คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 06 - ever since the day that i met you.
เอยรู้
“ยังไงนะ
เราขออีกที”
“เป็นปลาทองหรือไง?”
“ก็มันจำไม่ได้นี่หว่า
หัวเราไม่ไปจริงๆกับเครื่องดนตรีน่ะ”
เอยรู้ว่านี่มันแปลก
..
แต่มันไม่ได้ไม่ปลอดภัย
คนตัวเล็กถอนหายใจทำไหล่ตก
มีกีตาร์อยู่บนตัก กีตาร์เจ้าปัญหาที่แค่คอร์ดง่ายๆเขาก็ยังจับไม่ได้สักที ตากลมมองครูสอนดนตรีจำเป็นแบบติดอ้อน
เขามักทำแบบนี้กับคนโตกว่าหรือคนที่ต้องการให้ช่วยแต่สุดท้ายก็ไถตัวลงไปนอนกับพื้นห้องนอนเหมือนคนหมดแรง
“ตาเป็นกุ้งยิงหรือไง?”
“เนี่ย
คำแบบนี้ดันรู้จัก”
“ลุกขึ้นมา”
“หายเมาแล้วเอาใหญ่เลยนะคุณ”
“ใครไม่ง่วงเองล่ะ”
ชินตะริบกีตาร์คืนมาก่อนจะเริ่มจับให้ดูใหม่ เอยที่ต้องการจะเล่นเพลงเพลงหนึ่งให้เป็นแค่ท่อนร้องรับเท่านั้นเท้าคางกับพื้นก่อนจะตั้งอกตั้งใจดูก้านนิ้วยาวนั่นเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติบนกีตาร์โปร่งสีดำที่เจ้าตัวมีติดไว้ในรถ
ต้องโทษตาเขาเองนั่นแหละที่ดีเกินไป
พอเห็นแล้วมันก็อยากรบเร้าให้สอนเล่น
เท่จะตาย
ผู้ชายเล่นกีตาร์น่ะ
“ขออีกที”
“ … ”
“หน่า
อย่ารำคาญกันเลย”
คนตัวสูงที่อยู่ในชุดนอนของเอยจ้องตากลมที่กะพริบปริบๆ
“เอ็บ!”
(เจ็บ!)
คุณเจ้าของห้องที่โดนบีบแก้มแรงๆร้องโวยวายและแม้ว่าตอนนี้จะเปิดโคมไฟสีส้มที่หัวเตียงไว้เพียงดวงเดียวเขาก็เห็นใบหน้าของอีกคนหนึ่งชัดเจน
อาจเป็นเพราะชินตะเพิ่งมัดผมตัวเองขึ้นครึ่งหัวเมื่อกี้ลวกๆ
อาจเป็นเพราะบรรยากาศเป็นใจเขาถึงได้คิดว่าคนตรงหน้าน่ะ .. ดูสวยชะมัด
“you know what?”
ตาคมของคนที่ก้มลงไปสำรวจกีตาร์ในมือตัวเองเปลี่ยนมาสบตากับคนที่ถามขึ้นว่า
‘นี่ คุณรู้อะไรมั้ย?’
“you look so
peaceful .. and you also look like art.”
(คุณดูสงบมากเลย
.. แล้วคุณก็ดูเหมือนงานศิลปะด้วย)
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าน่ารักนั้นดูเหมือนจะคุ้นตา
อาจเป็นเพราะเอยมักจะมีรอยยิ้มให้คนรอบตัวเสมอ หากแต่กับเขาแล้ว
เขารู้สึกว่ามันต่างออกไปในทุกๆรอยยิ้ม
การหรี่ลงของดวงตากลมโตนั้นสะท้อนถึงความจริงใจของคนพูด
ในขณะที่ความรู้สึกประหลาดลอยฟุ้งอยู่ในอากาศราวกับการกระจายไปของละอองน้ำหอม
“i'll take it as
a compliment.”
ราวกับว่ามันยาวนาน
ช่วงเวลาที่ประโยคนั้นถูกพูดขึ้น
แม้ว่าในความจริงนั้นมันจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วอึดใจเท่านั้น .. บางสิ่งยาวนานในความรู้สึก
อาจเพราะมันกำลังฝังรากลึก
เติบโตอย่างเงียบงันอยู่ในพื้นที่โล่งและกว้างที่เจ้าของไม่ได้ล่วงรู้ถึงการมีอยู่แต่อย่างใด
“เราจำไม่ได้เพราะว่าคุณไม่ร้องอะ”
“เรื่องมาก”
“อยากเล่นเป็นจริงๆนะเว้ย
อุตส่าห์ให้ยืมชุดนอนตัวโปรด”
คนที่อยู่ในเสื้อนอนตัวโคร่งกับกางเกงที่บอกเลยว่าแม้จะตัวใหญ่จนเขาใส่ได้เพราะเป็นผ้ายืดแต่ช่วงขาน่ะสั้นจนมันเต่อไปมากๆสำหรับเขา
“เซนเซพลีส~”
เอยยกมือขึ้นพนมกลางอก
สุดท้ายบางคนก็ไม่ได้ร้องออกมาแม้ว่าเขาจะขอ
คนตัวเล็กในชุดนอนทำหน้าเศร้า ..
จัดแจงท่านอนตัวเองที่กำลังนอนราบกับพื้นให้เป็นท่านั่ง เกมจ้องตาเริ่มขึ้นอีกครั้งระหว่างคนเฉยชากับคนที่จะไม่ยอมมูฟออนไปไหนจนกว่าจะเล่นเพลงที่ชอบมากๆเพลงนี้ได้
มันเป็นวินาทีนั้นเองที่เอยมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ครั้งหนึ่งสำหรับเขาแล้วมันดูดุดันจนน่าใจหาย
เขาพบว่าชินตะเป็นเหมือนบทกวีบทหนึ่งซึ่งเป็นบทที่แสนพิเศษ
“i'm jealous of the rain
that falls upon your skin
it's closer than my hands have been
i'm jealous of
the rain.”
