาย
“เมื่อกี้คุยถึงไหนแล้วนะ”
“คอนเสิร์ตแดเนียล”
“ยูได้ตั๋วรึยัง”
“ไปกันยกวงเลย ยูล่ะ”
“ไปกับแฟนแล้วก็เพื่อนสนิทแฟน อื้ม .. ไอ้เจน่ะ รู้จักมั้ย” ชินตะส่ายหัว ขอไม่รู้จักไว้ก่อนเพราะในชีวิตเขามีเจไม่รู้ตั้งกี่คน
“จำได้ว่ากินอเมริกาโน่เย็น ฝากกอดซื้อมาให้แล้ว”
“who’s him?” (ใครคือกอด?)
“my life maybe :)” (ชีวิตไอล่ะมั้ง)
“that sounds so gross.” (จะอ้วก)
“damn.” (ยูเนี่ยน้า) องศาหัวเราะเบาๆ มองสีหน้าที่เหมือนกับขยาดซะเต็มประดากับเรื่องหวานๆ พอได้ยินชื่อเสียงมาบ้างว่าเสือผู้หญิง แต่ไม่ใช่แนวคุยหลายๆคนแล้วก็ทิ้ง .. เป็นแนวที่เจอกันแค่บนเตียง จบตรงนั้นแล้วอีกฝ่ายจะเอาไปพูดยังไงก็ช่างแม่ง
เขารักความไม่ใส่ใจพวกนี้ของเด็กข้างตัวเป็นบ้า
“ไม่เคยมีแฟนหรือไง” ส่ายหัวตอนที่หยิบน้ำเปล่าขึ้นมาจิบระหว่างรอทีมงานเซ็ตฉากพลางปลดกระดุมที่ข้อมือเพราะอึดอัดกับชุดสูทเต็มยศแบบนี้เป็นบ้า
“คนที่ชอบก็ไม่มี?”
“ถ้าสนิทคงด่าว่าเสือก”
“ก็พูดออกมาแล้วนะ”
“มีมั้ง”
“มีมั้งก็คือมี”
ชินตะกับดวงตาดุๆมองคนที่ยกยิ้มสนุก จริงๆเขาคิดว่าองศากับเขาไม่ต่างกัน ผู้ชายคนนี้ต้องร้ายลึกแหงๆ แต่เอาเหอะ .. สุดท้ายต่อให้รู้ว่าเขามีใครสักคนที่ชอบแต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแม่งเป็นใคร
“แล้วเวลายูชอบใครสักคน .. มันเป็นยังไง”
“ก็อยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อเขาล่ะมั้ง” องศาตอบ
“ … ”
“กับกอดมันเหมือนคนที่แค่ก็ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วเราก็ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อพบว่าทุกๆอย่างที่ตัวเองต้องการมาตลอดมันมีอยู่ในเขาทั้งหมดแล้ว ทุกๆวันที่ตื่นมาเจอเขาก็ได้แต่คิดว่าตัวเองเหมือนกับเพลงเพลงนั้นที่ร้องว่า who could've thought i'd get you.”