(ผมอิจฉาหยาดฝน
ที่ตกลงบนผิวของคุณ
เพราะมันใกล้ชิดคุณมากกว่าที่มือผมเคยได้แตะต้อง
ผมอิจฉาหยาดฝนเหลือเกิน)
บทกวีที่คนอ่านต้องใช้เวลาเนิ่นนานในการแปลความหมายและนักกวีต้องใช้เวลามากกว่านั้นร้อยเท่าในการประพันธ์มันขึ้นมา
เอยไม่ได้คาดหวังว่าบางคนจะร้องมันตั้งแต่ต้น
“'cause i wished
you the best of
all this world
could give
and i told you
when you left me
there's nothing
to forgive.”
(เพราะผมภาวนา
ให้คุณได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด
และที่ผมบอกคุณตอนที่คุณทิ้งผมไป
ว่าคุณไม่ผิดอะไร
ผมไม่ต้องอภัยให้คุณไม่ว่ากับเรื่องไหน)
มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เราไม่แน่ใจว่าช็อกโกแลตที่เราหยิบออกมาจากกล่องเป็นรสไหนกันแน่
แต่เรารู้ด้วยความรู้สึกที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจว่า .. มันจะเป็นรสชาติที่เราจะจดจำไปตลอด
เขาไม่ได้คาดหวังว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำของชินตะจะเหมาะกับเพลงนี้ตั้งขนาดนี้และอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้วางความหวังไว้สำหรับสิ่งไหน
ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นถึงดำเนินไปช้าเพื่อที่ว่าเขาและคนตรงหน้าจะได้จดจำมันอย่างพิเศษที่สุด
..
เอยมองสิ่งที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาสีเข้ม
เขาเหมือนกับคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าที่กำลังประมวลผล
เชื่องช้า
“it's hard for me to say, i'm jealous of the way .. you’re happy without me.”
(มันยากเหมือนกันนะที่ผมต้องพูดว่า
.. ผมอิจฉาเหลือเกินที่คุณมีความสุขได้โดยไม่มีผม)
แต่แม่นยำ
“ … ”
เสียงร้องเงียบลงพร้อมๆกับการเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋า
เอยยังมองแผ่นหลังกว้างของคนที่ประณีตกับการเก็บเครื่องดนตรี
รอยสักเส้นสีดำขนาดครึ่งฝ่ามือประดับอยู่บนหลังซ้ายของชินตะที่หันมาสบตาเขาก่อนจะพูดว่า
“นอนได้แล้ว”
“อือ”
“ตีสี่ครึ่งแล้วเอย”
ตากลมมองหมอนสองใบที่อยู่บนเตียงกว้างหกฟุต ใช่ว่าจะไม่เคยมีคนมานอนที่นี่กับเขา
แต่มันต่างออกไปโดยทั้งหมดนั้นไม่ใช่ความประหม่าของเขาที่เพิ่งจะรู้จักชินตะได้ไม่นาน
มันไม่ใช่เพราะความไม่สนิทในแง่นั้น
แต่มันคือความรู้สึกที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังวิ่งฉิวผ่านลม
ปึก
“เดี๋ยวนอนพื้น”
“นอนด้วยกันก็ได้”
“จะนอนพื้น”
บางคนยืนยันแบบนั้น
เขาไม่ได้รบเร้าอะไรต่อนอกจากพาตัวเองไปหยุดยืนหน้าตู้เสื้อผ้า เปิดออกแล้วเขย่งตัวขึ้นหยิบผ้าปูที่แม่เก็บเอาไว้ที่ชั้นสอง
เอยไม่เคยคิดว่าความสูงของตัวเองเป็นปัญหากระทั่งวันนี้ที่ทำหน้าหงุดหงิดกับตู้ไม้หลังเบ้อเร่อเพราะหยิบของไม่ถึง
“ตอนเด็กๆไม่กินนมสินะ”
“หยามกันมากไปมั้งคุ
.. ”
คนที่กำลังจะหันไปเถียงหายใจสะดุดเมื่อแผ่นหลังตัวเองชิดกับแผ่นอกกว้าง
..
ความรู้สึกอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งอกจนเขาเผลอเอามือทาบหัวใจตัวเอง
ในหัวกลมๆคิดหาคำตอบของความรู้สึกที่เหมือนกับโดนกอดไว้ด้วยผ้าห่ม
มันอาจจะมาจากร่างกายของอีกคน
มันอาจจะมาจากลมหายใจปนกลิ่นมินต์
หรือมันอาจ
“อันนี้ใช่มั้ย?”
“อื้อ”
มาจากก้อนความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นช้าๆเหมือนเมฆฝน
“ไปนอนได้แล้ว”
เอวบางถูกดันเบาๆให้ไปขึ้นเตียงตัวเอง
เอยพยักหน้าหงึกหงัก เก้ๆกังๆทั้งการจัดวางแขนขาและการปั้นสีหน้า
..
คนตัวเล็กขึ้นไปนั่งบนเตียง ส่งหมอนใบหนึ่งให้แขกในวันนี้ที่ปูฟูกลงบนพื้นไม่ห่างจากเตียงเขานักลวกๆ
“ปิดไฟแล้วนะ”
“อืม”
“ให้นับก่อนมั้ย?”
“ไม่ใช่เด็กๆซะหน่อย”
เอยย่นจมูกใส่อีกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปิดไฟที่หัวเตียง
ห้องมืดสนิททำให้บางคนขดตัวในผ้าห่มตามประสาคนที่กลัวความมืดอยู่นิดๆ
ตากลมจ้องเพดานที่เห็นอยู่รางๆ
รอไม่นานดาวที่เขาแอบแปะไว้ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กก็สว่างขึ้นมา
นิ้วเล็กๆชี้ขึ้นไปบนนั้น
ไม่ได้หวังว่าคนที่นอนอยู่ไม่ไกลจะเห็นมันหรือฟังสิ่งที่เขาพูดมั้ย
“อันนั้นเราแปะไว้
ปีนโต๊ะขึ้นไปแปะตอนอยู่ประถม เกือบร่วงลงมาหัวแตกแหนะ”
หัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงความแสบของตัวเอง
เขาโตมากับแม่
แม่ที่เลี้ยงดูเขาลำพังมาตั้งแต่เกิดและนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาดื้อเงียบล่ะมั้ง
ใครๆก็พูดแบบนั้นว่าลึกๆแล้วเขาน่ะเป็นตัวแสบ
ตัวแสบแบบที่ฟังเสียงในใจตัวเองมากกว่าเสียงของคนอื่นหรือเหตุและผล
คิดไปคิดมามันก็เป็นเฉพาะกับบางเรื่องและบางคนเท่านั้นแหละ
“ตอนเด็กๆเราไม่ค่อยได้ทำอะไรเหมือนเด็กผู้ชายปกติ
อาจจะเพราะแม่เลี้ยงเรามาคนเดียว”
“ … ”
“เตะบอลก็ไม่เป็น
ชู้ตบาสยังไม่ลงแป้นเลย ขนาดใส่โซ่จักรยานง่ายๆก็ยังทำไม่ได้ ..
เก่งที่สุดก็เรียนหนังสือเนี่ยแหละ รู้มั้ยว่ากว่าจะได้เป็นหมอน่ะ
เราอ่านหนังสือจนสายตาสั้นเกือบห้าร้อยเลยนะ
โชคดีที่พอใกล้ๆเรียนจบสายตาไม่ขึ้นแล้วเราเลยไปทำเลสิก”
“don’t be so
hard on yourself.” (อย่ากดดันตัวเองไปหน่อยเลย)
“แล้วโปรดล่ะ ..
ดื้อมั้ย”
“ถ้าตามที่คนอื่นพูดก็คงดื้อ”
“เราว่าคุณดูนิ่งดีออก
หมายถึงไม่ได้ดื้อสักหน่อย”
“อยากให้ดื้อใส่หรือไง”
ประโยคเรียบง่ายแต่ทำให้บางคนเผลอขดตัวกอดหมอนข้างแล้วกดใบหน้าลงไปราวกับคนที่หาคำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่คืออะไร
..
เอยมองเห็นบางคนเลือนรางจากการปรับสภาพของสายตาอันเป็นปกติของมนุษย์
“โปรด”
เจ้าของชื่อไม่ได้ตอบแต่เอยรู้ว่าพวกเขาสบตากันในความมืด
บางคนปีนลงจากเตียง
หยุดลงข้างฟูกนอนกลิ่นหอมจางๆก่อนจะรั้งยางรัดผมที่บางคนใช้ผูกผมตัวเองไว้ลวกๆ .. น่าแปลกที่แม้ว่าชินตะจะไม่ได้มอง
แต่เขารู้ได้ว่าคนใจดีกำลังยิ้มแบบไหน
คนใจดีที่กำลังลูบผมเขาเบาๆ
“ก่อนนอนต้องเอายางออกด้วยนะรู้เปล่า?”
“ … ”
“ฝันดีนะ”
เจ้าของฤดูหมอกจากไปพร้อมกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่อ้อยอิ่งอยู่ใกล้จมูก
ชินตะปิดเปลือกตาหากแต่ความคิดวิ่งพล่านในหัว .. ถ้ามันเป็นเมฆ
มันคงลอยไปหาคนบนเตียงนั่น ทิ้งหยาดฝนลงไปเบาๆพอให้มวลอากาศอบอ้าวเคลื่อนไปและแทนที่ด้วยไอเย็นสบายให้เจ้าของรอยยิ้มสดใสหลับฝันดี
และหากมันมีรูปร่าง
..
หากความคิดของเขามีรูปร่าง
“ฝันดี”
มันคงกอดบางคนเอาไว้ด้วยอ้อมแขน
○
.
“ตี๋
ช่วงนี้ผิวกายมึงผุดผ่องมาก พี่ช่างแต่งหน้าฝากชมมาว่าไร้ตำหนิใดๆ จำศีลเหรอ?”
“ทำไมต้องยุ่ง”
“ด่ากูเสือกก็ได้”
เรนยกมือไหว้คนอายุน้อยกว่าที่กัดแซนด์วิชอกไก่อยู่บนโซฟาเบดตัวยาวในสตูดิโอถ่ายภาพแห่งหนึ่ง เธอยักไหล่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเด็กในสังกัด
“ช่วงนี้ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์ที่ไหนหรอ
ปกติตัวมึงนี่ต้องมีรอยข่วนและรอยดูดตลอดๆเลยนะตี๋”
“บอกไปแล้วว่าห้ามทำ
เคยฟังที่ไหน”
“ทีหลังบอกแบบนี้
เป็นผู้หญิงก็ต่อยนะครับอีเหี้ย”
ชินตะผลักหัวผู้จัดการตัวเอง
ถ้าเลือกได้จะไม่อยู่ใกล้ผู้หญิงแบบนี้เลย
หนวกหู
“แล้วเราเคยไปทำอะไรแบบนั้นกับเขาบ้างมั้ย
ถามเฉยๆ ไม่ได้เสือกนะ”
เสียงถอนหายใจคือคำตอบว่าคนถูกถามน่ะเอือมเกินจะทนแล้ว
เรนนี่อ้าปากหัวเราะ รู้อยู่แก่ใจว่ามันลุกไปไหนไม่ได้เพราะกำลังกินมื้อเที่ยงอยู่
วันนี้น่ะยุ่งฉิบหาย ถ่ายแบบแม่งทั้งวัน
“ไม่เคย”
“ไม่ไซ้เหรอ?”