มันเป็นอีกครั้งที่ชินตะทำได้เพียงรับฟังแต่ยังไม่เข้าใจ
เขาไม่เข้าใจ
“ถ้าชอบมันก็แค่ชอบ แต่ในความชอบที่มันต่อยอดไปเป็นรักได้ ยูจะไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวให้กับเรื่องไร้สาระระหว่างความสัมพันธ์”
ว่าคนคนหนึ่งจะรักใครอีกคนขนาดนั้นได้ยังไง
“ยูจะแค่รักเขา ไม่มีที่มาที่ไป อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ แค่คิดว่าเพื่อเขา มันก็ทำจนสำเร็จจนได้ซะงั้น”
รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่พูดถึงความรักและคนรักเหมือนกับเป็นเรื่องที่สวยงามที่สุดและมันกว้างขึ้น สว่างไสวขึ้นเมื่อพานพบกับบางคนที่มาพร้อมกับของพะรุงพะรัง
ชินตะมองตามนายแบบข้างตัวที่ลุกขึ้นเพื่อไปช่วยคนที่ตัวเล็กและหน้าตาดื้อที่สุดที่เขาเคยเห็น พวกเขาสบตากัน เป็นองศาเองที่ลูบแก้มก่อนจะพูดคำเลี่ยนๆออกมาโดยไม่ต้องฝืน ร่องรอยของความรักแฝงอยู่ในสายตาและฝ่ามือที่ประคองใบหน้าแฟนตัวเองก่อนจะกดจูบไวๆลงบนริมฝีปาก
ชินตะถอนหายใจเอือมๆก่อนจะได้ยินเสียงองศาร้องโอยอย่างออดอ้อนเมื่อโดนชกเข้าที่ไหล่
“อายบ้าง”
“โธ่ น้องกอด”
“นี่ที่สาธารณะ กอดไม่อนุญาตนะ”
“ก็พี่คิดถึงกอดนี่”
“อดทนบ้าง”
นี่ก็กลัวเมียอีกคน
ชินตะเซย์ไฮให้กับคนที่ทักเขาเรียบๆแล้วส่งแก้วอเมริกาโน่เย็นให้ .. ตากลมภายใต้แว่นสายตานั่นมองมาที่เขาก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบๆที่อาจจะฟังดูหยิ่งเมื่อบวกกับใบหน้าที่เหมือนกับแมวหวงตัวนั่น
“you look like the bassist from no bad days.” (คุณหน้าเหมือนมือเบสวง no bad days เลย)
“i am.” (ก็ผมเอง)
องศามองแฟนตัวเองที่ดูอึ้งๆไปนิดหน่อย มองหน้าเขาสลับกับชินตะ ที่ไม่ได้บอกคือกอดเป็นแฟนคลับลับๆของวงนี้และที่ให้มาวันนี้ก็เพราะรู้นั่นแหละว่าชอบมือเบสเป็นพิเศษน่ะ ถามว่าหึงมั้ย แรกๆก็นิดหน่อย แต่พอได้เจอและคุยกับชินตะก็รู้ว่าคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกันเรื่องดนตรีหรอก
แฟนเขาน่ะน่ารักจะแย่ ส่วนไอ้เด็กหน้าดุคนนั้นมันก็ดูไม่สนใจอะไรเท่าไหร่
“ผมกอด”
“ชินตะ”
“damn.” แฟนตัวเล็กสบถจนองศาต้องเดินไปลูบหัว ไม่ได้เห็นกอดตื่นเต้นแบบนี้ก็นานแล้ว เขาได้ยินคำชมสารพัดจากกอดที่มีให้ชินตะ อย่างแรกคือการจัดวางร่างกายตัวเองบนสเตจ กอดบอกเขาว่ามือเบสคนนี้เท่แบบไม่ต้องเก๊กและที่สำคัญคือเหมือนกับฮากุในการ์ตูนเรื่อง spirited away
“รู้มั้ย เวลามองคุณมันเหมือนมีเพลง the name of life ดังขึ้นมา”
“いのちの名前?”
“ถ้านั่นคือเพลงประกอบ spirited away ล่ะก็ใช่”
องศาหัวเราะเพราะสีหน้าเหมือนกับไม่อยากจะคุยด้วยของชินตะที่มีให้กอดมันตลกเป็นบ้า คนหยิ่งๆสองคนที่จู่ๆก็ต้องมานั่งคุยกัน แถมเจ้าคนหยิ่งคนแรกของเขาน่ะก็ดันชอบอีกคนเอาซะมากๆด้วยน่ะสิ :)
⎯
“พี่ซือ เอยขอแวะร้านหนังสือได้มั้ยครับ”
“ได้อยู่แล้ว เราเดินเข้าไปก่อนเลย พี่เข้าห้องน้ำแล้วจะตามไปนะครับ”
“โอเคครับ” ผมยิ้มกว้างให้คนอายุมากกว่าก่อนจะเดินตัวปลิวเข้าร้านหนังสือ หลังจากที่ต้องอ่านเปเปอร์วิชาการมาจนหัวฟูทั้งอาทิตย์ วันนี้ผมขอหาหนังสือสนุกๆจรรโลงใจอ่านบ้างเถอะนะ
ผมหยุดยืนมองชั้นหนังสือที่สูงและกว้าง ไล่สายตามองทีละเล่มๆ ในใจลึกๆอยากอ่านหนังสือที่เขียนขึ้นมาแล้วได้ต่อยอดไปทำเป็นหนัง