“จะถามไปทำวิจัยหรือไง
รำคาญ”
“โอ๊ยยยยยย
บอกพี่มึงหน่อยไม่ได้แงะ?!”
“ไม่ทำเพราะไม่อยากเป็นเจ้าของอะไร
.. i’m gonna dump their asses anyway.”
“เฉดหัวทิ้งทุกคน
ประทับใจ”
“ว่างมากทำไมไม่ไปดูฉาก”
“อย่าใช้คนสวยดิวะ
แค่นั่งสวยเฉยๆก็เหนื่อยละเจ๊อะ” คนที่จัดการแซนด์วิชหมดชิ้นแล้วกลอกตาพลางหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
เขาบอกคนหลงตัวเองว่าจะไปสูบบุหรี่แล้วก็เดินตัวปลิวออกมาโดยไม่สนใจเสียงด่าไล่หลัง
ที่จริงช่วงนี้เขารับงานค่อนข้างเยอะ
ไม่ได้ร้อนเงินอะไร เพียงแต่อยากเคลียร์ให้หมดล็อตไปเพราะเขาอยากพักอยู่เฉยๆหรือไปเที่ยวบ้าง
..
คนนะไม่ใช่หุ่นยนต์ จะให้ทำงานไปถึงไหน
“ไอ้ชินนน”
หนีเสือปะจระเข้
เขาเพิ่งเรียนรู้สำนวนนี้มาจากบางคนได้ไม่นานแต่มันเข้ากับสถานการณ์นี้เป็นบ้า
ชินตะจุดบุหรี่สูบในขณะที่พยักพเยิดหน้าให้เพื่อนสนิทที่วิ่งหน้าตื่นมาแต่ไกลอย่างจิมมี่เป็นเชิงถามว่าปัญหาคืออะไร
“ไปกินเบียร์กันคืนนี้
กูเลี้ยง”
“fuc k you.”
“ด่ากูทำไม้”
“นึกว่าเรื่องเหี้ยอะไร”
คนตัวสูงที่สวมแจ็คเก็ตหนังสีดำเพราะเดี๋ยวต้องไปถ่ายแบบต่อทำหน้ารำคาญเพราะจิมมี่แบ่งบุหรี่เขาไปสูบสองสามคำก่อนจะคืนให้
ท่าทางสติแตกแบบนั้นทำให้เขาต้องถามออกไปอย่างสุดจะทน
“มึงเป็นอะไรจิม?”
“ขอบคุณที่ถามนะไอ้เพื่อนหน้าสัด”
“ไม่อยากรู้แล้ว”
“ฟังก่อนได้มั้ยล่ะพ่อออ”
เนี่ย
ก็น่ารำคาญแบบนี้
“กูทำรถไฟชนกันว่ะ”
“โง่”
“ก็กูชอบทั้งสองคนเลยอะ
ให้ทำไง”
“แยกไม่ออกแล้วหรือไง
รักกับเซ็กซ์น่ะ”
“ชอบสองคนจริงๆโว้ย
เลือกจริงจังกับใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้เลย”
“then you
deserve to be alone and shut the fuc k up, Jim.” (งั้นมึงก็สมควรอยู่คนเดียวจิมแล้วก็หุบปากไปซะ)
จิมมี่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ยอมให้มันด่าเพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันไม่เคยต่อยอดอะไรกับผู้หญิงที่มีเซ็กซ์ด้วยทั้งนั้น ไม่มีการเทคแคร์หลังมีเซ็กซ์กันเสร็จ ไม่มีกินข้าว
ไม่มีดูหนัง ..
เริ่มที่เตียง จบที่เตียง
ดังนั้นปัญหาเรื่องรถไฟชนกันจะไม่เกิดกับชินตะเพราะมันเป็นคนเอาจริงกับการแบ่งเส้นและหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองฉิบหาย
เลวยังไงมันก็เลวอยู่แค่นั้น
ไม่มากแล้วก็ไม่น้อยไปกว่านี้แล้ว
“แต่มึงเคยได้ยินมั้ย
ถ้าเรารักคนแรกจริงๆอะ เราจะรักอีกคนได้ยังไงวะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
“แล้วมันได้ได้ไงอะชิน”
“กูไม่รู้ ..
แต่คิดว่าได้”
“เอ้าไอ้ห่า”
“กูไปได้รึยัง?”
“ไม่ได้!”
ขายาวๆถีบเพื่อนตัวเองทันทีที่โดนตะโกนใส่แต่จิมมี่หลบทันและทำหน้าเหนือกว่าพลางพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานว่า
“ก็ถ้าเมื่อกี้มึงบอกว่าได้อะ
กูก็จะเลือกคนที่สองแล้วนะชิน”
“เขาจะอยู่ให้มึงเลือกมั้ยล่ะจิม”
“ไอ้คนปากหมา!”
“อยู่คนเดียว
จะได้ไม่ต้องมีปัญหา”
“มึงก็อยู่คนเดียว
กูยังเห็นมีปัญหาเลย”
“ … ” จิมมี่ยิ้มใส่เพื่อนสนิท
เพราะเขาเริ่มเดาทางคนแบบมันได้นิดหน่อย
ก็ตั้งแต่คืนที่มันหายไปจากงานวันเกิดไอ้พีทน่ะ
เขาไม่เคยเห็นมันคั่วกับใครเลยตั้งแต่นั้น
“you’re fuc k up
now, Shinta.”
(มึงแย่แล้วล่ะชินตะ)
คนที่อยู่ในเสื้อหนังและผมถูกเซ็ตไว้เป็นทรงต่างจากทุกวันจุดบุหรี่อีกมวนทั้งๆที่คิดว่าวันนี้เขาพอแล้ว
ตาคมมองท้องฟ้ากว้าง เสียงบางคนเจื้อยแจ้วขึ้นมาในหัว
ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วตั้งแต่วันนั้น .. ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เจออีกคน
คนที่พูดไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทางขับรถจากบ้านตัวเองมาห้างแถวคอนโดเขา
‘คุณเคยได้ยินนี่เปล่า
.. you’re the reason why the sky is blue.’
“ชอบเขาแล้วดิแบบนี้”
“มึงนิยามคำว่าชอบแบบไหน?”
‘จริงๆเราเรียนวิทยาศาสตร์มาก็รู้นะว่าทำไมท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
มันเป็นเรื่องของแสงใช่มั้ยล่ะ แต่นั่นแหละ
สุดท้ายก็ยังฟังดูน่ารักอยู่ดีสำหรับเรา’
“กูไม่ได้ยิ้มตามเวลาเขายิ้ม”
“ … ”
“กูไม่ได้ใจเต้นแรงเวลาเขาหัวเราะ”
‘มันพิเศษจะตายที่คนคนหนึ่งทำให้ท้องฟ้าของเราเป็นสีฟ้าได้ทุกวันน่ะ จริงมั้ย?’
ภาพใบหน้าของบางคนปรากฏขึ้นในความคิดเขา
เขาที่มักจะขับรถมือเดียว เปิดหน้าต่างและฟังเพลงที่ชอบ .. เขาที่วันนั้นหันไปมองคนที่ใบหน้าถูกแตะต้องด้วยแดดแรกของวันเพราะเราต่างเป็นนกตัวนั้นที่ตื่นเช้า
“มันไม่เหมือนในเพลงรักจิมมี่”
“ชินตะ มึง .. ”
‘มันไม่มีฝนตกลงมา ไม่มีอากาศแปรปรวน มีแต่ท้องฟ้าที่สดใส ..
คนที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้ต้องโคตรพิเศษ สุดท้ายไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน
จะหาทางออกจากปัญหาไม่ได้
แต่พอเจอเขาแล้วท้องฟ้ามันก็เป็นสีฟ้าแล้วเราก็ยังใช้ชีวิตต่อไปได้อีกวัน’
“แต่ถ้าถามว่ากูเป็นใครตอนที่อยู่กับเขา
กูตอบไม่ได้”
ใช่
เขาตอบไม่ได้
เพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
เขาไม่เคย .. เป็นแบบนี้กับใคร
“และถ้าการที่เขาทำให้กูมีตัวกูอีกคนหนึ่งขึ้นมามันดีกว่าตัวกูที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ โดยที่ไม่เอาความรู้สึกของกูมาวัดต่อว่าชอบตัวเองตอนที่อยู่กับเขามั้ยมันแปลว่ากูชอบเขา”
ไม่เคยอ่อนหวาน
ไม่เคยอ่อนไหว
“กูก็คงจะชอบเขา”
ไม่เคยเอาใจใครมาใส่ลงในใจตัวเอง
“มีหลายอย่างที่กูทำให้เขาทั้งๆที่ไม่เคยทำให้ใครและการที่ให้ไปนั้น
กูไม่ได้คิดเลยว่ามันต้องซับซ้อน มันต้องมีเหตุมีผล .. กูไม่มีอะไรเลยจิมมี่”
และมันยาก
ที่สุดท้ายในทุกๆวัน
เขาจะกลับมาถามตัวเองซ้ำๆว่า .. ถ้าเขาชอบเอยจริงๆ
มันจะเป็นยังไง เขาต้องทำยังไง ถ้าเขาอยากเป็นเหตุผลที่ท้องฟ้าของใครสักคนจะเป็นสีฟ้าทั้งๆที่เขาเป็นสีเทาจนเกือบดำมาทั้งชีวิตนั้น
เขาต้องทำยังไง
“กูแค่ทำมันลงไปแล้วเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
แต่สุดท้ายก็คิดได้กับตัวเองว่าบางที .. ”
เพราะหากที่ปลอดภัยไม่มีอยู่แล้ว
เขาจะต้องร่วงหล่น
“การตกหลุมรักมันอาจจะง่ายแค่นี้ก็ได้”
ร่วงลงไป
.. จนสุดตัว
⎯
“อบรมหัวดอ”
“ตบปากเลย
ไม่สุภาพมากๆ”
“น้องเอยฟังพ่อ”
“พ่อเราตายไปแล้ว!
แกหยุดสักที!”
“ฉันเหนื่อยเหลือเกินพี่จ๋า
ต้องปาดน้ำตาตั้งวันละสี่ห้าครั้ง” จ๊าบซบไหล่เพื่อนตัวเล็กก่อนจะกอดเอวเอยแน่น
ทั้งฝังใบหน้าลงบนซอกคอและถูไถไม่ยอมปล่อยตัวหอมๆของอีกคนไปไหน
แค่เรื่องในโรงพยาบาลก็ปวดหัวพอแล้วยังให้มาอบรมอะไรก็ไม่รู้ทั้งวันจนสติแทบหลุด
ไม่รู้ตอนเรียนเขาเรียนจบมาได้ยังไงทั้งๆที่สมาธิน่ะสั้นกว่าอายุของยุงลายซะอีก
“คิดบวกหน่อยดิ
อย่างน้อยเบรกก็อร่อยนะ”
“ครับเพื่อนนนนน
มึงมันเด็กอ้วนเห็นแก่แดก”
“หรือคิดแบบนี้ก็ได้
อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งวันอะ”
เอยหัวเราะเบาๆ ลูบหัวเกรียนๆของเพื่อนก่อนจะเจาะน้ำผลไม้ดื่ม จริงๆเหลืออบรมอีกสองชั่วโมงก็เรียบร้อย
ช่วงนี้อาหารชีวจิตมันเป็นเทรนด์สุดๆแถมไอ้เรื่องดื่มน้ำเซเลอรี่ลดบวม
ลดน้ำหนักอะไรพวกนั้นเขาก็ยังต้องรู้ลึกรู้จริงแบบที่จะได้เอาไปเตือนคนไข้และเพื่อนฝูงว่าไม่ใช่ทุกคนจะดื่มน้ำขึ้นฉ่ายคั้นสดได้
แหงล่ะ
ถ้าเกิดความดันต่ำแล้วดื่มเพียวๆเข้าไปอีกแค่สักสองร้อยห้าสิบมิลลิลิตรก็มีสิทธิ์เป็นลมได้เลยนะ!