“บอกแล้วให้กินนมเยอะๆ”
น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นด้านหลัง ยังไม่ทันที่จะได้หันไปมอง คนคนนั้นก็ช่วยหยิบหนังสือเล่มที่ผมเอื้อมหยิบไม่ถึงสักทีให้ .. ภาพเหตุการณ์คืนนั้นย้อนเข้ามา คืนที่เขาสอนผมเล่นกีตาร์และเรามี pillow talk ด้วยกันอย่างที่ผมไม่เคยมีกับใครมาก่อน
“ปะ โปรด”
“อ่านด้วยเหรอ”
“ก็เดี๋ยวลองดู”
“คิดว่าจะสนุกมั้ย?” เขาถามผมก่อนจะพลิกหนังสือเล่มนั้นไปมาในมือตัวเอง
“ถ้าเป็นหนังก็สนุก เราจะซื้อเพราะอยากรู้ว่ามีดีเทลอะไรบ้างที่ในหนังมันพลาดไป”
“call me by your name and i'll call you by mine.” ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆจนมันดังคับหูแม้ว่าคนตรงหน้าจะทำเพียงเปิดหนังสือผ่านๆแล้วอ่านสิ่งที่เจอเท่านั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำเหมือนเบสกับดวงตาดุๆของเขาทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผมยิ้มบางๆให้เขากลบเกลื่อนก่อนจะพูดขึ้น
“เคยดูมั้ย?”
“ไม่ดูหนังรัก”
“ขนาดนั้นได้ไง”
“แต่ถ้าบอกว่าสนุกก็จะซื้อไปอ่าน” ชินตะหยิบหนังสือแบบเดียวกันกับที่หยิบให้ผมมาอีกเล่มหนึ่ง เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวและตัวหนังสือที่อยู่ภายใต้ปกสีน้ำเงินเฉดที่ผมชอบเอาซะมากๆจะเป็นไปแบบไหน
“แล้วนี่มากับใครเหรอ”
ผมทำลายความเงียบระหว่างเราที่ยืนเบียดกันอยู่ในแถวแคบๆของชั้นหนังสือชั้นที่เจ็ดเอ เขาขยับตัวเชื่องช้า ผมได้กลิ่นหอมจางปราศจากบุหรี่ นั่นอาจแปลว่าเขาเริ่มวันด้วยการทานอาหารเช้าและยังไม่ได้สูบสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขาสั้นลงในวันนี้
“จิมมี่”
“ตัวติดกันจัง”
“เดี๋ยวตอนเย็นต้องไปเดินแบบด้วยกัน”
“อ้าว ที่ไหนเนี่ย ให้ตาย เราคงไม่ได้ไปดู เราเข้าเวรเย็น” ผมทำหน้าสลด
“แล้ว .. เอยมากับใคร”
ก่อนที่ผมจะบอกเขาไป ใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาซะก่อน
“เอย?”
เขาเรียกชื่อผม ผมถอนสายตาตัวเองออกจากใบหน้าของคนที่ไม่ได้เจอมาราวๆหนึ่งอาทิตย์แล้ว มีเพียงข้อความสั้นๆจากเขาทุกวันหนึ่งข้อความที่แรนด้อมมา
breakfast
lunch
dinner
“พี่ซือ .. นี่เพื่อนเอย ชินตะ”
“สวัสดีครับ”
“ … ”
เขาส่งมาแค่นั้นเหมือนกับที่เคยส่งมาตลอด มันย้ำเตือนบอกผมว่าอย่าลืมกินข้าวนะ ไม่ว่าจะข้าวเช้า กลางวันหรือมื้อเย็น รู้ตัวอีกทีผมถูกพี่ซือดึงเข้าไปหา เรายืนข้างกันในขณะที่ชินตะสบตากับผมแล้วค่อยๆเลื่อนไปสบตากับพี่ซือ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“ครับ”
ผมมองนัยน์ตาคมกริบที่หยุดมองใบหน้าแฟนผมค้างอย่างผิดปกติ คิ้วเขาขมวดเข้าหากันและแววตาดุดันนั่นเปลี่ยนไปแบบที่ใครอาจไม่สังเกตเห็น .. แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจการเปลี่ยนไปในหัวเขา
เขาดูขุ่นเคือง
“เอยได้หนังสือรึยังคะ”
“ดะ ได้แล้วครับ”
“งั้นเรารีบไปจ่ายเงินดีกว่า เดี๋ยวดูหนังไม่ทันนะ” ผมพยักหน้าและถูกเจ้าของมือที่ใหญ่และร้อนจูงไปจ่ายเงินด้วยกัน .. หากแต่ใครบางคนรั้งเราไว้
หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นส่ำตอนที่ชินตะรั้งข้อมือคนอายุมากกว่าข้างตัวผมไว้
“คุณ .. ”
เขาพูดเท่านั้น สบตาผมสลับกับสบตาพี่ซือ
“ครับ?”