“อบรมนี้ดีเพราะมีน้องเอย”
“ขนาดนั้นเลย”
“รักเอย”
“พอพูดแบบนี้คิดถึงเพลงนี้เลยอะ”
“เพลงไหนอีกล่ะหนู”
“หัวใจนี้อยากรู้
อยากรู้ รักเอย รักเอย รักแบบไหน~”
“โอ๊ย
เพลงสมัยกูประถม”
“น่ารักเนอะ
เพลงสมัยก่อน”
“ชอบนี่สุดแล้ว
วงหมีพูห์”
เอยทำตาโตเมื่อเพื่อนพูดถึงเพลงสมัยที่เราเด็กกันมากๆ
พอหันไปสบตากันแล้วก็เริ่มต้นร้องท่อนแรกแบบที่ทำให้หลุดขำออกมาพร้อมๆกัน
“โว้ะโอ~
โว้ะโอโอ่โอ้ะโอ~~”
“ดักแก่ว่ะ”
“ว่ากู มึงก็ร้องคร้าบน้องเอย”
“จ๊าบชอบท่อนไหน?”
คนตัวเล็กทำตาโตถามไปดูดน้ำผลไม้ไป
ท่าทางแบบนั้นมันทำให้คนตัดผมทรงสกินเฮดเอื้อมไปบีบแก้มจนเอยร้องโอ๊ย
ใครจะไม่อยากแกล้ง
ดูทำตัวเข้า
“หล่อๆแบบผมก็ต้อง
‘ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจจะไม่แน่ใจ’
รึเปล่าครับบบ ร้องออกไมค์ทีสาวกรี๊ดค่อนโรงเรียน”
“เพราะลืมรูดซิป
รู้นะจะเล่นอันนี้อะ”
“จบ
กูกลับบ้านละไอ้เหี้ย”
จ๊าบที่ทำท่าจะลุกหนีทำให้เอยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแล้วรั้งแขนเพื่อนไว้
โอ๋อยู่ไม่กี่ทีก็กลับมาเรียกเขาน้องเอยๆเหมือนเดิม
“ละหนูอะชอบท่อนไหน”
“เราเหรอ อืม ..
”
คนตัวเล็กลูบคางครุ่นคิด
“เอ่ยไปเลยว่ารัก ไม่ต้องเกรงใจใคร .. จะยากอะไรก็แค่บอกว่าฉันรักเธอ”
“น่ารักด้วย
เสียงเพี้ยนด้วย”
จ๊าบที่ใจอ่อนยวบมองรอยยิ้มสดใสที่เพื่อนส่งมาให้จนต้องเอื้อมมือไปขยี้ผมเบาๆ
จะบอกให้ว่าสมัยเรียนไม่มีคนกล้าจีบเอยมันหรอกเพราะเป็นเหมือนสมบัติของคนในคณะเขา
ผู้หญิงก็ห่วง ผู้ชายก็หวง
ก็น่ารักตั้งขนาดนี้นี่
“แกว่ามีจริงเปล่า
คนที่ไม่กล้าบอกรักอะ”
“ก็ต้องมีดิวะ
คำว่ารักแม่งโคตรใหญ่ แบบใหญ่อะ จะบอกทั้งทีก็ต้องคิดนะว่าจะแบกรับไหวมั้ย”
“หมายถึงใจคนฟังน่ะเหรอ”
“ก็ส่วนหนึ่ง ถ้าใจคนฟังเขาเซย์โน เราก็หมา”
“แล้วรักนี่ต้องหวังให้ใครมารักตอบด้วยเหรอ”
“ทำไมหนูถามมากจังวะ
กูอยากตาย”
คนตัวเล็กหัวเราะก่อนจะเกาแก้มเขินๆ
ก็มันอยากรู้นี่หว่า ..
จริงๆจำได้ว่าช่วงเรียนจ๊าบชอบคนคนหนึ่งมากๆแต่ทำยังไงเขาก็ไม่รับรัก
สุดท้ายมันก็ไม่เหมือนในนิยายแบบที่ตื๊อให้ตายเขาก็ไม่มาใยดี
“แล้วรักมันจางได้มั้ย”
“ได้นะ ..
อันนี้ประสบการณ์ตรง”
“พอไม่เจอกันก็จะลืมเหรอ”
“น้องเอยฟังพ่อ
การลืมเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์อยู่แล้ว ไซเคิลของสมองเราอะเนอะ”
“ก็จริง”
“แค่อย่าไปคิดว่าต้องลืม
เดี๋ยวแม่งก็ลืม อาจจะไม่ได้รักน้อยลงอะ แต่กลับมารักตัวเองมากกว่า”
“คมคายนะเนี่ย
ลาออกไปเปิดเพจคำคมดีเปล่าเราอะ”
“แซวกูเหรอ!”
แล้วเอยก็โดนกินหัวไปอีกที
นั่งเล่นกันจนหายเหนื่อยกับการอบรมแล้วก็ต้องแบกตัวเองกลับไปเข้าห้องประชุมใหม่
จริงๆครั้งนี้โชคดีที่โรงพยาบาลจ๊าบก็ส่งคุณหมอของตัวเองมาเข้าประชุมด้วย
เพราะไม่งั้นเอยเหงาตายเลย
“อดทนไว้จ๊าบ
อีกไม่นานก็เสร็จแล้ว”
“สัญญาได้เปล่าว่าจบนี่จะไปกินเบียร์กัน”
“เอาดิ”
“โห
วันนี้ออกโรงว่ะ”
“เรามีนัดกินเบียร์อยู่แล้วต่างหาก
จะชวนไปด้วยอยู่แล้วแต่กะจะบอกหลังเลิกอบรม เดี๋ยวได้ใจ”
จ๊าบยิ้มพลางขยี้ผมไอ้ตัวแสบ
ไม่รู้ทำไมเอ็นดูนักทั้งๆที่อายุก็เท่ากัน บอกเลยว่าชีวิตมหาวิทยาลัยเป็นสีพาสเทลแม้การเรียนจะหนักหนาก็เพราะคุณสิสิรเขานี่แหละนะ!
“น้องเอยฟังพ่อ”
“ว่าไงอีกอะ
เขาจะเริ่มเปิดสไลด์แล้วนะจ๊าบ”
“พ่อรักน้องเอย”
“ค้าบๆๆ
รักพ่อเหมือนกันนน”
เฮ้อ
ใจของจ๊าบ
○
.
เบียร์คราฟต์กับเอยเป็นของคู่กัน
เพราะไม่ชอบเลยพวกเบียร์ที่ขายกันตามตลาด
ชอบเบียร์นอกหรือเบียร์ทำเองมากกว่าเพราะมันมีเสน่ห์ ค่อยคุ้มค่าที่จะยอมเมาหน่อย .. คนตัวเล็กนั่งไกวขายิ้มร่าชนแก้วกับเพื่อนหมอด้วยกัน
อีกไม่นานจัสมินกับตงจะตามมา ช่วงนี้มีเวลาขึ้นมาบ้างเลยขอเจอเพื่อนสักหน่อย
“เออ
แล้วพี่ซือเขาจะมาเมื่อไหร่”
“เนี่ย
ใกล้แล้วแหละ อาจจะถึงหลังจัสนิดนึง”
“ไม่ได้เจอแม่งโคตรนาน”
จ๊าบบ่น
“เหมือนกัน”
“เก่งว่ะลูกพ่อ
ก็อดก็ทนได้เนอะ”
“ไม่หรอก
ก็ไม่ได้คิดว่าต้องอดทนไง” บางคนตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นมากระดก
มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเห็นบางคนเดินเข้ามาในร้าน
แล้วเอยก็พบว่าเมื่อตาดุๆคู่นั้นสบกับตาของเขา .. มันก็ไม่เคลื่อนไปไหนอีกเลย
“มองอะไรวะเอย”
“ … ”
“เจอคนรู้จักเหรอ?”
เอยไม่ตอบ
จ๊าบก็เลยมองตามสายตาของเพื่อนไปและพบกับมือเบสคนนั้นที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำเขา
เป็นอะไรไม่ได้เลยนอกจากมันหล่อ
หล่อแบบที่ผู้ชายแมนๆอย่างเขาต้องยอมรับและเอ่ยปากชม
มากไปกว่านั้นคือแม่งแต่งตัวดีเหี้ยๆ
แล้วนี่อะไร
กูใส่เสื้อยืดเนี่ยนะ!
“ไง”
“มากับใครเนี่ย”
“จิมมี่”
“อ้าว ..
แล้วไหนจิมมี่”
“เดี๋ยวมันก็เข้ามาทัก”
ชินตะสบตากับเพื่อนของเอยที่วางแขนพาดไว้ที่เก้าอี้ตัวที่เอยนั่ง ..