พี่ซือไม่ใช่คนใจเย็น เขาเป็นคนใจร้อนในคราบคนที่วางตัวสุขุมและผมเดาว่าแรงบีบที่ข้อมือของแฟนตัวเองจากการกระทำของชินตะนั้นมันไม่น้อยเลยเขาถึงปล่อยมือผมเพื่อที่จะจับข้อมือชินตะแล้วบิดให้อีกคนปล่อยการเกาะกุมนั้นออก
“คุณมีอะไรรึเปล่าครับ”
“ … ”
เขามองมาที่ผม
มีผมสะท้อนอยู่ในแก้วตาของเขา
.. ผมได้ยินเขาเรียกผมซ้ำๆแต่ปากเขาไม่ขยับ สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ปล่อยมือออกแล้วพี่ซือก็เอื้อมมาจับมือผมอีกครั้ง ผมหันหลังไปมองเขาอีกครั้ง เขาที่หยุดยืนอยู่ตรงนั้นและยังมองแต่ผม
“เพื่อนเอยคนนี้แปลกๆนะ”
“มะ ไม่หรอกครับ”
“ … ”
“พี่ซืออย่าโกรธเลยนะครับ เอยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ”
ผมยิ้มบางๆทั้งๆที่ในใจปั่นป่วน
มันคืออะไรกันนะ
มันคืออะไรกันที่เขาอยากบอกผม
○
.
“ออกมั้ย?”
“ไม่”
“ถ้าจะแดกขนาดนี้ไปแดกที่ร้านดีกว่าว่ะ” จิมมี่ถอนหายใจแต่ก็เปิดเบียร์อีกขวดขึ้นมากระดก ตามองลูกกลมๆในจอที่นักฟุตบอลทีมชาติวิ่งไล่กันเป็นบ้าเป็นหลัง
เดินแบบเสร็จอะไรเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม กว่าจะถึงคอนโดไอ้ชินตะก็ห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนแล้ว แล้วนี่มันยังจะทรมานไม่ให้เขานอนพักด้วยการดื่มเบียร์อีกต่างหาก เหอะ เห็นแล้วไม่มาแดกด้วยก็แปลกแล้ว จิมมี่กับเบียร์น่ะมันของคู่กัน
“มึงเป็นอะไร บอกกูได้ทุกอย่าง”
“that suc ks.”
“what’s wronggg?!” จิมมี่อยากจะบ้าตาย มันเอาแต่พูดคำนี้กับตัวเอง ไม่ว่าจะตอนขับรถ ตอนไปสูบบุหรี่หรือตอนนี้ก็ตาม
“มึงจะให้กูเดาใจมึงเหรอชิน? ไอ้เหี้ยเอ๊ย ให้กูไขปริศนาดาวินชียังง่ายกว่าเดาใจมึง”
ชินตะมองออกไปข้างนอกระเบียง
ยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจัดระเบียบความคิดตัวเองไม่ถูก
“หรือมึงจะให้กูเปิด?”