คิ้วของเขาเลิกขึ้นและเขาเห็นความยียวนในดวงตาของคนที่เอยเรียกว่าจ๊าบ
“จ๊าบ
นี่เพื่อนเราเองอะ ชินตะ .. น่าจะจำได้นะ ที่เป็นมือเบสวง no bad days ไง”
“จำได้ครับน้องเอย
สวัสดีครับชินตะ :)”
คนตัวสูงพยักหน้าก่อนจะหันกลับมาคุยกับเอยต่อ
“วันนี้กินข้าวรึยัง”
“อะไรเนี่ย
คุณเจอเราทีไรก็ถามแต่เรื่องนี้”
“กินให้ตรงเวลาบ้าง”
“วันนี้กินครบทุกมื้อหน่า
เราไปประชุมมา”
บทสนทนาเรียบง่ายที่ถามไถ่ถึงชีวิตทั่วไปในตอนที่ไม่ได้เจอกันมันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาในใจ เอยคิดว่ามันประหลาดดี
เขาบอกแล้วว่าระหว่างเขากับคนตรงหน้ามันแปลก
แต่ไม่ได้ไม่ปลอดภัย
“นั่งโต๊ะนู้นนะ”
“โอเค
เอ็นจอยนะคุณ”
“เหมือนกัน”
“ไว้ไปขโมยกินถั่วโต๊ะคุณ”
บอกลากันแบบนั้นพร้อมรอยยิ้มแบบที่ทำให้อีกคนเคาะนิ้วลงบนหัวเอยแล้วก็ผละออกไปที่โต๊ะตัวเอง
ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีจิมมี่ก็เข้ามาทักเอยตามที่ชินตะบอกไว้
แต่คุยกันได้ไม่นานอีกคนก็รีบไปจัดเบียร์สองแก้วแล้วดื่มไม่หยุดเหมือนคนมีเรื่องให้คิด
“แม่งมากันทั้งวงเลยว่ะ
รักกันไม่เบา”
“เรื่องเมาใครจะต้านไหว”
เอยหัวเราะเบาๆฟังบทสนทนาของเพื่อนในโต๊ะที่นินทาหนุ่มๆวง
no
bad days ที่สุดท้ายก็มานั่งกันครบวงแถมยังมีเพื่อนคนอื่นๆที่เอยไม่เคยเห็นมาจอยด้วย
ดูท่าชินตะจะมีเพื่อนเยอะพอสมควรเลยแฮะ
“เอย”
“อ้าว ตงงง” คนถูกเรียกกอดเอวคนมาใหม่แน่น
ตงลูบผมเอยเบาๆก่อนจะบอกว่าวันนี้ใส่เสื้อน่ารักจังซึ่งเอยได้แต่แก้มร้อนเพราะเขาเขินสายตาตงมากๆ
นี่มันก็แค่เสื้อยืดธรรมดาๆ
“พอกันที
แฟนตัวจริงคือผม! เผื่อคุณจะลืมตงจื้อ”
“เสียงดัง”
“ไง ไอ้คนที่ชอบแย่งแฟนคนอื่น”
“เสียงนกเสียงกาเนอะตง”
เอยแลบลิ้นใส่คนขี้หวงที่หนึ่งอย่างจัสมิน
“เอาว่ะ
ลูกกูสู้ว่ะ”
บทสนทนาในโต๊ะเริ่มเฮฮาขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีคนมาเพิ่ม
จัสมินมองกลุ่มเพื่อนยิ้มๆก่อนจะเป็นคนอาสาเดินไปสั่งเบียร์หน้าบาร์
มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาเดินผ่านโต๊ะของชินตะและไม่ลังเลเลยที่จะทักตามประสาคนอัธยาศัยดี
“hey dude~”
“hey.” พยักหน้าให้ก่อนจะชนหมัดกันเบาๆ
ถึงจะเจอแค่ครั้งสองครั้งแต่ก็นับว่าเป็นเพื่อนได้แล้วสำหรับจัสมินและเขาหวังว่าชินตะเองที่ตอนนี้ก็สนิทกับเอยพอสมควรจะรู้สึกแบบเดียวกัน
“นี่ จัสมิน ..
เพื่อนเอย”
“อ๊า~
คุณหมอจัสมิน น้องผมชอบคุณมาก! ไอ้เหี้ย พี่ชายแม่งไม่เคยจะชมอะ”
มีนดีดนิ้วเมื่อจำได้ว่านี่คือคุณหมอหมาที่เป็นที่พูดถึงกันบ่อยๆในอินเตอร์เน็ต
ไม่ใช่เพราะอะไรเลยนอกจากเป็นเดือนคณะแล้วก็ยิ้มเก่งซะขนาดนี้
ยิ้มทีอย่างกับดอกไม้แม่งจะบานได้เลย
ให้ตาย
“แล้วนี่ไปทักเอยมายังอะ”
“อืม .. ผอมลง”
“เขาไม่ค่อยกินข้าวหรอกคนนั้นน่ะ
ทำแต่งานๆๆๆ บ้างานมากๆคุณสิสิร” ชินตะมองสีหน้าจริงจังของจัสมิน ดูเหมือนเรื่องการกินข้าวของเอยจะเป็นปัญหาพอสมควรเพราะงานที่เยอะไปหมดนั่น
มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาหันไปเพื่อจะมองบางคนที่อยู่ไม่ไกลจากระยะสายตา
“ … ”
“อ้าว .. พี่ซือมาเหรอ”
คนที่จมหายไปในอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก
เอยลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อที่จะกอดคนคนนั้นอีกครั้งราวกับโหยหา
มันอาจเป็นแบบนั้นเพราะเขาไม่ได้เย็นชาขนาดอ่านความรู้สึกจากทางสายตาไม่ได้
ฝ่ามือเล็กๆนั่นประสานเข้าหาฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของอีกคน .. รอยยิ้มกว้างกับดวงตาเป็นประกายตอนเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มที่ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้งทำให้เขารู้สึกถึงการเต้นของบางสิ่งใต้แผ่นอกที่ช้าลงจนเกือบจะหยุด
บางสิ่ง
“เดี๋ยวนะ
คนนั้นใครวะที่ยืนจับมือกับหมอเอยอยู่?”
ที่มีขึ้นมาแล้วจริงๆโดยไม่ได้สมมติ
“อ่า
ทุกคนน่าจะยังไม่เคยเจอ พี่เขาไม่ค่อยอยู่ไทยน่ะ”
น้ำเสียงของจัสมินที่พึมพำกับตัวเองกลายเป็นเสียงเบาๆที่เขาแทบไม่ได้ยิน
..
ราวกับมีใครสักคนกดลดวอลลุ่มจนเหลือต่ำสุด
เขาได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นช้าแต่หนักหน่วงจนรู้สึกปวด
แล้วในวินาทีถัดมา
ใครคนนั้นก็เร่งเสียงที่เขาได้ยินไม่ถนัดเมื่อครู่ให้ดังขึ้นมาใหม่
“พี่เขาชื่อซือ”
“ … ”
“เป็นแฟนเอย”
ดังคับไปทั้งโลกที่เพิ่งจะมีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าของเขา
ขอโทษ
. _ .
(ชื่อตอนเต็มๆจริงๆแล้วคือ
ever since the day that i met you
i knew you were the girl of my dreams
but we could never be.)
เส้ายังงะ
แหะ แหะ แหะ
#จนมีหัวใจ
ความคิดเห็น