“ … ”
“หมอเอยเขามีแฟนแล้วแล้วไงวะ มึงก็เฟรนด์โซนดิ แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้” จิมมี่พูดติดตลก ใช่ว่าจะไม่รู้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปและเปลี่ยนไปอีกมากโขเมื่อพบว่าใครคนนั้นมีเจ้าของแล้ว
มันต่างออกไป ถึงแม้พวกเขาจะชอบแซวเพื่อนว่าชอบเป็นชู้ แต่นั่นมันก็แค่เรื่องบนเตียง .. กับหมอเอยมันไม่ใช่ มันต่างออกไปและเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาซะงั้น
“ไม่ได้จะบอกให้มึงไปแย่ง คือแย่งไม่ได้อยู่แล้ว แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เอยเขาไม่ใช่คนแบบนั้น มึงดูนิสัยเขาดิ ต่อให้จริงๆเขาชอบมึงเหมือนกันแต่เขามีแฟนแล้ว เขาไม่เล่นกับมึงหรอกชินและกูก็รู้อีกเหมือนกันว่ามึงชอบเขาเกินกว่าที่จะแย่งเขามาและทำให้ความสัมพันธ์เขาแหลกละเอียดน่ะ”
คนตัวสูงหยิบบุหรี่มาสูบ ไม่แม้แต่จะออกไปนอกระเบียงอีกแล้วเพราะบางสิ่งปั่นป่วนในใจเขา เขายังจดจำสายตาของเอยที่มองมาที่เขา เขายังจดจำท่าทีประหม่าของอีกคนได้และรอยยิ้มบางๆที่เอยส่งให้ในตอนที่เขาบอกว่าจะซื้อหนังสือเล่มนั้นเช่นกัน
“ทำกรรมไว้เยอะก็งี้ พอชอบใครทั้งทีก็ไม่มีสิทธิ์สมหวัง”
“ตอนแรก .. ก็คิดว่าเดี๋ยวคงเลิกชอบ”
“ … ”
“แต่ตอนนี้กูอยากทำให้เขาชอบกูมากๆ ชอบจนเดินออกมาจากตรงนั้น”
“ชิน อย่างที่ไอ้จัสบอก พี่ซืออะไรนั่นเขาการงานมั่นคง ไอ้เหี้ย เขารู้จักเอยมาตั้งแต่เด็กๆ เขาดูแลของเขามาตลอด มึงจำได้มั้ยที่มันเล่า .. กว่าเอยจะตกลงคบกับพี่เขา แม่งมหา’ลัยปีสุดท้ายแล้วมึงก็รู้ว่าหมอเขาเรียนหกปีอะชิน” จิมมี่บอกอย่างหมดความอดทน
แค่ฟังก็รู้แล้วว่าหมอเอยไม่ง่ายเลย .. ขนาดตามจีบมาเกือบสิบปีก็เพิ่งได้ใจเขาไปไม่กี่ปีก่อน แล้วเพื่อนเขาล่ะ ถึงมันจะไม่ได้นิสัยแย่ แต่เขาก็รู้อีกเหมือนกันว่าพอกับเรื่องความรักที่มันยังไม่เคยเผชิญมาก่อน มันจะแย่หรือจะดีน่ะ
“มึงจำวันเกิดพีทได้มั้ย”
“ได้ดิวะ ที่มึงขับรถไปหาเขาอีกแล้วไง ชอบเขาอะไรขนาดนั้นวะเพื่อนกู”
“กูเจอแฟนเอย”
จิมมี่ที่กำลังจะกระดกเบียร์ชะงัก
“เขาจูบกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่”
“ … ”
“กูเพิ่งได้เห็นเขาชัดๆอีกทีวันนี้ และไม่ต้องเดาเลยจิม”
ควันบุหรี่สีขุ่นถูกพ่นออกมา มันพาภาพบางภาพฉายขึ้นในหัวเขา เสียงครางลุ่มหลงและดวงตาคู่นั้นที่มองเขากลับมาราวกับจะบอกว่าที่ตรงนี้เจ้าตัวกับผู้หญิงในอ้อมแขนจองแล้ว .. เขาจำได้แม้กระทั่งฝ่ามือที่ล้วงเข้าไปในกระโปรงของผู้หญิงคนนั้น
และเรื่องราว
“ไอ้เหี้ยนั่นนอกใจเอย”
มันกลับยากขึ้นทุกที
tbc.
ปาติหาน
"มั่ยมีจิง"
(´・_・`)
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น